สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือกับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการ ผนึกกำลังสร้างโอกาสทางธุรกิจ ชักจูงการลงทุนในไทยและอาเซียน

บันทึกข้อตกลงนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ในการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการลงทุนแก่นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการดำเนินธุรกิจใน ประเทศไทยพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายการลงทุนไปต่างประเทศโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น

ผู้ประกอบการที่สนใจจะลงทุนในประเทศไทย หรือผู้ประกอบการไทยที่ต้องการจะไปลงทุนในต่างประเทศ สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ตามความต้องการของธุรกิจ และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายระดับภูมิภาคของธนาคารเพื่อเชื่อมต่อกับหน่วยงานภาครัฐ สมาคมอุตสาหกรรม และบริการด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการขยายธุรกิจทั่วภูมิภาคเอเชีย  ซึ่งบีโอไอพร้อมที่จะทำงานร่วมกับธนาคารยูโอบีในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น งานจับคู่ธุรกิจ นิทรรศการด้านการค้าการลงทุน และงานสัมมนาเพื่อชักจูงการลงทุน

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า “ปัจจุบันประเทศไทยเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศเดินหน้าเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในหลากหลายอุตสาหกรรมสำคัญ ภาพที่เห็นได้ชัดเจนคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม - กันยายน 2566) มีจำนวน 910 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 49 คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 398,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 โดยเป็นการลงทุนจีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ

การเติบโตของการลงทุนในประเทศไทยนี้ สอดรับกับการประกาศยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ของบีโอไอในปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะมีการออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ แล้ว ยังรวมถึงการปรับเพิ่มบทบาทของบีโอไอในการชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศเชิงรุก ผ่านการทำงานร่วมกับองค์กรพันธมิตร รวมถึงสำนักงานบีโอไอที่ตั้งอยู่ใน 16 ประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน และอีก 3 แห่งที่จะจัดตั้งเพิ่มเติมในปีนี้ ได้แก่ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย นครเฉิงตู ประเทศจีน และประเทศสิงคโปร์ 

“การผนึกกำลังระหว่างบีโอไอกับธนาคารยูโอบีครั้งนี้ จะช่วยยกระดับความร่วมมือระหว่างกันในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ โดยส่งเสริมการลงทุน 2 ทาง ทั้งการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในประเทศไทย และการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพให้ออกไปแสวงหาโอกาสและขยายตลาด

ในต่างประเทศ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจให้แก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ การสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้ขยายธุรกิจเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมระดับโลก เพื่อตอบโจทย์การเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาค” นายนฤตม์ กล่าว

 

นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยมีศักยภาพในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรม ซัพพลายเชน และแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว ด้วยเครือข่ายของธนาคารยูโอบีที่เข้มแข็งครอบคลุมทั่วภูมิภาค และยังมีหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของธนาคารทั้ง 10 แห่งทั่วเอเชีย เราพร้อมที่จะให้การสนับสนุนธุรกิจทั้งสำหรับบริษัทต่างชาติที่สนใจจะมาตั้งฐานการผลิตในไทย และช่วยเหลือบริษัทไทยที่สนใจไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านโดยธนาคารจะร่วมมือกับบีโอไอในการเชื่อมโยงภาคธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมในประเทศไทยและเพิ่มโอกาสในการค้าข้ามพรมแดนทั่วภูมิภาค”

ตั้งแต่ที่ธนาคารยูโอบีได้จัดตั้งหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ในปี 2554 ธนาคารได้สนับสนุนธุรกิจกว่า 4,200 บริษัทในการขยายธุรกิจในภูมิภาค ซึ่งมี 370 บริษัทได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และนับตั้งแต่ปี 2562 หน่วยงานนี้ได้ช่วยให้เกิดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทย รวมมูลค่ากว่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐและการจ้างงานอีกกว่า 18,000 ตำแหน่งทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ช่วยเหลือธุรกิจไทยอีกกว่า 210 บริษัทในการออกไปลงทุนในประเทศต่าง ๆ อาเซียน โดยมี สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนามเป็นจุดหมายหลัก

เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) เดินหน้าลุยตลาดประกันภัยในประเทศไทย ผนึกกำลัง กลุ่มทิสโก้ ร่วมลงนามข้อตกลงพันธมิตรทางธุรกิจแบบ “Exclusive Partnership” ให้เจนเนอราลี่นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตคุ้มครองภาระหนี้และประกันสุขภาพ ให้แก่ลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อและจำนำทะเบียนของกลุ่มทิสโก้

นาย อาร์ช คอลมิ (Mr. Arsh Kaumi) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ประกาศความร่วมมือพิเศษกับ กลุ่มทิสโก้ เพื่อส่งมอบความคุ้มครองที่คุ้มค่าให้กับลูกค้า ด้วยวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องของทั้งสองบริษัทที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จึงวางเป้าหมายในการเป็น Lifetime Partner ที่จะสร้างความมั่นคงให้กับลูกค้าในทุกช่วงชีวิต ภายใต้แนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีแผนความคุ้มครองที่เหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มทิสโก้โดยเฉพาะ เพื่อให้ลูกค้าสามารถลดภาระหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และสามารถบริหารการเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินที่ลูกค้าต้องการได้มากที่สุด

เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ มุ่งมั่นที่จะขยายตลาดประกันภัยในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การปกป้องคุ้มครอง และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและบริหารความมั่นคงทางการเงินของลูกค้า โดยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตคุ้มครองภาระหนี้และประกันสุขภาพที่ครอบคลุมทั้งการรักษาพยาบาลผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) รวมถึงการชดเชยรายได้ในระหว่างการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นแผนคุ้มครองสุขภาพที่ช่วยดูแลลูกค้าได้อย่างรอบด้าน รวมถึงยกระดับการให้บริการแก่ลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ครบวงจร”

“นอกเหนือจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันที่ครอบคลุมและตอบโจทย์แล้ว เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ยังคงส่งมอบบริการหลังการขายแบบมืออาชีพ รวมถึงนวัตกรรมด้านการบริการผ่านแอปพลิเคชัน GEN 365 อาทิ บริการด้านสินไหมที่สะดวกและรวดเร็ว (e-claim) บริการปรึกษาแพทย์แบบออนไลน์ (Telemedicine) รวมถึงการเข้าถึงเครือข่ายสถานพยาบาล ที่มีมากกว่า 650 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าของเจนเนอราลี่สามารถเข้ารับบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงสิทธิประโยชน์ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย”

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ (Mr. Sakchai Peechapat) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า กลุ่มทิสโก้ดำเนินธุรกิจโดยมีแนวคิดสำคัญคือ การมุ่งมั่นสนับสนุนให้คนไทยมีความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งประกันภัยนับเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์สำคัญที่ส่งเสริมด้านการวางแผนทางการเงินเช่นกัน โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากลุ่มทิสโก้ให้ความสำคัญกับการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ นั่นคือการให้ความสำคัญด้านธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความยั่งยืนในฐานะผู้ให้บริการที่ดูแลความมั่นคงทางการเงินให้แก่ลูกค้า รวมถึงคัดสรรพันธมิตรร่วมธุรกิจที่มีแนวคิดสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทิสโก้

โดยกลุ่มทิสโก้ ให้ความสำคัญกับการพิจารณาคัดเลือกพันธมิตรที่จะเข้ามาดูแลลูกค้าของเราอย่างมาก ต้องเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงด้านการเงิน มีความเชี่ยวชาญ และมีนโยบายในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่าความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับมีความคุ้มค่า สำหรับ บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งพันธมิตรรายสำคัญ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านประกันภัย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตคุ้มครองภาระหนี้และผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่โดดเด่น รวมทั้งยังเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ หนึ่งในบริษัทประกันภัยระดับโลกที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งดำเนินธุรกิจมากว่า 192 ปี จึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลก

“หลังจากนี้ กลุ่มทิสโก้ และ เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ จะร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีภายใต้การลงนามข้อตกลง “Exclusive Partnership” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เพื่อยกระดับการให้ความมั่นคงทางด้านการเงิน พร้อมกับการเสนอบริการที่ดีแก่กลุ่มลูกค้าสินเชื่อ ผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตคุ้มครองภาระหนี้ (Auto Loan Protection) และแผนประกันคุ้มครองสุขภาพ (Health Insurance Plan) ที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับลูกค้าทิสโก้และครอบครัวโดยเฉพาะ โดยนำเสนอผ่านธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไฮเวย์ จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อรถจักรยานยนต์ และนายหน้าประกันภัย ภายใต้แบรนด์ สมหวัง เงินสั่งได้  ขณะที่ทิสโก้เองมีทีมงาน ที่พร้อมจะเป็นตัวกลางคอยให้บริการและทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำลูกค้าอย่างใกล้ชิด”

ในยุคที่เทคโนโลยีเจริญรุดหน้าอย่างก้าวกระโดด เอไอกลายเป็นเทคโนโลยีแห่งยุคที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่างๆ ให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (digital transformation) การนำเทคโนโลยีเอไอมาปรับใช้ไม่เพียงจะช่วยปลดล็อคศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ยังนำมาซึ่งโอกาสใหม่ ๆ สำหรับทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการธุรกิจ และบุคคลทั่วไป หัวเว่ย มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการใช้งานเทคโนโลยีเอไอที่กำลังรุ่งเรืองนี้ จึงได้ประกาศแผนกลยุทธ์การพัฒนาเอไอ ที่สอดรับต่อการเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ ๆ เพื่อเสริมความแกร่งให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความอัจฉริยะต่างๆ และขับเคลื่อนการพัฒนาธุรกิจต่อไปได้ ผ่านการแบ่งปันเทคโนโลยี การผสานความร่วมมือ และการผนึกกำลังภายในระบบนิเวศ (ecosystem integration) กลยุทธ์ดังกล่าวยังมุ่งเน้นที่จะปรับภูมิทัศน์ดิจิทัลของประเทศไทย ให้สอดรับกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไทยในการเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเอไอของอาเซียน       

เดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวย้ำถึงพันธกิจของกลุ่มธุรกิจโซลูชัน ประมวลผลคลาวด์ของหัวเว่ย ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีคลาวด์และเอไอในประเทศไทย “ในโลกอัจฉริยะทุกวันนี้ ปรากฏการณ์ความก้าวล้ำของเทคโนโลยีเอไอ ไม่เพียงแค่เป็นที่รับรู้กันเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามมาอีกมากมาย ความสามารถของเอไอพัฒนาขึ้นจากการรับรู้และความรู้คิด ต่อยอดไปสู่การสร้างคอนเทนต์ ดังนั้น แอปพลิเคชันเอไอต่างๆ จะค่อยๆ พัฒนาต่อยอดจากแอปพลิเคชันสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ไปสู่แอปพลิเคชันสนับสนุน และสุดท้ายจะกลายมาเป็นแอปพลิเคชันหลักของธุรกิจ ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า เราเชื่อว่าอุตสาหกรรมธุรกิจกว่า 50% จะนำเอไอมาใช้เพื่อปลดล็อคศักยภาพและสร้างโอกาสใหม่ ตีเป็นมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญให้กับธุรกิจ หัวเว่ย จึงตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผนึกกำลังร่วมกับรัฐบาลไทยในการนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ประเทศไทย 4.0 เราจะนำความเชี่ยวชาญในประเทศไทย ความชำนาญในอุตสาหกรรม กลยุทธ์การสร้างระบบนิเวศ และพันธกิจด้านความมั่นคงปลอดภัย มาช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยได้ก้าวสู่แถวหน้าของยุคปฏิวัติเอไอ เราจะเดินหน้าสำรวจยุคเอไอแห่งอนาคตไปด้วยกันพร้อมกับคนไทย วัฒนธรรมไทย และนวัตกรรม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

พร้อมกันนี้ หัวเว่ย ได้เผยกลยุทธ์ 3 เสาหลัก ในการนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ในการพัฒนาประเทศไทย ดังนี้

  • เอไอเพื่อประเทศไทย – ส่งเสริมการใช้งานโซลูชันเอไอของ HUAWEI CLOUD โดยผนึกกำลังร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในจัดทำกลยุทธ์การพัฒนาเทคโนโลยีเอไอและคลาวด์ โดยมุ่งผลักดันการสร้างรัฐบาลดิจิทัล ระบบเศรษฐกิจแบบหลากหลาย และความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัลของประเทศ รวมไปถึงการวางรากฐานที่แข่งแกร่งให้กับ HUAWEI CLOUD AI ในการเข้าสู่ประเทศไทย นอกจากนี้ หัวเว่ย วางแผนที่จะปลดล็อคศักยภาพเอไอด้วยระบบเอไอภาษาไทย เพื่อช่วยต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย และผลักดันการพัฒนาความสามารถมนุษย์เอไอของประเทศไทย
  • เอไอเพื่ออุตสาหกรรม – ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า กว่า 50% ของอุตสาหกรรมหลัก เช่น ภาคบริการสาธารณะ อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ ภาคเกษตรกรรม ธุรกิจบริการทางด้านการเงิน จะนำเอไอมาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระดับอุตสาหกรรม ข้อมูลจากแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมเอไอของไทยจะมีมูลค่าแตะ 8 หมื่นล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2570 ดังนั้น หัวเว่ยจะใช้ HUAWEI CLOUD เป็นแพลตฟอร์มในการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นในภาคธุรกิจการเงินและค้าปลีก เพื่อเร่งขับเคลื่อนความเป็นดิจิทัลให้กับอุตสาหกรรมของประเทศไทย และสร้างการเติบโตในอุตสาหกรรมใหม่ให้กับประเทศชาติ
  • เอไอเพื่อระบบนิเวศ – ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของอุตสาหกรรมหนึ่ง ๆ ต้องอาศัยความร่วมมือของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในยุคเอไอ ดังนั้น ระบบนิเวศที่เพียบพร้อมคือกุญแจสำคัญ หัวเว่ยให้ความสำคัญกับพาร์ทเนอร์และระบบนิเวศของอุตสาหกรรมมาโดยตลอด โดยหัวเว่ยให้ความสนับสนุนพาร์ทเนอร์ทั่วโลกกว่า 48,000 ราย และร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ทางยุทธศาสตร์กับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก หัวเว่ยได้จัดตั้งโครงการเพื่อพัฒนานักพัฒนาเทคโนโลยีเอไอ 20,000 คนภายใน 3 ปี นอกจากนี้ หัวเว่ยจะร่วมขับเคลื่อนชุมชนนักพัฒนาเพื่อส่งเสริมการเติบโตของระบบนิเวศเอไอในประเทศไทยและสนับสนุนพาร์ทเนอร์และสตาร์อัพไทยในการพัฒนาแอปพลิเคชันเอไอให้ก้าวสู่ระดับภูมิภาค

มาร์ค เฉิน ประธานฝ่ายขายโซลูชันประมวลผลคลาวด์ของหัวเว่ย กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การพัฒนาเอไอของหัวเว่ยว่า“ขณะที่เราเดินทางเข้าสู่ยุคแห่งการระเบิดของเทคโนโลยี เราฉลองให้กับการความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีเอไอและคลาวด์ ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผล การแปลงข้อความเป็นเสียงพูด ไปจนถึงการรู้จำเสียงพูด ทั้งหมดล้วนนำไปสู่ความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดในอนาคต กลยุทธ์ของหัวเว่ยยังมุ่งเน้นที่การลงทุนมหาศาลในด้านเทคโนโลยี การผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์วโลก และการมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาโซลูชันที่เฉพาะเจาะจง สำหรับในประเทศไทย หัวเว่ยไม่เพียงแค่มุ่งเปิดตัวเทคโนโลยีล้ำยุคแต่ยังเข้ามามีส่วนร่วมกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา เราได้เปิดตัวแพลตฟอร์มผานกู่ (Pangu AI) ซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อให้สามารถใช้งานได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม จึงไม่เพียงช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติการแต่ยังสามารถรับมือกับความท้าทายเฉพาะตัวของแต่ละอุตสาหกรรมได้ด้วย ความเชี่ยวชาญของเรายังขยายรวมไปถึงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ วิศวกรรมซอฟท์แวร์ กระบวนการผลิต และการจัดหาโซลูชัน เป็นต้น จากประสบการณ์ที่สั่งสมจากอุตสาหกรรมเหล่านี้ ทำให้หัวเว่ยมองเห็นศักยภาพของเอไอในการเข้ามาปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนได้อย่างชัดเจน”

ปัจจุบัน หน่วยงานภาครัฐและองค์กรธุรกิจหลายแห่งตระหนักถึงโอกาสและความสำคัญของเอไอในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมไปถึงการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ หัวเว่ยให้บริการโซลูชันแก่หน่วยงานภาครัฐกว่า 800 แห่ง ลูกค้าด้านการเงินกว่า 500 ราย และผู้ให้บริการเครือข่ายอีกกว่า 120 บริษัท ไม่เพียงเท่านั้น ในประเทศจีน กว่า 75% ของบริษัทสื่อดิจิทัลชั้นนำท็อป 50 ของประเทศ 85% ของบริษัทเกมชั้นนำ 90% ของบริษัทอีคอมเมิร์ซชั้นนำ และอีก 90% ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ท็อป 30 ของจีนล้วนใช้บริการจากหัวเว่ย

หัวเว่ย สั่งสมประสบการณ์กว่า 24 ปีในประเทศไทย พร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทางดิจิทัลอย่างรวดเร็วของประเทศไทยเสมอมา และในยุคที่เอไอกำลังเข้ามาเปลี่ยนโลก หัวเว่ยจะยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยในการยกระดับประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีเอไอและคลาวด์ไปด้วยกัน เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในภูมิทัศน์เอไอโลก สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของหัวเว่ยในการเติบโตในประเทศไทย เพื่อคนไทย     

หูฟังนำแฟชันนวัตกรรมใหม่สวมใส่สบายด้วย C-Bridge Design และ HUAWEI MatePad Pro 13.2 แท็บเล็ตเรือธงพร้อมเทคโนโลยี NearLink การทำงานร่วมกับปากการุ่นใหม่ HUAWEI M-Pencil (รุ่นที่ 3)

สิงห์ เอสเตท ยื่น filing เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป อายุ 3 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 8 – 9 และ 12 ก.พ. 2567 พร้อมอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้อยู่ที่ “BBB” ซึ่งเป็นกลุ่ม “ระดับลงทุน” (Investment Grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากการจัดอันดับโดยทริสเรทติ้ง

หลังจากประสบความสำเร็จจากการเสนอขายหุ้นกู้ในปี 2566 ที่ผ่านมา โดยปิดการขายรวมมูลค่าเสนอขายทั้งสิ้น 1,700 ล้านบาท ตอกย้ำความมั่นใจและไว้วางใจของผู้ลงทุนต่อการเติบโตของธุรกิจกลุ่ม บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เตรียมพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้ยื่นคำขออนุญาตและแบบแสดงรายการข้อมูลตราสารหนี้ (filing) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยเป็นหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยคาดว่าจะเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไประหว่างวันที่ 8-9 และ 12 ก.พ. 2567  โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งสถาบันการเงิน 3 แห่ง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร

โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 ที่ระดับ “BBB” ซึ่งเป็นกลุ่ม “ระดับลงทุน” (Investment grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) โดยทริสเรทติ้ง ระบุว่า อันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวสะท้อนผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนแผนการขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ รวมถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง ที่มองว่าภาระหนี้สินของบริษัทฯ จะอยู่ในทิศทางที่ลดลงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ อันดับความน่าเชื่อถือยังสะท้อนถึงคุณภาพที่ดีของสินทรัพย์โรงแรมของบริษัทฯ ตลอดจนแบรนด์ของโครงการที่พักอาศัยที่ได้รับการยอมรับอย่างดี มีผลการดำเนินงานตามแผน และรายได้ประจำจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์อีกด้วย 

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุม ธุรกิจโรงแรม ภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นอย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน SHR เป็นเจ้าของโรงแรมทั้งสิ้นจำนวน 38 แห่ง ห้องพัก 4,552 ห้อง ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญกระจายอยู่ใน 3 ภูมิภาค 5 ประเทศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย บริษัทฯ มีนโยโบายในการพัฒนาทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงหลากหลายรูปแบบโดยมุ่งเน้นที่ Luxury Segment ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และโฮมออฟฟิศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ได้แก่ อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในทำเลหลัก ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตและให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานเช่า รวมทั้งการลงทุนในบริษัทร่วมในธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 นั้น บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและการบริการจำนวน 10,072 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ เติบโตโดดเด่นถึง 34% ด้วยแรงส่งสำคัญจากการเปิดตัว 3 โครงการ ภายใต้ 3 แบรนด์ซึ่งรวมถึงโครงการใหญ่ S’RIN ราชพฤกษ์-สาย 1 ที่มีมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทและพร้อมเริ่มรับรู้รายได้ทันที  ขณะที่รายได้จากธุรกิจให้บริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 16% ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของธุรกิจโรงแรม และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงการปรับปรุงห้องพักโรงแรมสำคัญในไทยและฟิจิในไตรมาส 4 เพื่อเตรียมต้อนรับผู้เข้าพักในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุนให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (ADR) มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้ายังคงมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จากการทยอยรับรู้รายได้ตามการส่งมอบพื้นที่เช่าของอาคารเอส โอเอซิส (S-OASIS) รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ก็ยังมีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

รายได้ของสิงห์ เอสเตท ในช่วง 9 เดือนแรกสามารถเติบโตได้ตามแผนการลงทุน ควบคู่กับการคุมต้นทุนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับช่วงการขยายธุรกิจและเปิดตลาดใหม่ ส่งผลให้เรามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำจากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 2,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นตัวพิสูจน์การปรับตัวทางธุรกิจให้สามารถช่วงชิงโอกาสได้ทันกับการฟื้นตัวของธุรกิจที่พักอาศัยและโรงแรม และสะท้อนผลสำเร็จจากการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกค้า ที่สิงห์ เอสเตทได้ทำมาตลอด และเราเชื่อมั่นว่าในไตรมาสที่ 4 เราจะสามารถขับเคลื่อนผลประกอบการที่สูงที่สุดในปีได้ เนื่องจากการรับรู้ยอดโอนของโครงการใหม่ สริน ราชพฤกษ์สาย 1 ที่มีมูลค่า 3,800 ล้านบาทและเปิดตัวในต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจอย่างดีและมียอดจองเป็นไปตามเป้าหมายกว่า 10% รวมถึงพอร์ตโรงแรมของ SHR ซึ่งเป็นผลจากการที่ห้องพักรูปแบบใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว พร้อมเปิดให้บริการลูกค้าในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของปี พร้อมทั้งปริมาณความต้องการเดินทางของลูกค้า Long-haul market ที่กลับมาคึกคักอีกครั้งตามการเปิดเส้นทางบิน

เรามีความมั่นใจที่จะทำตามเป้าหมายในการสร้างรายได้ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อมุ่งเป้าสู่การเติบโตระยะยาว พร้อมด้วยปรัชญาการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยพันธสัญญาต่อลูกค้า คู่ค้า ตลอดจนสังคม และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยทางการเงินที่ดี และการเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมที่สุดกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วง เพื่อเพิ่มความพร้อมในการสนับสนุนการขยายการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง และคงระดับสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนให้เป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการของบริษัท นางฐิติมา กล่าวเสริม

ทั้งนี้ หุ้นกู้ สิงห์ เอสเตท คาดว่าจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนในระหว่างวันที่ 8 – 9 และ 12 ก.พ. 2567 ผ่าน 3 สถาบันการเงินชั้นนำทั่วประเทศ ได้แก่

  • ธนาคารกรุงไทย โทร. 02-111-1111 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ได้อีก 1 ช่องทาง)
  • ธนาคารกสิกรไทย (โดยบุคคลธรรมดาจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) โทร 02-888-8888 กด 819
  • บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร โทร. 02-165-5555 หรือ Application DIME

ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากร่างหนังสือชี้ชวน ได้ที่ www.sec.or.th


คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)  (“บริษัทฯ” หรือ “LPN”) เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ 2 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.10% ต่อปี  และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.40% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน คาดเสนอขายวันที่ 23 - 25 มกราคมนี้ ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 7 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส และบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) 

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เผยว่า LPN กลุ่มบริษัทผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพที่มาพร้อมกับความน่าอยู่ในทุกมิติ เพื่อยกระดับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดมานานกว่า 35 ปี พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 2 ชุด โดยเป็นการออก และเสนอขายหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.10% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.40% ต่อปี หุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยมีมูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณ 100,000 บาท คาดเสนอขายวันที่ 23 - 25 มกราคม 2567  โดยมีวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อนำไปชำระคืนหุ้นกู้ และ/หรือ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในกิจการภายในปี 2567

หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ที่ระดับ “BBB” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร และมีแนวโน้ม “ลบ” ซึ่งอยู่ในระดับ Investment grade หรือเรียกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้

โดยที่ผ่านมา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวโครงการรวมมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งในส่วนของโครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมระดับพรีเมียม อาทิ โครงการเรสซิเดนซ์ 168  ราชพฤกษ์, โครงการเมซอง 168 เมืองทอง และบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมในราคาที่จับต้องได้ อาทิ โครงการเวนู 24 คูคต สเตชั่น ,โครงการ เฮ้าส์ 24 เวสต์เกต และอีกหลายหลายโครงการ รวมถึงไปคอนโดมิเนียมคุณภาพที่ได้รับการยอมรับในวงการอสังหาริมทรัพย์มาตลอด 35 ปี ได้แก่ พาร์ค 168 นพรัตน์ รามอินทรา และแบรนด์ใหม่ที่เปิดตัวในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา คือ โครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. บริเวณนิคมอมตะ จังหวัดชลบุรีเป็นที่แรก สำหรับในส่วนของผลประกอบการ บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 8,000 ล้านบาท ทำให้ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 5,562 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 336 ล้านบาท โดยรายได้หลักเกิดการจากการขายโครงการพร้อมอยู่ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม และเริ่มทยอยส่งมอบโครงการบ้านพักอาศัยแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังมียอดขายรอโอน (Backlog) อีกกว่า 2,800 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในอนาคตต่อไป

“บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า การออกหุ้นกู้ของบริษัทในครั้งนี้จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน ซึ่งการระดมทุนด้วย การออกหุ้นกู้ของบริษัทฯ ไม่ได้ออกเสนอขายบ่อยนักในแต่ละปี ถือเป็นโอกาสในการลงทุน และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับ ผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนคงที่ในอัตราที่เหมาะสม ในองค์กรที่มีอันดับ ความน่าเชื่อถือในระดับที่ลงทุนได้ (Investment grade)”

ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ LPN สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.sec.or.th และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้

  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Bualuang mBanking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
  • บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-009-8351-56
  • บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
  • บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) โทร. 02-625-2422
  • บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675

 

บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย หนึ่งในผู้นำธุรกิจประกันชีวิต ผนึกกำลัง ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) (“ซีไอเอ็มบี ไทย”) ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มซีไอเอ็มบี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการทางด้านการเงินชั้น แนวหน้าของภูมิภาคอาเซียน ประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ในประเทศไทย โดยจะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการประกันชีวิตของพรูเด็นเชียล ทั้งในด้านสุขภาพรวมถึงการสร้างความมั่งคั่ง ให้แก่ลูกค้าของซีไอเอ็มบี ไทย ที่มีฐานขนาดใหญ่และเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 การบรรลุข้อตกลงความร่วมมือเป็นพันธมิตรด้านแบงก์แอสชัวรันส์ กับ ซีไอเอ็มบี ไทย  ด้วยเล็งเห็นว่า แนวโน้มการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร หรือ แบงก์แอสชัวรันส์ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าต่างให้ความสนใจกับการวางแผนและเลือกซื้อด้านประกันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ประกันชีวิต สุขภาพ การออมและการลงทุนผ่านช่องทางธนาคาร เพราะมีความน่าเชื่อถือ สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การจับมือกันครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าของซีไอเอ็มบี ไทย ได้มีทางเลือกในการเลือกแผนประกันที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการทางด้านการเงินและการใช้ชีวิต

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ผมมีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่วันนี้เราได้จับมือกับอีกหนึ่งพันธมิตรแบงก์แอสชัวรันส์ที่มีความแข็งแกร่งในประเทศไทย อย่าง ซีไอเอ็มบี ไทย ซึ่งกลุ่มซีไอเอ็มบี ถือเป็นธนาคารชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน เช่นเดียวกับกลุ่มพรูเด็นเชียลที่มีประสบการณ์การดำเนินธุรกิจยาวนานกว่า 175 ปี ครอบคลุมธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน จากประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และ ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัท ผมเชื่อมั่นว่าการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น เราพร้อมที่จะให้คำปรึกษาและช่วยเหลือลูกค้าเพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลย่างดีที่สุด”

“นอกจากนั้น ลูกค้าของซีไอเอ็มบี ไทย ยังสามารถเข้าถึงแผนประกันที่หลากหลายได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เนื่องจากเรานำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาบริการแบบ ‘One Connected Platform’ โดยลูกค้าสามารถเข้าไปขอคำปรึกษาด้านผลิตภัณฑ์ จัดการกรมธรรม์ และ ขอรับบริการด้านสินไหม จาก PRUPolicy ผ่านเว็บไซต์  และ PRUConnect ผ่าน LINE Official Account ด้วยความสะดวกและรวดเร็ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถติดต่อกับพรูเด็นเชียลได้ทุกที่ทุกเวลา” นายบัณฑิต กล่าวเสริม

ตัน คีท จิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในเรื่องการพัฒนานวัตกรรม เพื่อเติมเต็มความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับความคุ้มครองและการเกษียณอายุ ที่พบว่ากำลังเติบโตสูงขึ้นมากในกลุ่มลูกค้าคนไทย ควบคู่ไปกับการนำเสนอบริการต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการในทุกช่วงชีวิตของลูกค้า ทั้งนี้ ซีไอเอ็มบี ไทย และพรูเด็นเชียล ต่างมีความมุ่งมั่นร่วมกัน ที่จะมอบประสบการณ์ digital bancassurance ที่ดีที่สุดให้ลูกค้า และมุ่งมั่นที่จะยกระดับ digital platform และยกระดับความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมความต้องการและแข่งขันได้ในตลาด”

พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า “ธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของธนาคารในระยะยาว ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังระหว่างความเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารความ มั่งคั่งของซีไอเอ็มบี ไทย และความเชี่ยวชาญธุรกิจประกันชีวิตและการบริหารจัดการสินทรัพย์ของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่มีชื่อเสียงระดับโลก”

“ซีไอเอ็มบี ไทย พร้อมเดินหน้าจับมือกับพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ผมมั่นใจว่าด้วยจุดแข็งที่ โดดเด่นของทั้งคู่ จะส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวให้ลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” พอล วอง กล่าว

การประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ ซีไอเอ็มบี ไทย จะช่วยให้พรูเด็นเชียล ประเทศไทย สามารถขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและบริการทางการเงินในประเทศไทยได้กว้างขวางและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของซีไอเอ็มบี ไทย ในการร่วมเดินเคียงข้างลูกค้าทุกช่วงเวลาของชีวิต ผ่านการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการทางการเงิน และการให้บริการในรูปแบบดิจิทัลอีกด้วย

นอกจากการออกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการทางด้านการเงิน พรูเด็นเชียล ยังมุ่งมั่นพัฒนาความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ อาทิ การบริหารจัดการการจัดจำหน่าย การฝึกอบรมพนักงาน และการมอบบริการอันเป็นเลิศแก่ลูกค้า ทั้งนี้เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่ช่องทางขายผ่านทางธนาคารร่วมกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ในการขับเคลื่อนธุรกิจที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป.

นายศรชัย สุเนต์ตา (ที่ 2 ซ้าย) , CFA  SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมลงนามในสัญญากับนายไทสัน เจมส์ คามิน  (ที่2 ขวา)  รองกรรมการผู้จัดการ บริการงานตัวแทนและบริการที่ปรึกษาด้านการพัฒนาโครงการ คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เพื่อร่วมมือกันในการให้คำแนะนำด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศให้แก่กลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคาร  โดยมี ดร.สาธิต ผ่องธัญญา (ที่ 1 ซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office and Wealth Platform  ธนาคารไทยพาณิชย์ และนายคาร์โล โพเบร (ที่1 ขวา) รองกรรมการผู้จัดการ บริการประเมินราคา ปรึกษาการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ คอลลิเออร์ส  ประเทศไทย  ร่วมเป็นสักขีพยาน  เมื่อเร็วๆนี้   

ทั้งนี้ คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จากทั่วโลก โดยมีสาขาประมาณ 66 ประเทศทั่วโลก มีมูลค่าสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการประมาณ 9.9 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ เป็นบริษัทที่ลูกค้าจำนวนมากในประเทศไทย และต่างประเทศ ไว้วางใจในการให้คิดค้นหาวิธีการจัดการที่เพิ่มผลตอบแทนจากทรัพย์สินของอสังหาริมทรัพย์ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ธนาคารเห็นว่าเป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูง ในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ที่สามารถตอบทุกโจทย์ตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคารได้เป็นอย่างดี

realme แบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ได้ประกาศในงานแสดงตัวอย่างผลิตภัณฑ์สำหรับสื่อมวลชนประจำปี 2024 (realme 2024 Media Preview Event) ที่ลาสเวกัสว่า realme 12 Pro Series จะมาพร้อมกับเลนส์ Periscope Telephoto ระดับเรือธง โดยภายในงาน realme ได้จัดแสดงเทคโนโลยี Periscope Telephoto ขั้นสูงและการออกแบบจากนาฬิกาสุดหรู นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้ร่วมสัมผัสกับ realme 12 Pro Series โดยได้รับคำชื่นชมว่านี่อาจเป็นสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกับการถ่ายภาพชั้นนำในระดับเดียวกัน

คุณ Sky Li ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร realme ได้ออกจดหมายเปิดผนึกประกาศว่าปี 2024 จะเป็นปีแห่งการรีแบรนด์ พร้อมทั้งยังเปิดตัวสโลแกนใหม่ "Make it Real" และเปลี่ยนตำแหน่งแบรนด์สู่การเป็นแบรนด์เทคโนโลยีที่เข้าใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ดียิ่งขึ้น ภายใต้การวางตำแหน่งแบรนด์ใหม่นี้สำหรับตระกูล Number Series จะถูกวางตำแหน่งให้เป็นอนาคตของการถ่ายภาพ (Next-gen) และในงานครั้งนี้ถือเป็นการสื่อสารอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ realme หลังจากการรีแบรนด์ด้วยเช่นกัน

เพิ่มศักยภาพให้กับผู้ใช้งานรุ่นใหม่ด้วยภาพถ่ายเจเนอเรชั่นใหม่ผ่านเลนส์ Periscope Telephoto ระดับเรือธง

จากผลจากวิจัย realme พบว่าคนรุ่นใหม่ชื่นชอบเลนส์ Telephoto ที่มีการซูม 3 เท่าขึ้นไป มากกว่าการซูมแค่ 2 เท่า และหากต้องการใช้งานการซูมระดับสูงในสมาร์ตโฟนที่มีขนาดบาง สะดวกสบายในการถือ การถ่ายภาพ Periscope Telephoto จึงเป็นทางเลือกเดียวที่ใช้ได้ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้นำเสนอความท้าทายทางเทคนิคและค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งโดยปกติแล้วจะสงวนไว้สำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นเรือธง แต่ realme กำลังปิดช่องว่างนี้ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีกล้อง Periscope Telephoto เอกสิทธิ์เฉพาะรุ่นเรือธงให้กับกลุ่มผู้ใช้งานคนรุ่นใหม่ได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น

realme ได้พัฒนาสูตร Periscope Telephoto ที่เป็นกรรมสิทธิ์เพื่อให้แน่ใจว่าการถ่ายภาพคุณภาพสูงภายใต้สภาวะต่างๆ โดยได้เปิดตัวครั้งแรกใน realme GT5 Pro ที่เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา การวางตำแหน่งประสิทธิภาพจากการถ่ายภาพโดย Periscope ของ realme GT5 ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม และใน realme 12 Pro Series ที่กำลังจะมาถึงจะใช้แนวทางเดียวกัน โดยผสานรวมขนาดเซ็นเซอร์ชั้นนำ แพลตฟอร์มประสิทธิภาพสูง และอัลกอริธึมขั้นสูงเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการถ่ายภาพที่เหนือกว่า

ร่วมมือกับนักออกแบบนาฬิกาหรูระดับสากลสู่การสร้างสรรค์ในด้านดีไซน์

สำหรับ number series realme มุ่งหวังที่จะมอบประสบการณ์การถ่ายภาพแบบ Next-gen ให้กับคนหนุ่มสาวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาอย่างมีสไตล์ นอกจากภาพลักษณ์เรือธงแล้ว realme ยังได้ร่วมมือกับ Ollivier Savéo ปรมาจารย์ด้านการออกแบบนาฬิกาหรูระดับนานาชาติ เพื่อสร้างดีไซน์นาฬิกาสุดหรูสำหรับ realme 12 Pro Series

Ollivier Savéo นับว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านความเป็นผู้นำในกลุ่มนาฬิกาและจิวเวลรี่ระดับไฮเอนด์ โดยเคยร่วมงานกับแบรนด์นาฬิกาสวิสอันทรงเกียรติมากมาย เช่น Rolex, Roger Dubuis, Piaget, Breitling และ Quentin โดยความเชี่ยวชาญของเขามีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์นาฬิกาดีไซน์หรูที่ยกระดับ realme 12 Pro Series ไปสู่อีกระดับ

ด้วยแรงบันดาลใจจากนาฬิกาหรูคลาสสิก realme และ Ollivier Savéo ได้ร่วมสร้างสรรค์เพื่อริเริ่มโครงสร้างการออกแบบและงานฝีมือ โดยผสมผสานองค์ประกอบที่ประณีตเข้ากับการออกแบบอุตสาหกรรม จึงทำให้ realme 12 Pro Series ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับแนวคิดจากการออกแบบนาฬิกาสุดหรู

realme 12 Pro Series มีกำหนดเปิดตัวแบบ Global ในเดือนมกราคม นอกเหนือจากการถ่ายภาพและการออกแบบแล้ว realme 12 Pro Series ยังมีคุณสมบัติที่น่าสนใจอื่นๆ มากมายเช่นกัน

ตอกย้ำผู้นำบิวตี้เทคด้วย ซีอีโอ นิโคลา ฮิโรนิมุส ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงาน CES เป็นครั้งแรกจากบริษัทความงาม

X

Right Click

No right click