กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) และ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายธุรกิจ ความร่วมมือด้านทรัพยากรบุคคล และสร้างโอกาสการเรียนรู้ให้กับนักศึกษา โดยข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างกรุงศรีและพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ และมองหาโอกาสในการขยายความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกันในอนาคต

นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งสององค์กรในครั้งนี้จะใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของทั้งกรุงศรีและมหาวิทยาลัยกรุงเทพในการส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริงในโลกธุรกิจ เราทั้งสองจะร่วมกันพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ทั้งในเรื่องของนวัตกรรม การเติบโต และการเตรียมความพร้อมให้กับผู้นำธุรกิจรุ่นต่อไป”

ผศ.สรรเสริญ มิลินทสูต รองอธิการบดีอาวุโสด้านวิชาการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงศรี ธนาคารที่มีความสำเร็จมายาวนาน และมีความเชี่ยวชาญทางด้านการเงิน ที่จะนำความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญมามอบให้กับนักศึกษาเพื่อให้ได้เรียนรู้เชิงปฏิบัติการที่ไม่สามารถหาได้จากบทเรียน”

“นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้ยังเสริมสร้างความพร้อมของนักศึกษาของเรา ให้พร้อมตอบรับกับโลกธุรกิจจริงอีกด้วย” ผศ.สรรเสริญ กล่าวเพิ่มเติม

ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวนี้ กรุงศรีและมหาวิทยาลัยกรุงเทพจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายผ่านกิจกรรมการเรียนการสอน และการอบรมต่าง ๆ พร้อมทั้งมองหาโอกาสในการเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างกันในอนาคต ที่สำคัญยังส่งเสริมให้นักศึกษาที่มีศักยภาพได้มีโอกาสเรียนรู้และมีประสบการณ์จริงในโลกธุรกิจ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนออกสู่การทำงานจริงในอนาคต ขณะที่นักศึกษาที่มีศักยภาพและความสนใจสามารถเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเป็นพนักงานของกรุงศรีได้

ดร.วศิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านทรัพยากรบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กว่าวว่า “การผสานความเชี่ยวชาญของเราในครั้งนี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา และยังเป็นการช่วยยกระดับทักษะในโลกธุรกิจสมัยใหม่ นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้ยังเปิดโอกาสให้กับนักศึกษาได้มีทางเลือกในการก้าวสู่โลกการทำงานจริงทั้งในประเทศและต่างประเทศ สอดคล้องกับการ ขยายธุรกิจของกรุงศรีในภูมิภาคอาเซียน”

ผศ.ดร. ดวงธิดา นันทาภิรัตน์ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า “ความร่วมมือนี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยกรุงเทพในการจัดการศึกษาที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและการสร้างความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างวงการวิชาการและธุรกิจ เราตั้งตารอที่จะร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับกรุงศรีในการสร้างทางใหม่สำหรับการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโต”

AXE (แอ๊กซ์) สเปรย์น้ำหอมระงับกลิ่นกายชั้นนำระดับโลก โดยบริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ร่วมสร้างประสบการณ์แห่งความหอมระดับพรีเมียม ในงานเปิดตัว ใหม่! AXE Fine Fragrance Collection “หอมพรีเมียมเกินขั้น ติดทนนานเกินคาด” ที่จะมาเปลี่ยนทุก Experience ให้กลายเป็น AXEperience กับคอลเลคชันความหอมที่ร่วมคิดค้นโดยบริษัทน้ำหอมชื่อดังระดับโลก พร้อมร่วมกิจกรรมเสริมลุคเท่สุดคูล และร่วมพูดคุยเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์และกลิ่นหอมชวนหลงใหล โดย ไปร์ท - บรม วิชญะเดชา จากแบรนด์ BOROM และนักแสดงหนุ่มสุดฮอต มาร์ช - จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล พร้อมรับชมคลิปวิดีโอสุดเอ็กซ์คลูซีฟครั้งแรกจาก “มาร์ค ต้วน” (Mark Tuan) AXE South-East Asia Presenter ที่ส่งตรงถึงแฟน ๆ ชาวไทย โดยมี คุณเชอรีน เฮง ผู้จัดการตลาดอาวุโสผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ให้การต้อนรับ ที่ The Glass House ปาร์คนายเลิศ

คุณวันวิสาข์ สุทธิบงกช ผู้จัดการตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ประเทศไทย บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า “AXE Fine Fragrance Collection เป็นผลิตภัณฑ์สเปรย์น้ำหอมระงับกลิ่นกายที่ได้รับการรังสรรค์จากนักออกแบบน้ำหอมชั้นนำระดับโลก มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “หอมพรีเมียมเกินขั้น ติดทนนานเกินคาด”  ซึ่งในครั้งนี้ AXE เพิ่มเงินลงทุนในส่วนของวัตถุดิบโดยการใช้น้ำหอมคุณภาพระดับ Fine Fragrance ที่การันตีด้วยรางวัล 2023 Grooming Awards จาก Esquire และ Best Cologne of 2023 จากนิตยสาร Men’s Health ในประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ผู้บริโภคได้ใช้น้ำหอมระดับพรีเมียม ติดทนนาน สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่วงการสเปรย์น้ำหอมระงับกลิ่นกายสำหรับผู้ชาย มาพร้อมกับ 3 กลิ่นแนะนำ กลิ่น Blue Lavender หอมละมุน คลาสซี่ จากลาเวนเดอร์ มิ้นท์ และแอมเบอร์ เหมาะกับผู้ชายลุคเท่ สุดคูล มีความมั่นใจในตัวเอง กลิ่น Emerald Sage หอมคลีน มีสไตล์ จากเซจ ซีดาร์ และพัชชูลี่ เหมาะกับผู้ชายสายเนี๊ยบ สุดมินิมอล มีไลฟ์สไตล์เรียบง่าย แต่มีระดับ และกลิ่น Aqua Bergamot หอมคูล รีเฟรชชิ่ง จากเบอกาม็อท เซจ และจูนิเปอร์ เหมาะกับผู้ชายสายแอดเวนเจอร์ สุดแอคทีฟ ชื่นชอบในทำกิจกรรมทั้ง outdoor และ indoor นอกจากนี้ ยังมีประสิทธิภาพในการปกป้องกลิ่นกายนานถึง 72 ชั่วโมง มาพร้อม Zinc Complex Technology ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหนึ่งของกลิ่นกาย อีกทั้งน้ำหอมยังติดทนนานมากยิ่งขึ้น ช่วยให้รู้สึกหอมพรีเมียม สดชื่นมั่นใจได้ยาวนาน”

“และในปีนี้ AXE คว้าตัวศิลปินหนุ่มสุดฮอต “มาร์ค ต้วน” (Mark Tuan) มาร่วมเป็น AXE South-East Asia Presenter คนใหม่ล่าสุด ซึ่ง มาร์ค ต้วน มีคาแรกเตอร์และสไตล์ที่โดดเด่นในเรื่องแฟชั่นไลฟ์สไตล์การแต่งตัว และการดูแลตัวเอง ซึ่งตรงกับคาแรกเตอร์ของแบรนด์ AXE อย่างลงตัว และที่สำคัญ มาร์ค ต้วน ยังสามารถนำเสนอภาพลักษณ์ความพรีเมียมของ AXE Fine Fragrance Collection ผ่านตัวตนของเขาที่มีความมั่นใจ และคาริสม่าที่เกินต้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ AXE LOOK โดยโค้ชวี จาก The Image Signature Academy ที่จะมาช่วยให้ทุกท่านเสริมลุคสุดคูล ด้วยการหาสี หาโทนที่เข้ากับคุณ ต่อด้วยกิจกรรม AXE Fragrance test ที่ทุกท่านจะได้ทดลองผลิตภัณฑ์ AXE Fine Fragrance Collection ดมกลิ่นที่ใช่ หาสไตล์ที่ชอบ โดยมี AXE MEN คอยให้คำแนะนำตลอดกิจกรรม และร่วมเวิร์กชอป “Discover your fragrance” โดย Patchouli Scent Design ที่จะให้ทุกคนได้มา Find your scent – blend it yourself เป็นการทำ Diffuser workshop โดยน้ำหอมที่เรานำมาใช้ในการทำเวิร์กชอป เป็นน้ำหอมกลิ่นใหม่ที่มีโน้ตน้ำหอมในแต่ละกลิ่นของ AXE Fine Fragrance Collection ปิดท้ายด้วยการแลกเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เกี่ยวกับกลิ่น โดย ไปร์ท - บรม วิชญะเดชา จากแบรนด์ BOROM และนักแสดงหนุ่มสุดฮอต มาร์ช - จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล

ร่วมสัมผัสประสบการณ์แห่งความหอมระดับพรีเมียมกับ AXE Fine Fragrance Collection ได้ที่ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven Tops Daily และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ ติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/AXEThailand 

โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง จับมือ M Mind Clinic By Krumind  เปิดให้บริการ Jin Wellness by THG สาขาสยามพารากอน พร้อมมอบประสบการ์ณการดูแลในด้านเวชศาตร์ชะลอวัย ฟื้นฟูให้มีสุขภาพชีวิตที่ยืนยาว และความงามที่ยั่งยืน  โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอก ณ ชั้น 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

Jin Wellness by THG คลินิกด้านความงามแห่งใหม่ เปิดให้บริการที่บริเวณชั้น 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยความร่วมมือ ระหว่าง โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ร่วมกับ M Mind Clinic ดำเนินงาน บนพื้นที่ 347 ตารางเมตร ให้บริการครอบคลุมในด้านเวชศาตร์ชะลอวัย ฟื้นฟูให้มีสุขภาพชีวิตที่ยืนยาว และความงามที่ยั่งยืน โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอก และบริการด้านความงามทั่วไป โดยทีมแพทย์จากประเทศไทยเเละประเทศเกาหลี

ดร.ภูวษา วราสิทธิกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M Mind Clinic เผยว่า การร่วมมือกับ โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง นับเป็นก้าวที่สำคัญ สำหรับการร่วมมือสร้างสรรค์ และพัฒนาอุตสาหกรรม เกี่ยวกับความงาม “ด้วยประสบการณ์คุณภาพการบริการ และความเป็นเลิศทางการแพทย์ของ M Mind Clinic by Krumind และโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง จึงมั่นใจได้ว่าการร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้จะยกระดับการดูแลด้านเวชศาสตร์ชลอวัยและความงาม ของประเทศไทยให้มีชื่อเสียงไปในระดับนานาชาติ”

โดยที่มาของชื่อ Jin Wellness By THG  คำว่า Jin หรือ จิณณ์ แปลว่า ประพฤติดี เพราะอยากให้ทุกคนที่เข้ามารับบริการ ได้รับแต่สิ่งดีๆกลับไป และเกิดจากความเชื่อที่ว่า การมีสุขภาพที่ดีต้องเริ่มต้นจากภายในสู่ภายนอก ด้วยการใช้หลักความสมดุลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เราจึงนำศาสตร์ธรรมชาติบำบัด ร่วมกับนวัตกรรมการแพทย์แผนปัจจุบัน ผสมผสานกับแพทย์ทางเลือก สร้างสรรค์โปรแกรมดูแลและส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกันจากโรคภัยต่างๆ มุ่งเน้นดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน อีกทั้งยังช่วยวางแผนดูแลจากโรคภัย เพราะเราต้องการให้ร่างกายของคุณแข็งแรงสมบูรณ์ และเพื่อความงามที่ยั่งยืน

เยี่ยมชม ‘OCC’ โครงการอาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ชื่อดังของบริษัทฯ

พร้อมใจเปิดโครงการพัฒนาระบบแบ่งปันฐานข้อมูลเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย

ตามที่ได้มีรายงานข่าวเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 จากสำนักข่าวต่างๆ ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย เกี่ยวกับข่าว “บริษัท โตชิบา คอร์ปอเรชัน จำกัด เตรียมปรับโครงสร้าง โดยมีแผนปรับลดจำนวนพนักงาน 5,000 คน หรือประมาณ 7% ของพนักงานในญี่ปุ่น” นี่เป็นอีกครั้งที่บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ขอเรียนชี้แจงว่า การปรับโครงสร้างดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับการดำเนินธุรกิจของบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด แต่อย่างใด

ในปี 2567 นี้ บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ภายใต้แบรนด์ “โตชิบา” ดำเนินธุรกิจมาครบ 55 ปี ในประเทศไทย  ยังคงยืนหยัดที่จะจำหน่ายและให้บริการผลิตภัณฑ์โตชิบาตามปกติ และไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อพนักงาน ตัวแทนจำหน่าย และลูกค้า

บริษัทฯ มีแผนการพัฒนาและขยายไลน์สินค้าเพิ่มเติม รวมถึงจัดทำกิจกรรมการตลาด และส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายเติบโตมาตลอด  นอกจากนี้ บริษัทมุ่งมั่นพัฒนางานบริการ ขยายศูนย์บริการ และทำกิจกรรมตอบแทนสังคม เพื่อนำสิ่งที่ดีสู่ชีวิตคนไทยเสมอมา

เพื่อเปิดประสบการณ์สู่ความก้าวหน้าและต่อยอดความสำเร็จ ณ กรุงไทเป ไต้หวัน

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (แถวหลัง คนที่ 3 จากซ้าย) จัดกิจกรรมสืบสานประเพณีไทย “มนต์เสน่ห์ สงกรานต์สาดสุข” เสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ไทย ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย อาทิ สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้บริหาร สืบสานตำนานขนมไทย ก่อกองทรายรับปีใหม่ เพื่อเสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ไทย ณ สำนักงานใหญ่ อาคาร จี ทาวเวอร์ แกรนด์ รามา9 โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นผ่านความมุ่งมั่นและความตั้งใจอย่างยิ่ง ในการสร้างให้ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เป็นสถานที่ทำงาน ที่สนับสนุนให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่พร้อมทั้งเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

เอปสัน ประเทศไทย คว้า 2 รางวัลใหญ่ ตอกย้ำองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจโดดเด่นเป็นที่ยอมรับ ทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใช้งานและคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงเป็นแบรนด์พรินเตอร์ที่ครองใจผู้บริโภคเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด รับรางวัลสุดยอดองค์กรธุรกิจไทย Thailand Top Company Award 2024 ประเภทรางวัลความเป็นเลิศ Best Innovative Technology Award จากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ที่ให้เกียรติมอบรางวัล สำหรับรางวัลดังกล่าวใช้หลักเกณฑ์พิจารณาจากองค์กรที่ดำเนินงานธุรกิจที่มีความโดดเด่นและรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

รางวัล Thailand Top Company Award 2024 จัดขึ้นโดย นิตยสาร BUSINESS+ โดย บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อมอบให้แก่องค์กรไทยที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของประเทศ มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม และมีความเป็นเลิศในแต่ละด้าน โดยครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด The Future of AI – Enabled Enterprises : ก้าวสู่อนาคตขององค์กรด้วยปัญญาประดิษฐ์

นอกจากนี้พรินเตอร์ เอปสัน ยังได้รับรางวัล 2024 Thailand's Most Admired Brand ในฐานะแบรนด์พรินเตอร์อันดับหนึ่งในใจของผู้บริโภคต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 รางวัลดังกล่าว จัดโดยนิตยสารแบรนด์เอจ ร่วมกับคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 25 ซึ่งเป็นการสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภคจากทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยกลุ่มตัวอย่างต้องเป็นผู้ตัดสินใจซื้อสินค้า และเป็นผู้บริโภคสินค้าหรือบริการนั้นๆ เพื่อให้ได้คำตอบที่สะท้อนความคิดผู้บริโภคอย่างแท้จริง รางวัลนี้สามารถสะท้อนถึงการรับรู้ของแบรนด์ ความเชื่อมั่นและความนิยมของแบรนด์ในสายตาของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

นายยรรยง กล่าวว่า “เอปสันมุ่งมั่นสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่เปี่ยมประสิทธิภาพ ขนาดกะทัดรัด และแม่นยำ ที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากร เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของทุกคน หรือ “Engineered for Good ” ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความยั่งยืนและมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง อาทิ Heat-Free เทคโนโลยีการพิมพ์ที่ไม่ใช้ความร้อนลิขสิทธิ์เฉพาะของเอปสัน  ซึ่งเมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์แล้ว จะประหยัดพลังงานได้มากกว่าถึง 85% ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 85% พร้อมประสิทธิภาพการพิมพ์ที่ดี คุ้มค่าการลงทุน สำหรับทั้งสองรางวัลที่เอปสันได้รับ นับเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจของทีมงานเอปสันทุกคน รวมถึงเป็นเครื่องหมายสะท้อนว่าเอปสันเป็นองค์กรที่พร้อมส่งต่อนวัตกรรมบนแกนหลักของความยั่งยืน ที่มีคุณค่าแตกต่างทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนแนวทางการพัฒนาความยั่งยืนในองค์กรของลูกค้า ผ่านเทคโนโลยีของเอปสัน”

การปลดล็อกพืชกระท่อมเปิดโอกาสให้นักวิจัยได้ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรตัวนี้มาแต่โบราณ อ.เภสัชฯ จุฬาฯ เผยปัจจุบันมีการวิจัยใช้สารในใบกระท่อมทำยาแก้ปวด ลดการอักเสบ และอาจใช้ในการถอนยาเสพติดร้ายแรงอื่น ๆ แทนยาเคมี

“ใบกระท่อม” พืชสมุนไพรท้องถิ่นกลับมาเป็นที่รู้จักในสังคมไทยอีกครั้ง หลังจากถูกควบคุมและขึ้นบัญชีเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 มานานกว่าครึ่งศตวรรษ 

เวลานี้ ตามริมถนน บนฟุทบาท ตลาดสด เราจะเห็นรถเร่ แผงลอย วางจำหน่ายใบกระท่อมเขียวสดกันอย่างเปิดเผย พ่อค้าแม่ขายบางรายก็ทำน้ำต้มใบกระท่อมแบบพร้อมดื่ม บ้างก็ขายกล้าพืชกระท่อมเพื่อให้ผู้สนใจนำไปปลูกที่บ้านหรือในแปลงเกษตร

ใบกระท่อมได้รับความนิยมสูงในกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ใช้ใบสดเป็นของเคี้ยวชูกำลัง บางคนก็ใช้ใบกระท่อมโดยอ้างสรรพคุณทางยาเพื่อลดน้ำตาลในเลือด แต่หลายคนก็ยังกังขาใช้กระท่อมแล้วจะติดไหม มีอาการอย่างไร” “หากมีสรรพคุณทางยา มีประโยชน์อย่างไร แล้วจะใช้อย่างไร มีโทษไหม”

ในบทความนี้ รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.ธงชัย สุขเศวต อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชวิทยาและสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ทำวิจัยเรื่อง กระท่อม” จะมาไขข้อสงสัยดังกล่าว

กระท่อมเป็นยาที่คนในสมัยโบราณใช้กันมานานมาก เรียกได้ว่าเป็นยาสามัญที่มีอยู่แทบทุกบ้านเลยก็ว่าได้ ใช้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนบ้าน ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเข้าสังคมในงานสำคัญ ๆ ต่าง และใช้เป็นยาชูกำลังในการทำงานที่ต้องใช้แรง”

อาจารย์ธงชัยกล่าวว่าที่ผ่านมา การศึกษาวิจัยพืชกระท่อมทางการแพทย์และเภสัชกรรมทำได้ยาก จนเมื่อมีการปลดล็อกพืชกระท่อม ก็เปิดโอกาสให้เกิดการศึกษาวิจัยทางการแพทย์และยามากมาย เช่นที่อาจารย์ธงชัยศึกษาวิจัยพืชกระท่อมเพื่อทำสารสกัดยาสมุนไพรมาตรฐานเป็นยาแก้ปวดที่มาจากธรรมชาติ รวมถึงเป็นยาช่วยเลิกสารเสพติดประเภทยาบ้าและยามอร์ฟีน 

พืชกระท่อมมีศักยภาพที่จะพัฒนามาใช้เป็นยาทั้งทางการแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบัน จึงควรมีการส่งเสริมการศึกษาวิจัยเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ต่อไป” 

พืชกระท่อม จากยาสามัญประจำถิ่นสู่ยาเสพติด

กระท่อมเป็นพืชพื้นถิ่นที่พบกระจายทั่วประเทศไทย พบหนาแน่นในพื้นที่ภาคใต้ ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น ด้วยความที่เป็นพืชพื้นถิ่นเช่นนี้ คนไทยนับตั้งแต่อดีตจึงรู้จักและสั่งสมภูมิปัญญาในการใช้ประโยชน์จากพืชชนิดนี้ ทั้งในแง่การรักษาโรค ลด-คลายอาการปวดเมื่อย เพิ่มกำลังในการทำงาน เป็นต้น 

จนเมื่อปี 2486 เริ่มมีการออกกฎหมายควบคุมพืชกระท่อมภายใต้พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2486 อาจารย์ธงชัยเล่ามูลเหตุที่นำไปสู่การควบคุมพืชกระท่อมในเวลานั้นว่า “รัฐผูกขาดภาษีฝิ่น เมื่อฝิ่นราคาแพง ผู้คนก็หันมาสูบใบกระท่อมแทน ทำให้รัฐเสียรายได้จากภาษีฝิ่น จึงออกกฎหมายเพื่อควบคุมการปลูกและการใช้พืชกระท่อม” 

มาในปี 2522 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ขึ้นบัญชีพืชพื้นถิ่นหลายชนิด เช่น กระท่อม กัญชา เห็ดขี้ควาย และฝิ่น ให้เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยรัฐให้เหตุผลว่าพืชกระท่อมอาจทำให้เกิดการเสพติดและเกิดอาการถอนยาได้เมื่อหยุดเสพ ตั้งแต่นั้นมา ใบกระท่อมก็หายไปจากพื้นที่ชีวิตของผู้คน การศึกษาวิจัยพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หรือการศึกษาวิจัยในมนุษย์ก็ไม่สามารถทำได้

จนปี 2562 เริ่มมีการทบทวน แก้ไขและออกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 ปลดล็อกพืชกระท่อมและกัญชาให้สามารถใช้ในการศึกษาวิจัยในมนุษย์หรือนำมาใช้ทางการแพทย์ได้ ต่อมา พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2564 ก็ได้ให้พืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 โดยสมบูรณ์ และล่าสุด พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2565 เปิดเสรีให้ปลูก ครอบครอง และขายพืชกระท่อมได้ ทั้งนี้ การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ยา สมุนไพร เครื่องสำอาง ให้ขออนุญาตตามกฎหมายเฉพาะของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ส่วนการนำเข้าและส่งออกใบกระท่อมต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.)

กระท่อมในวิถีภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น

ในอดีต พืชกระท่อมมีบทบาทในวิถีชีวิตผู้คน ทั้งในมิติสังคม วัฒนธรรมและการแพทย์ ดังนี้ 

  • กระท่อมในพื้นที่ทางสังคม งานประเพณี วัฒนธรรม งานบวช งานแต่งงาน งานศพ จะมีการใช้ใบกระท่อมสด ร่วมกับหมาก พลู น้ำชา ยาเส้น เพื่อเป็นการต้อนรับแขกผู้มาเยือนบ้าน หรือเคี้ยวใบกระท่อมสด ร่วมกับน้ำชา กาแฟ ในร้านน้ำชา ร้านกาแฟ เพื่อเป็นการสังสรรค์และเข้าสังคม 

นำใบกระท่อมสด ร่วมกับ หมาก พลู น้ำชา กาแฟ ยาเส้น มาใช้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนบ้าน

นอกจากนี้ ในงานของกลุ่มคนที่เล่นวัวชน ไก่ชน หรือกลุ่มนักแสดงพื้นบ้านในภาคใต้ เช่น หนังตะลุง ก็นิยมเคี้ยวใบกระท่อมเพื่อไม่ให้ง่วงนอน และเกิดอารมณ์ร่วมในการบรรเลงเพลงและการแสดงต่าง ๆ 

  • กระท่อมในฐานะยาชูกำลัง กลุ่มผู้ใช้แรงงาน อาทิ เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนยาง ชาวประมง กรรมกร คนขับรถขนส่ง รถโดยสาร นิยมเคี้ยวใบกระท่อมสดก่อนจะออกไปทำงาน โดยเชื่อว่าจะทำให้มีกำลังและความอดทนต่อการทำงานยิ่งขึ้น
  • กระท่อมเป็นยา ในทางการแพทย์พื้นบ้าน หมอพื้นบ้านนิยมใช้กระท่อมทำยาสมุนไพร ทั้งในรูปยาเดี่ยว หรือเป็นตำรับยาพื้นบ้าน เพื่อรักษาโรคและอาการต่าง ๆ อาทิ ไข้หวัด ท้องเสีย บิด ปวดเมื่อย แก้ไอ ลดความดันโลหิต รักษาโรคเบาหวาน โรคกระเพาะอาหาร เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้นอนหลับง่าย และใช้ทดแทนหรือบำบัดอาการถอนยาจากการเสพติด เช่น ฝิ่น เฮโรอีน 
  • ในส่วนของแพทย์แผนไทย พบตำรับยาแผนไทยที่มีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบในคัมภีร์แพทย์แผนโบราณของขุนโสภิตบรรณลักษณ์ เล่ม 1-3 ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ตำราเวชศึกษาของพระยาพิศณุประสาทเวช และจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ซึ่งได้แก่ ตำรับยาประสะใบกระท่อม ยาหนุมานจองถนนปิดมหาสมุทร ยาแก้บิดลงเป็นเลือด ยาแก้บิดหัวลูก ยาประสะกานแดง เป็นต้น โดยมีสรรพคุณสำคัญในการรักษาโรคบิด ท้องร่วง ท้องเสีย แก้ปวดมวนท้อง ปวดเบ่ง ท้องเฟ้อ ปวดเมื่อยตามร่างกาย เป็นต้น

จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

“ไมทราไจนีน” สารแก้ปวดและลดอักเสบในใบกระท่อม

 ใบของพืชกระท่อมเป็นส่วนที่มักใช้เป็นยาสมุนไพร ทั้งในรูปยาเดี่ยว หรือเป็นตำรับยาพื้นบ้าน เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งสรรพคุณทางยามาจากสารไมทราไจนีน ซึ่งสารตัวนี้พบแค่ในพืชกระท่อมเท่านั้น ไม่พบที่ต้นไม้ชนิดอื่นแม้จะอยู่ในตระกูลเดียวกัน 

ในการศึกษาวิจัยพบว่าสารไมทราไจนีน มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบและแก้ปวดในระดับปานกลางถึงค่อนข้างรุนแรงได้ เราจึงอาจนำกระท่อมมาเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาแก้ปวด ที่มีสรรพคุณทางยาเทียบเท่ากับ “ทรามาดอล” ที่เป็นเคมี”

อาจด้วยฤทธิ์คลายปวดและลดการอักเสบของไมทราไจนีนในใบกระท่อม ที่ทำให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานนิยมใช้พืชกระท่อมเป็นเสมือนยาชูกำลัง คลายปวด ลดเมื่อย  

“คนกลุ่มนี้นิยมเคี้ยวใบกระท่อมสดก่อนออกไปทำงาน โดยเชื่อว่าจะทำให้รู้สึกแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า ทำงานได้นาน ไม่เหนื่อยล้า ไม่ปวดเมื่อย ไม่ง่วงนอน ทนต่อความร้อน สามารถทำงานกลางแดดได้นานยิ่งขึ้น” 

อาจารย์ธงชัย กล่าวเสริมว่าจากผลการศึกษาการใช้ใบกระท่อมเป็นประจำในภาคใต้ของไทย ยังไม่พบการเพิ่มขึ้นของปัญหาสุขภาพอย่างชัดเจน 

กระท่อม ศักยภาพเป็นยารักษาอีกหลายโรค

นอกจากฤทธิ์ในการลดปวด แก้อาการอักเสบแล้ว อาจารย์ธงชัยกล่าวถึงการศึกษาวิจัยที่พบว่าพืชกระท่อมอาจมีฤทธิ์ในการรักษาโรคอื่น ๆ อีกด้วย ได้แก่ ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ลดอาการท้องเสีย ลดความอยากอาหาร ฤทธิ์ต้านปรสิตและเชื้อจุลชีพ ฤทธิ์ต้านอาการวิตกกังวล อาการซึมเศร้า และโรคจิต 

กระท่อม บำบัดและถอนยาเสพติดร้ายแรง

หนึ่งในศักยภาพสำคัญของกระท่อมคือใช้ทดแทนหรือบำบัดอาการถอนยาจากการเสพติด เช่น แอลกอฮอล์ ฝิ่น เฮโรอีน หรือยาเสพติดชนิดอื่น ๆ 

พืชกระท่อมมีฤทธิ์แก้ปวดคล้ายมอร์ฟีน แต่อันตรายน้อยกว่า โอกาสติดน้อยกว่า ดังนั้น คนในบางประเทศจึงมีการนำกระท่อมมาใช้เป็นยาสำหรับการถอนยาเสพติดชนิดแรง ๆ ตัวอื่น ๆ แทนการใช้ยาถอนยาเสพติดที่ทำมาจากเคมีในปัจจุบัน” 

ด้วยความที่ใบกระท่อมมีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีน หลายคนกังวลว่าจะมีการใช้พืชกระท่อมเป็นสารตั้งต้นเพื่อผลิตยา 

“เรื่องนี้เป็นไปได้ยาก ด้วยตัวกระท่อมเอง ไม่สามารถนำมาเป็นสารตั้งต้นการผลิตยาเสพติดได้ และการจะนำสารสำคัญในใบกระท่อมไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดตัวอื่นก็ไม่ง่ายเช่นกัน การสกัดเอาไมทราไจนีนออกมาให้บริสุทธิ์นั้นไม่ง่าย มีขั้นตอนที่ซับซ้อนพอสมควร อีกประการต้นทุนในการผลิตก็สูง” อาจารย์ธงชัยกล่าว

ผลิตภัณฑ์จากพืชกระท่อม

แม้พืชกระท่อมจะไม่ใช่ยาเสพติดในทางกฎหมาย แต่การนำพืชกระท่อมไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็ต้องศึกษาให้ดี เพราะการทำผลิตภัณฑ์จากกระท่อมบางอย่างอาจเข้าข่ายการผลิตยาเสพติด อาจารย์ธงชัยกล่าวเตือน

“ถ้าทำน้ำกระท่อม ชากระท่อมในครัวเรือนของตนเอง ไม่มีการซื้อขาย ก็สามารถทำและใช้ได้เลย ไม่ต้องขออนุญาต แต่ถ้าจะแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อมในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ยา อาหาร อาหารเสริม เครื่องสำอาง เพื่อขาย จำเป็นต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดังนั้น ใครที่คิดจะทำธุรกิจเกี่ยวกับพืชกระท่อม ขอให้ปรึกษา อย. หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ก่อนดำเนินการทำผลิตภัณฑ์นั้น ๆ” อาจารย์ธงชัยให้คำแนะนำ

ข้อควรระวังในการใช้พืชกระท่อม

แม้พืชกระท่อมจะมีสรรพคุณทางยา มีประโยชน์ โทษน้อย แต่อาจารย์ธงชัยแนะนำว่า ให้ใช้เฉพาะที่จำเป็น จะดีที่สุด”

“สำหรับผู้ใหญ่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้ ให้ใช้วิธีดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น ทานอาหารให้ครบถ้วนอย่างถูกต้อง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ และไม่เครียด หรือลดความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม แต่ถ้ามีความต้องการหรือมีความจำเป็นต้องใช้ใบกระท่อมหรือผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อม ก็ควรใช้อย่างถูกต้อง ปรึกษาผู้รู้ และระมัดระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น” ทั้งนี้ อาจารย์ธงชัยให้ข้อควรระวังในการใช้ใบกระท่อม ดังนี้

  • ห้ามเด็กใช้ เพราะมีความเสี่ยงที่เด็กจะเกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ง่ายกว่า เช่น ลมชัก อาการทางจิตและประสาท และเมื่อเริ่มใช้แล้ว อาจชักนำไปสู่การใช้ยาเสพติดให้โทษที่รุนแรงมากขึ้นได้
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์ห้ามใช้โดยเด็ดขาด เพราะอาจเกิดความเสี่ยงที่เด็กในครรภ์ เมื่อคลอดออกมาแล้ว เด็กอาจมีอาการติดยาได้ 
  • ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไต ห้ามใช้ 
  • อย่าใช้ในปริมาณที่มากเกินไป ให้ใช้ตามที่กำหนดไว้ในผลิตภัณฑ์ใบกระท่อมแต่ละชนิด
  • ถ้าพบว่าเมื่อใช้แล้ว มีอาการข้างเคียง เช่น ใจสั่น กระวนกระวาย คลื่นไส้ อาเจียน ก็ให้หยุดใช้ และอย่าใช้อีก เพราะอาจเกิดอันตรายขึ้นได้
  • ถ้ามีการใช้ยารักษาโรคเป็นประจำ และอยากใช้ใบกระท่อมหรือผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อม ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร หรือ ถ้าใช้ใบกระท่อมอยู่เป็นประจำ เมื่อไม่สบาย ต้องไปพบแพทย์และเภสัชกร ให้แจ้งด้วยว่า มีการใช้ใบกระท่อมหรือผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อมอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการตีกันของยาและเกิดพิษจากยาขึ้นได้ อาจารย์ธงชัยกล่าวเพิ่มเติมถึงข้อห้ามในการใช้ใบกระท่อมร่วมกับยาแผนปัจจุบันหรือยาอื่น ๆ ดังต่อไปนี้ 
  • ผู้ที่ใช้กัญชา (ยา) ห้ามใช้กระท่อมควบคู่กัน เพราะกระท่อมจะทำให้ฤทธิ์ของกัญชาแรงขึ้น 
  • สำหรับคนเป็นเบาหวานให้ระวัง จากการวิจัยพบว่า กระท่อมมีสารที่ไปช่วยการลดน้ำตาลในกระแสเลือด ถ้าใช้ควบคู่กับผู้ที่ต้องทานยาเบาหวาน หรือที่ต้องฉีดอินซูลินใต้ผิวหนังเป็นประจำ อาจจะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (ไฮโปไกลซีเมีย) ได้

ท้ายที่สุด กระท่อมมีประโยชน์มาก แต่ก็มีโทษเช่นกัน หากใช้ในทางที่ผิด และปราศจากการควบคุมที่เหมาะสม “มีผู้เอาใบกระท่อมไปเสพเพื่อสันทนาการ โดยผสมกับสารอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายมากขึ้น เช่น ยาน้ำแก้ไอ ยากันยุง น้ำอัดลม ผงในหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ เป็นต้น เป็นสูตรที่เรียกว่า 4X100 เพื่อให้มีฤทธิ์มึนเมารุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้เสพมาก” อาจารย์ธงชัยกล่าว “การใช้พืชกระท่อมหรือกัญชาควรเป็นไปเพื่อประโยชน์เฉพาะด้านการแพทย์เท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อการสันทนาการ และจำเป็นต้องมีการควบคุมไม่ให้เกิดการใช้ไปในทางที่ผิด”

Page 2 of 599
X

Right Click

No right click