พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค โชว์ผลงานคอนโดโครงการแรกในประเทศญี่ปุ่น “ยู คิโรโระ” ทํายอดขายได้แล้ว 1,800 ล้าน หรือกว่า 50% ของยูนิตขาย ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ โดยเฉพาะนักลงทุนชาวเอเชียและไทยเกินคาด กําหนดก่อสร้างแล้วเสร็จธันวาคมนี้ คาดปิดการขายได้ในปีหน้าโครงการอยู่ใจกลางฮอกไกโด บริเวณเดียวกับ “คิโรโระ” สกีรีสอร์ทที่สงบเงียบ   พร้อมศูนย์กลางกิจกรรมและที่พักชั้นนําระดับโลก

 

นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จํากัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่นว่า นอกเหนือจาก “ยู คิโรโระ” สกีรีสอร์ทที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในกลุ่มนักท่องเที่ยวแล้ว บริษัทฯ ยังได้มีการพัฒนาคอนโดมิเนียมโครงการแรก คือ “ยู คิโรโระ” เป็นคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น บนพื้นที่ 3.88 ไร่ มูลค่าโครงการ 3,880 ล้านบาท ความคืบหน้าโครงการขณะนี้มี ยอดขายแล้วกว่า 50% เป็นมูลค่า 1,800 ล้านบาท ถือเป็นยอดขายที่สูงเกินความคาดหมายสําหรับการพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศโครงการแรกของบริษัท โดยกําหนดก่อสร้างแล้วเสร็จและจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนธันวาคม 2562 คาดว่าจะสามารถปิดการขายโครงการได้ภายในปีหน้า

 

“โครงการตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับ “คิโรโระ”  สกีรีสอร์ทใจกลางฮอกไกโด จึงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์อย่างมาก โดยห้องชุดขนาด 1-2 ห้องนอน ช่วงราคา 24-40 ล้านบาท เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด นอกจากเพื่อพักอาศัย ยังเป็นการซื้อเพื่อลงทุน ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีเนื่องจากขณะนี้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นกําลังอยู่ในช่วงอ่อนตัว จึงมีกลุ่มนักลงทุนที่มองการณ์ไกลเข้ามาจับจองตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการก่อสร้าง โดยเฉพาะนักลงทุนจากเอเชียซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของ ยู คิโรโระ ทั้งจากฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน เนื่องจากฮอกไกโดเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมสําหรับลูกค้ากลุ่มนี้ เดินทางสะดวกด้วยเที่ยวบินตรงมากกว่า 30 เที่ยวบินจากหลากหลายประเทศในเอเชียที่ตรงมายังท่าอากาศยานนิวชิโตเสะ นอกจากนี้ยังมีกระแสตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าชาวไทย ซึ่งเป็นจํานวนครึ่งหนึ่งของลูกค้าทั้งหมด ถือว่าได้รับการตอบรับจากคนไทยเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้”

 

“ยู คิโรโระ” ยังได้รับรางวัลการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดแห่งปี 2561 ของญี่ปุ่น ประกอบด้วยห้องพักหรูขนาด 1-3 ห้องนอนและเพนท์เฮ้าส์ รวม 108 ห้อง สําหรับแบบ 1 ห้องนอน 62 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 24 ล้านบาท, ขนาด 2 ห้องนอน 84-127 ตร.ม. เริ่ม 35 ล้านบาท และ           ขนาด 3 ห้องนอน 127-140 ตร.ม. เริ่ม 50 ล้านบาท ทุกห้องตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที พร้อมบริการชั้นเลิศ อาทิ บริการรับฝากอุปกรณ์เล่นสกี, ออนเซนทั้งภายในอาคารและกลางแจ้ง, บริการคอนเซียร์จตลอด 24 ชม, ฟิตเนสและเลาจน์ และห้องอาหารที่ให้บริการตลอดทั้งวัน

 

“ยู คิโรโระ” มีจุดเด่นด้วยการเป็นที่พักอาศัยที่สามารถสกีเข้า-ออกได้จากด้านหน้าของอาคาร มีความเงียบสงบเป็นส่วนตัว สามารถมาพักผ่อนได้ตลอดทั้งปี ตั้งอยู่ภายใน “คิโรโระ” สกีรีสอร์ทบนภูเขาใจกลางของฮอกไกโด เงียบสงบ มีทิวทัศน์ที่คงความงดงามตามธรรมชาติ มีชั้นหิมะที่หนานุ่มและตกสะสมหนาถึง 20 เมตรต่อปีในช่วงฤดูหนาว พร้อมกิจกรรมสันทนาการที่ครบครันสําหรับช่วงฤดูร้อน คิโรโระจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กําลังเป็นที่นิยมในกลุ่มนักเดินทางทุกประเภทจากทวีปเอเชียอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังได้วางโรดแมปในการพัฒนา คิโรโระ รีสอร์ต อย่างเต็มศักยภาพ ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยมีมาสเตอร์  แพลนในการสร้างแหล่งท่องเที่ยวและที่พักอาศัยที่ครบวงจร โดยจะประกอบไปด้วย วิลล่าหรู ทาวน์โฮม และอพาร์ตเมนต์ ที่รายล้อมบริเวณทางเข้า และใกล้กับศูนย์สกีและคลับสกีชั้นนําแห่งแรกของฮอกไกโด ที่สามารถเดินทางจากที่พัก ไปร้านค้า ร้านอาหาร หน่วยบริการอื่น ๆ ด้วยการใช้สกี ในบริเวณรีสอร์ตยังมีร้านอาหารที่หลากหลาย ร้านค้าต่าง ๆ ศูนย์อุปกรณ์สําหรับกิจกรรมบนเขา และสามารถออกไปทํากิจกรรมกลางแจ้งอื่น ๆ หรือเดินทางไปสถานที่ท่องเทียวใกล้เคียงได้อย่างสะดวก

สสว. ติวเข้มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro Enterprises) บุกตลาดต่างประเทศ ผ่าน Born Global Business Model พร้อมมั่นใจภายใน 5 ปี แผนส่งเสริมการใช้ดิจิทัลดันยอดส่งออกผู้เข้าร่วมโครงการได้ไม่น้อยว่าร้อยละ 25

ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน Born Global Rising Star Demo Day ว่า กิจกรรมในวันนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง สสว. กับ ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นอีกแนวทางในการสรรหาช่องทางที่เหมาะสมในการนำผู้ประกอบการขนาดเล็กของไทย (Micro Enterprises) ออกสู่ตลาดต่างประเทศ ภายใต้ปัจจัยและทรัพยากรที่ผู้ประกอบการแต่ละรายมี โดยจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการรายเล็กในการก้าวสู่ตลาดต่างประเทศตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มประกอบธุรกิจ ด้วยเครื่องมือและการมีคู่มือ รวมถึงพี่เลี้ยงในการให้คำปรึกษาและค้นหาตลาดที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของตนเองตลอดระยะเวลา 5 วัน ที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะมีการติวเข้มผู้ประกอบการอย่างเข้มข้น โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือก จำนวน 20 ราย จะได้รับการฝึกวิธีสร้างธุรกิจที่มีนวัตกรรม เรียนรู้และปฏิบัติในการกำหนดแผนและทำความเข้าใจกลุ่มคนที่จะมาเป็นลูกค้าหรือผู้ใช้สินค้าหรือบริการของตน

ดร.วิมลกานต์ เผยอีกว่า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังได้ฝึกการมองปัญหาและการแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด และสามารถนำไปใช้ในการหา Customer pain point ซึ่งจะทำให้ออกแบบสร้างสินค้าหรือบริการที่ตรงความต้องการของลูกค้าได้ โดยผู้ประกอบการจะได้ลงมือปฏิบัติและคิดเองทั้งหมด โดยโครงการนี้ยังได้รับเกียรติจาก Mr.Hassan Moosa ผู้ก่อตั้ง UtooCentral จากประเทศอินโดนีเซีย กูรูเรื่องการสร้างแบรนด์ในตลาดโลก มาให้ความรู้ในการทำแบรนด์ให้ปัง ดังไปทั่วโลก และภายหลังเสร็จสิ้นการอบรม ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้ปฏิบัติจริงโดยจัดแสดงสินค้าและบริการของตนเอง (Business Show Case) พร้อมประกวดการนำเสนอไอเดียธุรกิจ (Pitching)   โดยไอเดียผู้ประกอบการรายใดน่าสนใจมากที่สุด จะมีรางวัล Born Global Rising Star Award มอบให้

รองผอ.สสว. กล่าวด้วยว่า นอกจาก Born Global Business Model จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่ม Micro Enterprises สามารถที่จะเปิดตลาดในต่างประเทศ ได้ตั้งแต่วันแรกที่เป็นผู้ประกอบการแล้ว สสว.ยังส่งเสริมการใช้ดิจิทัลในผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งมีจำนวนมากกว่า 80 % ของผู้ประการทั้งหมดโดยถือเป็นสัดส่วนหลักในภาพรวมของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและรายย่อยของไทย ทั้งนี้ สสว.มั่นใจว่าหากผู้ประกอบการดำเนินการตามแผนกลยุทธ์และรูปแบบที่เตรียมไว้ จะสามารถเป็นผู้ส่งออกได้ตั้งแต่วันแรกหรือปีแรกที่เริ่มก่อตั้งธุรกิจเลยทีเดียว โดยผู้ประกอบการแบบ Born Global Firm หมายถึง ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย ที่เข้าสู่ตลาดต่างประเทศภายในระยะเวลา 2 – 5 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจ และในขณะเดียวกันต้องมียอดส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 25

“ตลอดระยะเวลาการอบรมแบบเข้มข้นตลอด 5 วัน สสว. เชื่อว่า สิ่งผู้ประกอบการจะได้รับคือ โอกาสในการเสริมสร้างทักษะและการติดอาวุธทางความคิดให้แก่ตนเองในเรื่องการค้าและการต่างประเทศแบบเจาะลึก รวมถึงการสร้างแผนพัฒนาธุรกิจของตนเอง การสร้างกลยุทธ์ต่างๆ รวมถึงการสร้างแบรนด์ตนเองในตลาดต่างประเทศเพื่อการบุกตลาดสากล ให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของ สสว. เพื่อผู้ประกอบการ”  ดร.วิมลกานต์ กล่าวในที่สุด

ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จัดงาน KMUTT Competitiveness Forum 2019” ขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ อาคาร Knowledge Exchange for Innovation Center (KX) ถ.กรุงธนบุรี

โดย ดร.วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ หัวหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์ฯ ได้แนะนำภารกิจของศูนย์ที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านการสร้างความสามารถทางการแข่งขันต่างๆ และสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและบริการวิชาการกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนให้คำปรึกษาทางด้านการสร้างความสามารถทางการแข่งขันให้กับองค์กร อีกทั้งพัฒนาบุคลากรของภาครัฐและภาคเอกชนให้สามารถสร้างและขับเคลื่อนปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถทางการแข่งขันองค์กรได้

ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณชาญศิลป์ ตรีนุชกร  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยด้วยนวัตกรรม” เพื่อเป็นการเผยแพร่แนวคิดและแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการสร้างความสามารถทางการแข่งขันองค์กรด้วยนวัตกรรมสู่สาธารณะ อันจะส่งผลต่อการเพิ่มขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมและประเทศต่อไปในอนาคต 

ปิดฉากอย่างงดงามสมเป็นงานใหญ่แห่งปี Smart SME EXPO 2019 ที่บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด สานแนวร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน เหล่าธนาคาร และหน่วยงาน พันธมิตร จัดขึ้นเพื่อร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในโลกยุคดิจิทัล ภายใต้แนวคิด "ที่เดียวจบพบทางรวย"  โดยในปีนี้ได้รับความสนใจจากผู้เข้าเยี่ยมชมงานเกินความคาดหมาย รวมยอดคนเข้างาน 110,250 คน หนุนให้ยอดจองสินเชื่อในงานทะลุ  2,051.79 ล้านบาท   สร้างเงินสะพัดในงานได้มากถึง  2,685 .ล้านบาท

คุณพิสิษฐ์  ประกิจวรพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า "การจัดงาน Smart SME EXPO 2019 ในปีนี้ได้รับการตอบรับจากผู้เข้าชมงานอย่างล้นหลาม โดยการจัดงานทั้ง 4 วันมียอดคนเข้าร่วมงานทั้งสิ้น 110,250 คน เรียกว่าเกินความคาดหมาย โดยส่วนใหญ่ตั้งใจเข้ามาเลือกซื้อ

แฟรนไชส์ในงาน ทำให้ยอดขายแฟรนไชส์สร้างมูลค่าถึง 127,389,844 บาท แฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมคือ แฟรนไชส์คลังน้ำมันออสซี่ออยล์  ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว และ คัฟฟ่า คอฟฟี่เมคเกอร์  นอกจากนี้ยอดขอสินเชื่อในงานก็ทำยอดทุบสถิติเช่นกัน โดยยอดรวมขอสินเชื่อในงานสูงถึง 2,051,790,002 บาท  ซึ่งปีนี้ธนชาตครองแชมป์มียอดขอสินเชื่อสูงถึง 642 ล้านบาท, ออมสิน 466.48 ล้านบาท,  SME D Bank 356.91 ล้านบาท, กสิกรไทย 209.60 ล้านบาท, Exim Bank 161.20 ล้านบาท, ทีเอ็มบี 60 ล้านบาท, ธนาคารกรุงเทพ 53 ล้านบาท, ธ.ก.ส. 42.60 ล้านบาท ส่วน บสย.มียอดค้ำสินเชื่อ 203.70 ล้านบาท และ.พิเศษในงานนี้ ธอส. ยังได้ยอดจองสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำสูงถึง 3,096.27 ล้านบาทในงานอีกด้วย

สำหรับการเจรจาจับคู่ธุรกิจภายในงานได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการที่มีการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาคุณภาพสินค้าเพื่อเข้าสู่ตลาดใหญ่ในประเทศและตลาด CLMV ซึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมในการเจรจาจับคู่ธุรกิจทั้งในประเทศและ CLMV เป็นกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม โดยยอดเจรจาจับคู่ธุรกิจภายในงานมูลค่ารวมอยู่ที่ 350 ล้านบาท ส่วนการสัมมนาให้ความรู้และอบรมอาชีพภายในงานมีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 1,245 คน โดยหัวข้อที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือความรู้ในเรื่องการใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจ ซึ่งสอดรับกับการทรานฟอร์มธุรกิจให้ทันโลกยุค 4.0 ในปัจจุบัน

จากภาพรวมการจัดงาน Smart SME EXPO 2019 สะท้อนให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะชะลอตัว  แต่คนส่วนใหญ่กลับตื่นตัวและให้ความสนใจในเรื่องลงทุนทำธุรกิจอย่างคึกคัก ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศกลับมามีชีวิตชีวา  เป็นไปตามความมุ่งหมายของผู้จัดงานที่ต้องการให้ Smart SME EXPO 2019 เป็นเวทีกลางในการเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ในการสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ” คุณพิสิษฐ์ทิ้งท้าย

นางสาวรวิสรา เลิศปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด ร่วมแสดงความยินดีกับ นายวิเชียร อัศววรฤทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีโซไซตี้ จำกัด ผู้รับสิทธิ์จำหน่ายและทำการตลาดแบรนด์ Yi Fang (อี้ ฟาง) เครื่องดื่มชาผลไม้อันดับหนึ่งของประเทศไต้หวัน ในโอกาสที่ Yi Fang เตรียมเปิดสาขาใหม่ที่ โครงการ I’m Chinatown ศูนย์การค้าที่ใหญ่สุดของย่านเยาวราช

Yi Fang เป็นแบรนด์เครื่องดื่มชาจากประเทศไต้หวันที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุด สามารถขยายสาขาไปทั่วโลกได้ กว่า 1,400 แห่งภายในเวลาเพียง 3 ปี ทั้งในสหรัฐอเมริกา แคนาดา จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเก๊า ออสเตรเลีย รวมถึงแถบอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ทั้งยังกำลังจะเปิดสาขาในตลาดใหม่อื่นๆ อาทิ นิวซีแลนด์ มาเลเซีย กัมพูชา เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส และไทย โดย Yi Fang ได้รับความนิยมจากนักดื่มชาผลไม้จากทั่วโลก เนื่องจากใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ จึงให้ทั้งรสชาติที่หอมหวานจากผลไม้และความสดชื่น

สำหรับ Yi Fang ที่กำลังจะเปิดตัวที่โครงการ I’m Chinatown จะเป็นสาขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย โดยนอกจากจะมีสินค้าเครื่องดื่มครบทุกเมนู ทั้งชาผลไม้ ชานม ชาไข่มุกแล้ว ยังมีของหวานนำเข้าจากประเทศไต้หวันมาจำหน่าย เพื่อเอาใจนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงผู้อาศัยในย่านไชน่าทาวน์และนักดื่มชาชาวไทย

เตรียมพบกับ Yi Fang และโปรโมชั่นสุดพิเศษในช่วงเปิดสาขาที่ชั้น G โครงการ I'm Chinatown ได้เร็วๆ นี้

X

Right Click

No right click