ครบครันด้วยสินค้านวัตกรรมการออกแบบสถาปัตยกรรมตอบโจทย์ความยั่งยืน

ดีป้า เดินหน้าเสริมศักยภาพดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยต่อเนื่อง รุกส่งเสริม 3 โครงการผ่านมาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุนเพื่อการเริ่มต้นธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล คาดสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่า 25 ล้านบาท พร้อมช่วยกระตุ้นการจ้างงาน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้แก่ผู้ใช้บริการดิจิทัลโซลูชันจากดิจิทัลสตาร์ทอัพที่ได้รับการส่งเสริม

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดีป้า มุ่งยกระดับศักยภาพดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทยในทุกระยะการเติบโตด้วยการเสริมสร้างความรู้และทักษะสำคัญผ่านโครงการต่าง ๆ ควบคู่กับการพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัล พร้อมเปิดโอกาสให้เกิดการจับคู่ธุรกิจกับเหล่าผู้ประกอบการ เกษตรกร และชุมชนที่กำลังมองหาดิจิทัลโซลูชันที่เหมาะสมกับบริบทของตนเองก่อนนำมาประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งร่วมผลักดันดิจิทัลสตาร์ทอัพที่มีความพร้อมเพื่อก้าวสู่เวทีระดับสากล โดยปัจจุบัน ดีป้า ยกระดับดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยแล้วมากกว่า 165 ราย ขณะที่ปี 2567 มีแผนที่จะส่งเสริมสตาร์ทอัพเพิ่มกว่า 20 ราย

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาการส่งเสริมและสนับสนุน ดีป้า มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการที่ขอรับการส่งเสริมสนับสนุนตามมาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุนเพื่อการเริ่มต้นธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล (depa Digital Startup Fund) ระยะเริ่มต้น (Early Stage) จำนวน 3 ราย รวมมูลค่าการลงทุน 3 ล้านบาท ประกอบด้วย

  • Pettinee Televets แพลตฟอร์มให้บริการปรึกษาสัตวแพทย์ทางไกลและดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงครบวงจร โดย บริษัท เพทที่นี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
  • ThaiMarket แพลตฟอร์มจับคู่ระหว่างพ่อค้าแม่ค้า และเจ้าของตลาด โดย บริษัท สวัสดีไทยมาร์เก็ต จำกัด
  • Lightster แพลตฟอร์มทดสอบผลิตภัณฑ์และรับฟังความคิดเห็นของผู้ใช้งานสำหรับบริษัทเทคโนโลยี โดย นายปฏิเวธ เสถียรสัมฤทธิ์

สำหรับดิจิทัลสตาร์ทอัพทั้ง 3 รายที่ได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนฯ ในครั้งนี้มาจากบริการดิจิทัลที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของภาคประชาชน อีกทั้งมีศักยภาพที่จะเติบโตสู่ระดับสากลได้ในอนาคต พร้อมกันนี้ยังประเมินว่า ดิจิทัลสตาร์ทอัพทั้ง 3 ราย จะสามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 25 ล้านบาท ทั้งในส่วนของการต่อยอดบริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การยกระดับทักษะบุคลากร กระตุ้นการจ้างงาน ตลอดจนการมีส่วนช่วยให้เกิดการสร้างรายได้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ใช้บริการจากดิจิทัลสตาร์ทอัพทั้ง 3 รายผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบโครงการพัฒนาศูนย์ทดสอบมาตรฐานระบบอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aircraft System Standard Testing Center) โดย สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนภายใต้มาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งภาครัฐและเอกชน (depa Digital Infrastructure Fund) โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรมอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) พื้นที่รวมกว่า 800 ตารางเมตรของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วยห้องปฏิบัติการภายในอาคาร (Indoor Labs) และพื้นที่ทดสอบการบินบริเวณลานบิน รองรับความต้องการวิเคราะทดสอบและยืนยันศักยภาพของผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต

ชูจุดเด่นดีไซน์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ในงาน STYLE Bangkok 2024 อย่างเป็นทางการ 20-24 มี.ค.นี้

บีเอ็นพี พารีบาส์ เวลท์ แมเนจเม้นท์ (BNP Paribas Wealth Management) เป็น Private Bank ชั้นนำในยุโรป และเอเชีย วางแผนขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดตัวธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) อย่างเป็นทางการในประเทศไทยผ่าน บริษัทหลักทรัพย์ บีเอ็นพี พารีบาส์ (ประเทศไทย) (“BNP Paribas Securities Thailand) โดยทางบริษัทฯคาดว่าจะเพิ่มจำนวน Relationship Managers เพื่อให้บริการลูกค้าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการขึ้นเป็น 3 เท่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการให้บริการลูกค้าในประเทศให้ดียิ่งขึ้น

นายอาร์โนลด์ เทลิเยร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บีเอ็นพี พารีบาส์ เวลท์ แมเนจเม้นท์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวถึงความสำคัญของตลาดไทยต่อธุรกิจระดับภูมิภาคว่า ประเทศไทยที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยผู้ประกอบการที่มีพลวัต มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาค โดยมีการขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนำไปสู่การเร่งสร้างความมั่งคั่ง

“บีเอ็นพี พารีบาส์ ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นเวลา 45 ปี โดยปัจจุบันมีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ และสถาบันการเงินมากกว่า 500 แห่ง ทีมบริหารความมั่งคั่งของเรามุ่งเดินหน้าต่อยอดจากธุรกิจที่มีอยู่ และร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจเดิม คือ Corporate and Institutional Banking เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สร้างสรรค์ และเหมาะสมสำหรับแต่ละผู้ประกอบการและครอบครัว เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจที่มีความซับซ้อน และความต้องการการบริหารความมั่งคั่งที่มากขึ้น”

บริษัทหลักทรัพย์บีเอ็นพี พารีบาส์ (ประเทศไทย) ดำเนินธุรกิจ ที่แตกต่างจากผู้ให้บริการในประเทศรายอื่นๆ ด้วยการผสมผสานการดูแลลูกค้าในประเทศอย่างใกล้ชิด เข้ากับการจัดการบัญชีทรัพย์สินในต่างประเทศ โมเดลนี้ช่วยให้ลูกค้าชาวไทยสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มที่ได้รับรางวัลในระดับสากลของ บีเอ็นพี พารีบาส์ ในประเทศสิงคโปร์ ในขณะเดียวกันก็มั่นใจได้ว่า Relationship Manager ในประเทศไทยจะช่วยดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ลูกค้าในประเทศไทยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ได้แก่ asset management, wealth planning, advisory services, brokerage services และเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท อาทิ หุ้น ตราสารหนี้ hedge funds และ structured products

 

นายวินเซนต์ เลอคอมต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบีเอ็นพี พารีบาส์ เวลท์ แมเนจเม้นท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บีเอ็นพี พารีบาส์ เวลท์ แมเนจเม้นท์ เป็น Private Bank ชั้นนำในยูโรป และมีประสบการณ์อันยาวนานในการให้บริการแก่ผู้ประกอบการและครอบครัวเจ้าของธุรกิจชั้นนำมากมายทั่วโลก การคว้าโอกาสสำคัญจากความมั่งคั่งที่เติบโตอย่างรวดเร็วของภูมิภาคเอเชียถือเป็นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์หลักสำหรับธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งของเรา ด้วยความเป็นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ระดับโลก (One Bank’ approach) จุดยืนทางการเงินที่แข็งแกร่ง การบริหารจัดการที่หลากหลาย และความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ครอบคลุม ต่อทุกความต้องการของครอบครัวนักธุรกิจ เราจึงมีความโดดเด่นในด้านการมอบบริการที่เต็มรูปแบบให้แก่ลูกค้าในเอเชียด้วยมาตรฐานของธนาคารชั้นนำระดับโลก

จากข้อมูลของ Forbes พบว่า ความมั่งคั่งรวมของมหาเศรษฐี 50 อันดับแรกของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 15% เป็น 173 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566[1] แม้จะมีสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจระดับมหภาคที่ท้าทายก็ตาม อีกทั้งรายงาน Hurun Global Rich List ฉบับล่าสุดซึ่งตีพิมพ์ในเดือนมีนาคม 2566 ระบุว่าประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของมหาเศรษฐีแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีมหาเศรษฐี 46 ราย (แต่ละรายมีทรัพย์สินอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2565 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก[2] โดยความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนี้ ช่วยผลักดันให้เกิดความต้องการในการวางแผนความมั่งคั่งที่มีความซับซ้อน การลงทุนระหว่างประเทศ และการกำกับดูแลครอบครัว (Family Governance) ที่มากขึ้น


[1] Thailand’s 50 Richest 2023: Despite Political Uncertainty, Tycoons Get A Double-Digit Boost To Their Combined Wealth

[2] Hurun Report - Info - JDYD LIQUOR · Hurun Global Rich List 2023

รู้หรือไม่ “ไทย” เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสัดส่วน CFO เป็นผู้หญิงมากที่สุดในโลก คิดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกที่ 43% ซึ่งหนึ่งในจำนวนดังกล่าวคือ ยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ในเดือนแห่งวันสตรีสากล 2567 นี้ True Blog ได้มีโอกาสพุดคุยกับผู้บริหารหญิงแกร่ง ผู้มีบทบาทสำคัญต่อการพิชิตเป้าหมาย Telecom-Tech Company ของทรู คอร์ปอเรชั่น ผ่านมิติทางการเงินและทุน แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้นั้น ยุภาผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน ทั้งชีวิตส่วนตัวและการงาน

อะไรคือแรงผลักดันให้เธอก้าวข้ามแรงกดดัน ยืนหยัดนำองค์กรแสนล้านพลิกสู่เป้าหมายทางการเงินได้เร็วกว่ากำหนด มาร่วมถอดรหัสผ่านเรื่องราวของเธอได้ที่นี่

โอกาสที่เสียไปจากความเป็นผู้หญิง

ยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) โลดแล่นอยู่บนเส้นทางทางการเงินตั้งแต่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี เธอมีพื้นเพเป็นคนจังหวัดระยอง ต่อมาย้ายชีวิตเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่าในระดับมัธยมศึกษา เมื่อชีวิตเดินถึงทางแยกเพื่อเลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ขณะนั้น แนวคิดด้านอาชีพและการค้นหาตัวเองในสังคมไทยยังไม่แพร่หลายเหมือนในปัจจุบัน และจำกัดเพียงไม่กี่อาชีพ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร วิศวกร ทำให้ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่ยึดเกณฑ์ความมั่นคงในหน้าที่การงานและระดับคะแนนของตัวเองเป็นหลัก

“จริงๆ พี่เป็นเด็กสายวิทย์ ชอบคณิตศาสตร์ แต่เลือกเรียนบัญชีตามค่านิยมของสังคมเพราะ ‘เขาบอกกันว่า’ หางานง่าย แต่ในความเป็นจริงคณิตศาสตร์ทางบัญชีต่างจากคณิตศาสตร์บริสุทธิ์มากเลย” ยุภาเล่าถึงประสบการณ์ในวัยเยาว์

เมื่อสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากธรรมศาสตร์ เธอมีความมุ่งมั่นตั้งใจศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่ต่างประเทศ เพราะอยากกลับมาเป็นอาจารย์ แต่ด้วยความเป็น “ลูกสาว” การเดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพังเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง และขณะนั้นการสื่อสารยังไม่สะดวกสบายเหมือนดังเช่นปัจจุบัน ช่องทางในการสื่อสารหลักยังคงเป็น “จดหมาย” ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวของพ่อแม่ จึงรั้งให้เรียนในประเทศไปพลาง โดยต่อมาเธอเรียนจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)

“ความแตกต่างของการเป็นลูกผู้หญิงกับลูกผู้ชายในสมัยก่อนชัดเจนมาก ถ้าเป็นผู้ชาย ที่บ้านพร้อมสนับสนุนเต็มที่ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงต้องมีเพื่อนหรือบัดดี้ไปด้วย ซึ่งพี่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะความเป็นห่วงเป็นใยของพ่อแม่เรา ในทางกลับกัน ผู้หญิงเราก็เสียโอกาสอย่างง่ายดาย แม้เราจะมีความสามารถ มหาวิทยาลัยเลือกเราไปเรียนก็ตาม” ผู้บริหารหญิงสะท้อนกรอบทางสังคมที่มีต่อผู้หญิงในอดีต

ฝ่าฟันวิกฤต (การเงิน)

เมื่อยุภาเก็บเกี่ยวความรู้เต็มตำรา ก็ถึงเวลาเข้าสู่ “สนามการทำงาน” โดยเริ่มทำงานที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาเป็นแห่งแรก ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย CFO ดูแลในส่วนของการบัญชีบริหาร (Managerial Accounting) แม้เธอจะเข้าสู่สนามการทำงานอย่างเต็มตัว เเต่เธอก็ยังไม่ทิ้งความฝันในการไปเรียนต่อ ยังคงเตรียมตัวเพื่อสานฝันต่อ ในระหว่างนั้น องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ปัจจุบัน ควบรวมกับ CAT Telecom เป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)) กำลังเปิดรับพนักงาน ด้วยความที่ตั้งอยู่ละแวกเดียวกันในย่านเพลินจิต เธอจึงสมัครเข้าทำงานในส่วนงาน Corporate Planning โดยรับผิดชอบด้านกลยุทธ์การเงินของบริษัท ครอบคลุมตั้งแต่การลงทุน การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ

ในช่วงปี 2535-2539 ถือเป็นยุคเฟื่องฟูของธุรกิจโทรคมนาคมไทย รัฐบาลเปิดสัมปทานให้เอกชนมาลงทุนด้านโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่ และที่นี่เอง ทำให้ยุภาพบกับคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ผู้บุกเบิกธุรกิจสื่อสารของเครือซีพีภายใต้บริษัท เทเลคอมเอเชีย เนื่องจากบริษัทดังกล่าวได้รับสัมปทานจำนวน 2.2 ล้านเลขหมายจากองค์การฯ

“พี่ยังจำได้เลยวันที่พี่นั่งตรงข้ามคุณศุภชัย ร่วมเจรจาข้อสัญญาสัมปทานระหว่างทั้งสองฝ่าย และนั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พี่มาทำงานกับกลุ่มทรู ในภายหลัง” ยุภา กล่าว

งานแรกที่ได้รับมอบหมายคือที่ UTV ธุรกิจโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกผ่านสายเคเบิล ที่ถือเป็นการปฏิวัติการรับชมโทรทัศน์มีความชัดเจนพร้อมกับคอนเทนท์พิเศษที่มากกว่า โดยขณะนั้นคู่แข่งที่สำคัญอีกรายคือ IBC การแข่งขันทางธุรกิจดำเนินมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งไทยเผชิญกับ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ทั้งสองบริษัทอยู่ในภาวะแทบล้มละลาย ต้นทุนด้านคอนเทนท์ที่ซื้อจากต่างประเทศมาสูงขึ้นเป็น “เท่าตัว” ทำให้ทั้ง IBC และ UTV จำเป็นต้องควบรวมกิจการกันเป็น UBC โดยแยกออกมาเป็นนิติบุคคล มีทรูฯ และ MIH บริษัทสื่อรายใหญ่สัญชาติแอฟริกาใต้ถือหุ้นใหญ่

เบื้องหลังความไว้วางใจ

ยุภา ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหญิงแกร่งที่ยืนหยัดอย่างท้าทาย ผ่านมาหลากวิกฤตหลายสถานการณ์ ร่วมหัวจมท้ายจนได้รับ “ความไว้วางใจ” จากคณะกรรมการบริษัทให้กุมบังเหียนดูแลด้านการเงินในตำแหน่ง CFO ทั้งที่ TrueVisions, True Move, True Online และกลุ่มทรู เป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนควบรวมกิจการ โดยปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) ของ ทรู คอร์ปอเรชั่น

อะไรที่ทำให้ยุภาได้รับความไว้วางใจให้ดูแลสินทรัพย์มูลค่านับแสนล้าน True Blog ถาม? เธอครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนตอบว่า “สมัยที่ทำ UBC ที่นั่นความหลากหลายทั้งเชื้อชาติและภาษา ทั้งแอฟริกัน ดัช อังกฤษ กรีซ ตอนนั้นพี่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ Deputy CFO พี่ถามนายพี่ที่เป็นชาวกรีซว่า ทำไมถึงเลือกพี่ เขาตอบว่า เพราะพี่ทุ่มเทเพื่อประโยชน์ขององค์กรอย่างเต็มที่ก่อนคิดถึงตัวเองเสมอ ไม่ว่างานนั้นจะท้าทายและยากขนาดไหนก็ตาม”

แม้โดยธรรมชาติ ความเป็นผู้หญิงจะเผชิญกับข้อจำกัดทั้งทางร่างกายและจิตใจอยู่บ้าง และบางครั้งก็สร้างประสบการณ์ที่ไม่ดี ยุภาเล่าถึงเหตุการณ์หนึ่ง ขณะนั้นเธอเดินทางไปประชุมกับคู่ค้ารายหนึ่ง ด้วยความที่อายุน้อยบวกกับความเป็นผู้หญิง ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจของฝั่งคู่ค้าคิดว่าเธอทำหน้าที่ติดตาม จนแสดงกิริยาอาการที่ไม่ให้เกียรติผู้หญิงเท่าที่ควร รู้สึกได้ถึงการถูกคุกคามทางเพศ

Stepping Stone

อย่างไรก็ตาม ยุภายังคงยืนยันว่า ความเป็นผู้หญิงไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน ผู้หญิงสามารถเปลี่ยนความเป็นผู้หญิงมาเป็นจุดแข็ง ก้าวข้ามข้อจำกัดทางเพศ ผ่านการค้นหาและวางเป้าหมายของชีวิต มองภาพใหญ่ คิดเป็นองค์รวม เพื่อให้เห็นตัวเองในอนาคต

“ผู้นำหญิงต้องใช้ soft power ให้เป็นความได้เปรียบ เปลี่ยนความละเอียดให้เป็นความรอบคอบ แต่ต้องมองภาพใหญ่เป็นองค์รวมก่อน จัดลำดับความสำคัญแล้วค่อยลงรายละเอียดเฉพาะเรื่องที่สำคัญเท่านั้น” นักบริหารหญิงอธิบาย

ยกตัวอย่างกรณีวางแผนการเงิน ความผิดพลาดต้องเป็น “ศูนย์” นักการเงินจึงต้องมองไปข้างหน้าและวางแผนล่วงหน้า พิจารณาปัจจัยแวดล้อม ควบคู่กับเศรษฐกิจมหภาค และที่สำคัญเราต้องมีแผนสำรองเสมอ ซึ่งตอนนี้เราเตรียมตัวเพื่อปีหน้าแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของ ทรู คอร์ปอเรชั่น ก่อนการควบรวมเราลงทุนค่อนข้างมากเพื่อขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพทำให้เรามีหนี้ค่อนข้างสูง รวมทั้งสิ้น 3.7 แสนล้านบาท มีความจำเป็นในการรีไฟแนนซ์ปีละหลายหมื่นล้านบาท โดยต้องพิจารณาถึงแหล่งเงินทุน และอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม บาลานซ์ให้เกิดความสมดุลทั้งผู้กู้และนักลงทุน ทั้งนี้เรายึดมั่นในความรับผิดชอบสูงสุดให้สมกับที่ผู้ให้กู้และนักลงทุนไว้วางใจเรา

เช่นเดียวกับกรณีการควบรวมกิจการของทรู คอร์ปอเรชั่น ดีลนี้เป็นหนึ่งในดีลที่มีมูลค่ามากที่สุดในภูมิภาค ต้องอาศัยการตัดสินใจทางการเงินอย่างแน่วแน่ภายใต้เงื่อนเวลาที่จำกัด แน่นอน...อาจมีบางช่วงที่ดีลอาจไปต่อไม่ได้ แต่การมีเจ้านายที่ดี ให้กำลังใจพร้อมสนับสนุนไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร ก็ทำให้เราก้าวต่อไปข้างหน้าได้

“ในฐานะ CFO เราบริหารเงินเยอะ บริหารความเสี่ยง เป็นความรับผิดชอบสูงสุดซึ่งพลาดไม่ได้ กำลังใจจากเจ้านาย โทรมาขอบคุณ ชื่นชมในความทุ่มเทเวลาทำงานใหญ่สำเร็จ แค่นี้ก็ทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยว แม้ต้องรับงานหนักก็ตาม” ยุภา เผยความในใจ

เธอฝากข้อคิดแก่ผู้หญิงที่ต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานว่า “ถนนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องบาลานซ์การงานและชีวิตส่วนตัวให้ดี การทำงานย่อมจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ถ้าทุกการตัดสินใจทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของส่วนรวม-องค์กร อย่างอื่นก็เป็นเรื่องเล็กหมด และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรเราต้องยอมรับและแก้กันไป ยิ่งงานท้าทายและอุปสรรคมากเท่าไหร่ สิ่งนั้นจะเป็น Stepping Stone ที่ทำให้เราแกร่งขึ้น เติบโตขึ้น และรู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งที่มองกลับมา”

พบสินค้าอาหาร-เครื่องดื่มหลากหลาย วันที่ 29-31 มีนาคมนี้ ณ ร้านเซเว่น สาขาถนนลำโพ

ทำอย่างไร? เมื่อผลกำไรไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดเพียงอย่างเดียว

พร้อมนำไทยสู่แถวหน้าด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ยอดเยี่ยมที่สุดด้าน CIO-DPMและDigital Wealth การันตีคุณภาพผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง

X

Right Click

No right click