ตั้งเป้าดันรายได้แตะ 2,500 ล้านบาทในปี 2570 พร้อมร่วมงานแฟร์ใหญ่ THAIFEX-HOREC Asia เดือนมีนาคม

 กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าขยายธุรกิจอาหารอย่างต่อเนื่อง หลังจาก “ดุสิต ฟู้ดส์” ที่กลุ่มดุสิตธานีถือหุ้น 75% ประสบความสำเร็จกับการลงทุนในธุรกิจอาหารที่หลากหลาย และสร้างการเติบโตได้อย่างมีศักยภาพ เผยแผนปี 2567 เร่งเพิ่มฐานลูกค้าและช่องทางการจำหน่าย ด้วยการผลักดัน “ดุสิต กาสโทร” บริษัทย่อยที่ดุสิต ฟู้ดส์ ถือหุ้น 100% เป็นศูนย์กลางจัดหาวัตถุดิบให้กับลูกค้า ทั้งที่เป็นบริษัทในเครือและลูกค้าทั่วไป มั่นใจตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่และแคเทอริ่ง (Hotel Restaurant Café and Catering : HoReCa) พร้อมนำทัพสินค้าและบริการร่วมงานแฟร์ใหญ่ THAIFEX-HOREC Asia ระหว่างวันที่ 6-8 มีนาคมนี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี หวังดันรายได้แตะ 2,500 ล้านภายในปี 2570

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มดุสิตธานีขยายการลงทุนในธุรกิจอาหาร ด้วยการจัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีถือหุ้นใน “ดุสิต ฟู้ดส์” ในสัดส่วน 75% ขณะที่บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ ถือหุ้นในสัดส่วน 25% จนถึงขณะนี้ธุรกิจอาหารภายใต้การบริหารของ “ดุสิต ฟู้ดส์” สามารถเติบโตได้อย่างน่าพอใจ โดยในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารมีรายได้ในสัดส่วน 19.5% ของรายได้รวมของกลุ่มดุสิตธานี สูงกว่าเป้าหมายที่กลุ่มดุสิตธานีวางไว้ว่า จะกระจายรายได้ไปในธุรกิจอื่นๆ นอกจากธุรกิจโรงแรมและการศึกษาในสัดส่วน 10%

“ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่เติบโตดีและมีศักยภาพ ขณะที่กลยุทธ์ที่เราวางไว้เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจอาหารก็เป็นไปตามแผน จากจุดเริ่มต้นที่เราเน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรับจัดเลี้ยงหรือแคเทอริ่ง ด้วยการถือหุ้น 70% ในเอ็บเพอคิวร์ กรุ๊ป ที่ปัจจุบันให้การบริการรับจัดอาหารให้กับโรงเรียนนานาชาติ ทั้งในไทย เวียดนาม และกัมพูชา การลงทุนในธุรกิจเบเกอรี่ ด้วยการถือหุ้นในบองชู กรุ๊ป ในสัดส่วน 55% ทำให้เรามีโรงงานผลิตเบเกอรี่ คือ พอร์ต รอยัล เข้ามาในพอร์ตลงทุนของเรา รวมถึงการถือหุ้นใน Savor Eats ในสัดส่วน 51% ที่จะเห็นรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ และในปีนี้เช่นเดียวกันที่ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ จะสร้างการเติบโตจากภายในผ่านบริษัท ดุสิต กาสโทร จำกัด ที่ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ ถือหุ้นในสัดส่วน 100% โดยทั้งหมดนี้ เป็นพัฒนาการของธุรกิจอาหารที่จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับกลุ่มดุสิตธานีในอนาคตอย่างแน่นอน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าว

ด้าน นางสาวมณิศา มิตรไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจไว้ที่เฉลี่ยปีละ 15-18% โดยวางเป้าหมายว่าจะสามารถสร้างรายได้แตะระดับ 2,500 ล้านบาทภายในปี 2570 ทั้งนี้ ในรอบปีที่ผ่านมา (9 เดือน) บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ถึง 878 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 19.5% ของรายได้โดยรวมของกลุ่มดุสิตธานีที่ 4,512 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ที่สำคัญมาจาก 2 ธุรกิจที่เข้าไปลงทุนไว้ก่อนหน้า คือ เอ็บเพอคิวร์ กรุ๊ป และบองชู กรุ๊ป โดยในปีนี้ทั้งเอ็บเพอคิวร์ ซึ่งปัจจุบันดำเนินธุรกิจรับจัดอาหาร (แคเทอริ่ง) ให้กับโรงเรียนนานาชาติ ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา มีแผนจะขยายลูกค้าไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง รวมถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก พร้อมๆ กับขยายการให้บริการที่นอกเหนือไปจากกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ เช่นเดียวกับบองชู กรุ๊ป ที่มีแผนขยายฐานลูกค้าไปยังจีน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งจะตอบโจทย์พันธกิจหลักของ “ดุสิต ฟู้ดส์” ที่จะนำอาหารเอเชียออกไปสู่ตลาดโลก

พัฒนาการที่สำคัญของ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ ในปีนี้ คือ การทำให้ภาพการเป็นบริษัทที่ลงทุนด้านอาหารในรูปโฮลดิ้งส์ชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมาเรามองหาโอกาสลงทุนในพันธมิตรจากภายนอกที่แข็งแกร่ง ทำให้เราเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ในปีนี้เราจะรุกการเป็น Food Solutions ที่จะขับเคลื่อนจากภายใน ผ่านบริษัท ดุสิต กาสโทร จำกัด ที่ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ ถือหุ้น 100% โดย “ดุสิต กาสโทร” จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดหาวัตถุดิบคุณภาพ (Food Sourcing Hub) ตั้งแต่ข้าวออร์แกนิค ที่กลุ่มดุสิตธานีทำสัญญากับเกษตรกรโดยตรง รวมถึงเครื่องปรุงชนิดต่างๆ เพื่อส่งต่อให้กับลูกค้าทั้งในเครือและนอกเครือ ตลอดจนสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหาร (Innovation) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ “ดุสิต กาสโทร” ที่สามารถรับคำสั่งในการรังสรรค์เมนูอาหาร รวมถึงขนมอบต่างๆ ให้กับลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง ตั้งแต่วัตถุดิบ ขนาด รสชาติ และงบประมาณ ซึ่งจะทำให้ “ดุสิต กาสโทร” เป็นจุดเชื่อมทุกธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีไปสู่ฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะการให้บริการในกลุ่มเท่านั้น โดยขณะนี้ ‘ดุสิต กาสโทร’ ได้เริ่มเจาะกลุ่มลูกค้าในธุรกิจค้าปลีก โรงแรม ร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมัน ที่มีสาขาทั่วประเทศ รวมถึงศูนย์แสดงสินค้าขนาดใหญ่” กรรมการผู้จัดการ ดุสิต ฟู้ดส์ กล่าว

ล่าสุด “ดุสิต ฟู้ดส์” ยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าในกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่และแคทอริ่ง (HoReCa : Hotel Restaurant Café and Catering) ด้วยการนำ “ดุสิต กาสโทร” ร่วมเปิดตัวในงาน “ไทยเฟ็กซ์-โฮเรค เอเชีย” (THAIFEX-HOREC Asia) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าที่เน้นธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและการจัดเลี้ยง (HoReCa) และนับเป็นงานแสดงสินค้าครั้งสำคัญโดยความร่วมมือของพันธมิตร ที่ล้วนเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมอาหารทั้งในประเทศและภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 มีนาคม 2567 ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี (Hall 10 - K14)

เรามั่นใจว่า ‘ดุสิต กาสโทร’ จะตอบโจทย์ที่เป็น pain point หรือปัญหาสำคัญของผู้ประกอบการกิจการอาหาร ที่ต้องเผชิญภาวะการขาดแรงงาน ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น มาตรฐานของวัตถุดิบและการผลิตที่ไม่สามารถควบคุมให้สม่ำเสมอได้ ปัญหาขยะอาหารเหลือทิ้ง (Food Waste) และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งรับมือได้ยาก ดังนั้น บริการของ “ดุสิต กาสโทร” ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการรับคำสั่งจากลูกค้า เชื่อมต่อระหว่างลูกค้ากับธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่ม “ดุสิต ฟู้ดส์” และพันธมิตรด้านอาหารของเรา จะตอบโจทย์และลดปัญหาที่ลูกค้าในกลุ่ม HoReCa ต้องเผชิญมาโดยตลอด” นางสาวมณิศากล่าว

‘ดุสิตธานี’ ชวนส่งมอบความสุขกับกระเช้าของขวัญ ที่คัดสรรผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยจาก ‘เลอ กอร์ดอง เบลอ’ได้แก่ เค้กผลไม้, ช็อกโกแลต สเปรด และ ซอล์ต คาราเมล สเปรด  รวมถึงอาหารทั้งคาวและหวานจาก ‘ดุสิตกูร์เมต์’ ตั้งแต่ชาหอมกรุ่น พายบัตเตอร์ฟลายโฮมเมด ข้าวหอมมะลิออแกนิค ไปจนถึงเครื่องแกงและอีกหลายรายการ ในราคาเริ่มต้นเพียงกระเช้าละ 1,290 บาท พร้อมกันนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกผลิตภัณฑ์จัดกระเช้าแบบที่ต้องการเพื่อส่งมอบเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ที่บ่งบอกความใส่ใจของผู้ให้ได้ดีที่สุดอีกด้วย

รายการอาหารสำหรับจัดกระเช้า อาทิ คุ้กกี้แสนอร่อย (150 บาท) ขนมเคลือบชอคโกแลต (220 บาท) แยมผลไม้ (210 บาท) น้ำผึ้งป่า (180 บาท) พายบัตเตอร์ฟลายโฮมเมด (330 บาท) เค้กผลไม้จาก เลอ กอร์ดอง เบลอ (850 บาท) เครื่องแกงรสต่างๆ (120 บาท) ข้าวหอมมะลิออแกนิค (159 บาท) รวมไปถึงใบชาออแกนิค (330 บาท)


เลือกกระเช้าของขวัญจาก “ดุสิตกูร์เมต์” และดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่
สามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 15 มกราคม 2567 ที่

ร้านดุสิต กูร์เมต์ ณ โรงแรมดุสิต สวีท ราชดำริ กรุงเทพฯ (โทร 02 264 6464)

บ้านดุสิตธานี กรุงเทพฯ (โทร 02 200 9009)                                                   

โรงแรมดุสิตปริ๊นเซส ศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ (โทร 02 721 8400)

โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน (โทร 03 252 0009)

สำหรับสมาชิกดุสิตโกลด์  (Dusit Gold) และลูกค้าองค์กรที่สั่งซื้อจำนวนมาก รับส่วนลดพิเศษเพิ่มเติม โดยสั่งได้ที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. (Tel: 02 200 9999)

ชูจุดเด่นตั้งอยู่ในทำเลทองแห่งใหม่ของมาเลเซีย ห่างจากใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์เพียง 40 นาที

กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าขยายธุรกิจในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เปิดโรงแรมแห่งที่ 11 ในจีน

กลุ่มดุสิตธานีเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง เปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ “ดุสิต คอลเลคชั่น” (Dusit Collection) และ “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” (Devarana-Dusit Retreats) รองรับตลาดลักซูรี่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เผย “ดุสิต คอลเลคชั่น” จับกลุ่มเจ้าของโรงแรมสแตนด์อโลน หรืออสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชูรี ที่ต้องการรักษาแบรนด์และความเป็นตัวตนของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น ในขณะที่ “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” เป็นรูปแบบที่พักที่เน้นเป็นสถานที่ให้บริการฟื้นฟูร่างกายและเยียวยาจิตใจในที่พักหรูหราที่มีความเป็นส่วนตัว ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบทั่วโลก โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการแห่งแรกในจีน ประมาณเดือนตุลาคม 2566 ก่อนที่จะเปิดให้บริการอีกหลายแห่งในปีนี้ ครอบคลุมทั้งยุโรป ตะวันออกกลาง และจีน

มร. จิลล์ เครตัลเลช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่องกับการเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่  ดุสิต คอลเลคชั่น (Dusit Collection) และ เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์ (Devarana – Dusit Retreats)  เพื่อรองรับตลาดที่พักระดับลักซูรี่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทั้ง 2  แบรนด์จะเป็นเพิ่มจำนวนแบรนด์ภายใต้ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และวิลล่าหรู ที่มีอยู่เดิมภายใต้กลุ่มดุสิตธานี ซึ่งประกอบด้วย ดุสิตธานี, ดุสิตสวีท, ดุสิตเดวาราณา, ดุสิตดีทู, ดุสิตปริ๊นเซส, อาศัย และอีลิธฮาเวนส์ ให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มมากขึ้น และยังถือเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจที่พักให้กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกมากขึ้น 

สำหรับแบรนด์ “ดุสิต คอลเลคชั่น” ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อช่วยเจ้าของโรงแรมสแตนด์อโลนหรือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชูรี ให้สามารถรักษาตัวตน และเสน่ห์ดั้งเดิมของแบรนด์ ในขณะเดียวกัน ก็สามารถเพิ่มศักยภาพในการให้บริการได้อย่างเป็นระบบ จากนักบริหารมืออาชีพที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในงานบริหารโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยไม่ต้องยุ่งยากในการรีแบรนด์หรือปรับใหม่แต่อย่างใด คุณสมบัติอันโดดเด่นของโรงแรมภายใต้แบรนด์ดุสิตคอลเลกชั่นคือ ตั้งอยู่ในโลเคชั่นที่น่าสนใจ ตัวโรงแรมมีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและเรื่องราวที่น่าสนใจ และมีการตกแต่งอย่างลงตัว ผสมผสานเข้ากับเอกลักษณ์ของท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืน  ซึ่งที่พักแบบนี้ กำลังเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แท้จริง และแตกต่างไม่เหมือนใคร ซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยว

“เรามั่นใจว่า “ดุสิต คอลเลคชั่น” จะเป็นโมเดลที่มีประสิทธิภาพและสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด โดยเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะได้รับการดูแลจากทีมที่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในการบริหาร ที่มีความเข้าใจตัวตน และรักษาไว้ซึ่งความโดดเด่นของทรัพย์สินที่มีคุณค่า ขณะที่กลุ่มดุสิตธานีจะได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์ที่สามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างคล่องตัว เพิ่มความหลากหลายให้กับงานบริการ และยังสามารถสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจบริการของเรา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้เข้าพักจะได้รับประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ในการค้นหาเรื่องราวที่น่าสนใจจากเมืองปลายทางอันเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และเอกลักษณ์เฉพาะตัว” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานีกล่าว

ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมั่นใจว่า ยังมีอสังหาริมทรัพย์สุดหรูอีกมากที่รอการค้นพบ ตั้งแต่พระราชวังเก่าในเมืองแห่งประวัติศาสตร์ จนถึงที่พักริมทะเลอันเงียบสงบ จากทวีปเอเชีย เรื่อยไปจนถึงตะวันออกกลางอันมีเสน่ห์ และครอบคลุมถึงทวีปยุโรป ที่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ “ดุสิต คอลเลคชั่น” ซึ่งขณะนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลงกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายราย และคาดว่าจะสามารถประกาศการลงนามความร่วมมืออย่างเป็นทางการได้ในเร็ว ๆ นี้

สำหรับแบรนด์ใหม่ลำดับที่ 2 ของกลุ่มดุสิตธานี จะเป็นการพลิกโฉมแบรนด์หรูที่มีอยู่เดิม “ดุสิต เดวาราณา”  เปลี่ยนเป็น “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” เพื่อยกระดับประสบการณ์การเข้าพักที่มีคุณค่าในระดับอัลตร้า ลักซ์ชูรี

ทั้งนี้ จากความสำเร็จของการพัฒนาคอนเซ็ปต์ “เทวารัณย์ เวลเนส” (Devarana Wellness) หรือแนวคิดด้านสุขภาพแบบองค์รวมผสานกับองค์ประกอบของความเป็นอยู่ที่ดีอย่างมีเอกลักษณ์ให้กับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตทั่วโลก ทีมงานได้มีการต่อยอดและยกระดับการบริการดังกล่าว จนเกิดเป็นแบรนด์ “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์”  มุ่งหวังที่จะยกระดับแนวทางการรักษาสุขภาพแบบองค์รวมนี้ให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการมอบประสบการณ์ของการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้อย่างเต็มที่ ในที่พักอันหรูหรา ที่มีความเป็นส่วนตัว เงียบสงบทั่วโลก 

แบรนด์เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์ ถูกพัฒนาขึ้นจากหลักการดูแลสุขภาพแบบไทยดั้งเดิม ผสมผสานกับแนวคิดของการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูอย่างยั่งยืน  เพื่อให้เกิดเป็นโปรแกรมเชิงสุขภาพแบบครบวงจร ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษจากการผสมผสานเอกลักษณ์อันโดดเด่นของธรรมชาติในแต่ละชุมชน เข้ากับหลักการบำบัดแบบโบราณ เพื่อมอบให้กับนักท่องเที่ยว ที่มองหาการฟื้นฟูและเยียวยาร่างกายและจิตใจ ในพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัว อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบความประทับใจอย่างสูงสุดแก่ผู้เข้าพัก

“เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” แห่งแรกมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้ที่ประเทศจีน และกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลง เพื่อลงนามเพื่อสร้าง “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” อีกหลายแห่งภายในปีนี้ ทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และในจีน

ปัจจุบัน กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรม 55 แห่งที่ดำเนินกิจการภายใต้ ดุสิต โฮเท็ล แอนด์ รีสอร์ท และวิลล่าระดับลักซ์ชูรีกว่า 230 หลังภายใต้ อีลิธฮาเวนส์ ใน 19 ประเทศ ยังมีโรงแรมและรีสอร์ทในกลุ่มดุสิตธานีที่พร้อมจะเปิดมากกว่า 60 แห่งทั่วโลก และมีเป้าหมายการลงนามเพิ่มเติมอีก 22 แห่งในปีนี้

“การเปิดตัวแบรนด์ “ดุสิต คอลเลคชั่น” และ “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” ในช่วงเวลานี้ สะท้อนถึงความสำคัญของการปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ที่บริหารภายใต้กลุ่มดุสิตธานี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และสะท้อนความพร้อมในการขยายธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เราได้ทยอยปรับปรุงแบรนด์แต่ละตัวอย่างพิถีพิถันเพื่อมอบความสะดวกสบาย ประสบการณ์ และความคุ้มค่าให้กับผู้เข้าพัก การเพิ่มขึ้นของแบรนด์น้องใหม่ทั้งสองแบรนด์ นับเป็นการขยายการรูปแบบการให้บริการที่พัก ให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่ม  ตั้งแต่ไลฟ์สไตล์บูติก ไปจนถึงการดูแลสุขภาพองค์รวมระดับลักซ์ชูรี ซึ่งทุกแบรนด์ได้รับแรงบันดาลใจจากความเป็นไทย และการต้อนรับแบบไทยอย่างอบอุ่น ซึ่งถือเป็นการต่อยอดสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ของกลุ่มดุสิตธานี” มร.จิลล์กล่าว

Page 1 of 7
X

Right Click

No right click