กรุงเทพฯ, 19 มกราคม 2567 – ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 4 และรอบ 12 เดือน ปี 2566 โดยธนาคารมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2566 ที่ 4,866 ล้านบาท และกำไรสุทธิรอบ 12 เดือน ปี 2566 จำนวน 18,462 ล้านบาท ภาพรวมผลการดำเนินงานทำได้ตามเป้าหมาย ยังคงเน้นดูแลคุณภาพสินทรัพย์และเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงินในทุกด้าน

 

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า สำหรับปี 2566 ในภาพรวมถือว่าธนาคารมีผลการดำเนินงานที่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเรายังคงเดินหน้าตามแผนการรับรู้ประโยชน์จากการรวมกิจการเพื่อหนุนด้านรายได้และการบริหารค่าใช้จ่าย ที่สำคัญ คือการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงินในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการรองรับความเสี่ยง สภาพคล่อง และฐานเงินกองทุน

จากเป้าหมายดังกล่าว กลยุทธ์ที่ทีทีบีมุ่งเน้นในปี 2566 จึงเป็นเรื่องของบริหารจัดการทุกองค์ประกอบของงบดุลให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสินเชื่อ ธนาคารยังคงใช้กลยุทธ์การเติบโตสินเชื่อใหม่อย่างรอบคอบ เน้นฐานลูกค้าที่ธนาคารมีความชำนาญ เข้าใจทั้งความต้องการและความเสี่ยงเป็นอย่างดี

อีกประการสำคัญ คือการดูแลลูกค้าสินเชื่ออย่างใกล้ชิด โดยธนาคารยังคงให้ความช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนการรวบหนี้ หรือการทำ Debt Consolidation เพื่อช่วยบรรเทาภาระดอกเบี้ยและช่วยให้ลูกหนี้สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ภายใต้ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น

 

โดยในปี 2566 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ยังต้องการรับความช่วยเหลือต่อเนื่องมาจากช่วงโควิด-19 คิดเป็นมูลค่าสินเชื่อประมาณ 11% ของพอร์ตสินเชื่อรวม และสำหรับโครงการรวบหนี้ได้เปิดกว้างสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม ธนาคารสามารถช่วยลูกค้ารวบหนี้ไปแล้วกว่า 1.7 หมื่นราย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถประหยัดดอกเบี้ยไปได้ราว 1.2 พันล้านบาท

ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว พอร์ตสินเชื่อของธนาคารจึงมีคุณภาพ ประกอบกับการบริหารจัดการหนี้เสียในเชิงรุก สถานการณ์ด้านคุณภาพสินทรัพย์จึงเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถลดระดับหนี้เสียลงมาได้อย่างต่อเนื่อง จากระดับสูงสุดในช่วงโควิด-19 ที่ 2.98% มาอยู่ที่ 2.62% ณ สิ้นปี 2566

ทั้งนี้ เนื่องจากธนาคารประเมินว่าเศรษฐกิจในช่วงถัดไปยังคงมีปัจจัยกดดันรอบด้าน จึงดำเนินการตั้งสำรองฯ พิเศษในไตรมาส 4 เป็นจำนวน 4.9 พันล้านบาท เพื่อยกระดับอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ NPL Coverage Ratio ให้ขึ้นมาอยู่ที่ 155% เมื่อเทียบกับ 138% ในปี 2565 และ 120% ก่อนรวมกิจการ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการรองรับความเสี่ยงที่แข็งแกร่งขึ้นมาโดยตลอด

นอกจากนี้ ธนาคารก็ยังได้เตรียมความพร้อมด้านสภาพคล่อง โดยการขยายฐานเงินฝากเพิ่มเติมในไตรมาส 4 เพื่อรองรับแผนธุรกิจและการแข่งขันด้านเงินฝากที่อาจเกิดขึ้น ในปี 2567 ส่งผลให้อัตราส่วนสภาพคล่อง LCR เพิ่มขึ้นจาก 175% ในไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 199% โดยประมาณ เทียบกับเกณฑ์ขั้นต่ำของธปท. ที่ 100%

ด้านฐานเงินกองทุนยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดยอัตราส่วน CAR และ Tier 1 ณ สิ้นปี 2566 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20.7% และ 17.0% ซึ่งสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นในทุกมิติ เปรียบได้กับการมีกันชนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในทุกด้าน ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารสามารถรองรับผลกระทบในยามที่ต้องเผชิญความไม่แน่นอนในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ สภาพคล่อง หรือเงินกองทุน ได้อย่างมั่นคง โดยไม่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามแผนธุรกิจปกติ รวมถึงไม่ลดทอนความสามารถในการให้ความช่วยเหลือลูกค้า และการสร้างมูลค่าด้านเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นของธนาคาร

สำหรับผลการดำเนินงานรายการหลักๆ ในปี 2566 มีดังนี้

สินเชื่อ ณ สิ้นเดือนธันวาคม ปี 2566 อยู่ที่ 1,328 พันล้านบาท ชะลอลง 2.5% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 3.5% จากสิ้นปี 2565 เป็นไปตามแนวทางการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบและแผนการปรับโครงสร้างสินเชื่อ โดยมุ่งเน้นการขยายสินเชื่อรายย่อยมากขึ้น ทำให้สินเชื่อรายย่อยยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 2.1% จากปีที่แล้ว นำโดยสินเชื่อกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ สินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อรถแลกเงิน สินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต ด้านสินเชื่อลูกค้าธุรกิจลดลง 11.6% จากปีก่อน เป็นผลจากการชำระหนี้คืนของลูกค้าและการนำสภาพคล่องส่วนเกินจากการปล่อยสินเชื่อกลุ่มลูกค้าธุรกิจไปหมุนเวียนปล่อยสินเชื่อรายย่อย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เงินทุน

ในด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,387 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามแผนการเตรียมสภาพคล่อง แต่ชะลอลงเล็กน้อย หรือราว 0.9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามแผนของธนาคารให้การบริหารสินเชื่อและเงินฝากให้สอดคล้องกัน ทั้งนี้ เงินฝากเป้าหมาย ซึ่งได้แก่ เงินฝากประจำ ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ด้านการออมดอกเบี้ยสูง และเงินฝาก ทีทีบี ออลล์ฟรี ที่ให้สิทธิประโยชน์ในการทำธุรกรรมและประกันอุบัติเหตุฟรี สามารถเติบโตได้ตามแผน

ภาพรวมด้านรายได้ยังคงได้รับแรงหนุนจากการรับรู้ประโยชน์จากการรวมกิจการ ทั้งจากประโยชน์ด้านงบดุล (Balance Sheet Synergy) ผ่านการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปยังกลุ่มลูกค้ารายย่อยและเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อ Consumer Loan และประโยชน์ด้านรายได้ (Revenue Synergy) จากการนำเสนอโซลูชันทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ให้กับฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นหลังการรวมกิจการ ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานรวมในปี 2566 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 70,961 ล้านบาท เทียบกับ 65,852 ล้านบาท ในปี 2565

 

ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 31,280 ล้านบาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 29,952 ล้านบาท ในปี 2565 เป็นผลจากกิจกรรมทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นและแผนการลงทุนทั้งด้านพนักงานและด้านดิจิทัล โดยธนาคารยังคงสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่อยู่ที่ 43.6% ลดลงจาก 45.1% ในปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเงิน ธนาคารได้ดำเนินการตั้งสำรองฯ พิเศษ เพิ่มเติมจากระดับปกติ รวมทั้งปีตั้งสำรองฯ ไปทั้งสิ้น 22,199 ล้านบาท หลังหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารจึงมีกำไรสุทธิในปี 2566 ที่ 18,462 ล้านบาท เทียบกับ 14,195 ล้านบาท ในปีก่อนหน้า

นายปิติ สรุปในตอนท้ายว่า “ผลการดำเนินงานในปี 2566 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของทีทีบีในการก้าวสู่ปี 2567 โดยเรายังคงตั้งเป้าที่จะสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพให้กับผู้ถือหุ้น พร้อมกับสนับสนุนแนวทางการลดหนี้ครัวเรือน รวมถึงการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของภาครัฐ ซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย Financial Well-being ของทีทีบีในการช่วยลูกค้าให้มีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2566 ในอัตรา 0.05 บาทต่อหุ้น โดยมีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD (วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล) ในวันที่ 9 ตุลาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในวันที่ 25 ตุลาคม 2566 นี้

 

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่ดีขึ้นในทุกด้านและฐานะเงินกองทุนที่อยู่ในระดับสูง ธนาคารจึงได้ปรับเพิ่มการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลขึ้นมาอยู่ที่ 0.05 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 4.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 150% เมื่อเทียบกับการจ่ายปันผลระหว่างกาลในปีที่แล้วที่อัตรา 0.02 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวม 1.9 พันล้านบาท

โดยการจ่ายเงินปันผลในระดับดังกล่าว คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล หรือ Dividend Payout Ratio (DPS) ที่ 55% จากกำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราการจ่ายปันผลระหว่างกาลในปีก่อนหน้าที่ 29% ซึ่งถือว่าสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของหุ้นกลุ่มธนาคาร สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของธนาคารในการสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อส่งมอบผลตอบแทนและเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ทั้งในรูปแบบของการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องและราคาหุ้นที่มีแนวโน้มเชิงบวกสอดคล้องกับทิศทางของผลการดำเนินงานที่เป็นไปตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2566 ทีทีบีมีกำไรสุทธิจำนวน 8,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารจัดการได้ตามเป้าหมาย มีสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ 2.63% อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ขณะที่ฐานเงินกองทุนยังคงแข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนเงินกองทุนรวมอยู่ในระดับสูงที่ 20%

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จับมือคนรุ่นใหม่ร่วมสร้างนวัตกรรมหาโซลูชันทางการเงินเพื่อคนไทยทุกกลุ่ม ด้วยการจัดงาน Financial Well-being Hackathon for Thais โดยทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม 18 Eyes ที่นำเสนอฟีเจอร์ ttb FORWARD ช่วยล็อกหนี้และปรับแผนทางการเงินใหม่ให้เหมาะสมกับคนทำงาน อันดับสองทีม Minnionaire consulting โชว์ไอเดียทำระบบเฮงเฮง เพื่อร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ทำบัญชีทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน ร่วมแก้หนี้นอกระบบ สร้างการเงินที่ยั่งยืน ตอกย้ำแนวคิด Financial-Well being

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาธนาคารได้มีการจัดกิจกรรม Hackathon สำหรับพนักงาน โดยระดมสมองร่วมกัน Hack เพื่อคิดค้นนวัตกรรม หาไอเดีย หรือวิธีการทำงานใหม่ ๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์ทางการเงินของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมีผลงานเด่น ๆ ที่เกิดจากงาน Hackathon เช่น การพัฒนาฟีเจอร์ไม่ชาร์จ FX Rate 2.5% ของบัตรเดบิต All Free เมื่อรูดใช้จ่ายที่ต่างประเทศและยังได้เรทที่ถูกทุกสกุลเงินทั่วโลก ทำให้บัตรเดบิต All Free เป็นที่นิยมมากในหมู่นักเดินทาง และบัญชีสำหรับบริหารหลายสกุลเงิน หรือ ttb multi-currency account สำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ

ในปีนี้ ธนาคารได้มีการต่อยอดกิจกรรมดังกล่าวเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคน รวมถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิดและลงมือทำในสิ่งที่ท้าทายเข้ามาช่วยกันสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทย ในงาน Financial Well-being Hackathon for Thais การแข่งขันเพื่อค้นหาโซลูชันทางการเงิน โดยเน้นการนำเทคโนโลยีและฐานข้อมูล (Tech & Data) มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการหาโซลูชันใหม่ ๆ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักศึกษาและกลุ่มคนรุ่นใหม่จากทั่วประเทศที่ร่วมสมัครเข้ามาทั้งหมด 102 ทีม โดยมีการนำเสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาครอบคลุมพื้นฐานการเงินครบ 4 มิติสำคัญ ได้แก่ ฉลาดออม ฉลาดใช้, รอบรู้เรื่องกู้ยืม, ลงทุนเพื่ออนาคต และมีความคุ้มครองที่อุ่นใจ ที่จะช่วยเสริมรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งและสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นได้

ทั้งนี้ การประกาศผลทีมชนะในงาน Financial Well-being Hackathon for Thais การแข่งขันเพื่อค้นหาโซลูชันเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทางการเงินของคนไทยที่สะท้อนจากมุมมองของคนรุ่นใหม่ต่อการเงินและการจัดการปัญหาทางการเงิน โดยมีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญ (Mentors) และกรรมการตัดสิน (Judges) จากทีเอ็มบีธนชาตและที่ปรึกษาจากบริษัทภายนอก ทั้ง Business, Tech และ Data มาช่วยขัดเกลาไอเดียและต่อยอดในการร่วมกันสร้างโซลูชันทางการเงินอย่างแท้จริง

โดยทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม 18 Eyes นำเสนอสร้างสรรค์โซลูชัน “ttb FORWARD” ฟีเจอร์ล็อกหนี้สร้างแผนการเงินใหม่ให้เหมาะกับคนทำงานในการบริหารหนี้และรายรับ-รายจ่ายในแต่ละเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นแก้ปัญหาให้กลุ่มคนทำงานอายุ 20-40 ปี ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในประเทศและยังไม่มีการวางแผนทางการเงิน “ttb FORWARD” จะมาตอบโจทย์ลูกค้าแบบเฉพาะคนในการเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินเพื่อยกระดับ Financial Well-being ให้แก่คนไทยในระยะยาว ทีมอันดับสอง ได้แก่ ทีม Minnionaire consulting นำเสนอโซลูชัน “ระบบเฮงเฮง” เพื่อร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ทำบัญชีธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน และทีมอันดับสาม มี 2 ทีม ได้แก่ ทีม Happry เสนอไอเดีย “สลากเสี่ยงสบาย” และทีม Money Team ที่นำเสนอการวางแผนทางการเงินผ่านการเล่นเกมส์ Money Town เพื่อส่งเสริมวินัยการออม

นายปิติ กล่าวสรุปว่า “งาน Financial Well-being Hackathon for Thais ทุกทีมต่างได้รับประสบการณ์ที่ดีและเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ทั้งแผนธุรกิจ (Business), Tech และ Data เพื่อนำความรู้ไปต่อยอดแนวคิด สร้างนวัตกรรมที่มีประสิทธิผล พัฒนาโซลูชันและแก้ปัญหาทางการเงินให้กับคนไทยอย่างแท้จริง โดยทีเอ็มบีธนชาตพร้อมให้โอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินเพื่อยกระดับให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งวันนี้ และในอนาคตต่อไป”

กรุงเทพฯ 30 กันยายน 2565 -- ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อสอดรับกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น โดยมุ่งเน้นดูแลลูกค้าสินเชื่อรายย่อยให้สามารถปรับตัวและบริหารจัดการสภาพคล่องได้ พร้อมขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มผลตอบแทนและส่งเสริมการออม

 

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า จากการที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ทำให้ภาพรวมการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.50% เพื่อสอดรับกับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าว ทีเอ็มบีธนชาตได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบและยึดมั่นในแนวทางการช่วยเหลือและดูแลลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าสินเชื่อรายย่อยที่จะใช้แนวทางการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับตัวและบริหารจัดการสภาพคล่องได้ โดยธนาคารจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ย MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้น 0.20% ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยกว่าการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี 0.25% และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี 0.25% โดยการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป

ในขณะเดียวกัน สำหรับกลุ่มลูกค้าเงินฝากที่มองหาผลตอบแทนมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูง และเพื่อเก็บออมสำหรับอนาคต ธนาคารจึงได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ อยู่ที่ระหว่าง 0.15% - 0.80% ต่อปี ซึ่งรวมถึงบัญชีเงินฝากพิเศษ ทีทีบี อัพ แอนด์ อัพ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุก ๆ 6 เดือน และได้รับดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเงินฝากที่มุ่งเน้นการออมในบัญชีดอกเบี้ยสูง เพิ่มสภาพคล่อง ถอนได้ก่อนกำหนดไม่ถูกลดดอกเบี้ย และเริ่มฝากขั้นต่ำได้ที่ 5,000 บาท โดยธนาคารได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงสุดจาก 1.80% เป็น 2.50% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไปเช่นกัน

นายปิติ กล่าวว่า “ทีเอ็มบีธนชาตมีความเข้าใจและมีความห่วงใยถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อลูกค้ากับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าสินเชื่อรายย่อย จึงได้ใช้แนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยให้ลูกค้ายังคงมีสภาพคล่องในการใช้ชีวิตในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน และเชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำจะเป็นการช่วยส่งเสริมการออม เพื่อเป็นการสร้างรากฐานชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้าได้”

ทีเอ็มบีธนชาต รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ 3,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อน และ 15% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารจัดการได้ตามเป้าหมาย สัดส่วนหนี้เสียลดลงจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 2.73%

Page 1 of 12
X

Right Click

No right click