สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ขอเชิญเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน “เปลี่ยน Waste เป็น Wealth ด้วยไอเดียธุรกิจพร้อมเสิร์ฟจาก Food Waste” พร้อมชมนิทรรศการ งานวิจัยการจัดการขยะอาหารจากนักวิจัยทั่วประเทศที่ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก วช. พบกับหลากหลายไอเดียเพื่อสร้างธุรกิจจากขยะอาหารที่นำไปใช้ได้จริง พร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเผยแพร่นวัตกรรมการจัดการขยะอาหารที่รวบรวมแนวทางการจัดการขยะอาหารไว้ครบครันในที่เดียว เข้าร่วมงานฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ณ อาคารทรู ดิจิทัล พาร์ท เวสต์ ห้องประชุม Classroom 1-3 ชั้น 2 ตั้งแต่เวลา 11.30 -13.00 น.

ในแคมเปญ “ไหว้ตรุษจีน เฮง เฮง เฮง รับปีมังกร ที่ บิ๊กซี HAPPY CHINESE NEW YEAR 2024

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) มอบความฟินคูณสอง เมื่อสมัครสินเชื่อ Krungsri iFIN ผ่าน KMA krungsri app ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 พฤษภาคม 2567 โดยได้รับอนุมัติวงเงินตั้งแต่ 300,000 บาทขึ้นไป และรับเงินกู้โดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงศรีอยุธยา ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2567 และมีการชำระค่างวดสินเชื่อสถานะปกติ รับสิทธิ์ 2 ต่อ

  • ต่อที่ 1 รับเงินคืน (Cash Back) จำนวน 1,000 บาท
  • ต่อที่ 2 รับคะแนน Krungsri GIFT จำนวน 20 GIFTs สามารถแลกรับสิทธิพิเศษและ/หรือของกำนัลได้

ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/personal/krungsri-ifin 

*ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ ของธนาคาร

นางสาวเจนิส ลี ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมด้านการบริการ อาหาร และเครื่องดื่ม - สิงคโปร์ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ผู้จัดงาน FHA-Food & Beverage (FHA-F&B 2024) สิงคโปร์ กล่าวถึงความสามารถของประเทศไทยในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มว่า ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดโลกมากมาย โดยมาจากข้อได้เปรียบหลายประการทั้งการมีความหลากหลายของวัตถุดิบ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตและแปรรูป รวมถึงความสามารถของผู้ประกอบการที่มีความคิดสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จนเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ซึ่งในปี 2567 คาดว่าผลิตภัณฑ์อาหารจากประเทศไทยจะสร้างรายได้ถึง 71.79 พันล้านเหรียญ และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกราว 5.04% ต่อไปจนถึงปี 2571 การเติบโตดังกล่าวเกิดจากแรงหนุนในหลายปัจจัยทั้งจำนวนประชากร รายได้ที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของเมือง การมีประชากรอายุน้อยกลุ่มใหม่ที่ต้องการนวัตกรรมอาหารใหม่ๆ อีกด้วย

ด้านตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องดื่มของไทยก็อยู่ในช่วงการเติบโตเช่นกัน โดยคาดว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของไทยจะมีมูลค่าเติบโตแตะ 6.74 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2568 แต่ส่วนใหญ่มาจากการบริโภคภายในประเทศถึง 79% ส่วนแนวโน้มของตลาดเครื่องดื่มนั้น มีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลต่ำหรือไม่มีน้ำตาล เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เครื่องดื่มคอมบูชาและเครื่องดื่มชาเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์นมจากพืช รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีต้นแบบหรือได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าประเทศไทยรวมถึงผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มของไทยจะมีความสามารถในด้านการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และมีผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องมีช่องทางการตลาดที่เหมาะสม ซึ่งจะพาผลิตภัณฑ์เหล่านั้นให้ประสบความสำเร็จในตลาดโลกได้

โดยงาน FHA-Food & Beverage เป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่สำคัญของเอเชีย เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญและเป็นประตูบานใหญ่ที่สร้างโอกาสเชื่อมต่อกับผู้ค้าทั่วโลกได้ดีที่สุดทางหนึ่ง งาน FHA-Food & Beverage มีจุดเด่นด้านการเป็นศูนย์รวมการจัดแสดงผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากทั่วโลก เป็นแหล่งรวมความรู้ของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ทิศทางของนวัตกรรมและเทคโนโลยี แนวโน้มธุรกิจ และเป็นศูนย์กลางการสร้างเครือข่ายกับผู้ซื้อ ผู้จัดจำหน่าย ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม นักลงทุน หน่วยงานภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศที่มีความสำคัญ

สำหรับจัดงาน FHA-Food & Beverage 2024 ในปีนี้ มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 เมษายน 2564 ณ Singapore EXPO มีพื้นที่จัดแสดงงานกว่า 65,000 ตารางเมตร พร้อมพาวิลเลี่ยนนานาชาติมากถึง 70 แห่ง จากประเทศผู้ค้าสำคัญ อาทิ ออสเตรเลีย เบลเยียม จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮังการี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน ภูมิภาคไต้หวัน ไทย ตุรกี สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ฯลฯ สำหรับในส่วนของพาวิลเลี่ยนของไทยมีบริษัทตอบรับเข้าร่วมจัดแสดงงานแล้วกว่า 25 แห่ง ส่วนบริษัทที่จะเข้าร่วมจัดแสดงงานนั้นมีมากถึง 1,500 แห่ง โดย 70% เป็นผู้ผลิตโดยตรง และคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานถึง 60,000 คน จากกว่า 50 ประเทศทั่วทุกภูมิภาคของโลก

ภายในงานนอกจากจะมีการจัดแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มแล้ว ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจที่จะช่วยพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจ อาทิ FHA Beer Awards 2024, FHA Ultimate Meat Challenge for Meat Innovation, Young Talents Escoffier – Singapore Selection, Sustainable Food Future, Halal Food Seminar ฯลฯ พร้อมทั้งยังจัดงานร่วมกับงาน ProWine Singapore อีกด้วย

สำหรับผู้สนใจรายละเอียดงาน FHA-Food & Beverage 2024 สามารถติดตามได้ที่ https://fhafnb.com/bkkpc

เอสซีจี ผู้นำด้านความยั่งยืนระดับโลก ได้รับการจัดอันดับจาก Morningstar Sustainalytics เป็น ESG Industry Top Rated 2024  ลำดับที่ 1 จาก 125 บริษัทในกลุ่ม Industrial Conglomerate ทั่วโลก ณ วันที่ 17 มกราคม 2567 สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่โดดเด่นด้านความยั่งยืนระดับสากล ด้วยนวัตกรรม โซลูชันรักษ์โลก ด้วยกลยุทธ์ ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero–Go Green–Lean เหลื่อมล้ำ–ย้ำร่วมมือ โดยยึดหลักเชื่อมั่นและโปร่งใส)

เอสซีจีตั้งเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 เพื่อลดผลกระทบวิกฤตโลกเดือด ด้วยการเร่งพัฒนานวัตกรรม โซลูชันตอบเมกะเทรนด์โลก ให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย ปลอดภัย คุ้มค่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ปูนคาร์บอนต่ำ พลาสติกรักษ์โลก บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้  ขณะเดียวกันยังร่วมพัฒนานวัตกรรมคาร์บอนต่ำกับผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ร่วมกับบริษัท Rondo Energy พัฒนานวัตกรรมแบตเตอรี่กักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาดตอบโจทย์อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ ร่วมกับบริษัท CubicPV พัฒนานวัตกรรมซิลิคอนเวเฟอร์ (Silicon Wafer) และแผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูง และร่วมทุนกับบริษัท Denka ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า  นอกจากนี้ได้เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดแทนการใช้พลังงานฟอสซิล เช่น พลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) ในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ การใช้ลมร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต และพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดการใช้ถ่านหินและพลังงานไฟฟ้า  พร้อมทั้งมุ่งลดความเหลื่อมล้ำสังคมในมิติต่าง ๆ ทั้งการศึกษา อาชีพ และสาธารณสุข  

เอสซีจีได้ยกระดับมาตรฐานการดำเนินงาน ESG อย่างต่อเนื่อง นำมาตรฐานการรายงานผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาใช้เป็นแนวทางในการเปิดเผยข้อมูล เช่น GRI SASB TCFD Integrated Report และเตรียมพร้อมสำหรับมาตรฐานใหม่ที่เริ่มใช้ในต่างประเทศ เช่น International Sustainability Standards Board (ISSB) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสทางธุรกิจภายใต้ระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี

Morningstar Sustainalytics เป็นผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยและจัดลำดับด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากการประเมินเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงของบริษัทต่างๆ ปัจจุบันการจัดอันดับของ Morningstar Sustainalytics ครอบคลุมบริษัททั่วโลกกว่า 16,000 แห่ง ซึ่งกลุ่มนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนชั้นนำใช้ผลการจัดลำดับและข้อมูลจาก Morningstar Sustainalytics เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานและการพิจารณาตัดสินใจลงทุน 

กลยุทธ์แบรนด์แข็งแกร่ง ช่องทางจำหน่ายครอบคลุมอาเซียน พร้อมเติบโตทุกสถานการณ์ตลาด  มั่นใจเศรษฐกิจไทย-อาเซียนฟื้นตัว เร่งเครื่องโครงการลงทุน 1.1 พันล้านเพิ่มกำลังการผลิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดโครงการส่งเสริมสุขภาพรับต้นปี กับ “AIA Step to Strong 30 days – Start for Better” โดยได้เชิญกูรูตัวจริงด้านสุขภาพ โภชนาการ และการออกกำลังกาย อย่างโค้ชมิกกี้ นนท์ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร มาแบ่งปันประสบการณ์ในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม พร้อมให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่ดี เพื่อส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้เริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สามารถทำให้เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์และมีสุขภาพที่ดีได้อย่างยั่งยืน โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ AIA Step to Strong 30 days – Start for Better ทั้งสิ้น 40 ท่าน ได้ร่วมกิจกรรมพรีเวิร์คช็อปกับโค้ชมิกกี้ ทั้งรับฟัง Nutrition Talk และออกกำลังกายสไตล์โค้ชมิกกี้ ตลอดจนทุกท่านยังได้รับ E-Book ที่จัดทำขึ้นพิเศษ เพื่อสนับสนุนให้สามารถดูแลตนเองด้านโภชนาการ และการออกกำลังกายอย่างถูกวิธีตลอดทั้ง 30 วัน

 

นอกจากนี้ ทุกท่านที่เข้าร่วมโครงการ ยังได้รับการวัดดัชนีมวลกายก่อนการเริ่มกิจกรรมโดยมีผู้เชี่ยวชาญ TANITA คอยแนะนำและวัดผล และพิเศษสุดสำหรับผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถเข้าใช้บริการที่วี ฟิตเนส โซไซตี้ ได้ทุกสาขา ตลอดระยะเวลาโครงการ 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม ถึง 17 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งนับว่า AIA Step to Strong 30 days – Start for Better เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ต่อยอดพันธกิจของเอไอเอ ที่มุ่งมั่นส่งเสริมให้คนไทยและผู้คนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives โดยกิจกรรมพรีเวิร์คช็อปจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ วี ฟิตเนส โซไซตี้ สาขาเอสพลานาด รัชดา

หูฟังแบบ Open-ear ถือเป็นหูฟังตัวเลือกเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้ใช้งาน เนื่องจากสำหรับผู้ใช้จำนวนมาก หูฟัง In-ear อาจไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้หลากหลาย ถึงแม้ว่าหูฟังแบบ In-ear จะเหมาะสำหรับผู้รักเสียงเพลง แต่ด้วยการออกแบบแล้วทำให้มีแนวโน้มที่จะเลื่อนและหลุดออกจากหูได้ และอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายหากสวมใส่เป็นเวลานาน หัวเว่ยได้เล็งเห็นกับปัญหาเหล่านี้จึงได้พัฒนาหูฟังรุ่นแรกที่มาในรูปแบบ Open-ear อย่าง HUAWEI FreeClip ด้วยการออกแบบ C-bridge อันเป็นเอกลักษณ์ เปิดกฎเกณฑ์ของการออกแบบใหม่ เพื่อการสวมใส่สบายแต่มีสไตล์สำหรับความต้องการที่หลากหลาย วันนี้หัวเว่ยจะมาสรุปข้อดีของหูฟังแบบ Open-ear ที่จะสร้างความแตกต่างจากหูฟังรูปแบบที่เดิมเพื่อการฟังที่สบายกว่าเคย

มั่นใจทุก movement เอาใจสายแอคทีฟ ฟิตเนส

หัวเว่ยใช้เวลา 3 ปี ในการออกแบบ C-bridge ให้เหมาะกับหูประเภทต่างๆ ตามหลักสรีรศาสตร์ แต่ยังให้ความปลอดภัยและความสบาย ด้วยน้ำหนักเบาเพียง 5.6 กรัม[1] และมุมเอียง 11 องศา ซึ่งช่วยให้หูฟังแนบไปกับหูของผู้ใช้ระหว่างการกระโดด วิ่ง และเคลื่อนไหวไปมาได้โดยไม่ต้องกลัวว่าหูฟังจะหลุดระหว่างการออกกำลังกาย รวมทั้งแม้ในขณะที่มีเหงื่อออกด้วยการรองรับความสามารถในการกันน้ำและเหงื่อระดับ IP54 ทำให้ผู้ใช้มั่นใจในการออกกำลังกายโดยไม่ต้องกลัวว่าเอียร์บัดจะเสียหาย อีกทั้งรูปแบบหูฟังแบบเปิดยังช่วยให้หูของผู้ใช้ระบายอากาศได้ดีขึ้นอีกด้วย

ไม่สูญเสียเสียงสัมผัสรอบตัว

HUAWEI FreeClip ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการเพลิดเพลินกับเสียงเพลงโดยไม่สูญเสียสัมผัสสิ่งรอบข้าง ด้วยเทคโนโลยีระบบเสียงแบบ Open Ear ที่ช่องหูไม่ได้ถูกปิดกั้นจนสุด ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดื่มด่ำไปกับเพลงโปรดของพวกเขาในขณะที่ยังคงสามารถฟังบรรยากาศโดยรอบได้ ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่งสําหรับผู้ใช้งาน เช่น นักวิ่งมาราธอนที่ต้องการตระหนักถึงคนเดินเท้าและการจราจรรอบ ๆ ตัวพวกเขา เพื่อความปลอดภัยเมื่อวิ่งในเมือง ผู้ใช้ที่ฟังเพลงขณะขับรถด้วย แต่ต้องการระวังเสียงจราจร เป็นต้น

ระบบเสียง Open Sound ช่วยให้เสียงอยู่ใกล้กับช่องหูมากขึ้น

การออกแบบ C-bridge ช่วยให้เสียงอยู่ใกล้กับช่องหูมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางของเสียง แก้ปัญหาที่พบบ่อยด้วยหูฟังแบบเปิดหูอื่นๆ ที่มักจะมีช่องเสียงอยู่ห่างจากหูมากเกินไป ด้วยระบบเสียง Open Sound แบบวงจรแม่เหล็กคู่ความไวสูงและไดรฟ์แอมพลิจูดขนาดใหญ่ ซึ่งรักษาความชัดเจนของเสียง ไดรเวอร์ยูนิตความไวสูงแบบแม่เหล็กคู่จะเพิ่มความเข้มของการเหนี่ยวนำแม่เหล็ก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการขับเคลื่อนของลำโพงสร้างคุณภาพเสียงที่ทรงพลังและดึงโทนเสียงที่แตกต่างกันของเพลงที่ผู้ใช้ฟัง ตั้งแต่เสียงเบสที่ก้องกังวานไปจนถึงเสียงแหลมของเพลง อีกทั้งยังมีระบบเสียงแบบ Reverse Sound Field Acoustic System ปรับระดับเสียงแบบอัจฉริยะในขณะที่ยกเลิกคลื่นเสียงอย่างละเอียด ป้องกันการรั่วไหลของเสียงของจากมุมต่าง ๆ ได้สูงถึง 6-17 dB นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณกำลังทำงานหรือรับสายส่วนตัวในลิฟต์สาธารณะหรือสำนักงานในขณะที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมงาน

Fashion Farward: สไตล์ที่เหมาะกับทุกชุดและทุกโอกาส

HUAWEI FreeClip เป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดจากกลยุทธ์ Fashion Forward ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มใหม่ของหัวเว่ยในการเปลี่ยนเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ให้กลายเป็นแฟชั่น รูปลักษณ์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวแม้จะมีความซับซ้อนทางเทคนิค

ตอบโจทย์ทุกการส่วมใส่ไปได้ทุกที่อย่างมีสไตล์ ตั้งแต่ออฟฟิศ ยิม ไปจนถึงงานดินเนอร์สุดหรู ด้วยดีไซน์คล้ายต่างหูที่มีให้เลือกสองสีอย่างมีสไตล์ได้แก่ สีม่วง และ สีดำ ทำให้ HUAWEI FreeClip แทบจะเป็นเครื่องประดับที่เข้ากันกับเสื้อผ้าทุกชุด และยังตอบสนองความต้องการที่หลากหลายอีกด้วย

เป็นเจ้าของก่อนใครกับโปรโมชันสุดคุ้ม 2.2 นี้

HUAWEI FreeClip วางจำหน่ายในราคา 6,490 บาท พร้อมโปรโมชัน รับฟรี HUAWEI Band 8 มูลค่า 1,899 บาท กระเป๋าหูฟัง มูลค่า 599 บาท จำกัด 50 สิทธิ์แรกเฉพาะช่องทางออนไลน์ บริการดูแลหูฟัง HUAWEI Loss Care มูลค่า 499 บาท (1 ข้าง 1ปี ในราคาส่วนลด 50%) เมื่อสั่งซื้อตั้งแต่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 ทางหน้าร้าน HUAWEI Experience Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ รวมทั้งช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ HUAWEI Store ร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยบนแพลตฟอร์ม Lazada และ Shopee

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์หัวเว่ยยังเข้าร่วมโครงการ “Easy E-Receipt 2024” ช้อปสูงสุด 50,000 บาท รับคืนสูงสุด 17,500 บาท

สำหรับลูกค้าที่ซื้อ HUAWEI FreeClip ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 สามารถเข้าร่วมโครงการนำใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์มาลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขของกรมสรรพากรได้[2]


[1]   น้ำหนักจริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกำหนดค่าผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต

[2] จะสามารถหักภาษีได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการยืนยันของกรมสรรพากร

นางพิทยา วรปัญญาสกุล  (ซ้าย)  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รับมอบรางวัลมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด (Thailand’s Top Corporate Brand Value 2023) ในหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ ประจำปี 2566  ด้วยมูลค่าแบรนด์ 92,899 ล้านบาท จากศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ  ภูริวัชร (ขวา) คณบดีและอาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 5 ที่เคทีซีได้รับรางวัลดังกล่าว ในงาน ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2023 โดยมีศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.กุณฑลี รื่นรมย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ริเริ่มงานวิจัย “การวัดมูลค่าและจัดอันดับแบรนด์องค์กรในอาเซียนและประเทศไทย” ร่วมแสดงความยินดี ณ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

รางวัล ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brand เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย โดยหลักสูตร Master in Branding and Marketing - MBM คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เพื่อพัฒนาการวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรอย่างเป็นระบบในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม จากการคำนวณด้วยเครื่องมือวัดค่าแบรนด์องค์กร CBS Valuation (Corporate  Brand Success Valuation) ที่บูรณาการแนวคิดด้านการตลาด การเงินและการบัญชีเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรออกมาเป็นตัวเลขทางการเงินได้ เพื่อส่งเสริมให้องค์กรธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างแบรนด์องค์กรให้เข้มแข็งเพื่อความยั่งยืนในภูมิภาค 

ส่งออกปูนคาร์บอนต่ำสู่อเมริกา ปิโตรเคมีเวียดนามเตรียมป้อนเม็ดพลาสติกสู่ตลาดโลก

X

Right Click

No right click