บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)  (“บริษัทฯ” หรือ “LPN”)  เผยหุ้นกู้ LPN ที่เสนอขายระหว่างวันที่ 23 – 25 มกราคม 2567 ที่ผ่านมานั้น ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดี ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจนำหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมมาใช้เต็มจำนวน รวมมูลค่าหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท โดยมีกระแสตอบรับดี ด้วยปัจจัยสนับสนุนมาจากความมั่นใจของนักลงทุนต่อบริษัทฯ ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพที่มาพร้อมกับความน่าอยู่ในทุกมิติ เพื่อยกระดับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดมามากกว่า 35 ปี และมีประวัติที่ดี ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้

ทั้งนี้ LPN ได้เสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายรวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.10% ต่อปี มูลค่ารวม 682.40 ล้านบาท และหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.40% ต่อปี มูลค่ารวม 817.60 ล้านบาท หุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน  ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ที่ระดับ “BBB” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร และมีแนวโน้ม “ลบ” ซึ่งอยู่ในระดับ Investment grade ซึ่งผู้ลงทุนสามารถจองซื้อหุ้นกู้ได้หลากหลายช่องทาง ทั้งช่องทางสาขา และทางออนไลน์ของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้

บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ ในครั้งนี้ และขอขอบคุณสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 7 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส และบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ที่ช่วยให้การออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี ทั้งนี้ เงินที่ได้รับการเสนอขายจากหุ้นกู้ใน

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ร่วมมือกับมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นกลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำของโลกเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงและความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือทางธุรกิจครั้งสำคัญกับศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติเวียดนาม (Vietnam National Innovation Center หรือ NIC) เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศของธุรกิจสตาร์ทอัพที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ พร้อมผลักดันธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศเวียดนามให้สามารถเติบโตก้าวไกลในระดับสากล

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางของกรุงศรี เรามุ่งมั่นดำเนินธุรกิจสู่การเป็น Innovative Bank พร้อมเดินหน้าสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน ผ่านการแสวงหาความร่วมมือทางธุรกิจในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล และการพัฒนาด้านดิจิทัลและข้อมูลสารสนเทศ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนสถาบันการเงินให้เติบโตก้าวไกลในระดับภูมิภาค ขณะที่เวียดนามเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและมุ่งให้การสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง กรุงศรีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศดิจิทัลผ่านการสนับสนุนสตาร์ทอัพรุ่นใหม่และอุตสาหกรรมสายเทคต่าง ๆ ในเวียดนามโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังเติบโต”

นายมาซาโอะ โคจิมะ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าส่วนภูมิภาคประจำประเทศเวียดนาม ธนาคาร เอ็มยูเอฟจี จำกัด (MUFG Bank) กล่าวว่า “MUFG Bank ได้ให้การสนับสนุนและผลักดันเวียดนามสู่เวทีโลกผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ มาโดยตลอด ซึ่งจากการสำรวจโดย JETRO พบว่าในปีที่ผ่านมามีนักลงทุนจากญี่ปุ่นให้ความสนใจในการลงทุนกับเวียดนามเพิ่มสูงขึ้น เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพ และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามได้อย่างแน่นอน”

นายอู ค็อก ฮุย ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติเวียดนาม  (Vietnam National Innovation Center หรือ NIC) กล่าวว่า “NIC มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับกรุงศรีและ MUFG ในครั้งนี้ ทั้งนี้เพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและนักลงทุนจากประเทศไทยและญี่ปุ่นที่ต้องการลงทุนในธุรกิจสายเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเวียดนามให้รุดหน้าและตอบโจทย์ตลาดในระดับสากล ขณะเดียวกัน เราพร้อมให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพจากประเทศไทย ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่กำลังมองหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจในเวียดนามอีกด้วย”

การลงนามในข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์ เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมี นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) นายบุนเซอิ โอคุโบะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) นายอู ค็อก ฮุย ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติเวียดนาม (NIC) นายมาซาโอะ โคจิมะ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าส่วนภูมิภาคประจำประเทศเวียดนาม ธนาคารเอ็มยูเอฟจี จำกัด (MUFG Bank) นายโนบูทาเกะ ซูซูกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ็มยูเอฟจี อินโนเวชัน พาร์ทเนอร์ (MUIP) และนายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ร่วมลงนาม โดยมีระยะเวลาของแผนการดำเนินงานใน 5 ปี ที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนกิจกรรม 4 ด้าน ได้แก่

  • การส่งเสริมและสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพเวียดนามในระดับสากลผ่านเครือข่ายที่แข็งแกร่งของกรุงศรีและ MUFG
  • การแบ่งปันความรู้ และแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจของสตาร์ทอัพในเวียดนามผ่านกิจกรรมต่าง ๆ โดยกรุงศรีฟินโนเวต และ MUFG อาทิ โครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ (Accelerator Program) เป็นต้น
  • การจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจสำหรับสตาร์ทอัพในเวียดนาม ไทย ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศอื่น ๆ เพื่อแสวงหาความร่วมมือทางธุรกิจ รวมทั้งโอกาสการลงทุนในระดับสากล
  • การสนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มดาต้าและข้อมูล ที่จะช่วยเติมเต็มความต้องการของธุรกิจสตาร์ทอัพในเวียดนาม และด้านอื่น ๆ ของ NIC

“ด้วยความเชี่ยวชาญของกรุงศรีและเครือข่ายที่แข็งแกร่งของ MUFG เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในเวียดนามได้เป็นอย่างดี และเราพร้อมที่ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในเวียดนามให้เติบโตก้าวหน้าผ่านความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง สู่การเติบโตในระดับภูมิภาคอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายยามาโตะ กล่าวทิ้งท้าย

โรคมะเร็งจากสารเคมีปนเปื้อนในอาหาร สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรม เป็นภัยที่นำไปสู่การเจ็บป่วยและเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับต้นๆ จะดีแค่ไหน...หากคนไทยมีอุปกรณ์อัจฉริยะตรวจวัดสารตกค้างในผักผลไม้ เตือนภัยก่อนที่เราจะรับประทานเข้าไป

รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ปัจจุบันความปลอดภัยด้านอาหารจากสารเคมีเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ทีมวิจัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดย วิทยาลัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมวัสดุ (CMIT) ประกอบด้วย รศ. ดร.เบญจพล ตันฮู้, รศ. ดร.ดารินี พรหมโยธิน และ ผศ.ดร. ทุติยาภรณ์ ทิวาวงศ์ ได้คิดค้นนวัตกรรมอัจฉริยะ ‘เครื่องตรวจจับสารพิษตกค้างในผักผลไม้แบบพกพา’ ชื่อ ‘เค-เวจจี้ สกรีน’ (K-Veggie Screen) ช่วยคัดกรองสารพิษตกค้างในผักผลไม้และสารก่อภูมิแพ้ในอาหารด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีก่อนบริโภค วัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นใจและตอบโจทย์ผู้บริโภคในความปลอดภัยของอาหาร  ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ลดปัญหาผลกระทบทางสุขภาพจากสารเคมีตกค้างในผักผลไม้ สนองตอบแนวทางเศรษฐกิจยุคใหม่ BCG ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและอาหารซึ่งประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตที่มีชื่อเสียงของโลก ส่งเสริมตลาดเกษตรอินทรีย์และผักผลไม้ไร้สารเคมี นวัตกรรมฝีมือคนไทยนี้ได้จดสิทธิบัตรแล้ว

รศ. ดร.เบญจพล ตันฮู้  ทีมนักวิจัย วิทยาลัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมวัสดุ สจล. กล่าวว่า แนวคิดที่มาของ ‘เค-เวจจี้ สกรีน  (K-Veggie Screen) เครื่องตรวจจับสารพิษตกค้างในผักผลไม้แบบพกพา เป็นการพัฒนาอุปกรณ์เครื่องอ่านค่าทางเคมีด้วยขั้วไฟฟ้า ที่สามารถช่วยคัดกรองปริมาณสารพิษในผักผลไม้และอาหาร สจล.ออกแบบเพื่อใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยในการดูแลสุขภาพของผู้ใช้งานตามบ้าน เป็นอุปกรณ์เสมือนผู้ช่วยในบ้าน สามารถเข้าถึงได้ง่าย หลักการคือนำผักที่ซื้อมาจากตลาดสดมาล้างก่อน แล้วนำเอาน้ำที่ได้จากการล้างมาตรวจวัดเพื่อดูปริมาณสารตกค้าง ถ้ามีปริมาณสารตกค้างยังอยู่ในปริมาณมาก ผู้ใช้งานก็สามารถนำผักไปล้างซ้ำจนกระทั่งได้น้ำที่สะอาด

 ‘เค-เวจจี้ สกรีน’ (K-Veggie Screen) เครื่องตรวจจับสารพิษตกค้างในผักผลไม้แบบพกพา ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ 1. ส่วนควบคุม ที่ประกอบจากไมโครคอนโทรลเลอร์ขนาดเล็กและประมวลผลก้าวล้ำด้วยระบบเอไอ (AI) เพื่อการทำงานอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 2. ส่วนตรวจวัด (Sensor) ซึ่งได้พัฒนาผิวหน้า ‘ขั้วไฟฟ้า’ ให้มีความจำเพาะกับสารกำจัดศัตรูพืชและแมลงได้อย่างแม่นยำ ผลตรวจวิเคราะห์ผ่านการทดสอบด้วยเครื่องวัดมาตรฐาน High Performance Liquid Chromatography (HPLC) สามารถเปลี่ยนเซ็นเซอร์เพื่อตรวจวัดสารก่อภูมิแพ้ในอาหาร อาทิ เคซีน (Casein), สารเร่งเนื้อแดง, กลูเตน, เมลามีน และสารโลหะหนัก, ซิงค์ และสารปรอท ได้อีกด้วย

ในการวิจัยช่วงเฟสแรกนั้น เดิมทีมวิจัย สจล.ออกแบบ‘เค-เวจจี้ สกรีน’ (K-Veggie Screen) สำหรับใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AAA จำนวน 2 ก้อน วิธีใช้งาน จุ่มปลายเซ็นเซอร์ลงในน้ำล้างผักผลไม้ที่ต้องการตรวจสอบ ตัวเครื่องมีหน้าจอแสดงผลซึ่งจะแสดงค่า 2  แบบ คือ ‘ปลอดภัย’ และ ‘ไม่ปลอดภัย’ โดยเซ็นเซอร์จะตรวจวัดสารเคมีในกลุ่มยาฆ่าแมลงและสารกำจัดศัตรูพืชเป็นหลัก แต่ปัจจุบันเป็น เฟสที่ 2 สจล.ได้พัฒนาความก้าวหน้า โดยออกแบบตัวเครื่องให้มีขนาดเล็กลง ใช้พลังงานจากอุปกรณ์ที่จะนำมาเชื่อมต่อ และสามารถ เปลี่ยนหัวเซ็นเซอร์ เพื่อสะดวกต่อการตรวจวัดสารเคมีชนิดอื่นๆ ได้ด้วย วิธีใช้งาน สะดวกง่ายดาย เพียงหยด’น้ำล้างผักผลไม้’ ลงใน ‘ช่องตรวจวัดค่าสารเคมี’ ใช้เวลาประมวลผลด้วย เอ.ไอ.อย่างรวดเร็วเพียง 10 วินาที และแสดงผลผ่านทางแอปพลิเคชัน ชื่อ ‘Smartzen’ ผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟน แบบเข้าใจง่าย มี 3 ระดับ (สี) ได้แก่ สีเขียว หมายถึง ปลอดภัย, สีเหลือง สารเคมีอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และสีแดง มีค่าสารเคมีเกินมาตรฐาน ทั้งนี้ทำให้ผู้บริโภคสามารถทำการล้างผักและผลไม้ให้อยู่ในเกณฑ์สีเขียวเพื่อความปลอดภัยของตนและครอบครัว  นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อ Wifi, บลูทูธ และอุปกรณ์ IoT เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน

ในปัจจุบันผักผลไม้แต่ละชนิดมีปริมาณสารเคมีตกค้างและแหล่งที่มาแตกต่างกัน ‘เค-เวจจี้ สกรีน’ (K Veggie Screen) จะช่วยทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจไม่ต้องกังวลในการล้างผักผลไม้ให้สะอาดปลอดภัย โดยสารเคมีที่ตกค้างในผักผลไม้ เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ปุ๋ยเคมี โลหะหนัก ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภค มีผลทำให้ ‘ระบบภูมิคุ้มกัน’ ของร่างกายอ่อนแอหากได้รับสารเคมีเหล่านี้ในปริมาณมาก และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็น ‘โรคมะเร็ง’ ตัวอย่างสารเคมีที่มักพบเจอ ได้แก่ สารคาร์โบฟูราน (Carbofuran) ซึ่งนิยมใช้ในนาข้าว พืชไร่ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด แตงโม แตงกวา และพืชสวนอย่างกาแฟ ส้ม มะพร้าว, สารเมโทมิล (Methomyl) ในองุ่น ลำไย ส้มเขียวหวาน สตรอว์เบอร์รี่ กะหล่ำปลี หัวหอม และมะเขือเทศ, สารไดโครโตฟอส (Dicrotophos) ใช้กำจัดแมลงในพืชผักผลไม้ และ สารอีพีเอ็น (EPN) ใช้เป็นหัวยาและผสมกับสารเคมีเกษตรชนิดอื่นๆ ในการเพาะปลูกเพื่อกำจัดแมลงหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีสารพิษที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ สารพิษจากเชื้อจุลินทรีย์ เช่น สารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) เสี่ยงทำให้เกิดมะเร็งตับ, สารพิษจากเห็ดบางชนิด และสารพิษในพืชผักบางชนิด เป็นต้น รวมไปถึงน้ำซุปที่อาจมีการปนเปื้อนของโลหะหนัก สารตะกั่วจากการใช้หม้อที่ชำรุดหรือไม่ได้คุณภาพในการทำอาหาร

จุดเด่นของนวัตกรรม ‘เค-เวจจี้ สกรีน’ นี้คือ ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกะทัดรัด พกพาได้สะดวก น้ำหนักเบา ราคาถูก เซ็นเซอร์ใช้งานง่าย ไม่ต้องเตรียมตัวอย่างการทดสอบให้ยุ่งยาก เพียงเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนหรือ IoT ก็อ่านผลได้รวดเร็ว แม่นยำ มีความจำเพาะในการวัดสูง เนื่องจากการออกแบบขั้วไฟฟ้าใช้วิธีการฝังตัวโมเลกุลของสารจำเพาะที่ต้องการวัดลงไปในสารโพลิเมอร์ในการตรวจวัด จึงสามารถตรวจวัดในผักผลไม้ได้หลากหลายชนิด เพราะเซ็นเซอร์เน้นไปที่การจำเพาะของสารที่ทำการตรวจวัด จึงเหมาะสำหรับผู้รักสุขภาพและผู้บริโภคทั่วไป อุปกรณ์‘เค-เวจจี้ สกรีน’ ยังสามารถเปลี่ยนหัวเซ็นเซอร์ชนิดอื่นเพื่อตรวจวัดค่าความจำเพาะสารเคมีอื่นๆ ได้อีกด้วย

แวะไปชมนวัตกรรมเด่นฝีมือคนไทยนี้ได้ในงาน Innovation Expo 2024 วันที่ 1-3 มีนาคม 2567 ซึ่งเป็นงานแสดงนวัตกรรมเพื่อชีวิตและเศรษฐกิจยุคใหม่ จัดโดย สจล. ณ หอประชุมเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์  สจล.

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธี ส่งมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่เครือซีพี โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ หรือ JCC ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 36 หนุนโภชนาการที่ดี สร้างคลังอาหารในโรงเรียน-ชุมชน มุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เยาวชน ปูพื้นฐานอาชีพนำองค์ความรู้ไปใช้ในอนาคต ณ โรงเรียนบ้านนาคำ (โพนสวรรค์) อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม

 

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า  รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งที่ JCC ให้ความสำคัญในการส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีแก่เด็กและเยาวชนไทย ด้วยการสนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โดยโครงการฯ นี้เป็นตัวอย่างของการบูรณาการงานร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน โดยมี มูลนิธิฯ เป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโรงเรียนทั้ง 4 แห่งในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่ได้รับโอกาสนี้ จะดำเนินโครงการด้วยความตั้งใจ บริหารจัดการไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักเรียน และขอขอบคุณ JCC มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ที่เดินหน้าโครงการฯ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักเรียน โรงเรียน และชุมชน

ด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ ในฐานะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท กล่าวว่า มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ก้าวเข้าสู่ปีที่ 36 โดยในปี 2543 มูลนิธิฯผนึกกำลังกับ JCC ร่วมเป็นภาคีเครือข่ายสนับสนุนโครงการฯ จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 24 ปี โดยเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการฯ ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงโภชนาการที่ดี ให้แก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลและชุมชนในถิ่นทุรกันดาร สำหรับปีนี้ JCC สนับสนุนงบประมาณ แก่ 4 โรงเรียนในจังหวัดนครพนม ประกอบด้วย โรงเรียนบ้านนาคำ โรงเรียนบ้านนาเต่า โรงเรียนบ้านค้อ และโรงเรียนพระซองวิทยาคาร

 

ส่วน นายวราราชย์  เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ผู้แทนรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ร่วมสนับสนุนมูลนิธิ ทั้งงบประมาณและบุคลากร อย่างเต็มกำลัง ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปติดตาม ดูแล ให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงไก่ไข่ และการจัดการผลผลิตไข่ไก่สด แก่ครูและนักเรียนในโรงเรียนที่ร่วมโครงการฯอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถบริหารโครงการได้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมสุขภาพของเด็กเยาวชนไทย ที่เป็นอนาคตของประเทศ จากการบริโภคไข่ไก่อาหารโปรตีนคุณภาพดีอย่างเพียงพอ อิ่มท้อง สมองแจ่มใส และหวังว่าโรงเรียนจะสามารถดำเนินการบริหารจัดการสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน เป็นแบบอย่างให้แก่โรงเรียนอื่นๆ ต่อไป

ทางด้าน นายโคโซ โท รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ กล่าวว่า JCC ตระหนักถึงความสำคัญของโภชนาการในเด็กวัยเรียน และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้สนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งผ่านความช่วยเหลือและส่งเสริมในด้านอาหารและโภชนาการแก่เยาวชนไทยในพื้นที่ห่างไกล ด้วยการสนับสนุนงบประมาณสำหรับก่อสร้างโรงเรือน การติดตั้งอุปกรณ์การเลี้ยง พันธุ์ไก่ไข่ อาหารสัตว์ และเวชภัณฑ์ในการเลี้ยงไก่ไข่รุ่นแรก ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียน ครู ชุมชน และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้าถึงแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดี ตลอดระยะเวลา  24 ปีที่ผ่านมา มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ภายใต้ความร่วมมือของ JCC รวม 146 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยนำรายได้จากการเลี้ยงไก่ไข่รุ่นที่ 1 มาเป็นกองทุนบริหารจัดการในรุ่นต่อไป ส่งผลให้สามารถขยายผลสู่กิจกรรมอื่นๆ ที่ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับโรงเรียนได้อย่างแท้จริง

ปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน 959 โรงเรียนทั่วประเทศ มีนักเรียนกว่า 180,000 คน คุณครูและบุคลากรทางการศึกษากว่า 1,300 คน ตลอดจนชุมชน ได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ การจัดการบริหารฟาร์มขนาดเล็ก และประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญด้านการจัดการอาชีพเกษตรเชิงธุรกิจให้กับครู นักเรียน ได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายให้แก่ชุมชน ทำให้ชาวชุมชนได้บริโภคไข่ไก่สดในราคาที่เหมาะสม สร้างรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผล เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

LINE STICKERS ความสนุกที่มากกว่าของการแชทบน LINE เตรียมจัดงาน LINE STICKERS AWARDS 2023 งานประกาศรางวัลแก่ครีเอเตอร์ ดาราและศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานลายเส้นสติกเกอร์และคาแรคเตอร์ ที่มีความโดดเด่น และได้ความนิยมจากผู้ใช้งาน ภายใต้ธีม “STICKER PLAYYARD” พร้อมเปิดให้แฟนสติกเกอร์ได้ร่วมโหวตผลงานศิลปินคนโปรด และรับสิทธิ์ร่วมงานเพื่อให้กำลังใจครีเอเตอร์ในดวงใจและชมโชว์สุดเอ็กซ์คลูซีฟจากวง LYKN

LINE STICKERS AWARDS 2023 เตรียมมอบรางวัลให้กับครีเอเตอร์และศิลปินเจ้าของผลงานสติกเกอร์ รวม 10 สาขา ได้แก่ (1) สติกเกอร์ทางการยอดดาวน์โหลดสูงสุดแห่งปี (2) สติกเกอร์ครีเอเตอร์ยอดดาวน์โหลดสูงสุดแห่งปี
(3) สติกเกอร์ศิลปินกลุ่มแห่งปี (4) คาแรคเตอร์ดาวรุ่งแห่งปี (5) ครีเอเตอร์ดาวรุ่งแห่งปี (6) สติกเกอร์ติดเทรนด์แห่งปี (7) สติกเกอร์ยอดนิยมแห่งปี (8) สติกเกอร์คู่แห่งปี (9) สติกเกอร์สุดยอดความร่วมมือกับ BROWN & FRIENDS แห่งปี และ (10) คาแรคเตอร์ยอดนิยมตลอดกาล

สำหรับความพิเศษในปีนี้ LINE STICKERS เปิดโอกาสให้แฟนๆ สามารถร่วมโหวตสติกเกอร์ที่เข้ารอบชิง รางวัลสติกเกอร์ยอดนิยมแห่งปี โดยสติกเกอร์ชุดที่เข้าร่วมแข่งขันประกอบไปด้วย THEE PHEE 3, Gemini-Fourth, KRITTONE, POND PHUWIN และ FORCE-BOOK 2 ผ่านการโหวต 2 วิธี คือ

(1)   ซื้อหรือส่งของขวัญ LINE STICKERS เพื่อเป็นการโหวตให้กับสติกเกอร์ชุดนั้นๆ โดย 1 การดาวน์โหลด นับเป็น 5 คะแนน ทั้งการซื้อใช้เองและการส่งเป็นของขวัญ โดยไม่จำกัดจำนวนการดาวน์โหลดต่อวัน https://lin.ee/FEE3j9q/sknj/pr

(2)   โหวตสติกเกอร์ที่เข้าชิงรางวัลผ่าน LINE TODAY ได้ 1 ครั้งต่อ 1 วัน โดยการโหวต 1 ครั้ง นับเป็น 1 คะแนน https://lin.ee/aizL3TQ/sknj/pr

เปิดรับผลโหวตจากทั้ง 2 ช่องทาง ระหว่างวันที่ 24 มกราคม 2567 เวลา 9:00 น. ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 23:59 น. เท่านั้น สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://lin.ee/P8pU9ga/sknj/pr

พิเศษสุด! สำหรับผู้โหวตผ่านการซื้อหรือส่งของขวัญสติกเกอร์ชุดที่เข้าชิงรางวัล และมียอดการดาวน์โหลดสะสมสูงที่สุด 25 อันดับแรก มีสิทธิได้รับบัตรเข้าร่วมงาน LINE STICKERS AWARDS 2023 ท่านละ 1 รางวัล รางวัลละ 2 ที่นั่ง

นอกจากนั้น LINE STICKERS ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งาน สามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานประกาศรางวัลผลงาน LINE STICKERS ครั้งนี้ เพียงซื้อหรือส่งของขวัญสติกเกอร์ ธีม หรืออิโมจิ ครบ 3 เซต จะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานสำหรับ 1 ท่านทันที โดยสามารถซื้อสติกเกอร์ เพื่อรับโค้ดและลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2567 เป็นต้นไปจนถึงวันงานหรือจนกว่าบัตรจะหมด

LINE STICKER AWARDS 2023 จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคมนี้ ณ Lido Connect Hall 2 ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป แฟนๆ สามารถร่วมสนุกกับกิจกรรม พร้อมเป็นกำลังใจให้กับครีเอเตอร์คนโปรด และดูข้อมูลเพิ่มเติมของ LINE STICKERS ได้ทาง LINE Official Account: @linestickersth และ LINE STICKERS Thailand Facebook

การกลับมาของโปรฯ สุดเลิฟ พร้อมความคุ้มค่าที่ขนาดจ่าเฉยยังอยู่เฉยไม่ได้

สำนักงานพาณิชย์อิตาเลียนประจำประเทศไทย ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย และ ลาซาด้า ประเทศไทย เดินหน้ายกระดับประสบการณ์    ช้อปปิ้งเอาใจเหล่าอิตาเลียนเลิฟเวอร์ จัดงานฉลองความร่วมมือปีที่ 2 กับแคมเปญ “Italian Pavilion” ขนทัพหลากหลายสินค้านำเข้าจากอิตาลีกว่า 50 แบรนด์ดัง ส่งตรงถึงมือนักช้อปชาวไทยผ่าน LazMall จัดเต็มด้วยผลิตภัณฑ์ Made in Italy คุณภาพระดับพรีเมียมให้ได้เลือกช้อปอย่างจุใจ ไม่ต้องบินไปไกลถึงยุโรป พร้อมเพลิดเพลินกับดีลสุดพิเศษและคูปองส่วนลดมากมายจากแบรนด์ที่ร่วมรายการทุกเดือน

“Italian Pavilion” คือแคมเปญความร่วมมือที่อำนวยความสะดวกให้เหล่านักช้อปผู้ชื่นชอบสินค้าแบรนด์อิตาลีได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ Made in Italy แท้ๆ ได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัสผ่าน Italian Pavilion บน LazMall มั่นใจได้กับสินค้าของแท้การันตีคุณภาพจากร้านค้าออฟฟิเชียล ซึ่งจุดเด่นดังกล่าวส่งผลให้ LazMall เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายแรกที่ได้รับความไว้วางใจจากสำนักงานพาณิชย์อิตาเลียนให้เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าแบรนด์อิตาลีให้กับผู้บริโภคชาวไทยตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา

 

นอกจากนี้ ในงานยังพบกับอีกหนึ่งไฮไลท์จากแขกรับเชิญคนพิเศษ ตัวแทนอิตาเลียนเลิฟเวอร์ผู้หลงใหลในเสน่ห์ของรสชาติสไตล์อิตาเลียนดั้งเดิมอย่างนักแสดงหนุ่ม ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร ที่มาร่วมสร้างสีสันและแชร์ประสบการณ์ถึงเมนูพาสต้าจานโปรด โดยเผยว่า “ถ้าถามถึงอาหารจานโปรดของผม หนึ่งในนั้นจะต้องมีเมนูอาหารอิตาเลียนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะพาสต้า เป็นเมนูที่คุณแม่ทำให้ทานที่บ้านบ่อยพอสมควร เวลาที่คุณแม่ทำก็จะเลือกทำตามสูตรของเชฟชาวอิตาเลียน เพราะชอบรสชาติสไตล์ดั้งเดิมจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องใช้วัตถุดิบนำเข้าหลายอย่าง ทั้งตัวเส้น น้ำมัน ซอสและเครื่องปรุงรสต่างๆ โชคดีมากที่ทั้งหมดสามารถเลือกซื้อได้เองจาก Italian Pavilion บน LazMall เพราะเป็นแหล่งที่รวบรวมสินค้า Made in Italy แท้ๆ ไว้ให้ครบถ้วนในที่เดียว สะดวกและประหยัดเวลามาก ไม่ต้องเหนื่อยไปเดินหาซื้อเองเลย ตอบโจทย์บ้านที่เป็น Home Cook อย่างครอบครัวผมมากครับ”

เมื่อเข้าสู่ Italian Pavilion บน LazMall ทุกคนจะได้พบกับหลากหลายสินค้าคุณภาพจากกว่า 50 แบรนด์ดังที่ส่งตรงจากประเทศอิตาลี ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่สินค้าในหมวดแฟชั่น บิวตี้และสกินแคร์ ตลอดจนของใช้ต่างๆ ทั้งภายในและนอกบ้าน รวมถึงไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้อย่างสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น เส้นพาสต้า น้ำมันมะกอก เมล็ดกาแฟและแคปซูลกาแฟ น้ำแร่ธรรมชาติ ไปจนถึงวัตถุดิบและเครื่องปรุงอาหารนานาชนิดเพื่อชูรสชาติสไตล์อิตาเลียนแท้ๆ ให้ผู้บริโภคชาวไทยที่ชื่นชอบเมนูอิตาเลียนสามารถเข้าถึงวัตถุดิบต้นตำรับได้อย่างสะดวกและง่ายดายเสมือนยกครัวอิตาลีมาไว้ที่บ้าน

 

ไม่เพียงแค่ยกทัพสินค้าจากอิตาลีมาให้ได้เลือกช้อปกันอย่างจุใจเท่านั้น แต่แคมเปญ “Italian Pavilion” บน LazMall ยังมาพร้อมดีลพิเศษสุดคุ้มทุกปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน (ศุกร์ - อาทิตย์) ตลอดทั้งปี จัดเต็มกับส่วนลดสูงสุดถึง 70% พร้อมมอบคูปองส่วนลดเพิ่มสูงสุด 30% และดีลพิเศษอีกมากมายจากกว่า 50 แบรนด์ชั้นนำที่ร่วมรายการ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นต้นไป สามารถเลือกช้อปสินค้าสินค้าแบรนด์อิตาเลียนแท้และไม่พลาดดีลพิเศษจากแคมเปญ “Italian Pavilion” ได้ทาง http://bit.ly/3O1UHyM

Chester’s (เชสเตอร์) ในกลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ จัดเซอร์ไพรส์เมนูใหม่รับต้นปีปังๆ จับมือ “ชาตรามือ” แบรนด์ชาไทยชั้นนำ รังสรรค์เมนูฟิวชั่นคาวหวานสุดแหวกแนว เอาใจแฟนๆ เชสเตอร์และชาตรามือ รวมถึงตัวตึงสายคาเฟ่ ด้วย ‘ไก่ & ฟรายส์ ชาไทยตรามือ’ นำเมนูตัวท็อปอย่าง ไก่กรอบเนื้อล้วนและเฟรนช์ฟรายส์ เมนูยอดนิยมของเชสเตอร์ มารับประทานคู่กับซอสชาไทย สูตรเฉพาะที่คิดค้นและพัฒนาเป็นพิเศษเพื่อเมนูนี้โดยเฉพาะ ให้ความหอมชาไทยแบบต้นตำหรับ รสชาติกลมกล่อมกำลังดี เสิร์ฟพร้อมวิปปิ้งครีมนุ่มๆ อร่อยจนคุณคาดไม่ถึง!

นางสาวลลนา บุญงามศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ ฟู้ด จำกัด กล่าวว่า เชสเตอร์ เป็นร้านอาหารจานด่วนที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 35 ปี มีการพัฒนาเมนูใหม่ๆ ให้เข้ากับเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภคตลอดเวลา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง สำหรับเมนูใหม่ในครั้งนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องดื่มยอดนิยมตลอดกาล และเป็นกระแสที่มาแรงในตอนนี้อย่าง ชาไทย จึงเกิดไอเดียสร้างสรรค์เมนูฟิวชั่น ‘ไก่ & ฟรายส์ ชาไทยตรามือ’ โดยได้แบรนด์เครื่องดื่มชาไทยที่ครองใจผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยอย่าง “ชาตรามือ” มาร่วมพัฒนาสูตรซอสชาไทยเอ็กซ์คลูซีฟนี้ รับประทานคู่กับไก่กรอบเนื้อล้วนและเฟรนช์ฟรายส์ของเชสเตอร์ ผสมผสานเมนูคาวหวานได้อร่อยลงตัวจริงๆ

“ไม่อยากให้แฟนๆ เชสเตอร์และชาตรามือ พลาดโอกาสนี้ เพราะนอกจากเมนูนี้จะอร่อยถูกปากแล้ว ยังต้องถูกใจและเซอร์ไพรส์กับรสชาติแปลกใหม่นี้แบบที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน แต่ต้องรีบหน่อยนะคะ เพราะเมนูนี้มีจำนวนจำกัดคะ”
นางสาวลลนา กล่าว

 

สำหรับ ‘ไก่ & ฟรายส์ ชาไทยตรามือ’ เริ่มจำหน่ายวันที่ 25 มกราคม 2567 ประกอบด้วยเมนู ‘ไก่กรอบ ชาไทยตรามือ’ จานละ 135 บาท และเมนู ‘ฟรายส์ ชาไทยตรามือ’ เพียง 75 บาทเท่านั้น ท้าให้ลองได้ที่! ร้านเชสเตอร์ทุกสาขา หรือจะสั่งผ่านเชสเตอร์เดลิเวอรี่ โทร.1145 หรือ www.chesters.co.th รวมถึงฟู้ดเดลิเวอรี่แอปพลิเคชันต่างๆ ด้วยโปรโมชั่นชุดพิเศษแบบจุกๆ เช่นกัน

‘เชสเตอร์’ มุ่งมั่นและพัฒนาเมนูมีคุณภาพหลากหลาย รสชาติอร่อย รวมถึงการบริการที่รวดเร็ว เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า พร้อมสร้างสรรค์เทรนด์เมนูอาหารแนวใหม่ และกิจกรรมทางการตลาดที่ทันสมัย เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่ Facebook Page เชสเตอร์ : https://www.facebook.com/chesterthai/ 

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์  ได้รับการยกย่องให้เป็น Thailand’s Top Corporate Brand Values 2023 จากภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเป็นบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดในหมวดธุรกิจการแพทย์ในประเทศไทย ประจำปี 2566 ด้วยมูลค่าแบรนด์ 94,379 ล้านบาท และมีมูลค่าแบรนด์สูงสุดเป็นอันดับ 4 จาก 14 องค์กรชั้นนำที่ได้รับรางวัลในหมวด Thailand’s Top Corporate Brands 2023 โดยมี ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานในพิธีเปิดและมอบรางวัลในงาน “ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2023” โดยทีมผู้บริหารของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นำโดย ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เข้ารับรางวัลดังกล่าว พร้อมด้วยศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.กุณฑลี รื่นรมย์ และผศ. ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มงานวิจัยเรื่อง “การวัดมูลค่าและจัดอันดับแบรนด์องค์กรในอาเซียนและประเทศไทย” ร่วมแสดงความยินดี เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2567 ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ภญ.อาทิรัตน์ กล่าวว่า “รางวัล Thailand’s Top Corporate Brand Values 2023 นี้ นอกจากจะเป็นเครื่องการันตีถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์บำรุงราษฎร์แล้ว ยังตอกย้ำวิสัยทัศน์องค์กรที่จะเป็นจุดหมายแห่งการดูแลสุขภาพและสุขภาวะที่น่าเชื่อถือที่สุด และสะท้อนถึงความทุ่มเทของบุคลากรของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในการส่งมอบประสบการณ์การดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพให้กับผู้รับบริการ พันธมิตร และชุมชนของเรา ขอถือโอกาสนี้ ขอบคุณทุกความไว้วางใจที่มอบให้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เราจะไม่หยุดพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับบริการสุขภาพของประเทศไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง”

 

ทั้งนี้ งาน  ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands ได้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 และมอบรางวัลให้แก่ 23 องค์กรในหลากหลายภาคธุรกิจที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดของประเทศไทยและในอาเซียนประจำปี พ.ศ.2566  ซึ่งรางวัลนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยโดยหลักสูตร Master in Branding and Marketing (MBM) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสื่อในเครือผู้จัดการ เพื่อพัฒนาการวัดมูลค่าแบรนด์อย่างเป็นระบบในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมจากการคำนวณด้วยเครื่องมือ CBS Valuation (Corporate Brand Success Valuation) ที่บูรณาการแนวคิดด้านการตลาดรวมถึงการเงินและการบัญชีเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถวัดมูลค่าแบรนด์ออกมาเป็นตัวเลขทางการเงิน เพื่อส่งเสริมให้องค์กรธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างแบรนด์องค์กรให้เข้มแข็งเพื่อความยั่งยืนในภูมิภาค

บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต การันตีความสำเร็จด้านนวัตกรรมการบริการ ด้วยการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาศูนย์บริการลูกค้า รับ 2 รางวัลใหญ่ระดับภูมิภาค จากเวที  Contact Center Asia Pacific Awards 2023 หรือ CC-APAC ณ ประเทศมาเลเซีย ได้แก่ รางวัล Technology Innovation ระดับ Gold และรางวัล Contact Center Operation ระดับ Silver แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าตามแนวทางการทำงานที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก (Customer-led)

โดย FWD ประกันชีวิตได้รับรางวัล Technology Innovation ระดับ Gold จากการใช้ระบบ Voice Bot เสียงสนทนา AI อัจฉริยะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ ที่สามารถให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องรอสาย  

สำหรับรางวัล Contact Center Operation ระดับ Silver เป็นความสำเร็จต่อเนื่องจากการใช้ระบบ Unified CRM ที่เชื่อมโยงข้อมูลการบริการลูกค้าในทุกระบบ ทุกช่องทาง ให้มาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียว ทำให้เข้าใจลูกค้าแต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจภายในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมยกระดับการทำงานด้วยการนำ Robotics Process Automation (RPA) เข้ามาช่วยให้การทำงานต่างๆ รวดเร็วเป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ องค์กรที่สามารถเข้าร่วมประกวด Contact Center Asia Pacific Awards 2023 คือองค์กรที่ชนะการประกวดระดับ Gold Award จากสมาคม Contact Center ในระดับประเทศมาก่อน โดยรางวัลแบ่งออกเป็น 5 ประเภทคือ 1. Contact Center Operation 2. Business Contribution 3. Customer Experience 4. Employee Engagement และ 5. Technology Innovation 

X

Right Click

No right click