LINE Wallet ปรับโฉมใหม่! รับอินไซต์ผู้ใช้ไทย ชูความสะดวก ใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม เพิ่มทางเลือกเข้าถึงบริการ LINE SHOPPING, LINE MAN และ LINE BK ไว้ในแท็บเดียว โดยหยิบเอา 3 บริการไลฟ์สไตล์สุดฮิตจาก LINE ขึ้นมาเป็น 3 แท็บย่อยของเซอร์วิสยอดนิยม เพื่อเป็นเมนูไอคอนทางลัด พร้อมปุ่มแจ้งเตือนสีเขียวเพื่อไม่ให้พลาดทุกคอนเทนต์และโปรโมชั่นจากพาร์ทเนอร์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลที่ไม่หยุดนิ่ง

LINE ประเทศไทย เผยปี 2566 มีผู้ใช้งาน LINE Wallet ราว 25 ล้านคน หรือคิดเป็น 50% จากผู้ใช้ LINE ทั้งหมด โดยพบว่าบริการยอดนิยมบนหน้า Wallet คือ การซื้อสติกเกอร์และบริการฟินเทค (Fin-Tech) โดยมีผู้ใช้ถึงกว่า 75% นิยมเข้ามาซื้อของ โดยเฉพาะสติกเกอร์ ธีม เมโลดี้ และสินค้าบน LINE SHOPPING ขณะที่บริการฟินเทคใน LINE BK ได้รับความนิยมใช้งานกว่า 50% นอกจากนี้ ผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังพบว่า ผู้บริโภคนิยมใช้จ่ายผ่าน E-Wallet ในหมวดหมู่สินค้าอาหารและเครื่องดื่มมากถึง 57.1% รองลงมาเป็น สินค้าอุปโภคบริโภค 37% เป็นผลมาจากพฤติกรรมการซื้อของออนไลน์และธุรกรรมการเงินออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น ล่าสุด LINE Wallet แท็บที่ 5 บนแอปฯ LINE ได้ปรับโฉมใหม่ให้สอดคล้องกับอินไซต์ผู้ใช้ ด้วยการเชื่อมโยง LINE SHOPPING, LINE MAN และ LINE BK ไว้ในแท็บเดียว  โดยเพิ่มแท็บย่อยของทั้งสามเซอร์วิส เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงบริการ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้ชีวิตสะดวกขึ้น 

LINE Wallet ล่าสุดมีการปรับโฉมดีไซน์โดยเพิ่มสามแท็บย่อย เพื่อให้สะดวกยิ่งขึ้นในทุกบริการ และยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้แก่

  • LINE SHOPPING ติดตามออเดอร์ ง่ายกว่าเดิม ไม่ว่าจะติดตามออเดอร์หรือมองหาแคมเปญไหนก็ตาม รวมไว้ให้หมดบนแท็บย่อย LINE SHOPPING พร้อมอัปเดตเทรนด์ฮิตและสินค้าใหม่จากเหล่าร้านค้าโซเซียลได้ทุกวัน 
  • LINE BK โอนง่ายขึ้น ไวขึ้น ไม่ต้องใส่ข้อมูลใหม่ ทำให้ทุกการโอนและการใช้จ่ายของคุณสะดวกยิ่งขึ้น! เพราะไม่ต้องกรอกข้อมูลใหม่ทุกครั้งให้ยุ่งยาก เพียงคลิกเลือกผู้รับเงินได้จากประวัติการโอนเงินล่าสุดของคุณได้เลย! พร้อมอัปเดตข่าวสารทางการเงิน ให้คุณไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหว รวมไว้ให้ตรงนี้ที่เดียว! 
  • LINE MAN กับ ฟีเจอร์ใหม่ "ร้านอาหารแนะนำสำหรับคุณ" ไม่รู้จะสั่งอะไร ใช้ฟีเจอร์ใหม่เพื่อช่วยคุณคิดเมนูอาหารหรือเครื่องดื่มได้ง่าย ๆ บนหน้า LINE Wallet พร้อมสะดวก ในการเช็คสถานะการจัดส่งออร์เดอร์ของคุณตั้งแต่หน้าร้าน จนถึงหน้าประตูบ้านคุณได้ บนแท็บย่อย LINE MAN ใน LINE Wallet

LINE Wallet ปรับใหม่เพื่อให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นในทุกวัน รองรับทุกไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่กับ 3 แท็บย่อยและฟีเจอร์ใหม่ พร้อมให้เข้ามาใช้งานได้แล้ววันนี้ เพียงเข้าแท็บ Wallet ก็จะได้พบกับประสบการณ์การชิม-ช้อป-บริการทางการเงิน หรือคลิก https://lin.ee/akifmv3/wsaj และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการต่าง ๆ ของ LINE Wallet ได้ทาง LINE Wallet Official Account (@linewallet_th)

 

มอบจักรยาน และหมวกกันน็อคให้เป็นของขวัญวันเด็ก 2567

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ในเครือมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ร่วมกับ Klook แพลตฟอร์มผู้ให้บริการการจองกิจกรรมท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญเสริมความแข็งแกร่งในตลาดท่องเที่ยว พร้อมยกระดับประสบการณ์ให้กับลูกค้าและนักท่องเที่ยว โดยความร่วมมือดังกล่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา กรุงศรี ได้ส่ง กรุงศรี ฟินโนเวต เข้าร่วมลงทุนใน Klook จากการระดมทุนรอบล่าสุด

ความร่วมมือนี้นับเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของเอเชียที่สถาบันการเงินได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในมิติที่หลากหลาย เพื่อเสริมพลังและยกระดับการท่องเที่ยว ตั้งแต่ช่วยวางแผนการเดินทาง นำเสนอข้อมูลการท่องเที่ยวที่ถูกต้องและอัพเดท บริการจองกิจกรรมท่องเที่ยวที่สะดวกสบาย ราคาคุ้มค่า รวมถึงบริการอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว และสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมายสำหรับลูกค้ากรุงศรี ทั้งนี้ สองพันธมิตรจะใช้ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายเข้ามาส่งเสริมความร่วมมือในการยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยร่วมบูรณาการในหลายภาคส่วน เพื่อให้การร่วมมือกันครั้งนี้ครอบคลุมในหลากหลายมิติของการท่องเที่ยว โดยกรุงศรีพร้อมชูจุดเด่นในด้านการเป็นสถาบันการเงินชั้นนำในประเทศไทยที่มีความน่าเชื่อถือและมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์การเงินสำหรับนักท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์การเงินสำหรับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ในขณะที่ Klook เน้นความแข็งแกร่งด้านดิจิทัล โซลูชัน เทคโนโลยีการจองกิจกรรมท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อ และการเป็นผู้นำการตลาดของการให้บริการจองกิจกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกที่หลากหลาย และครอบคลุมความต้องการของนักท่องเที่ยว 

นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรีมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและยังช่วยพัฒนา Ecosystem ให้มีศักยภาพสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยครั้งนี้กรุงศรีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน Travel Ecosystem ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากเราเห็นศักยภาพการเติบโตของการท่องเที่ยวทั้งในแง่ของความต้องการ ปริมาณการจับจ่ายใช้สอย และเทรนด์ในอนาคต เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง Klook เข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม และเสริมสร้างความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุน Travel ecosystem โดยทางกรุงศรี และ Klook จะร่วมกันสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ง่ายและสะดวก ผ่านแพลตฟอร์มการจองกิจกรรมท่องเที่ยว และช่องทางการชำระเงินที่น่าเชื่อถือ ไปจนถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อีกมากมายให้กับลูกค้า โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่ชื่นชอบการเดินทางไปญี่ปุ่น สอดคล้องกับแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” ซึ่งเราคิดว่าด้วยศักยภาพและความพร้อมด้านผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวของญี่ปุ่น  Klook จะเป็นพันธมิตรที่ช่วยเราสะท้อนความแข็งแกร่งและช่วยเจาะตลาดกลุ่มคนรักญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี”

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นนับเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทยมาโดยตลอด ตัวเลขภายในของ Klook แสดงให้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับยอดการจองของนักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่น โดยพบว่ามีการเติบโตด้านยอดขายของกิจกรรมญี่ปุ่นสูงขึ้นเกือบเท่าตัว เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2562 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้ กรุงศรี และ Klook จึงพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่หลากหลายครอบคลุมตั้งแต่ กิจกรรมท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อาทิ เวิร์กชอปชงชาแบบญี่ปุ่น ร้านอาหารยอดฮิต บริการรถเช่าแบบพรีเมียม ไปจนถึงกิจกรรมที่เป็นที่นิยมตลอดกาล เช่น บัตรเข้าสวนสนุก บัตรรถไฟในญี่ปุ่น และกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟอีกมากมายที่จะช่วยตอกย้ำการเป็นตัวจริงเรื่องกิจกรรมและประสบการณ์การท่องเที่ยวในญี่ปุ่น 

นายพงษ์อนันต์ ธณัติไตร ประธานกลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางด้วยตัวเอง ให้สามารถมีประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่ทางเรากำลังศึกษาและพัฒนาร่วมกัน อาทิ ฟังก์ชันให้บริการจองกิจกรรมท่องเที่ยวในญี่ปุ่นบนแอปพลิเคชัน UCHOOSE ซึ่งนับเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวแบบเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อลูกค้ากรุงศรีโดยเฉพาะ รวมถึงวางแผนที่จะให้บริการการผ่อนชำระไปจนถึงมอบสิทธิพิเศษ และส่วนลดอีกมากมายสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตในเครือกรุงศรีและผู้ถือบัตร Krungsri Boarding Card ให้การทุกทริปการเดินทางเป็นเรื่องง่าย สะท้อนคำมั่นสัญญา ชีวิตง่าย ได้ทุกวัน”

นายอีริค น็อก ฟาห์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Klook กล่าวว่า “การร่วมมือกันในเชิงกลยุทธ์กับกรุงศรีในครั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโซเชียลมีเดียและใช้มือถือเป็นหลักในการจองกิจกรรมท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีความต้องการที่จะสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวด้วยการเข้าร่วมหรือทดลองทำกิจกรรมที่มีเอกลักษณ์และช่วยเติมเต็มการท่องเที่ยวให้มีความหมายมากขึ้น ทั้งนี้ การร่วมมือระหว่างสองพันธมิตร จะช่วยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวไทยได้ออกเดินทางไปสัมผัสกับประสบการณ์การท่องเที่ยวทั่วโลกได้อย่างง่ายดายไร้รอยต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศยอดนิยมอย่างญี่ปุ่น โดยนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับกิจกรรมที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่กิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมไปจนถึงกิจกรรมแบบท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

ทั้งนี้ความร่วมมือในเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Klook และกรุงศรีสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและการนำเอาจุดแข็งของสองพันธมิตรมาพัฒนาต่อยอดและนำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพให้กับนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางด้วยตัวเองสามารถค้นหาและจองกิจกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก ได้อย่างสะดวกง่ายดายในราคาที่ดึงดูดใจ

เปิดโซนส่วนตัวหน้าโครงการ ลดสูงสุด 2 ล้าน เริ่มจอง 27 ม.ค.นี้

ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจกทุกมิติมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ปรับการดำเนินงานภายในองค์กรสู่การผลักดันผลิตภัณฑ์และบริการลดคาร์บอน ล่าสุดเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือรถ EV Currency Exchange นำร่องใช้งานจริงแล้วในกรุงเทพฯ และภูเก็ต นอกจากนี้ ยังช่วยให้ลูกค้าของธนาคารได้มีส่วนร่วมในการรักษ์โลกได้ง่ายขึ้น ด้วยการจัดทำบัตรเครดิต/เดบิตที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล พร้อมทยอยเปลี่ยนบัตรกว่า 20 ล้านใบให้ครบทั้งหมดภายใน 7 ปี ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ 770 ตันคาร์บอนฯ หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 51,333 ต้น

นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยตระหนักถึงความสำคัญเร่งด่วนในการแก้ปัญหาโลกร้อน จึงเดินหน้านโยบายและปรับการดำเนินงานต่างๆ ภายในองค์กร รวมถึงส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงไลฟ์สไตล์กรีนเพื่อมุ่งสู่ Net Zero Commitment ตามที่ธนาคารได้ประกาศไว้เมื่อปี 2564 โดยด้านการดำเนินงานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กรเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนรถยนต์ของธนาคารจากรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วจำนวน 175 คัน และจะทยอยเปลี่ยนจนครบทั้งหมดภายในปี 2573 มีการทยอยติดตั้งแผงโซลาร์ในอาคารสำนักงานหลักและสาขา โดยตั้งเป้าติดตั้งให้ครบทุกสาขาที่มีศักยภาพในการติดตั้งจำนวน 278 แห่ง ภายใน 2 ปี การปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปรับกระบวนการทำงานและการให้บริการของธนาคารไปสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการจัดการขยะในอาคารสำนักงานหลักเพื่อลดปริมาณขยะที่ไปสู่หลุมฝังกลบเป็นศูนย์ รวมทั้งส่งเสริมพนักงานและบุคลากรของธนาคารให้มีความรู้และเกิดพฤติกรรมที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ธนาคารยังมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการรักษ์โลกได้ง่ายขึ้น ผ่านการใช้บริการของธนาคารที่ใส่ใจเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทยได้เปิดตัวนวัตกรรมบริการที่มีเป้าหมายช่วยลดก๊าซเรือนกระจก 2 โครงการ เป็นธนาคารแรกในไทย ได้แก่ การพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือรถ EV Currency Exchange และการจัดทำและเปลี่ยนบัตรเครดิตและบัตรเดบิตเป็นบัตรที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งทั้งสองโครงการได้พัฒนาสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย และมีการนำไปให้บริการจริงแล้ว

สำหรับรถ EV Currency Exchange เป็นรถแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ขับเคลื่อนได้สูงสุด 120 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และใช้แบตเตอรี่ที่ได้พลังงานจากแผงโซลาร์ที่ติดตั้งบริเวณหลังคารถสำหรับการให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราในรถได้ต่อเนื่องสูงสุด 10 ชั่วโมงโดยไม่ต้องเสียบปลั๊กไฟ ปัจจุบันนำร่องเพิ่มความสะดวกสบายในการให้บริการแลกเงินแก่นักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเริ่มที่ จ.ภูเก็ต เป็นจังหวัดแรก และมีแผนขยายจำนวนรถให้ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต

ด้านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตธนาคารกสิกรไทย มีการเปลี่ยนมาใช้บัตรที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งช่วยลดการผลิตเม็ดพลาสติกใหม่ สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ใบละ 42 กรัมคาร์บอนฯ หรือลดลง 62% จากการใช้วัสดุแบบเดิม โดยเริ่มมีการทยอยนำบัตรแบบใหม่นี้มาใช้ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2566 ให้แก่ลูกค้าที่ออกบัตรใหม่ บัตรทดแทน และบัตรต่ออายุ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเปลี่ยนบัตรกว่า 20 ล้านใบได้ครบทั้งหมดภายใน 7 ปี ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 770 ตันคาร์บอนฯ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 51,333 ต้น

นายพิพิธกล่าวตอนท้ายว่า ในปี 2567 ธนาคารยังคงเดินหน้าผลักดันลูกค้าให้ร่วม GO GREEN Together อย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนเงินทุน องค์ความรู้ และการพัฒนา Innovation ใหม่ๆ รวมถึงการจับมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้าง Green Ecosystem ให้เกิดขึ้นจริง และร่วมกันพาประเทศสู่ Net Zero อย่างยั่งยืนต่อไป

ผู้ที่สนใจร่วมรักษ์โลกไปกับธนาคารสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครใช้บริการ ได้ที่

 

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (KAsset) จับมือ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงนวัตกรรมด้านการลงทุน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถในการคัดเลือกและจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลกเพื่อยกระดับการลงทุนของไทย พร้อมสร้างความเข้าใจเชิงลึกให้กับผู้ลงทุนไทยเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยให้ความสำคัญกับธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าที่มีการลงทุนในกองทุนรวมเกือบ 1 ล้านราย (ณ วันที่ 25 ธ.ค. 66) และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ดังนั้น ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง KAsset และ JPMAM ตั้งแต่การบริหารจัดการไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตรงความต้องการของลูกค้าธนาคารกสิกรไทย จะช่วยยกระดับประสบการณ์การลงทุนของลูกค้าได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับความมุ่งหมายของธนาคารในการส่งมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่นักลงทุนไทย อีกทั้งยังเป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันให้ KAsset เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ลงทุนไทยประมาณ 60% กำลังเผชิญปัญหาพอร์ตการลงทุนมีความผันผวน (ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ณ วันที่ 25 ธ.ค. 66)  โดยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตลาดได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และวิกฤตเศรษฐกิจโลก ปัจจัยเหล่านี้ได้นำไปสู่ความผันผวนของตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเมินสถานการณ์ได้ยากยิ่งขึ้น ดังนั้น KAsset จึงมุ่งพัฒนาแผนกลยุทธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการคัดเลือกและจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก พร้อมปรับรูปแบบการลงทุนให้สอดรับและทันทุกการเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ KAsset ที่จะทำให้พอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนไทยมีความมั่นคงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

นายแดน วัตกินส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ.พี. มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ทีมงานของ JPMAM รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ KAsset ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ลงทุนไทย โดยมองว่าตลาดทุนไทยเป็นตลาดที่มีความคึกคักและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนทั่วโลกของ JPMAM ทำให้พวกเรามีความพร้อมที่จะนำเสนอโซลูชั่นการลงทุนที่ได้มาตรฐานระดับโลกให้กับผู้ลงทุนไทย และเป็นการเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจของ JPMAM ไปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังจาก 2 บลจ.ชั้นนำด้านการลงทุน โดย JPMAM เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการลงทุนระดับโลก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ KAsset เป็นผู้นำตลาดกองทุนรวมของไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการกว่า 1.49 ล้านล้านบาท ที่มีความเข้าใจเชิงลึกต่อสินทรัพย์และสถานการณ์การลงทุนในไทย โดยความร่วมมือนี้จะมุ่งเสริมศักยภาพของ KAsset ให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้ข้อมูลเชิงลึกที่เข้าถึงผู้ลงทุนได้ทันสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา และการให้คำปรึกษาอย่างเข้าใจ ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงิน

ประกาศรางวัล 50 สุดยอดผลิตภัณฑ์ความงามแห่งปี การันตีจากผู้ใช้จริง พร้อมกางแผนธุรกิจรุกตลาดบิวตี้เมืองไทย ตั้งเป้าเป็นอันดับ 1 ต่อเนื่อง คาดปี 67 รายได้โตอย่างก้าวกระโดด

ชวนคนไทยวางแผนสุขภาพและการเงิน เพื่อชีวิตที่ทุกคนเลือกเองได้

นางสาวพิชามน จิตรเป็นธรรม  ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อบุคคล “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า “เคทีซีได้เปิดตัวโครงการ “เคลียร์หนี้” เป็นครั้งที่ 15 เพื่อตอบแทนความมีวินัยให้กับสมาชิกสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ทุกประเภท ทั้งวีซ่า มาสเตอร์การ์ด และยูเนี่ยนเพย์ รวมทั้งบัตรกดเงินสด “เคทีซี พี่เบิ้ม มอเตอร์ไซค์” เพื่อเป็นกำลังใจและแบ่งเบาภาระให้กับสมาชิกเคทีซีกว่า 700,000 ราย อย่างต่อเนื่อง และเป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)  เพียงลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ เพียงครั้งเดียว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567 สามารถรับสิทธิ์ร่วมลุ้นรางวัลได้ตลอดปี 2567 ถึง 600 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท รางวัลที่ 1 บัตรกำนัลส่วนลดค่าใช้จ่ายเพื่อเคลียร์หนี้ จำนวน 12 รางวัล (จับรางวัล 12 รอบๆ ละ 1 รางวัล)  รางวัลที่ 2 บัตรกำนัลส่วนลดค่าใช้จ่ายเพื่อลดหนี้ จำนวน 588 รางวัล (จับรางวัล 12 รอบๆ ละ 49 รางวัล)”

“สมาชิกบัตรกดเงินสดเคทีซี สามารถเข้าร่วมรับสิทธิ์ในโครงการเคลียร์หนี้ได้ โดยแบ่งสิทธิ์เป็น 2 ประเภทคือ สิทธิ์ใช้ดี:  รับ 1 สิทธิ์ จากยอดการใช้วงเงินสินเชื่อฯ (รูด-โอน-กด-ผ่อน) ทุกๆ 2,000 บาท และคงค้างสินเชื่ออย่างน้อย 15 วันติดต่อกันทุกวันนับจากวันที่มียอดการใช้วงเงินสินเชื่อ (ไม่จำกัดจำนวนสิทธิ์) และสมาชิกฯ ชำระหนี้ไม่น้อยกว่ายอดเรียกเก็บขั้นต่ำและชำระภายในวันครบกำหนดชำระเงินในรอบนั้นๆ  สิทธิ์จ่ายดี:  รับ 1 สิทธิ์ สำหรับสมาชิกฯ ที่ชำระหนี้ไม่น้อยกว่ายอดเรียกเก็บขั้นต่ำและชำระภายในวันครบกำหนดชำระเงินในรอบนั้นๆ และไม่เป็นสมาชิกฯ ที่ได้รับสิทธิ์ใช้ดี โดยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านเว็บไซต์ https://www.ktc.co.th/cleardebt2024 หรือช่องทาง SMS พิมพ์ OK67 เว้นวรรคตามด้วยหมายเลขบัตรกดเงินสดฯ 16 หลัก ส่งไปที่ 061-384-5000 หรือลงทะเบียนผ่านทาง KTC Touch หรือแอปพลิเคชัน “KTC Mobile”  

ผู้สนใจสมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD สมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พี่เบิ้ม มอเตอร์ไซค์” คลิก https://ktc.today/PBerm-Apply สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ KTC PHONE 02 123 5000 กด 0 กด 2

ทรู ดิจิทัล อคาเดมี จัดเสวนา Shaping Your HR Strategy 2024” เผยเทรนด์การจัดการด้านทรัพยากรบุคคล ที่ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือความท้าทายใหม่ๆ ที่ไม่เพียงแต่สรรหาบุคลากร สร้างแรงจูงใจให้ทำงานอย่างมีความสุข  แต่ต้องไม่หยุดพัฒนาเครื่องมือต่างๆ เพื่อตอบสนองการทำงานได้อย่างเหมาะสม และทำให้คนที่มีความหลากหลายทำงานร่วมกันได้อย่างยั่งยืน  ซึ่งงานเสวนาครั้งนี้ เหล่าผู้บริหาร HR จากองค์กรชั้นนำให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังมุมมองจากเหล่ากูรูทั้ง คุณอาทิ สุบรามาเนียน Partner บริษัท แมคคินซี่ แอนด์ คอมพานี, คุณชุติมา สีบำรุงสาสน์ ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาอิสระ ด้านการพัฒนาศักยภาพองค์กรและบุคลากร และ ดร. ชนนิกานต์ จิรา ผู้อำนวยการ ทรู ดิจิทัล อคาเดมี  

ภารกิจ“คน” ที่ต้องเสริมแกร่งทักษะดิจิทัล ร่วมขับเคลื่อนองค์กร

ดร. ชนนิกานต์ จิรา ผู้อำนวยการ ทรู ดิจิทัล อคาเดมี   เผยมุมมองเรื่องของเทคโนโลยียังเป็นทักษะที่สำคัญ โดยเทคโนโลยีในบริบทของ AI หมายถึงการทำอย่างไรให้สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล โดยที่คนไม่ต้องเข้าใจการเขียนโค้ดเองให้ยุ่งยาก แต่ต้องมีความเข้าใจที่จะใช้ AI ให้ได้อย่างเต็มที่ อีกประเด็นคือ AI Big Data ในบริบทของการนำ Big Data มาตอบโจทย์การตัดสินใจทางธุรกิจให้ดีขึ้น ท้ายที่สุดเรื่องของความสร้างสรรค์ ที่ปัจจุบัน AI สามารถเข้ามาช่วยออกแบบได้แล้ว แต่มนุษย์ยังต้องพัฒนาทักษะในการเขียนคำสั่งให้ AI เข้าใจว่าเราต้องการสร้างสรรค์ผลงานแบบใด และสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับ HR คือ การตรวจสอบคำตอบของ AI นั้น ถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นการพัฒนาคนให้มีทักษะด้านดิจิทัล จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในปัจจุบัน ที่ทุกองค์กรต้องใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาช่วยขับเคลื่อน ทรู ดิจิทัล อคาเดมี จึงได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยจัดการทรัพยากรบุคคล โดยการยกระดับความสามารถด้านดิจิทัลให้แก่บุคลากรและองค์กร เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงาน ให้สามารถรับมือดิจิทัล ดิสรัปชันต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น

องค์กรยุคใหม่มีความซับซ้อนต่างจากเดิม ต้องมีวิธีการรับมือแบบใหม่

คุณอาทิ สุบรามาเนียน Partner บริษัท แมคคินซี่ แอนด์ คอมพานี ฉายภาพความซับซ้อนขององค์กรว่า ที่ผ่านมาได้เห็นการรวมธุรกิจเกิดขึ้นหลายแห่ง การจัดโครงสร้างองค์กรและวิธีพัฒนาทักษะบุคลากรในปัจจุบัน กำลังขัดขวางการตอบสนองอย่างรวดเร็วขององค์กร จากการสำรวจผู้นำองค์กรกว่า 25,000 คน จากองค์กรที่มีพนักงานกว่า 1,000 คน ระหว่างปลายปี 2022 ถึง 2023 ในรายงานเรื่อง The State of Organizations 2023 ของ McKinsey สรุปผลได้ 10 ข้อ ดังนี้ 1. การเพิ่มความเร็วและเสริมความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นเทรนด์แรกที่เข้ามา บางครั้งองค์กรยังล่าช้าเพราะต้องรอการอนุมัติ ทำให้คำว่า Agile ถูกนำมาใช้ ทั้งวิธีการทำงานร่วมกันหรือเพิ่มอำนาจและบทบาทให้กับพนักงานดูแลเพื่อสร้างความคล่องตัว เป็นต้น 2. การทำงานแบบฮบริด จากการสำรวจ 4 ใน 5 คนจาก 80% ระบุว่า การทำงานไฮบริดสำคัญมาก และเป็นตัวเลือกอันดับที่ 2 ในการเลือกที่ทำงาน 3. การให้ AI เข้ามาประยุกต์ใช้กับการทำงาน เป็นกระแสที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่มี ChatGPT ซึ่ง AI ถูกนำมาใช้ในการคัดกรองใบสมัครเบื้องต้น ทำให้ช่วยลดใบสมัครที่ไม่เกี่ยวข้องได้กว่า 70% 4. การมีกฎใหม่ของการดึงดูด การรักษา และการละทิ้ง องค์กรต้องคิดต่างจากเดิม มีตัวอย่างจากธนาคารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ยังคงรักษาความสามารถมนุษย์ไว้เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนทุกสิ่ง ทั้งกฎระเบียบ การกำหนดแรงจูงใจ ทำให้การทำงานมีความสนุกสนาน นอกจากนี้วัฒนธรรมดังกล่าวยังถูกส่งต่อไปยังลูกค้ากลายเป็นคุณค่าที่ถูกนำเสนอออกมาได้อย่างมีเป้าหมาย 5. ช่องว่างด้านความสามารถ โดยเฉพาะด้านดิจิทัลจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมมากขึ้น จะเห็นได้ว่าสถาบันการศึกษาและองค์กรต่างๆ ทั่วโลก กำลังเร่งพัฒนาทักษะด้านนี้ 6. การวางคนที่เหมาะสมกับงาน จะช่วยเพิ่มโอกาสของความสำเร็จในการจัดการทรัพยากรบุคคลได้มากกว่า 80% คนเพียงคนเดียวไม่สามารถทำงานได้ทั่วทั้งองค์กร การวางคนให้เหมาะสม จะช่วยขับเคลื่อนคุณค่าให้กับตัวพนักงานและองค์กรได้เป็นอย่างดี 7. ภาวะผู้นำที่ตระหนักรู้ในหน้าที่ตนเองและรู้วิธีสร้างแรงบันดาลใจ ยิ่งผู้นำสามารถตระหนักรู้ข้อผิดพลาดของตนเองและแก้ไข จะช่วยส่งเสริมให้เป็นผู้นำมีศักยภาพที่สูงขึ้น 8. ความก้าวหน้าในด้านความหลากหลาย การไม่แบ่งแยก ความเสมอภาคในทุกบริบท จะช่วยทำให้องค์กรและการทำงานไม่เกิดความแตกแยกอย่างไม่เป็นธรรม 9. สุขภาวะที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน การดูแลและใส่ใจเรื่องสุขภาวะทำให้การทำงานราบรื่นมีประสิทธิผลที่ดี และ 10. การวางแผนกำลังคน แน่นอนว่าจะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพด้วยจำนวนคนที่น้อยลง ซึ่งจะสะท้อนถึงความสามารถของทีมทรัพยากรบุคคลอีกด้วย

ESG ช่วยพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน

อีกความท้าทายขององค์กรคือเรื่อง ESG คุณชุติมา สีบำรุงสาสน์ผู้ เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาอิสระ ด้านการพัฒนาศักยภาพองค์กรและบุคลากร กล่าวว่า ต้องมอง ESG จากตัวบริบทของธุรกิจว่าจะนำ ESG มาเปลี่ยนแปลงธุรกิจได้อย่างไร เพื่อให้สามารถขยายตัวและคงอยู่ต่อไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน E - Evolution คือ มิติของการขับเคลื่อนธุรกิจในเชิงของการเพิ่ม Productivity ทำอย่างไรจึงจะประหยัดพลังงาน หรือการหมุนเวียนกลับมาใช้ได้อีกครั้ง S - Social Ability คือ โอกาสในการขายที่ขยายกว้างขึ้น และ G - God คือ โอกาสของการทำธุรกิจให้ถูกต้องตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นโอกาสของการเติบโตไปยังต่างประเทศแบบยั่งยืน หากองค์กรมี ESG Profile ที่ดี ก็จะสร้างบริษัทให้มีชื่อเสียงระดับมาตรฐานสากลได้ ดังนั้นการนำ ESG เข้ามาอยู่ในบริบทการบริหารองค์กรอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนจึงเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำ ปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนจาก Physical ไปสู่โลก Virtual บริบทที่ต้องมองต่อไปคือ 1. ทำอย่างไรจึงจะนำ ESG เข้ามาควบคุมการดำเนินธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม 2. ทำอย่างไรจึงจะสร้างความภักดีให้กับแบรนด์ได้ ทำให้แบรนด์กลายเป็นที่หนึ่ง 3. มองโลกธุรกิจให้เป็นระบบนิเวศที่ครบถ้วนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนทั้งอุตสาหกรรม ด้านการนำ AI มาใช้ในบริบทของคน ต้องกลับมาดูว่าประโยชน์จริงๆ ในการดูแลองค์กรคืออะไร ทั้งสิ่งที่ต้องตัดออก สิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นอัตโนมัติ สิ่งที่ยังต้องใช้มนุษย์ทำงาน การอัปสกิล-รีสกิล เพื่อให้องค์กรสามารถมุ่งไปข้างหน้าได้ การรับพนักงานใหม่อาจไม่ใช่ทางออกเสมอไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องการดูแลเด็กรุ่นใหม่ให้ทำงานร่วมกับคนหลากหลายรุ่นอายุที่แตกต่างกัน จะต้องมีบริบทของ Diversity Interchange เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์มากที่สุด ดังนั้นประโยชน์จาก AI จะช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น การสกรีนดูว่าใบสมัครถูกก็อบปี้มาจากที่ใด  การช่วยรวบรวมเนื้อหาที่ต้องการ การช่วยลดเวลาในการวิเคราะห์ และการคาดการณ์ โดยหน้าที่ของมนุษย์คือ การพัฒนาทักษะให้สามารถควบคุมและสั่งการให้ AI ทำงานได้ตามต้องการ และสุดท้ายคือการพัฒนา AI ให้กลายเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้คนสามารถทำงานได้เร็วขึ้น

X

Right Click

No right click