เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) เดินหน้าลุยสร้างความแข็งแกร่งให้ช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน จัดกิจกรรม “Agency Kick Off 2024” งานประชุมและวางแผนงานเริ่มต้นปีของกลุ่มผู้บริหารตัวแทนทุกระดับและตัวแทนทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “Agency RIGHT” เริ่มต้นปีด้วยการกำหนดทิศทางที่ถูกต้องเพื่อพิชิตเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ประจำปี 2567 เน้นการรีครูทตัวแทนใหม่ การฝึกอบรมเพื่อพัฒนาตัวแทนอย่างเป็นระบบ  โดยการบูรณาการแบบ 360 องศา และการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน  

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายอาร์ช คอลมิ (Mr. Arsh Kaumi) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ร่วมแชร์ทิศทางด้านการบริหารปี 2567 พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ อรรถเสรีพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน (Chief Agency Officer - CAO) ที่มาประกาศเป้าหมายและย้ำกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับทีมตัวแทนจำหน่ายภายใต้กลยุทธ์ Agency RIGHT” เพื่อการพิชิตเป้าหมาย ได้แก่ RRecruitment การสรรหา คัดสรรตัวแทนที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ ความสามารถ เพื่อเสริมทัพตัวแทน และรองรับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น I “Infrastructure” สนับสนุนตัวแทน โดยสร้างความร่วมมือจากทุกฝ่ายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นด้านประชาสัมพันธ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการไปจนถึงฝ่ายปฏิบัติการ เป็นต้น G “Growing together” ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตของตัวแทน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในการก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้บริหารฝ่ายขาย และสามารถพิชิตได้ในทุกเป้าหมายที่ต้องการ H “Habit” สร้างวินัยและความมุ่งมั่นในการทำงาน พร้อมตั้งเป้ากิจวัตรประจำวันเพื่อพิชิตเป้าหมาย สุดท้าย T “Training platform” เจนเนอราลี่มุ่งเน้นเสริมสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้กับตัวแทนทุกระดับชั้น เพื่อให้เติบโตในสายงานได้อย่างมืออาชีพ ด้วยมาตรฐานการเรียนรู้หลักสูตรสากลระดับโลก

พร้อมกันนี้ นางสาวช่อฟ้า ยุกตะนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและบริหารลูกค้า กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ได้ย้ำถึงแนวคิด Customer FIRST และแผนการตลาดที่จะสนับสนุนช่องทางตัวแทน ให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงโจทย์และบริการที่ตรงความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือการเป็น Lifetime Partner หรือเพื่อนผู้เคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงเวลา โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมส่งกำลังใจให้ตัวแทนจากทั่วประเทศให้พร้อมเดินหน้าพิชิตเป้าหมายประจำปีอย่างคับคั่ง  

นอกจากนี้ยังได้เชิญวิทยากรพิเศษ คุณแป้ง กนกวรรณ กรรณิกา ที่ปรึกษา High Valued Service & Experience Design มาร่วมพูดสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ทางตัวแทน เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต ในหัวข้อ Right Attitude การสร้างทัศนคติที่มุ่งสู่ความสำเร็จ” เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรม ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท      

ในปี 2024 ประเด็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการพัฒนาที่ยั่งยืนจะไม่ได้เป็นแค่การทำเพื่อภาพลักษณ์ขององค์กรอีกต่อไป แต่กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกและในระดับประเทศ ทั้งในภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากกฎและข้อบังคับเกี่ยวกับความยั่งยืนจากหน่วยงานระดับโลก รวมถึงการค้าระหว่างประเทศจะเริ่มมีการปรับเปลี่ยนมาตรฐาน เพื่อวางมาตรฐานใหม่ให้ธุรกิจลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

เทรนด์เรื่องนี้ทำให้ทุกภาคส่วนในประเทศไทยต้องปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญ และหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนเป็นไปอย่างรวดเร็วก็คือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีศักยภาพ โดยหัวเว่ยถือเป็นหนึ่งในองค์กรภาคเอกชนที่ผลักดันเรื่องกรีนเทคโน  โลยีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดโดยตรง และด้านนวัตกรรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคองค์กรด้วยการปรับกระบวนการทำงานในภาพรวม ซึ่งจะช่วยพาทุกฝ่ายก้าวสู่เป้าหมายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต

ดร. ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงเทรนด์เรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอนในปัจจุบันและเทคโนโลยีที่ตอบรับ Net Zero ว่า “ในปัจจุบันนี้ ถ้าเรามองเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Emission) ในภาพรวม จะพบว่าหลัก ๆ แล้วมาจาก 3 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดคือเทคโนโลยีในอดีตที่ยังใช้งานมาถึงปัจจุบันสำหรับการผลิตพลังงาน รองลงมาคือกลุ่มภาคอุตสาหกรรมทั้งหลายที่ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และกลุ่มที่สามคือภาคคมนาคม สำหรับในส่วนของเทคโนโลยี ถ้าเรามองไปที่เทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตพลังงาน (ในประเทศไทย) จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เพราะเริ่มมีการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งหน่วยงานรัฐของไทยต่างก็ผลักดันเทคโนโลยีเรื่องความยั่งยืนไปในทิศทางเดียวกัน โดยเทคโนโลยี
กรีนกลุ่มแรก ๆ คือกลุ่ม Smart PV ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ทั้งในระดับโรงไฟฟ้าและภาคครัวเรือน ในขณะเดียวกันก็ยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก เทคโนโลยีกรีนที่มีความสำคัญเป็นกลุ่มที่สองคือเทคโนโลยีสมาร์ทกริด ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อให้เกิดการนำพลังงานไปใช้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเทคโนโลยีกรีนกลุ่มที่สามคือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความชาญฉลาดเข้ามาเพื่อใช้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการทำงาน ผ่านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล รวมถึงการนำมาสร้างพลังงานใหม่ในรูปแบบต่าง ๆ”

เขาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีสัดส่วนในการผลิตคาร์บอนฟุตปริ้นท์เพียงแค่ประมาณ 2% จากภาพรวมทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกันกลับมีบทบาทในการช่วยลดคาร์บอนฟุตปริ้นท์ให้กับภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้มากถึง 15-20% โดยอุตสาหกรรมไอซีทีน่าจะช่วยผลักดันให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับอุตสาหกรรมได้มากถึง 12,100 ตัน ภายในปี ค.ศ. 2030

“ปัจจัยหลักในการผลักดันเรื่องกรีนเทคโนโลยีจะมาจาก 3 ส่วน ปัจจัยแรกคือนโยบายจากภาครัฐที่ผลักดันตามมาตรฐานใหม่ของ Net Zero และเร่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงวิธีการผลิตพลังงานในภาคเอกชน ปัจจัยที่สองคือเงินทุน โดยเราได้เห็นเงินทุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสำหรับสนับสนุนด้านกรีน เช่น การปล่อยเงินกู้จากภาคธนาคารสำหรับโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ หรือการจัดเตรียมงบประมาณสำหรับการปรับเปลี่ยนไปสู่บริษัทสีเขียวของภาคองค์กร เป็นต้น และปัจจัยที่สามคือปัจจัยที่เกี่ยวกับธุรกิจทั้งหลาย ซึ่งมีแรงกดดันทั้งจากปัจจัยภายนอกของตลาด ประเด็นเรื่องคาร์บอนเครดิต หรือการตกลงกันระหว่างธุรกิจ” ดร. ชวพล กล่าวเสริม

ในด้านเทคโนโลยีหลักของหัวเว่ยที่มีส่วนช่วยเรื่องการลดคาร์บอนฟุตปริ้นท์โดยตรง ประกอบด้วย เทคโนโลยีคลาวด์และโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ Smart PV ทั้งนี้ เทคโนโลยีคลาวด์สามารถนำมาใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานและวิธีการเข้าถึงตลาด ซึ่งจะช่วยลดคาร์บอนฟุตปริ้นท์ของเทคโนโลยีที่ใช้ รวมถึงการประกอบธุรกิจในด้านต่าง ๆ นอกจากนี้ เทรนด์เรื่องการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นก็มีส่วนช่วยผลักดันเทคโนโลยีคลาวด์ในประเทศไทยและยังมีส่วนช่วยดึงการลงทุนเข้ามาในประเทศอีกด้วย โดยหัวเว่ยได้ลงทุนด้านกรีน ดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อให้บริการด้านคลาวด์ในประเทศไทยถึง 3 แห่ง และยังได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทั้งในระดับโลกและในประเทศไทยเพื่อสร้างอีโคซิสเต็มด้านคลาวด์ที่แข็งแกร่ง รวมทั้งสร้างความแตกต่างที่ชัดเจนในการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
ไดออกไซด์

สำหรับเทคโนโลยี Smart PV ของหัวเว่ยคือ เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์เรื่องการสร้างพลังงานสะอาดโดยตรง จะเห็นได้ว่าแทบทุกภาคอุตสาหกรรมกำลังปรับตัวใช้เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ในระดับครัวเรือนโครงการใหม่ ๆ ที่เริ่มมีการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น โดยหัวเว่ยได้นำเสนอโซลูชัน 1+4+X FusionSolar ที่ให้ความสำคัญกับทั้งเรื่องการจัดเก็บพลังงาน การนำไปใช้งาน และความปลอดภัยในการใช้งานพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของหัวเว่ย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2022 เพื่อทำให้เทคโนโลยีของหัวเว่ยมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในการลดคาร์บอน
ฟุตปริ้นท์ให้แก่ภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ หัวเว่ยมองว่าองค์ประกอบสำคัญในการมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนคือ เทคโนโลยี ความสามารถของคน รวมถึงการเน้นเรื่องการนำความอัจฉริยะเข้ามาใช้ในภาคธุรกิจเพื่อปรับตัวรับกับความยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็ยังมีศักยภาพในการแข่งขันและสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้บริโภคได้อย่างควบคู่กัน สำหรับในประเทศไทย ภาครัฐก็สนับสนุนในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นอย่างดี และภาคเอกชนก็ให้ความสำคัญกับเทรนด์นี้อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งหัวเว่ยก็ให้ความสำคัญกับการลงทุนเรื่องเทคโนโลยีที่สนับสนุนเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนในประเทศไทย สอดคล้องกับพันธกิจที่ว่า  “เติบโตในประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย”

นายณัฐสิทธิ์  สุนทราณู  ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ด้วยกลยุทธ์การตลาดของเคทีซีที่มุ่งตอบสนองความต้องการลูกค้าให้ตรงใจในแต่ละเซ็กเมนท์ ในส่วนของ ช้อปออนไลน์ถือเป็นช่องทางซื้อสินค้าที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ด้วยจุดแข็งของความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและความคุ้มค่า ซึ่งปีที่ผ่านมาช้อปออนไลน์ถือเป็นอีกหนึ่งหมวดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มีแนวโน้มเติบโตดี ต่อเนื่อง”

“สำหรับปีนี้ด้วยแผนกลยุทธ์ของเคทีซีที่มุ่งสร้างความสะดวก อุ่นใจและความปลอดภัยในการใช้จ่าย ทั้งออนไลน์และ ออฟไลน์ให้กับสมาชิก อย่างเช่นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างบัตรเครดิต “เคทีซี ดิจิทัล” บัตรโปร่งแสงที่ไม่มีเลขบัตรเครดิต และเลข CVV และแอปพลิเคชัน “KTC Mobile” ที่ถูกออกแบบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีและ บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” สามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้ง่ายด้วยตนเองอย่างปลอดภัย ประกอบกับมาตรการ Easy E-Receipt  ที่ให้สิทธิ์ผู้ซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 - 15 กุมภาพันธ์ 2567 สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 หมื่นบาท น่าจะเป็นปัจจัยเสริมให้หมวดการใช้จ่ายออนไลน์ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย”

“ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เคทีซีได้ร่วมมือกับช้อปปี้ พันธมิตรผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้และไต้หวัน มอบสิทธิพิเศษในรูปแบบของส่วนลด พร้อมบริการผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน สำหรับสินค้า ที่ร่วมรายการ ให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด และบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ด” เริ่มต้นที่ ส่วนลด 200 บาท เมื่อมียอดซื้อสินค้า 1,600 บาทขึ้นไปต่อรายการ และมอบส่วนลดสูงสุดถึง 1,300 บาท เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรฯ 25,000 บาทขึ้นไปต่อรายการ พร้อมใส่โค้ดส่วนลดที่กำหนดก่อนการชำระ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 29 กุมภาพันธ์ 2567

“เคทีซียังได้จัดกิจกรรมให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท สามารถใช้คะแนน KTC FOREVER เริ่มต้นที่ 999 คะแนน (ปกติ 2,000 คะแนน) แลกรับโค้ดส่วนลด Shopee 200 บาท (เฉพาะวันที่ 15 มกราคม 2567 – 2 กุมภาพันธ์ 2567) นอกจากนี้ ยังมีแคมเปญการตลาดอื่นๆ ที่ทยอยมามอบสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิก อาทิ ส่วนลด 300 บาท ช่วงเงินเดือนออกหรือเพย์เดย์ (PAYDAY) ระหว่างเดือนมกราคม 2567 - พฤษภาคม 2567 ​​​(ทุกวันที่ 25 ของเดือน จนถึงสิ้นเดือนนั้นๆ) ติดตามรายละเอียดและโปรโมชันเพิ่มเติมคลิก  ktc.promo/shopee

สำหรับผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card  สมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD หรือติดต่อ KTC PHONE โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16%      ต่อปี สำหรับผู้ถือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ไหว

พร้อมเปิดตัวคลิป “เชิดชูจิตวิญญาณความเป็นครู” เนื่องในวันครูแห่งชาติ 2567

ทูซีทูพี ประเทศไทย (2C2P) บริษัทผู้ให้บริการอีเพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย ประกาศข่าวดีรับต้นปีมังกร โชว์ผลประกอบการธุรกิจอีเพย์เม้นท์ในประเทศไทยของปี 2566 ที่ผ่านมา ทำรายได้รวมกว่า 3,000 ล้านบาท ทะลุเป้าที่วางไว้ โดยเติบโตจากปีที่แล้วเกือบ 30% พร้อมเดินหน้าปี 2567 ด้วยกลยุทธ์เชิงรุก เตรียมลุยบริการใหม่ แตะเพื่อจ่าย tap to phone เพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมประเทศไทยให้มีระบบเศรษฐกิจที่รองรับการทำธุรกรรมทางออนไลน์ที่ครบถ้วน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ในปี 2570 ทั้งนี้ 2C2P พร้อมวางกำหนดเปิดฟีเจอร์ใหม่ภายในไตรมาส 2 ของปี 2567 และเน้นย้ำให้บริการแบบเต็มรูปแบบในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA)

นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด (2C2P)  ผู้นำในการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร ทั้งในส่วนของการรับเงินและการชำระเงิน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า ในปี 2567 นี้ บริษัทได้ฤกษ์เปิดบ้านใหม่ ณ สำนักงานใหญ่ใจกลางกรุงเทพ เอ็มไพร์ทาวเวอร์ ชั้น 51 ภายใต้วิสัยทัศน์การทำงานร่วมกันเป็นทีม และก้าวไปให้ไกลกว่าเดิม “Go Further” เพื่อตอบสนองการขยายตัวอย่างรวดเร็วของภาคธุรกิจ ทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นในฐานะผู้พัฒนาและให้บริการระบบชำระเงินแบบครบวงจรระดับสากล อีกทั้งบริษัทยังเปิดศักราชใหม่ด้วยการรับรู้รายได้ในปี 2566 ที่ผ่านมา เฉพาะบริษัท 2C2P สาขาประเทศไทย สามารถทำรายได้จากการให้บริการรวมทั้งสิ้นกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 700 ล้านบาท โดยมีธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ผ่านระบบของบริษัทกว่า 150 ล้านรายการต่อปี ในมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท โดยสัดส่วนของรายการปีนี้มาจากมาร์เก็ตเพลส ฟู้ดเดลิเวอรีซูเปอร์แอป สายการบิน ขายตรง และท่องเที่ยว

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทเดินหน้าด้วยกลยุทธ์เชิงรุก ลุยบริการใหม่เพื่อให้สอดคล้องและตอบสนองนโยบาย cashless store ของภาครัฐ บริษัทจึงได้เพิ่มฟีเจอร์ของระบบชำระเงิน Qwik ขึ้นมาที่เรียกว่า “แตะเพื่อจ่าย” หรือ tap to pay โดยร้านค้าที่มีหน้าร้านหรือมีหลายสาขา สามารถใช้มือถือ Android ทุกรุ่นที่มี NFC ยื่นให้ลูกค้า แตะบัตรเครดิตจ่ายเงินที่หน้าร้านได้สบายๆ ไม่ต้องกรอกเลขบัตรให้ยุ่งยาก เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่และกลางที่มีหลายสาขา และกลุ่ม SME เพื่อเป็นตัวช่วยให้ร้านค้าสามารถปิดการขายได้ไวและง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังมีช่องทางรับชำระอื่น เช่น Alipay และ Wechatpay เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวจีนด้วย นายปิยชาติ กล่าวทิ้งท้าย

 

เครื่องดื่มเกลือแร่ “เกเตอเรด” โดย บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำด้านสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จ ลุยจัดการแข่งขัน “GATORADE 5v5 Football 2024” ศึกลูกหนังเยาวชนไทย รุ่นอายุ 14 - 16 ปี เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนไทยได้แสดงความสามารถและศักยภาพด้านฟุตบอลออกมาอย่างเต็มที่ และเฟ้นหาสุดยอดทีมนักเตะไทยเพียงหนึ่งเดียว เป็นตัวแทนระดับประเทศบินลัดฟ้าเข้าร่วมการแข่งขันรายการชิงแชมป์โลก “GATORADE UCL Final 5v5 Experience” พร้อมชิงรางวัลสุดยิ่งใหญ่ บัตรเข้าชมการแข่งขันฟุตบอล ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ประจำฤดูกาล 2023-2024 แบบติดขอบสนาม ณ สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ย้อนกลับไปในปีที่แล้ว ทีม POWER SNCK จากโรงเรียนสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ คว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชนรายการ GATORADE 5v5 Football 2023 รอบชิงแชมป์ประเทศไทย ที่สนามบุรีรัมม์ สเตเดียม ได้สำเร็จ และต่อยอดผลงานส่วนตัวดีต่อเนื่องที่ GATORADE UCL Final 5v5 Experience 2023 ได้นักเตะยอดเยี่ยม คว้าตั๋วไปชมเกมรอบชิงชนะเลิศ ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2022/23 ที่ประเทศตุรกี ระหว่าง อินเตอร์ มิลาน พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี

"น้องเดช" ภูวดล กุดโต ตัวแทนจากทีม POWER SNCK โรงเรียนสนามชัยเขต เผยถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอล GATORADE 5v5 Football 2023 ว่า "เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ยอดเยี่ยมมากครับ แรกๆ เรายังไม่ได้เจอคู่แข่งที่แข็งมาก แต่พอรอบลึกๆ เราเจอคู่แข่งที่เก่งขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงรอบชิงฯ ต้องเจอกับ หมอนทอง ที่มี อ.สกล เกลี้ยงประเสริฐ เป็นโค้ช เป็นทีมที่แกร่งที่สุดเท่าที่เราเจอมาแล้ว แต่เราก็อาศัยทีมเวิร์ค คุยกับเพื่อนๆ ว่าเราต้องเอาให้ได้ สุดท้ายเราก็ทำสำเร็จ"

"การลงเล่นในรายการนี้ ถือเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปจากเดิมที่เคยซ้อมฟุตบอลมา เพราะก่อนหน้านี้เรามักจะซ้อมสนามใหญ่ แต่ต้องเปลี่ยนมาซ้อมในพื้นที่ที่แคบลง มีการลดขนาดสนามลงมา เปลี่ยนประตูให้เล็กลง ใส่เทคนิคการเล่นฟุตบอลสนามเล็กลงไป ก็สามารถปรับตัวได้ครับ"

"ส่วนการได้ไปดูฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก นัดชิงฯ ที่ตุรกี รู้สึกภูมิใจมากครับ ตื่นเต้นมาก ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีในชีวิต ส่วนตัวผมเชียร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครับ แต่รอบชิงฯในเกมนั้นผมปันใจเชียร์ แมนฯ ซิตี เพราะชอบทีมในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ"

"หลังจากนี้คงใช้ประสบการณ์ที่ได้จากรายการนี้ไปปรับใช้ในการซ้อมฟุตบอลของเรา ต่อไปเราอยากจะเล่นฟุตบอลอาชีพ มีต้นสังกัดในไทยลีก สโมสรที่อยากไปอยู่ด้วยคือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งอยากจะฝากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นักฟุตบอลทุกคน เข้ามาร่วมการแข่งขัน GATORADE 5v5 Football กันครับ มาดวลกันครับ ผมรอป้องกันแชมป์อยู่" ภูวดล กุดโต จากทีม POWER SNCK ทิ้งท้าย

ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลเยาวชนสุดยิ่งใหญ่แห่งปีที่ทุกคนรอคอย ถ้าคุณมีความฝันและมั่นใจในฝีเท้า ก้าวออกมาแล้วร่วมสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ไปด้วยกัน กับการแข่งขัน ‘Gatorade 5v5 Football 2024’ รับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 16 มีนาคม 2567 โดยเริ่มต้นการแข่งขันระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม 2567

สำหรับทีมที่ชนะเลิศการแข่งขัน Gatorade 5v5 Football 2024 จะได้รับถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัล 30,000 บาท และได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนจากประเทศไทย เข้าร่วมทริปการแข่งขัน Gatorade UCL Final 5v5 Experience ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มูลค่ากว่า 700,000 บาท ทีมรองชนะเลิศอันดับที่ 1 จะได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท และทีมรองชนะเลิศอันดับที่ 2 (ทั้งหมด 2 รางวัล) จะได้รับเงินรางวัล ทีมละ 10,000 บาท รวมมูลค่าของรางวัลทั้งสิ้นกว่า 1,000,000 บาท

ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันหรือติดตามข้อมูลได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Gatorade 5v5 Football Thailand: https://www.facebook.com/Gatorade5v5FootballThailand หรือสอบถามเพิ่มเติม โทรฯ 089-828-8566

ประเดิมกองทุนแรก 10,000 ลบ.  เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรม อสังหาฯ รองรับท่องเที่ยวไทยเติบโต

Fit Challenge 21 วัน ชิงเงินรวม 400,000

- รางวัลที่1/120,000
- รางวัลที2/ 50,000
- รางวัลที3/ 30,000
- รางวัลที่4/ 15,000
- รางวัลที5/ 10,000
- รางวัลที 6-25 / 5,000
- รางวัลที่26-50/ 3,000

เปิดรับสมัครแล้ว เฉพาะผู้ที่สั่งสินค้าเพียง 1 ชิ้น จึงจะสามารถสมัครได้

  • สมัครวันนี้จนถึงปิดรับสมัครวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2024
  • แจกรางวัล 2 มีนาคม 2024
  • ค่าสมัคร 699

ดูแล และลงแข่งทาง AI BOT

- มีตารางอาหาร 21 วัน
- มีตารางออกกำลังกาย 21 วัน
- มี VDO ความรู้ 21 วัน

อยู่ที่ไหนก็สมัครได้ แข่งขันออนไลน์ วัดผลในเรื่องของ น้ำหนัก สัดส่วน และส่งการบ้าน
มาเปลี่ยนไขมัน เป็นเงินกัน

สมัครติดต่อ Tel.0922629755 หรือ line OA: @Fitfambkk

ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก เปิดตัว HONOR X9b ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ไปเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา โดยเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางรุ่นใหม่ล่าสุดในกลุ่ม X Series ที่สเปกจัดเต็ม ครบครันทุกการใช้งาน ในราคาคุ้มค่า 10,990 บาท ซึ่งหลังจากการเปิดตัวและจำหน่ายวันแรกในวันที่ 12 มกราคม 2567 มีผู้ให้ความสนใจและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้เป็นอย่างมาก ตลอดจนมีการจัดกิจกรรมพิเศษที่หน้าร้านหลากหลายสาขา เพื่อให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับสมาร์ตโฟน HONOR X9b ด้วยตัวเอง ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก สนุกสนาน อีกทั้งยังมอบโปรโมชันดี ๆ ให้กับผู้ที่ซื้อมือถือด้วยของแถมสุดพรีเมียมมากมายตลอดเดือนมกราคม 2567 นี้

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ HONOR X9b ได้รับความสนใจและขายดี เป็นเพราะฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน รวมถึงดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยการใช้วัสดุเกรดพรีเมียม โดยตัวเครื่องมีความบางเบา แต่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพและมีความแข็งแรง ทนทาน ส่วนด้านประสิทธิภาพมาพร้อมหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่มีความทนทานเป็นพิเศษ สามารถรองรับการกระแทกรอบด้าน 360 องศา ผสานกับการใช้งานที่ยาวนานสูงสุดถึง 3 วัน ด้วยแบตเตอรี่ขนาด 5800mAh ตลอดจนระบบกล้องสามตัวที่ทำให้ถ่ายภาพออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม มีความละเอียด คมชัด สีสันสวยงาม อีกทั้งยังได้พลังจากนักมวยดาวรุ่ง “ตะวันฉาย” พรีเซนเตอร์ของมือถือรุ่นนี้ ช่วยดันภาพลักษณ์แบรนด์ให้มีความพรีเมียมและสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นสมาร์ตโฟนที่มีความแข็งแกร่ง ทนทาน จนผู้บริโภคอยากเป็นเจ้าของ HONOR X9b

ผู้ที่สนใจ สามารถเป็นเจ้าของ HONOR X9b ได้แล้ววันนี้ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีส้ม (Sunrise Orange), สีดำ (Midnight Black) และ สีเขียว (Emerald Green) ในราคาสุดคุ้มเพียง 10,990 บาท* พร้อมรับของแถมสุดพิเศษ หูฟังไร้สาย HONOR CHOICE Earbuds X5 Lite มูลค่า 1,290 บาท และ HONOR Designer Case (คละแบบ) มูลค่า 699 บาท สามารถซื้อได้ที่ร้าน BaNANA, AIS Shop, TG Fone, Jaymart และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.hihonor.com/th หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand

“นิปปอนเพนต์” เปิดยุทธศาสตร์ 3 ปี ก้าวขึ้นสู่ “ผู้ผลิตสีที่ผลิตและจำหน่ายมากที่สุดในประเทศไทย” ด้วยยอดขายกว่า 15,000 ล้านบาท ประเดิมเปิดศักราชใหม่ จัดประชุมตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ พร้อมเดินเครื่องวางยุทธ์ทางการตลาดสร้าง movement ใหม่ๆให้กับตลาดสี ตอกย้ำแนวคิด Inspired by you มั่นใจแนวรบใหม่ดันยอดขายปี 67 แตะนิวไฮ

มิสเตอร์ จอน ตัน ฮอน ยู รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทนิปปอนเพนต์ มาเลเซีย (M Group) นำทีมแถลงความสำเร็จและนโยบายของกลุ่มบริษัทนิปปอนเพนต์ทั่วโลก รวมถึงความสำเร็จในภูมิภาคเอเชียและประเทศไทย พร้อมผลักดันกลยุทธ์และเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระดับสากล

นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสี “นิปปอนเพนต์” ในประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตสีรายใหญ่อันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 4 ของโลก จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ภาพรวมของนิปปอนเพนต์ ประเทศไทย ในปี 2566 มียอดขายรวมกว่า 9,200  ล้านบาท เติบโตกว่า 12% สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยปัจจัยหลักมาจาก การปรับกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทแบบรอบด้าน ทั้งในส่วนของกลยุทธ์การทำตลาด โดยเพิ่มการทำตลาดแบบ Push Marketing ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น การปรับโครงสร้างการขาย เพิ่มประสิทธิภาพพนักงานขายให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุด  รวมถึงการปรับเซ็กเม้นท์ตลาดเพื่อให้มีความชัดเจนและตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Business-to-Business (B2B), กลุ่ม Business-to-Customer (B2C)  และกลุ่ม Business-to-Government (B2G)

สำหรับยุทธศาสตร์การดำเนินงานของ “นิปปอนเพนต์” ใน 3 ปี นับจากนี้ (ปี 2567-2569)  บริษัทตั้งเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ของธุรกิจสีและสารเคลือบผิวของตลาดสีในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “Inspired by you” โดยแนวคิดในการดำเนินงานเป็นการผนึกรวม 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มสีทาบ้าน อาคารและโรงงาน, กลุ่มสีพ่นรถยนต์ และกลุ่มสีสำหรับงานอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ความเชื่อมั่น และตอบโจทย์ความต้องการในตลาดเมืองไทยอย่างแท้จริง พร้อมเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องทั้งในด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี การพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงการวางกลยุทธ์การตลาดแบบ 360 องศา เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง   

“ในปี 2566 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่นิปปอนเพนต์ประสบความสำเร็จ เห็นได้จากยอดขายที่เติบโตแบบก้าวกระโดด กว่า 12% ขณะที่ตลาดรวมมีการเติบโตเพียง  5-6%  ถือเป็นการเติบโตมากกว่าตลาดถึง 2 เท่าตัว ทำให้บริษัทมีความเชื่อมั่นในการรุกตลาดต่อเนื่อง โดยในปีนี้จะเห็นการกลับมาลงทุนและการรุกตลาดอย่างหนักของนิปปอนเพนต์ พร้อมตั้งเป้าหมายที่จะนำยอดขายสูงกว่า 11,000 ล้านบาท ถือเป็นการทำยอดขายนิวไฮในรอบ 57 ปีของนิปปอนเพนต์ประเทศไทย พร้อมตั้งเป้าหมายก้าวขึ้นสู่ผู้ผลิตสีที่ผลิตและจำหน่ายมากที่สุดในประเทศไทย (ผู้ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยไม่นับรวมการส่งออก) ภายในปี 2569 ด้วยยอดขายรวมกว่า 15,000 ล้านบาท”  

ด้าน นายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นิปปอนเพนต์เดินหน้ากลยุทธ์การทำตลาดแบบ 360 องศา ทั้ง Above The Line และ Below The Line เพื่อสร้างการรับรู้และสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มทั้ง B2B, B2C และ B2G โดยเริ่มต้นศักราชใหม่ด้วย การจัดงาน Dealer Conference Meeting  การรวมตัวครั้งใหญ่ของตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และบริษัทพร้อมเดินเครื่องกลยุทธ์การตลาดเต็มสูบ เพื่อที่จะสร้าง movement ใหม่ๆให้กับตลาดสีในประเทศไทย

“นิปปอนเพนต์เดินหน้าธุรกิจภายใต้แนวคิด “Inspired by you” ประกอบไปด้วย “3C” ได้แก่ Customer Centric, Customized Solution และ Concrete Innovation ด้วย วิสัยทัศน์การทำงานที่เน้นลูกค้าเป็นสำคัญ ซึ่งผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมของนิปปอนเพนต์ คิดและพัฒนาจากความต้องการของลูกค้าและปัญหาที่ลูกค้าพบเจอ โดยนิปปอนเพนต์คิดค้นนวัตกรรมและโซลูชันที่เข้ามาตอบโจทย์และแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทมุ่งเน้นการยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพพนักงานขายให้ช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้า รวมทั้งเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมทั้งในกลุ่มตัวแทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) และโมเดิร์นเทรด ขณะเดียวกันบริษัทมุ่งเดินหน้าสร้างการเติบโตร่วมกับพันธมิตรคู่ค้า ในทุกกลุ่ม โดยจะร่วมกันพัฒนาทั้งสินค้าและบริการรวมถึงการวางแผนดำเนินการร่วมกันควบคู่กันไป โดยบริษัทไม่มีนโยบายในการเปิดร้านค้าปลีก หรือจำหน่ายสินค้าเช่นเดียวกับคู่ค้า ทำให้
คู่ค้ามั่นใจได้ว่า นิปปอนเพนต์พร้อมเดินหน้าเคียงข้างร่วมกันอย่างแท้จริง”

สำหรับตลาดสีทุกประเภทในปี 2566 มีมูลค่ารวมราว 58,000 ล้านบาท เติบโต 5-6% โดยในปี 2567 คาดว่าจะมีการเติบโตราว 5% ซึ่งการเติบโตหลัก มาจากการกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกและการร่วมกันเป็นพันธมิตรกับกับคู่ค้า บริษัทยังให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานให้มีความเชี่ยวช

ภายในงาน Dealer Conference Meeting ได้รับเกียรติจาก นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้กล่าววิสัยทัศน์ทิศทางภาคอสังหาฯที่มุ่งดำเนินธุรกิจควบคู่กับความยั่งยืน รวมถึงเทรนด์การออกแบบและการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างสำหรับที่อยู่อาศัยปี 2567 ว่า “แสนสิริ  เราให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน โดยเป็นอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2593 ซึ่งแผนงานที่สำคัญในปีนี้ คือ การมุ่งมั่นส่งมอบทุกโครงการใหม่ของแสนสิริด้วยนวัตกรรมบ้านสีเขียว หรือ Green Living Designed Home ภายใต้ 3 แนวคิด เริ่มตั้งแต่การออกแบบ-ก่อสร้าง-จนถึงการส่งมอบบ้านพลังงานสะอาด เพื่อให้ลูกบ้านได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ แสนสิริ ยังให้ความสำคัญกับกระบวนการการคัดเลือกคู่ค้าที่ใส่ใจเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ขอชื่นชมนิปปอนเพนต์ที่ร่วมเป็นพันธมิตรและคู่ค้ากับแสนสิริมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมเดินหน้าส่งมอบที่อยู่อาศัยที่ดีมีคุณภาพ มีมาตรฐานความปลอดภัยต่อผู้อาศัย และมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ในการร่วมลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน”

X

Right Click

No right click