×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 802

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 840

ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ปี 2566 เป็นอีกหนึ่งปีที่น่าประทับใจของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดยโรงพยาบาลฯ ได้รักษาผู้ป่วยให้กลับบ้านอย่างปลอดภัยกว่า 1 ล้านคน ซึ่งแบ่งเป็นผู้ป่วยไทยและ expat เป็นจำนวนกว่า 660,000 ครั้ง และ ผู้ป่วยต่างชาติ เป็นจำนวน 351,000 ครั้ง จากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก โดย 97% ของผู้ที่มารับการบริบาลทั้งหมดกลับมาหาเรา แสดงถึงความเชื่อมั่นในการรักษา ด้วยมาตรฐาน ความปลอดภัยสูงสุด

อย่างไรก็ดี เราตระหนักดีถึงความท้าทายในปัจจุบันและการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของระบบการดูแลรักษาที่กำลังจะมาถึง ทำให้เราไม่สามารถหยุดนิ่ง และพอใจกับความสำเร็จที่ผ่านมาได้ ไม่ว่าจะเป็น ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีทางการแพทย์ โมเดลการดูแลสุขภาพ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงสุขภาพดิจิทัล การแพทย์ทางไกล และปัญญาประดิษฐ์ ที่เราต้องนำมาปรับเปลี่ยนใช้ในโรงพยาบาล ซึ่งไม่ใช่แค่เพื่อรักษาความเป็นเบอร์หนึ่งเท่านั้น แต่เพื่อใช้โอกาสการเปลี่ยนแปลง และ disruption ที่จะมาถึง สร้างประโยชน์กับผู้ป่วยและพนักงานของเรา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์จึงได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปี 2567 ให้เป็น Year of Transformation โดยมุ่งมั่นพัฒนา 5 เสาหลัก ได้แก่

1) Clinical Transformation, 2) Safety and Quality Transformation, 3) Operation Process Transformation, 4) Service Excellence Transformation, 5) People Transformation

รศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ในการทำให้เกิด Clinical transformation นอกจากการรักษาแบบครบวงจรในแผนกต่างๆ ในโรงพยาบาลแล้ว เรายังจัดให้มีศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โดยรวบรวมนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมีประโยชน์กับผู้ป่วยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกันให้การบริบาล โดยในปีนี้เรามีศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Centers of Excellence) 8 ศูนย์ ได้แก่ สถาบันโรคหัวใจ สถาบันกระดูกสันหลัง ศูนย์มะเร็งฮอไรซัน ศูนย์โรคระบบประสาท ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ศูนย์จักษุ ศูนย์เต้านม และศูนย์ทางเดินปัสสาวะ ขณะที่ศูนย์การรักษาอื่น ๆ ยังคงให้การบริบาลด้วยคุณภาพมาตรฐานและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามมาตรฐานของบำรุงราษฎร์ทุกประการ และเพื่อให้เกิดระบบการควบคุมคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น เราได้นำระบบธรรมาภิบาลทางการแพทย์มาใช้ในโรงพยาบาล คือทำให้เกิดธรรมาภิบาลกับผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาอย่างมีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดด้วยนวัตกรรมและความรู้ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน และให้เกิดธรรมาภิบาลกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ให้ได้รับความสะดวกสบายในการมาปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

นอกจากนี้เรายังได้สร้างระบบการถ่ายทอดความรู้ในองค์กรในการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งสั่งสมมากว่า 43 ปีให้กับแพทย์และบุคลากรจากรุ่นใหญ่สู่รุ่นใหม่ เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยของเราเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ปลอดภัย และอยู่ในขอบเขตของจริยธรรมและมาตรฐานทางการแพทย์ที่ดีที่สุด เพื่อให้องค์กรของเราเป็นองค์กรทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือที่สุด สำหรับผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างประเทศ

นพ.รุจาพงศ์ สุขบท รองประธานอาวุโสปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวเสริมว่า การแพทย์ นับเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้รับบริการ โดยเราจะสร้าง patient engagement การมีส่วนร่วมกับผู้ป่วยโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง patient centric ในทุกสิ่งที่เราทำ ควบคู่ไปกับการนำ Innovation มาใช้เสริมประสิทธิภาพในการรักษาและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในองค์กร (sustainable growth) ผ่านการบ่มเพาะวัฒนธรรมองค์กรซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญ และการ empower พยาบาล เภสัชกร และบุคลากรสหสาขาวิชาชีพ ให้ได้ใช้ความรู้ความชำนาญการในแต่ละสาขาอาชีพได้อย่างเต็มศักยภาพ และทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย ทั้งหมดนี้คือวัฒนธรรมที่เราจะสร้างให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำทางการแพทย์ในศตวรรษที่ 22 ต่อไป

นพ.นิพัฒน์ กุหลาบขาว รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ในเรื่อง Operation Transformation โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้มีการนำระบบ Digital Healthcare มาใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพ และให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย เพื่อการให้บริบาลแก่ผู้ป่วยอย่างปลอดภัย ถูกต้อง และรวดเร็ว   และมุ่งเน้นในการดูแลผู้ป่วยอย่างครบวงจร และไร้รอยต่อ  โดยเริ่มตั้งแต่ก่อนผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล  ในช่วงเวลาที่ผู้ป่วยรับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล  และรวมถึงหลังจากที่เสร็จสิ้นการรักษาไปแล้ว  โดยระบบ Digital Healthcare ที่เราใช้อยู่นี้ จะมีการ update ระบบให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพอยู่ตลอด  เช่น ระบบจัดเก็บเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์แบบ EMR (Electronic Medical Record) เพื่อช่วยให้ทีมแพทย์เฉพาะทางของเรา และทีมสหสาขาวิชาชีพอื่นๆ เช่น พยาบาล เภสัช นักรังสีเทคนิค นักกายภาพ เป็นต้น ได้สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและแผนการรักษาของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และเป็นระบบ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการการสื่อสารทั้งภายใน และภายนอกองค์กรของเราอีกด้วย นอกจากนี้ เรามี Bumrungrad Application ที่ใช้ในการสื่อสารและให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วย โดยมีด้วยกันหลายภาษาหลักตามกลุ่มผู้ป่วยของเรา ทั้งไทย อังกฤษ อารบิค พม่า จีน ญี่ปุ่น  โดยเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการ Transform Operation นี้จะมุ่งเน้นในเรื่องของการเพิ่ม operation efficiency ซึ่ง focus อยู่ 4 ข้อหลัก ๆ โดยยึดหลักของ F A S T; Friendly use, Accuracy, Safety – patient, Timeliness   

ในขณะเดียวกัน เมื่อเราได้มีการ Transform operation process ที่ดีแล้ว ทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เอง ก็ได้มีพัฒนาในเรื่องของ การให้บริบาลให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ในการดูแลสุขภาพที่เหนือความคาดหมายแก่ผู้ป่วยและครอบครัว  โดยทางเราได้มีการนำเครื่องมือที่ชื่อว่า วิถีแห่งบำรุงราษฎร์ (Bumrungrad Way) มาใช้  เป็นแนวปฏิบัติของบุคลากรในการบริบาลผู้ป่วยของทุกแผนก ทุก patient touch point ซึ่งเป็นแบบฉบับของบำรุงราษฎร์เอง และทางเราได้มีการปรับให้สอดคล้อง ตามยุคสมัย ตามขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ที่แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน เพราะผู้ป่วยของเราเดินทางมาจากทั่วทุกมุมโลก และต้องการการดูแลแบบ personalized  ซึ่ง Bumrungrad Way นี้เป็นแนวปฏิบัติที่ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง นำไปสู่การให้บริบาลด้วยความเท่าเทียม และเอื้ออาทร นอกจากนั้น เรายังได้เสาะหาและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น เทคโนโลยี AI เข้ามาปรับใช้เพื่อยกระดับการบริบาลของเราให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อที่จะทำให้ผู้ป่วยของเราเกิดความประทับใจ และส่งต่อเรื่องราวดี ๆ ไปยังบุคคลรอบตัว โดยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ นับเป็นการสร้างความเชื่อมั่นที่ดีที่สุดของ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า เรื่องของ People Transformation  เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง ตลอดระยะเวลากว่า 43 ปีเข้าสู่ปีที่ 44 ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สิ่งที่บำรุงราษฎร์ให้คุณค่ามากที่สุด คือ เรื่องของบุคลากร ปัจจุบันเรามีพนักงานอยู่กว่า 4,000 คน มีแพทย์อีกกว่า 1,300 คน เราปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กร คือ iAIC (Inclusion, Agility, Innovation, Caring) ซึ่งเป็น DNA ของคนบำรุงราษฎร์ เน้นเรื่องการปลูกฝัง Agile mindset ของเราที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญในเรื่อง Transformation ทำให้พนักงานเปิดใจในเรื่องของการเปลี่ยนแปลง และ เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เราฝ่าวิกฤตต่าง ๆ มาได้

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้ความสำคัญในเรื่องการสร้างองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน เรามีแผนงานการสืบทอดตำแหน่งงาน (succession planning) มีการวาง career path และ career development ที่ชัดเจน และพัฒนาผู้นำจากภายใน มุ่งเน้นด้านการพัฒนาฝึกฝนกลุ่มผู้นำรุ่นใหม่และตระเตรียมการเสริมสร้างผู้นำในอนาคต ที่จะสืบสานการดำเนินงานของโรงพยาบาลอย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายทอดองค์ความรู้ จากผู้นำรุ่นปัจจุบันเพื่อรักษาจุดแข็ง ในขณะเดียวกันก็สามารถเติมเต็มและพัฒนาองค์กรให้เหมาะสมกับสภาวะในอนาคตที่จะมาถึง 

หนึ่งในกิจกรรมที่บำรุงราษฎร์ทำมาโดยตลอด คือ การสร้างและพัฒนาให้มีบุคลากรด้านการแพทย์และการพยาบาลที่ทรงคุณค่าให้แก่โรงพยาบาลและแก่ประเทศชาติ รวมถึงการให้ทุนการศึกษาแก่พยาบาล โดยโรงพยาบาลมีสถาบันทางวิชาการที่ส่งเสริมด้านการศึกษาและฝึกอบรมเพื่อให้บุคลากรมีความรู้ที่ทันสมัยอยู่เสมอ ถือได้ว่าปัจจุบันบำรุงราษฎร์เป็น ‘สถาบันวิชาการทางการแพทย์ภาคเอกชน’ หรือ Academic Private Hospital อย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งยังสนับสนุนให้แพทย์และบุคลากรได้มีโอกาสทำงานวิจัย ตีพิมพ์ผลงานในวารสารทางวิชาการทั้งในระดับชาติและนานาชาติ และมีความร่วมมือกับโรงเรียนแพทย์ เพื่อพัฒนางานวิจัยทางการแพทย์และนวัตกรรมการรักษา ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

ภญ. อาทิรัตน์ อธิบายต่อว่า Safety and Quality Transformation คุณภาพและความปลอดภัย คือ หัวใจสำคัญอีกประการของบำรุงราษฎร์ ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของผู้ป่วยและพนักงานของเรา และเราจะไม่ประนีประนอมในเรื่องของความปลอดภัยเด็ดขาด ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงที่เกิดการระบาดของโรค บำรุงราษฎร์แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี เรามีการถอดบทเรียน มี knowledge management นำปัญหามาวิเคราะห์หาสาเหตุเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต และพัฒนาในเรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยง (risk management) ได้อย่างดี ซึ่งสามารถที่จะป้องกันข้อผิดพลาดต่างๆ ที่อาจขึ้นได้ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมเรื่องของ no-blame policy ทำให้พนักงานกล้าที่จะพูดคุยในปัญหาเพื่อหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน ที่สำคัญ เราไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาเรื่องของเทคโนโลยีเพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในองค์กร อย่าง Hospital Information Management System (HIMS) การบริหารจัดการด้านระบบสารสนเทศของโรงพยาบาล ที่ช่วยควบคุม quality ลดข้อผิดพลาด และส่งเสริมมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยในการบริหารจัดการของโรงพยาบาลมีผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการให้องค์กรอิสระภายนอกเข้ามาตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรฐานคุณภาพโรงพยาบาลระดับสากล (JCI) ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ผ่านการต่ออายุการรับรอง re-accreditation ครั้งที่ 7 เมื่อปลายเดือน ธ.ค. 2566 , มาตรฐานคุณภาพโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ ‘ขั้นก้าวหน้า’ (A-HA), การรับรองจาก Global Healthcare Accreditation (GHA) ในระดับความเป็นเลิศมาตรฐานสากลในการดูแลกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เดินทางเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทย, ความเป็นเลิศในมาตรฐานด้านการปฏิบัติงานด้านพยาธิวิทยาและเวชศาสตร์ชันสูตรของห้องปฏิบัติการทางการแพทย์จากวิทยาลัยพยาธิแพทย์อเมริกัน (CAP) ซึ่งคุณภาพและความปลอดภัย นับเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของคุณภาพของสถานพยาบาล

 

สุดท้ายนี้ เราจะไม่สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ของการเป็น The Most Trusted Healthcare and Wellness Destination ได้ หากปราศจากศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ซึ่งเป็นสถาบันเวชศาสตร์ชะลอวัยแบบบูรณาการ เป็นผู้บุกเบิกและวางรากฐานเวชศาสตร์เชิงป้องกันเป็นแห่งแรกในเอเชีย ซึ่งไวทัลไลฟ์มีแนวทางการดูแลสุขภาพเพื่อการมีอายุยืนยาว โดยใช้องค์ความรู้จากงานวิจัยในด้าน Longevity Medicine ผสมผสานกับเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ ในการวิเคราะห์ อายุชีวภาพ (biological age) หรืออายุที่แท้จริงลึกถึงระดับเซลล์ของร่างกาย เพื่อช่วยวางแผนเฉพาะบุคคลในการลดอายุทางชีวภาพเพื่อชะลอความเสื่อม ป้องกันก่อนเกิดโรคและฟื้นฟูสภาพความเสื่อมให้กลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงและมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการตรวจรหัสพันธุกรรมโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการทางเวชศาสตร์จีโนม เพื่อหาความเสี่ยงของ ปัญหาสุขภาพที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล

ด้วยการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมให้แก่ผู้มารับบริการของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์และศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ จะทำให้เกิดการดูแลอย่างต่อเนื่อง (Continuum of care) เสริมศักยภาพการเป็นจุดหมายแห่งการดูแลสุขภาพและสุขภาวะที่น่าเชื่อถือที่สุด และยังเป็นการเสริมจุดแข็งด้านการแพทย์ของไทย สู่เป้าหมายของการเป็น ‘ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ’ หรือ ‘การแพทย์ครบวงจร’ (Medical Hub) เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็น 1 ในท็อป 100 โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Newsweek ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ร่วมกับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มอบสิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิก รอยัล ออร์คิด พลัส

ธุรกิจโรงพยาบาลเป็นอีกหนึ่งในธุรกิจเนื้อหอมที่ประเทศไทยมีศักยภาพ และมีกลุ่มทุนหลายกลุ่มมองว่ายังมีโอกาสในอุตสาหกรรมนี้ เตรียมตัวกระโดดเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในวงการ แต่การจะทำธุรกิจสุขภาพให้ประสบความสำเร็จได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติถึงคุณภาพการรักษาพยาบาลและการบริการ เป็นจุดหมายของผู้ที่แสวงหาทางเลือกในการรักษาจากทั่วโลก ในด้าน Medical Tourism บำรุงราษฎร์จัดได้ว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของวงการ ความสำเร็จที่ผ่านมาและทิศทางที่จะเดินต่อไปข้างหน้าทางด้านการตลาดของบำรุงราษฎร์ จะเป็นอย่างไร MBA มีโอกาสพูดคุยกับ นภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นักการตลาดที่ผ่านงานมาแล้วหลากหลายอุตสาหกรรม เกี่ยวกับเรื่องนี้

นภัสเริ่มด้วยภาพกว้างของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ Medical Tourisms ว่า ปัจจุบันความหมายของ Medical Tourisms ขยายความจากการไปตรวจสุขภาพ ทำศัลยกรรม หรือทำกิจกรรมเชิงสปา โดยมีแนวโน้มที่ผู้ป่วยมองหาทางเลือกในการรักษาโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของผู้ป่วยนานาชาติในการเข้ามาใช้บริการด้านสาธารณสุขหรือการแพทย์ โดยประเทศหลักๆ ประกอบด้วยไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอาจจะรวมอินเดียเพิ่มเข้าไปได้อีกประเทศหนึ่ง โดยมาจาก
“1. ผู้ป่วยมาจากประเทศที่อาจจะมีการพัฒนาทางสาธารณสุขที่สมบูรณ์แบบแล้ว แต่อยากมาใช้บริการในแถวนี้เพราะต้นทุนที่ต่ำกว่า บริการที่อบอุ่น ไม่ต้องรอคิวนานในโรคที่ซับซ้อน
2. ประเทศที่มีกลุ่มคนที่เราเรียกว่า Mass Affluent กลุ่มคนที่มีกำลังจะจ่ายได้แต่ในระบบสาธารณสุขประเทศเขาอาจจะตอบสนองความต้องการได้ไม่ครบถ้วน เช่น บังกลาเทศ มองโกเลีย เมียนมาร์ กัมพูชา รวมถึงเวียดนาม และกลุ่มตะวันออกกลาง ยูเออี การ์ตาร์ โอมาน บาห์เรน ที่เข้ามารับการบริบาลทางสาธารณสุขในแถบนี้นานแล้ว”

โดยผู้ที่เข้ามารับการบริบาลบางส่วนก็เข้ามาเพื่อตรวจสุขภาพ บางส่วนเข้ามาเพราะมีอาการที่ซับซ้อนอยากมั่นใจว่าได้แพทย์ที่มีคุณภาพ บุคลากรมีคุณภาพได้รับการยอมรับ ซึ่งบำรุงราษฎร์ก็เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่สั่งสมชื่อเสียงมายาวนาน จากมาตรฐานระดับสากลที่ได้รับจากองค์กรระดับโลก ช่วยทำให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการเข้ารับการรักษา

7 เคล็ดลับบำรุงราษฎร์

นภัส เปิดเผยปัจจัยที่ทำให้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของผู้ป่วยต่างชาติว่าประกอบด้วย

หนึ่ง การส่งมอบ Value Added Services ที่เอื้ออำนวยต่อผู้ป่วยต่างชาติ เช่น การมีล่ามภาษาต่างประเทศ รองรับ 14 กลุ่มภาษาหลัก อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี รวมถึงภาษาเอธิโอเปีย เขมร พม่า อาราบิก เป็นต้น
ทั้งหมดเป็นพนักงานของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่ผ่านการฝึกอบรมในการแปลคำศัพท์ด้านการแพทย์โดยเฉพาะ
มีความเข้าใจในกระบวนการรักษาอย่างดี
นอกจากนี้ ยังเตรียมห้องละหมาดและอาหารฮาลาลให้กับผู้ป่วยมุสลิม และยังมีบริการอื่นๆ เช่นการประสานงานด้านการออกวีซ่า ตลอดจนถึงการประสานงานกับโรงพยาบาลต้นสังกัดในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและส่งตัวกลับ

สอง มาตรฐานการให้บริบาล เรื่องความปลอดภัย โดยนภัสย้อนถึงปี 2015 ที่ MERS ระบาด และถูกตรวจพบที่บำรุงราษฎร์ถึง 2 ครั้ง เป็นบทพิสูจน์ว่าที่นี่มีขั้นตอนการคัดกรองที่ครบถ้วน และมีมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลกเช่น JCI (Joint Commission International), DNV-GL (MIR) DNV-GL’s MANAGING INFECTION RISK (MIR) STANDARD และ GHA (Global Healthcare Accreditation) ที่ช่วยให้ทุกคนมั่นใจ

สาม บุคลากรที่ทำงานอย่างสอดประสานกับในการส่งมอบการรักษา ทั้งทีมแพทย์ ทีมพยาบาล ทีมเทคนิคการแพทย์ ทีมแล็บ เพื่อส่งมอบการรักษาที่ผู้ป่วยปรารถนาได้

สี่ การบอกต่อ Word of Mouth จากคนไข้ต่อปี 1.1 ล้านคน เป็นคนไข้ต่างชาติประมาณ 520,000 คน จากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ที่เมื่อเข้ามารับการบริบาลของบำรุงราษฎร์แล้วกลับไปเล่าเรื่องราวประสบการณ์การรักษาที่ได้ไปบอกต่อ ช่วยสร้างแบรนด์บำรุงราษฎร์ให้อยู่ในใจของผู้ป่วยนานาชาติ ในประเทศต่างๆ

ห้า วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร นภัสยกตัวอย่างเรื่องการเปิดศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ หรือศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย (Vitallife Wellness Center) เมื่อ 17 ปีที่แล้ว ทำให้เห็นว่าผู้บริหารของโรงพยาบาลแห่งนี้มีวิสัยทัศน์มองเห็นแนวโน้มการแพทย์เชิงป้องกัน และจัดตั้งหน่วยงานนี้ขึ้น ปัจจุบันถือว่าเป็นจุดที่สร้างความแตกต่างในธุรกิจสุขภาพ ที่การแพทย์เชิงป้องกันและการแพทย์ในการรักษา มีการทำงานแบบสอดประสานกันอย่างไร้รอยต่อ ระหว่าง ไวทัลไลฟ์และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ทำให้ผู้ป่วยสามารถได้รับดูแลตั้งแต่การป้องกัน ชะลอช่วงเวลาที่จะเกิดโรค และหากเกิดเจ็บป่วยก็สามารถส่งต่อไปรักษาที่
โรงพยาบาล และกลับไปฟื้นฟูสุขภาพที่ ไวทัลไลฟ์ได้อย่างลงตัว

หก สถานที่ ทำเลที่ตั้งของโรงพยาบาลอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ช่วยให้ผู้ที่มารับการบริบาลตลอดจนครอบครัวที่เดินทางมาด้วย สามารถพักในโรงแรมในบริเวณใกล้เคียง
อีกทั้งยังเดินทางไปท่องเที่ยวหรือช้อปปิ้งตามที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

เจ็ด นวัตกรรม ที่นี่มีการพัฒนาและนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้อย่างสม่ำเสมอ เพราะนวัตกรรมการรักษาไม่เพียงดึงดูดคนไข้ให้เข้ามาเท่านั้น แต่ยังช่วยดึงดูดแพทย์ที่มีความสามารถให้อยากทำงานที่นี่ เพราะมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ครบครัน มีความสะดวกสบาย มีความทันสมัย ยกตัวอย่างเช่น การนำเทคโนโลยีและศาตร์การแพทย์สมัยใหม่มาใช้ อาทิ Precision Medicine, IBM Watson, Spine Robotic, CardioInsight ฯลฯ Compassionate Caring Marketing


นภัสเล่ากลยุทธ์การตลาดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ใช้มาอย่างต่อเนื่อง คือการสื่อสารแบบถึงตัวคนไข้มากกว่าจะสื่อสารวงกว้าง ซึ่งวิธีที่จะสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นได้ เธออธิบายว่า

“เราต้องทำพื้นฐานของเราให้ดีก่อน ที่พูดไป 7 ข้อ เมื่อดีแล้ว ประสบการณ์ของคนไข้ก็ตามมา เกิดประสบการณ์ที่ดี แล้วคนเหล่านี้ก็เอากลับไปเล่า ทำให้ Word of Mouth กระจายไป และเราก็ต้องสื่อสาร เช่น เราต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสถานทูตของประเทศที่เป็นกลุ่มผู้ป่วยของเราในประเทศไทย อัปเดตกับสถานทูตตลอดเวลาว่าขณะนี้มีหมอใหม่มา หรือขณะนี้มีศูนย์การรักษาใหม่เปิดขึ้น คนไข้เวลามาได้รับความสะดวกไหม มีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายหรือไม่ เราต้องรักษาความสัมพันธ์กับสถานทูตของประเทศนั้นๆ รวมถึงองค์กรต่างๆ ที่เป็นลูกค้าของเรา ต้องรักษาความสัมพันธ์ ดูแลและเอาใจใส่”

เช่นเดียวกันกับลูกค้าชาวไทย ที่บำรุงราษฎร์ต้องสื่อสารด้วย โดยมีการสื่อสารทั้งภาพกว้างและภาพแคบ โดยภาพกว้างอธิบายถึงคุณลักษณะของแบรนด์ ในส่วนของภาพแคบจะทำในด้านการให้ความรู้ต่อสาธารณะ การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคภัยต่างๆ ผ่านเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่างๆ ของโรงพยาบาล
โดยคนไข้ไทยเมื่อเข้ามารับการบริบาลก็จะได้รับประสบการณ์การรักษาที่ดีเช่นเดียวกับที่กลุ่มคนไข้ต่างประเทศได้รับ ขณะเดียวกันนภัสบอกว่า การสื่อสารบางเรื่องที่ทำมาโดยตลอด โดยไม่ได้มุ่งหวังว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะเข้ามาใช้บริการที่โรงพยาบาล แต่เป็นสิ่งที่โรงพยาบาลมีความตั้งใจและเป็นพันธกิจที่ต้องการส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับประชาชนโดยทั่วไป เช่นการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ด้านโรคภัยต่างๆ ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ในฐานะสถาบันการแพทย์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมที่ให้บริการแก่ประชาชนชาวไทย เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรง มีความเข้าใจเรื่องโรคภัยต่างๆ ผ่านข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้

อีกกิจกรรมที่ทำมาอย่างต่อเนื่องคือกิจกรรม CSR ที่บำรุงราษฎร์ เราเชื่อว่าการใช้ความเชี่ยวชาญของเราในการช่วยเหลือและดูแลสังคมจะทำให้ธุรกิจเกิดความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ทั้งในกรุงเทพมหานครหรือต่างจังหวัด โครงการ ผ่าตัดเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ผู้ด้อยโอกาส
ซึ่งร่วมกับมูลนิธิเด็กโรคหัวใจฯ ซึ่งทำมาตั้งแต่ปี 2546 โดยถึงปัจจุบันมีการผ่าตัดช่วยเหลือไปแล้วกว่า 767 ราย และยังขยายความช่วยเหลือนี้ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่น เวียดนามและเมียนมาร์รวมถึงกัมพูชาอีกด้วย

นภัสเล่าว่า กิจกรรมเหล่านี้สร้างให้บำรุงราษฎร์เป็น Feel Good Brand ผ่าน กลยุทธ์ Compassionate Caring Marketing เธอบอกว่า “การทำธุรกิจโรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน เราต้องมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อสาธารณชน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนไข้ของเราหรือไม่ และใครจะการันตีเราได้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่มาเป็นคนไข้ของเราในวันที่เขาพร้อม”

การทำการตลาดของบำรุงราษฎร์นอกจากการสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มต่างๆ แล้ว ยังมีการพัฒนาสร้างเครือข่ายพันธมิตรระหว่างภาคีต่างๆ ในการส่งต่อผู้ป่วย โดยมีการลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) ผนึกกำลังกับโรงพยาบาลพันธมิตรรวม 51 โรงพยาบาลทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งรวมทั้งโรงพยาบาลภาครัฐ โรงพยาบาลเอกชน รวมถึงโรงเรียนแพทย์ ที่ให้ความไว้วางใจเข้าร่วมเซ็น MOU จนกลายเป็นเครือข่ายการรับย้ายผู้ป่วยภายในประเทศที่สำคัญในปัจจุบันนภัสอธิบายเรื่องนี้ว่า

“ในกรณีที่โรงพยาบาลพันธมิตรของเราเจอเคสบางเคสที่เขาอาจจะยังไม่พร้อมในการรักษา ทางรพ.นั้นสามารถส่งตัวผู้ป่วยเข้ามาให้บำรุงราษฎร์ดูแลให้ได้ คือปกติเวลาคนเรารักษาแล้วเปลี่ยนโรงพยาบาลจะวุ่นวายมาก จะต้องมาเริ่มประวัติใหม่
ซักอาการใหม่ แต่ด้วยการสร้างเครือข่ายพันธมิตรนี้จะเอื้อประโยชน์ให้ผู้ป่วยได้รับการบริการแบบไร้รอยต่อ พอรักษาโรคซับซ้อนหายแล้วก็ส่งกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลต้นสังกัดเดิม นับเป็น Win-Win คนไข้ก็ยังอยู่กับเขาอยู่ เราก็รักษาโรคซับซ้อนให้กับคนไข้”

เมื่อถามว่าความท้าทายในการทำการตลาดของบำรุงราษฎร์ ณ ปัจจุบันคืออะไร นภัสตอบว่า ความท้าทายในปัจจุบันคือ
การที่มีข่าวว่ามีกลุ่มทุนหลายกลุ่มสนใจจะลงทุนในธุรกิจเฮลท์แคร์ ก็เป็นเรื่องที่ทำให้บำรุงราษฎร์ต้องเตรียมตัวให้พร้อมโดยการรักษาคุณภาพการให้การรักษาและบริบาลต่อไป โดยยังมี VitalLife เป็นจุดขายที่แข็งแกร่งที่ผู้มาใหม่คงไม่สามารถเร่งสร้างได้ในเร็ววัน

ปัจจุบัน โรงพยาบาลฯ อยู่ระหว่างการเปลี่ยนถ่ายระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสู่การเป็นโรงพยาบาลดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังมีความก้าวหน้าของศาสตร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ อาทิ Precision Medicine ศาสตร์การแพทย์สำหรับรักษาโรคมะเร็งแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งช่วยทำให้ผู้แพทย์เชี่ยวชาญสามารถตัดสินใจกำหนดแผนและวิธีการรักษาที่เหมาะสมยิ่งขึ้นโดยพิจารณาความจำเป็นและสภาพของผู้ป่วยแต่ละรายเป็นหลัก CardioInsight เทคโนโลยีใหม่ในการวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และการนำ GE 3 Tesla MRI เครื่องสร้างภาพที่ใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรครุ่นล่าสุดที่ให้ภาพที่ละเอียดขึ้นและทำงานได้เงียบขึ้นด้วย

นภัสสรุปว่า “เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ ถ้าเราไม่พัฒนาตัวเอง สักวันหนึ่งคนจะก็ตามเราทัน”

แผนปี 2561

Chief Marketing Officer บำรุงราษฎร์ เล่าถึงแผนการตลาดในปี 2561 ว่า จะเน้นการสื่อสารและสร้างความผูกพันกับผู้เข้ามาใช้บริการ และการทำการตลาดเชิงความรู้ต่อไป พร้อมกับการมุ่งมั่นให้ได้รับการรับรอง (Accreditation) ด้านคุณภาพและมาตรฐานจากสถาบันที่ได้มาตรฐานทั้งในและต่างประเทศ เพราะถือว่าเป็นการตรวจสอบคุณภาพในการให้การรักษาที่ดีที่สุด นอกจากนี้การได้รับรางวัลจากองค์กรต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์บำรุงราษฎร์ได้เป็นอย่างดี

ในด้านการตลาดต่างประเทศยังคงมุ่งเน้นการออกไปโรดโชว์ การร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐบาลต่างๆ โดยการเผยแพร่เรื่องราวของบำรุงราษฎร์ โดยมองหาประเทศที่มีศักยภาพเพิ่มเติม และรักษาฐานตลาดเดิมที่มีอยู่ไว้ให้ได้

นภัสเปิดเผยว่า “เราต้องการเป็น First Destination ของผู้ป่วยต่างชาติ แต่เราไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปว่าจะไปประเทศไหน เพียงแต่เราต้องการรักษาสัดส่วนให้สมดุล ไม่ว่า แอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป ตะวันออกกลาง ให้มีสัดส่วนที่สมดุล มีการติดต่อสื่อสารกับเขาอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปมุ่งหนักที่ใดที่หนึ่ง เพราะเราต้องการเป็น Asia Medical Destination”

แม้การสื่อสารกับผู้บริโภคในตลาดเฮลท์แคร์มีข้อจำกัดกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่สามารถสื่อสารได้อย่างเปิดกว้าง แต่การทำการตลาดในรูปแบบของบำรุงราษฎร์ ผ่านจุดเด่น 7 ประการ เพื่อให้การบริบาลที่มีคุณภาพกับผู้ป่วย เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า การสื่อสารที่ดีครบถ้วนเมื่อรวมกับคุณภาพของสินค้าและบริการ สามารถสร้างการตลาดที่น่าสนใจให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์
ได้เสมอ

อมาธารา เวลเนส รีสอร์ท ทำข้อตกลงความร่วมมือกับ รอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์  และ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ คิดค้นโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการป้องกันสุขภาพและปรับสมดุลของร่างกายแบบองค์รวม (Holistic Vitality Program) เพื่อร่วมส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับไฮเอนด์ของเมืองไทยให้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวระดับหรูทั่วโลก ตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติในอนาคต

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปรารถนา ปุณณกิติเกษม ผู้อำนวยการ อมาทารา อะ เดสทิเนชั่น สปา เปิดเผยว่า “อมาธารา เวลเนส รีสอร์ท เป็นสปารีสอร์ทเพื่อสุขภาพระดับไฮเอนด์แห่งแรกและแห่งเดียวของภูเก็ตที่มุ่งมั่นตามแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและการปรับสมดุลของร่างกายโดยใช้วิทยาการสมัยใหม่ โปรแกรมการดูแลรักษาสุขภาพชั้นเลิศที่ออกแบบมาให้ครอบคลุมเป้าหมายที่หลากหลาย นับตั้งแต่การขับสารพิษ การควบคุมน้ำหนัก การชะลอวัยที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลในรูปแบบโปรแกรมเพื่อสุขภาพไปจนถึงโปรแกรมการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบ เพื่อให้ผู้ใช้บริการรู้สึกรื่นรมย์ ผ่อนคลายและสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ด้านสุขภาพที่ต้องการ ทำให้เรามุ่งมั่นคิดค้นโปรแกรมเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการแนวใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมพลานามัยและประสบการณ์การพักผ่อนระดับสูงของผู้ใช้บริการทุกท่าน”

“ซึ่งครั้งนี้ เราได้ร่วมกับศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในการพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการป้องกันสุขภาพและปรับสมดุลของร่างกายแบบองค์รวมเพื่อชีวิตที่ยืนยาว (Holistic Vitality Program) เพื่อมอบประสบการณ์การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมชั้นเลิศ จากการผสมผสานระหว่างการตรวจประเมินทางการแพทย์บนมาตรฐานระดับโลก ทั้งในด้านดัชนีการมีอายุยืนยาว การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ ผสานกับโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมและบริการห้องพักริมทะเลระดับหรู พร้อมการจัดอาหารตามหลักโภชนาการ อาหารเสริม วิตามิน และทรีทเมนท์เพื่อสุขภาพตามความต้องการเฉพาะรายของแขกแต่ละท่าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาว การชะลอวัย และการสร้างสมดุลแก่สุขภาพแบบองค์รวมทั้งทางกาย ใจ และความสงบสุขภายใน ภายใต้การทดสอบทางการแพทย์สมัยใหม่และคำแนะนำที่มีประโยชน์ รวมถึงการใช้ทรีทเมนท์เพื่อมอบความผ่อนคลายและสมดุล กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ และโภชนาการที่ถูกต้อง” ผศ. ดร. ปรารถนา กล่าวสรุป

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ แพทย์ทางด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย สูตินรีเวช แบรนด์แอมบาสเดอร์ ศูนย์สุขภาพไวทัลไลฟ์ และ ผู้อำนวยการศูนย์สูตินรีเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์จะใช้ประสบการณ์อันยาวนานในด้านการชะลอวัยและการส่งเสริมสุขภาพเพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาว รวมถึงการใช้ดัชนีการมีอายุยืนยาวของไวทัลไลฟ์ (Vitallife Vitality Index) ซึ่งจะพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพดี ได้แก่ฮอร์โมน ความดันโลหิต ความเครียด การดำเนินชีวิต สมรรถภาพร่างกาย องค์ประกอบของร่างกาย ภาวะการอักเสบ และแม้แต่อาหารที่เราบริโภค เพื่อมอบประโยชน์แก่ลูกค้าของอมาธารา ซึ่งดัชนีรูปแบบใหม่ล่าสุดนี้ได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อช่วยในการจัดโปรแกรมเพื่อความยืนยาวของชีวิตแบบองค์รวม ซึ่งเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ในด้านการทำนายสุขภาพ การป้องกัน การคืนความแข็งแรงและฟื้นฟูร่างกาย”

คุณอลิศรา คิดหมาย ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจท่องเที่ยว Royal Orchid Holidays เปิดเผยว่า การร่วมมือระหว่างอมาธารา เวลเนส รีสอร์ท และ รอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ “รอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ มีความพร้อมในการสนับสนุนโปรแกรมการดูแลสุขภาพของ อมาธารา ด้วยการโปรโมทและจำหน่ายโปรแกรมผ่านช่องทางการขายของรอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถจองบัตรโดยสาร และซื้อบริการเพื่อสุขภาพมาตรฐานระดับสากล บริการโรงแรมห้องพักชั้นนำ และสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังได้แบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว ตอบสนองนโยบายภาครัฐในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมระดับสากลของเอเชีย”

 

นอกจากสิทธิประโยชน์ในการซื้อแพ็คเกจโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการป้องกันสุขภาพและปรับสมดุลของร่างกายแบบองค์รวมเพื่อชีวิตที่ยืนยาว (Holistic Vitality Program) พร้อมกับบัตรโดยสารราคาพิเศษจากรอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ แล้วผู้บริโภคยังจะได้รับสิทธิพิเศษอีกมากมายจากการร่วมมือครั้งนี้ อาทิ รับไมล์สะสมสองเท่า การอัพเกรดห้องพัก (ตามความสามารถในการให้บริการ) ชุดของขวัญเพื่อสุขภาพหนึ่งชุดต่อหนึ่งห้องพัก ตลอดจนส่วนลดค่าอาหารและเครื่องดื่มและสปาทรีทเมนท์

จากซ้ายไปขวา: อีริค เวเบอร์ ผู้จัดการทั่วไป อมาธารา เวลเนส รีสอร์ทฟีบี บุญเกิด ผู้อำนวยการฝ่ายเวลเนสและพัฒนาธุรกิจ อมาธารา เวลเนส รีสอร์ทอลิศรา คิดหมาย ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ Royal Orchid Holidays, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปรารถนา ปุณณกิติเกษม ผู้อำนวยการ อมาทารา อะ เดสทิเนชั่น สปาผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ แพทย์ทางด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย สูตินรีเวช  แบรนด์แอมบาสเดอร์ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ผู้อำนวยการศูนย์สูตินรีเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนลนภัส เปาโรหิต ผู้บริหารฝ่ายการตลาดโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, วิโรจน์ ศิริโหราชัย ผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายบริหารรายได้และบริการพาณิชย์

สำหรับข้อตกลงความร่วมมือระหว่างอมาธารา เวลเนส รีสอร์ท และ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ครอบคลุมการทำงานหลายด้าน ซึ่งรวมถึงการพัฒนาโปรแกรมการดูแลรักษาสุขภาพสำหรับลูกค้า รวมถึงบริการแนะแนวเรื่องสุขภาพและผลิตวิตามินโดยแพทย์ของทางศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ยังทำให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมกิจกรรมการตลาด โดยเน้นการโปรโมทโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการป้องกันสุขภาพและปรับสมดุลของร่างกายแบบองค์รวมเพื่อชีวิตที่ยืนยาว (Holistic Vitality Program) ของอมาธารา ซึ่งให้ความสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่

กาย: ผ่านการตรวจสอบองค์ประกอบของร่างกายและการตรวจประเมินร่างกายเบื้องต้น และการให้บริการต่าง ๆ โดยรวมถึงกายภาพบำบัด สปาทรีทเมนท์ (ทรีทเมนท์สปาอมาธาราซิกเนเจอร์, ทรีทเมนท์ไทยฮัมมัม, ทรีทเมนท์การนวดบำบัดแผนไทย, Thai Yoga Massage, และ Thai Thermal Therapy) การนวดบำบัดแบบอายุรเวช (Abhyanga, Kati Vasti, Shirodara) ทรีทเมนท์ขับสารพิษและกระชับสัดส่วน การออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสมรรถภาพและความแข็งแรงของร่างกาย (TRX, มวยไทย, Pilates Reformer, Pilates on Mat, Kinesis, Core bag and Kettle Bell Training, การออกกำลังกายส่วนบุคคล, การยืดเส้นกล้ามเนื้อ, ว่ายน้ำ และ แอโรบิคในน้ำ)

ทรีทเมนท์ไทยฮัมมัม

ใจและอารมณ์: ผ่านกิจกรรมการบริหารความเครียด เช่น การบำบัดด้วยโยคะ การควบคุมลมหายใจด้วยโยคะ โยคะนิทราส่งเสริมการนอนหลับ การทำสมาธิ และการฝึกฝนแบบ Life coaching

โปรแกรมส่งเสริมพลังชีวิตภายในแบบองค์รวม: ผ่านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลทั้งในด้านทรีทเมนท์ กิจกรรม โภชนาการและอาหารเสริมเฉพาะรายตามผลการทดสอบดัชนีของโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการป้องกันสุขภาพและปรับสมดุลของร่างกายแบบองค์รวมเพื่อชีวิตที่ยืนยาว

ระยะเวลาการเข้าร่วมโปรแกรม 5 วัน 4 คืน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 105,900 บาท ในกรณีที่เข้าใช้บริการสองท่าน และ 117,400 บาท หากเข้าใช้บริการเพียงท่านเดียว ราคาดังกล่าวรวมบริหารห้องพักระดับห้าดาว การให้คำปรึกษาทางเวลเนสโดยผู้เชี่ยวชาญ อาหารสุขภาพสามมื้อต่อวันตามหลักโภชนาการ ทรีทเมนท์และกิจกรรมตามโปรแกรม โดยศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์จะให้บริการตรวจเลือด การให้คำปรึกษาโดยแพทย์และการจ่ายอาหารเสริมและวิตามินตามความต้องการเฉพาะราย เพื่อให้แขกแต่ละท่านสามารถมีชีวิตยืนยาวได้แบบองค์รวมต่อไปแม้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ

X

Right Click

No right click