
เลขที่ 988/199 ซอยสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ)
โทร. 081-443-5298 , 081-494-2487 , 097-699-9958
line@ : @mbamagazine
mbamagazine@yahoo.com
ทั้งรายจ่ายจำเป็นประจำวัน ประจำเดือน และดอกเบี้ยจากการก่อหนี้ในช่วงที่ผ่านมา
ราคาหุ้นคงจะเด้งกลับ เพราะมาตรการอัดฉีดสารพัดของรัฐบาลในโลก และมาตรการ “อุ้ม” กิจการที่กำลังจะตายทั้งหลายในช่วงนี้ให้ผ่านไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน (เช่นกระทรวงการคลังอุ้มการบินไทย) แต่เสร็จแล้ว เมื่อนักลงทุนเห็นธาตุแท้ของปัจจัยพื้นฐาน ราคาหุ้นก็จะตกลงมาแรงยิ่งกว่าเก่า
ธุรกิจจำนวนมากจะเจ๊งเพราะรายได้ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ก่อหนี้เพิ่มลำบาก และใช้หนี้คืนไม่ได้ เพราะระดับการก่อหนี้ที่ผ่านมาสูงเหลือเกิน ส่งผลให้คนงานจำนวนมากตกงาน วงในรัฐบาล คาดกันว่าอาจถึง 20% ด้วยซ้ำ
ธนาคารชาติใหญ่ๆ ต่างพากันพิมพ์เงินออกมาอัดฉีดเพื่อพยุงเศรษฐกิจ แต่ชาติเล็กๆ ที่พิมพ์เงินเองไม่ได้มาก และรายจ่ายสำคัญต้องอาศัยเงินดอลลาร์ไปนำเข้าสิ่งจำเป็น มาบริโภคในประเทศ (เช่นน้ำมัน ปุ๋ย เครื่องจักร ยารักษาโรค เหล็ก รถไฟฟ้า ฯลฯ) อย่างประเทศไทย จำเป็นต้องหาเงินสกุลแข็ง (ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นหลัก) มาอุด
แต่เมื่อจำนวนเงินมันอัดเข้ามามาก เงินอยู่ในมือคนมากขึ้น ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น พวกเขาย่อมต้องใช้จ่ายกันคล่องขึ้น ทว่าผลผลิตยังเท่าเดิม หรือเพิ่มน้อย ข้าวปลูกได้เท่าเดิม มะม่วงเท่าเดิม ผักเท่าเดิม เนื้อเท่าเดิม พริกหอมกระเทียมปลูกได้ในปริมาณเท่าเดิม...มันย่อมจะทำให้ราคาสินค้าบริการแพงขึ้น ที่เราเรียกว่า “เงินเฟ้อ” หรือ Inflation
แน่นอนว่า เรามีข้าวจานเดียว แต่ทุกคนมีเงินในมือมากขึ้น ข้าวจานนั้นย่อมแพงขึ้น เพราะแต่ละคนที่ต้องกินข้าว จะแย่งกันเสนอราคาข้าวจานนั้นในราคาที่สูงขึ้น เพื่อจะให้ได้ข้าวจานนั้นมาครอบครอง
และแม้ว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นในหน้าร้อนจะทำให้ไวรัสตายไปแยะ แต่เมื่อเข้าหน้าฝนและหน้าหนาว พวกอุบาทว์กาลีโลกพวกนี้ก็จะกลับมาอีก ทั้งจากที่แอบซ่อนอยู่ในพวกเรากันเอง และจากนักท่องเที่ยวที่จะทะลักเข้ามาใหม่หลังจากเราเปิดประเทศ เพราะนึกว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว
ในขณะที่ผู้คนในโลกเริ่มตาสว่างเกี่ยวกับเงินดอลลาร์และเงินยูโรและเงินเยน (หรือแม้กระทั่งหยวน) ซึ่งเป็นเงินสกุลหลักของโลกว่าในช่วงวิกฤติไวรัสนั้น รัฐบาลยักษ์ใหญ่เหล่านี้พิมพ์เงินออกมาในปริมาณมหาศาล
ดังนั้น พวกเขาอาจหมดศรัทธาในเงินสองสกุลนี้ หันไปถือทองคำ ถือบิทคอยน์ ถือสินทรัพย์อะไรก็ตามที่พวกเขาเชื่อมั่นยิ่งกว่า ว่าเงินและเงินเก็บของพวกเขาจะไม่มลายหายไป หรือกลายเป็น “แบงก์กงเต๊ก”
สถานการณ์แบบนั้น ยิ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อของโลกเพิ่มสูงขึ้นไปอีก (เลวร้ายที่สุดอาจเหมือนตอนที่เกิดในเยอรมนี ปี 1923 ใครที่ยังไม่เคยรู้ขอลองให้ไปศึกษาดู)
เมื่อคนเริ่มกลัวว่าเงินของตัวเองจะมีค่าลดลงเมื่อเทียบกับสินค้าและบริการทั้งหลาย (เรียกว่า “ภาวะเงินเฟ้อ” นั่นเอง) อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะมีปัญหา
เอทีเอ็มอาจเติมเงินไม่ทัน เพราะทุกคนต่างต้องการเงินสด เพื่อตุนไว้ซื้อสินค้าจำเป็นซึ่งราคาแพงขึ้นทุกวันๆ
เดือดร้อนถึงธนาคารชาติและรัฐบาลที่ต้องคิดหนักว่าจะกู้เงินมาอัดฉีดเพิ่มดีไหม (หรือจะหักดิบพิมพ์เงินขึ้นมาเองเลย) เพราะหนทางเลือกอื่น เช่นการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปไม่ได้แล้ว (เพราะลดไปก่อนหน้านี้จนลงมาเกือบถึง 0% แล้ว และที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่แล้ว)
พวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะให้เศรษฐกิจรูดลงไปเรื่อยๆ ยอมเห็นทุกคนเจ๊งไปต่อหน้าต่อตา หรือจะหาเงินมาอัดฉีดเข้าไปเพื่อพยุงสถานการณ์เฉพาะหน้าไว้ก่อน...แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้า
เชื่อขนมกินได้เลยว่าภาวะการเมืองแบบนี้ รัฐบาลต้องเลือกหนทางหลัง
มันเกิดขึ้นมาแล้วที่เวเนซุเอลาเมื่อเร็วๆ นี้ ซิมบับเวก่อนหน้านั้น และเยอรมนีในยุคสาธารณรัฐไวมาร์ (ปี 1923)
ท่านผู้อ่านไปดูเอาเองได้ ว่าราษฎรส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านั้น ในช่วงเวลานั้นๆ เจ็บปวดเพียงใด
ราคาสินทรัพย์จะพุ่งสูงขึ้นมาก รวมทั้งราคาหุ้นด้วย แต่ตลาดพันธบัตรและหุ้นกู้จะล่มสลาย เพราะคนจะออกจากตลาดหุ้นกู้มาเข้าตลาดหุ้นแทน
มูลค่าหนี้สินเดิมจะหายมลายไปสิ้นจากผลของภาวะเงินเฟ้อ
คนเคยเป็นหนี้ล้านบาท จะไม่เป็นปัญหาของเขาอีกต่อไป แต่เจ้าหนี้และธนาคารจะอยู่ไม่ได้
สินค้าที่ต้องนำเข้าจะขาดแคลน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของจำเป็น
ปัญหาสังคมจะเกิดขึ้นทั่วไป
เจ้าหนี้ลูกหนี้ทะเลาะกัน โจรผู้ร้ายชุกชุม การปล้นชิงเป็นเรื่องปกติ สินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าจำเป็นที่ต้องนำเข้าขาดแคลน ต้องปันส่วนกัน ซึ่งคนรวยหรืออภิสิทธิ์ชนจะได้รับสิทธิก่อน และส่วนแบ่งได้ไปมากกว่าแบบเบียดบังเอาเปรียบ โดยที่คนจนหรือคนไร้อำนาจจะเห็นว่าตัวเองถูกเอาเปรียบแบบตำตา
เกิดความขัดแย้งในสังคมระหว่างคนมีกับคนไม่มี
การเมืองต้องประกาศภาวะฉุกเฉินอย่างถาวร ประชาธิปไตยครึ่งใบกลายเป็นเผด็จการ และผู้คนจะไม่เชื่อฟังผู้นำ กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์เพราะผู้รักษากฎหมายส่วนใหญ่นิ่งเฉยที่จะบังคับใช้กฎหมาย
จลาจลเป็นเรื่องปกติเหมือนที่เกิดในเขต 3 จังหวัดภาคใต้เดี๋ยวนี้
แต่ก็ยังมีข่าวดี
ข่าวดีคือ คนที่ยังพอมีความหวัง มองโลกในแง่ดี และมีความคิดสร้างสรรค์ จะแสวงหาหนทางแบบบ้านๆ หรือแบบจริงจัง ในการแก้ปัญหา หรือเสนอ Creative Solutions ให้กับสังคม
เรื่องเหล่านี้คนไทยเก่งอยู่แล้ว
การปรับตัวในภาวะวิกฤติ เราทำมาหลายครั้งแล้ว
เผอิญว่าครั้งนี้ ความคิดสร้างสรรค์และ Innovations ต่างๆ คงจะถูกยับยั้ง หรือเหนี่ยวรั้ง จากผู้มีอำนาจ เพราะคนเหล่านี้จริงๆ แล้วเป็นคนไร้ปัญญา และชอบขัดขวางการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว...แต่ชอบอ้างว่าต้องดูให้รอบคอบ และอ้างกฎหมายกฎเกณฑ์ หรือขั้นตอน Manual ของระบบราชการ
บทความ: ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว