×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 802

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 813

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 840

ในบรรดาผู้รู้จริงในเรื่อง BLOCKCHAIN ของเมืองไทย ซึ่งมีกันอยู่ไม่มากนัก จักรกฤษณ์ ทัฬหชาติโยธิน คือหนึ่งในนั้น เขาคือหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง “Six Network” ที่ดูแลทางด้านเทคโนโลยี และ Blockchain ของกิจการ

จักรกฤษณ์ เป็น Serial Entrepreneur ที่ทำสตาร์ตอัพมาแล้วหลายกิจการ ตั้งแต่ Co-Working Space และการสร้างฮาร์ดแวร์ที่ใช้ทดสอบสัญญาณมือถือ ไปจนถึงการทำ SDK เพื่อการโอนเงินผ่านมือถือ ผ่านเสียงที่คนไม่ได้ยิน เรียกว่าผ่านงานในเชิง เทคโนโลยี + นวัตกรรม มาไม่น้อย

จักรกฤษณ์มองว่า หัวใจของบล็อกเชนคือเรื่อง “TRUST” ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม

“บล็อกเชนทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เกิดความไว้วางใจกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวกลาง ที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ ในการโอนเงิน โอนข้อมูล หรือโอนมูลค่าให้กัน" เขากล่าว

ที่เป็นเช่นนั้นได้ เพราะบล็อกเชนมัน "เปิดเผย"

เป็นการลงบัญชีที่เปิดเผย ทำให้ทุกคนเห็นและตรวจสอบธุรกรรมนั้นๆ ได้ โอกาสที่จะกลับมาแก้ไขค่อนข้างยาก ยกเว้นว่าต้องรวมหัวกัน

ดังนั้น มันจึงค่อนข้าง "ปลอดภัย" ด้วย สำหรับธุรกรรมบนโลกออนไลน์

"และเมื่อตกผลึกเรื่องนี้แล้ว ก็จะเห็นว่าบล็อกเชน เป็นเรื่องที่จะเปลี่ยนทุกอย่างในโลกที่ต้องมีหน่วยงานกลาง โดยการประยุกต์ใช้แนวคิดของ Smart Contract อย่างในกรณีของ Ethereum นั้น ช่วยให้ผู้คนจินตนาการถึง Business Model ได้อีกเป็นล้านอย่าง"

 

ทลายกำแพงคนกลาง

จักรกฤษณ์ได้ยกตัวอย่างการออกแบบ Business Model ของ Six Network เอง ที่ช่วยลดความสำคัญของตัวกลางลง

Six Network ออกแบบ Business Model โดยอาศัยการสร้างสมาร์ตแพลตฟอร์มบนบล็อกเชนที่เปิดให้ผู้ซื้อและผู้สร้างงานครีเอทีฟสามารถมาตกลงกันได้โดยตรง โดยอาศัย Smart Contract เป็นตัวช่วย

"สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ Platform โดยเราแบ่งเป็น 3 ก้อนใหญ่ๆ คือ Financial Service ที่เราจำลองหลาย Model ที่มีใน Traditional Finance Service เดิม เช่น Payroll เป็นต้น"

และในอนาคตอาจจะมี Assets to Loan เพื่อให้ธุรกิจทำงานคล่องมือมากขึ้น

ส่วนที่สองคือ Digital Asset Wallet เพราะคนในวันนี้ยังคงมอง Cryptocurrency Wallet เป็นเหมือนกระเป๋าเงินเก็บ Crypto แต่ในส่วนของ Six Network เรามองการดีไซน์ ว่าจะให้ครอบคลุมไปถึง Business Token ต่างๆ เช่น คูปองทางการค้า หรือ Token ที่มหาวิทยาลัยออกให้นักศึกษาเพื่อการ Access เข้าห้องสมุด หรือร่วมกิจกรรมของสถาบัน เป็นต้น

โดยในเครือข่ายกิจการของผู้ร่วมก่อตั้งของเรา เรามีลักษณะนี้อยู่มาก เช่นในเครือข่าย OOKBEE ก็มี Platform ต่างๆ หลายสิบแอปพลิเคชัน ให้อ่านหนังสือ ดูการ์ตูน วิดีโอ ฟังเพลง ในกลุ่มเกาหลีมีอีกเป็นร้อย

ในอนาคตพวกแต้มต่างๆ ของบัตรเครดิตที่จะหมดอายุ เราจะสามารถ Swap แต้มมาเป็น Six coins ให้เป็นประโยชน์ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Win-Win และ Liquidity จะสูงขึ้น และแต่ละธุรกิจสามารถ apply เงื่อนไขขึ้นมาให้เป็นประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายได้

ความคล่องตัวในการทำธุรกิจจะง่ายดายขึ้น การหาพาร์ทเนอร์ในต่างประเทศ สร้างความร่วมมือในเครือข่ายจะสามารถเกิดขึ้นได้ทันทีภายในไม่กี่วัน หากพบพาร์ทเนอร์ที่ต้องการในเครือข่ายของ Six Network จะสามารถติดต่อ แลกเปลี่ยน Token กันได้เลย เริ่มทำธุรกิจได้ในเวลารวดเร็ว ต่างจากการเริ่มความร่วมมือทางธุรกิจในอดีตที่ยากลำบาก

 

 

นอกจากนี้ Digital Asset Wallet ยังมีส่วนช่วยในปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่แพร่ขยายจากอิทธิพลการแชร์ไฟล์ดิจิตอล การฟ้องร้อง การตรวจสอบมีความยุ่งยาก แต่ Blockchain จะเป็นตัวช่วยในเรื่องนี้ เพราะสามารถทำให้เกิด Prove of Ownership (พิสูจน์หลักฐานการเป็นเจ้าของ) ได้

เราเพียงอาศัย Blockchain IP ที่เป็น Smart Contract ก็จะสามารถออกแบบ Business Model ได้เลยว่าจะแบ่งรายได้กันอย่างไรเมื่อมีผู้ซื้อผลงานแบ่งรายได้กันอย่างไร ระหว่างตัวศิลปินและคนที่มาช่วยขายซึ่งอาจจะเป็น Decentralize Application ที่มาช่วยขาย Concept ให้ คือศิลปินยังเป็นเจ้าของผลงานของตนเองอยู่ เพียงแต่กระบวนการจะช่วยเกลี่ยให้คนกลางมีประสิทธิภาพสูงที่สุด

ส่วน Platform ที่สาม คือ Decentralized Commerce

ทุกวันนี้เรามี commerce จำนวนมาก ตั้งแต่ Level Marketplace ทั้ง EPay, Alibaba และที่เป็น Platform เช่น iTune AppStore และ OOKBEE เอง ซึ่งการรวมศูนย์หรือ Centralize อาจมีข้อเสียในแง่ที่ว่า เขาเป็นผู้ตั้ง Business Model ขึ้นมา บางที่มีเงื่อนไขของตนเองที่ให้เราต้องทำตามทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว ซึ่งสุดท้ายสิ่งที่ศิลปินเสียคือ Ownership เพราะนำทั้งหมดไปฝากไว้ที่ตัวกลาง

สิ่งที่ Six Network มอง คือเมื่อเราสร้าง Wallet ขึ้นมาแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดคุณเป็นผู้ดูแลเอง โดยผ่านทาง Smart Contract หรือ Service ต่างๆ ที่จะมาช่วย ในขณะที่ฝั่ง End-User ก็มีกระเป๋าเงิน ซึ่งมี Token ต่างๆ ในนั้นเหมือนกัน จะมีเพียง Decentralized App. ที่มี Platform เหมือน Marketplace เข้ามาวาง แต่คนสองกลุ่มนี้สามารถหากันเจอ และแลกเปลี่ยนกันได้ในต้นทุนที่ถูกกว่าเดิมมาก และที่สำคัญคือหากตัวกลางนี้ไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะมีตัวกลางใหม่ยื่นมือเข้ามาเพื่อเสนอให้ใช้บริการของตนเองแทน เป็นกระบวนการ End to End ที่เมื่อจบกระบวนการ ได้เงินครบวงจร จึงไม่น่ามีข้อสงสัยถึงการเติบโตของ Token ที่นำไปใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน

 

ข้อดีของ Stellar

Six Network มิได้ออก Token โดยอาศัยเทคโนโลยีของ Ethereum เหมือนผู้ออก ICO ส่วนใหญ่นิยมทำกัน แต่กลับเลือกใช้เทคโนโลยีของ Stellar

จักรกฤษณ์เล่าเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้ Stellar ครั้งนี้ว่า "เกิดจากการ Explore แบบลงลึกทางเทคโนโลยี"

"คือในเบื้องต้น เราจะเห็นว่าทั้ง Bitcoin และ Ethereum นั้น สามารถโอนเงินได้ทั้งคู่ โดย Bitcoin อาจจะมีค่าโอนที่สูงกว่าและช้ากว่า ด้วย Security Model ที่แน่นหนากว่า ส่วน Ethereum นั้นโอนเงินได้แบบไม่แพงมาก แต่ถ้าลองมารัน Smart Contract (Software) จะพบว่ามันยังไม่คล่องตัวเท่าใดนัก และมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเกิดขึ้น"

"แต่ในทางกลับกัน Stellar มีระบบ Security เทียบเท่ากับ Ripple ซึ่งธนาคารนำมาใช้ และมีค่าใช้จ่ายต่อ Transaction ต่ำ รวมทั้งใช้เวลาสั้นมากเทียบเท่ากับการโอนเงินปกติในปัจจุบัน สะดวกต่อ Micro Payment ระดับ 10-20 บาท ซึ่งมองในวงกว้างแล้วตอบสนองได้มากกว่า และแฟร์กว่าระบบเดิมที่มีต้นทุนสูง เช่นสามารถเก็บเงินคนฟังเพลงได้เป็นรายวินาที เป็นต้น"

"ถ้าจะเปรียบเทียบแบบง่ายๆ สำหรับ Bitcoin วันนี้อาจจะใช้เพียงแค่การรับส่งเงิน ยังไม่มีอะไรมาก และช้า ส่วน Ethereum นั้น ทำอะไรได้มากมาย เปรียบเสมือนกับรถบรรทุก แต่ก็ช้า หนัก และแพง ในขณะที่ Stellar แกะโน่นแกะนี่ทิ้งหมด เปรียบเหมือนรถ F-1 ทำอะไรได้น้อย แต่ส่งเงินได้เร็วมาก เราจึงเลือกเทคโนโลยีนี้มาใช้ในส่วนที่เป็น Transaction Layer ของเรา เพื่อความรวดเร็วของธุรกรรม"

 

ข้อจำกัดของบล็อกเชน

กระนั้นก็ตาม บล็อกเชนก็เหมือนกับของใช้ทั่วไป ที่มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด

จักรกฤษณ์ได้ยกตัวอย่างข้อจำกัดอันหนึ่งที่น่าสนใจ

"ธรรมชาติของบล็อกเชนเป็นดาต้าเบส จึงไม่มีประสิทธิภาพที่ดีในการแบกอะไรที่ใหญ่มากและใช้ความเร็ว เช่น ไม่เหมาะจะนำมาทำวิดีโอ ตอนนี้ได้ทดลองบล็อกเชนตัวหนึ่งที่เป็น Chat เห็นได้ว่าช้ามาก" เขากล่าว

แต่เขามองอย่างมีความหวังว่า ในอนาคตก็น่าจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ เพราะวันนี้เราเพิ่งอยู่ในยุคเริ่มต้นของเทคโนโลยีบล็อกเชน เท่านั้น 

พันเอก ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) คือหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีที่ให้มุมมองเกี่ยวกับผลกระทบจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเราและโลกธุรกิจรวมไปถึงการบริหารงานต่างๆ อย่างคมชัด

เพราะเราคงไม่สามารถหยุดยั้งเทคโนโลยีที่กำลังขับเคลื่อนโลกใบนี้อยู่ได้ ยิ่งในโลกดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันจนยากจะจำกัดหรือกำจัดเทคโนโลยีเหล่านี้ออกไปจากชีวิตใครคนใดคนหนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่งไปได้ การอยู่ร่วมกันโดยที่ยังคงรักษาผลประโยชน์ของเราไว้ได้จึงเป็นทางออกที่น่าสนใจที่สุด เพราะคงไม่มีใครที่จะสามารถหยุดยั้งเทคโนโลยีที่สามารถสร้างสรรค์จากทุกมุมโลกเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

ดร.เศรษฐพงค์เปิดห้องพูดคุย ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น และนวัตกรรมที่กำลังเข้าสู่ช่วงอัตราเร่งในการพัฒนา การที่ธุรกิจถูก Disrupt จากเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งบล็อกเชน และเทคโนโลยี 5G ที่กำลังจะกลายเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมยุคใหม่ การเข้ามาของเทคโนโลยีเหล่านี้จะเชื่อมต่อเซนเซอร์ทั้งหลายช่วยให้โลกชาญฉลาดมากขึ้น การเติบโตของนวัตกรรมจะรวดเร็วเพราะคนสามารถเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ง่ายขึ้นทุกมุมโลก โลกจะก้าวสู่โลกยุค Industry 4.0 ที่หมายถึง Autonomous Decentralize Distributed เป็นยุคที่คนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการสร้างงานสร้างสรรค์ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ ข่าวสาร สร้างนวัตกรรมร่วมกัน

  ผลกระทบของบล็อกเชน

ดร.เศรษฐพงค์มองว่า เทคโนโลยีบล็อกเชนส่งผลกระทบต่อหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมการเงิน อุตสาหกรรมสื่อ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดี จากยุคเทปคาสเซ็ทที่การก๊อบปี้ทำได้ยาก สู่ยุคที่อินเทอร์เน็ตมีความเร็วเพิ่มขึ้นเพลงถูกเปลี่ยนเป็นไฟล์ดิจิทัลและสามารถแชร์กันได้ ทำให้ป้องกันเรื่องลิขสิทธิ์ได้ยาก ส่งผลให้ไม่สามารถกำหนดจำนวนอุปทานที่จะออกมาได้

มาในยุคปัจจุบันที่อินเทอร์เน็ตมีพลังมากขึ้น สมาร์ตโฟนสามารถเข้าถึงผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลก เกิดแนวคิดที่จะกำหนดจำนวนไฟล์ จำนวนลิขสิทธิ์ของเพลงเช่นเดียวกับการผลิตเทปคาสเซ็ทในอดีต ช่วยให้เกิด Business Value บนเครือข่าย

ในปี 2008 ซาโตชิ นากาโมโตะ ซึ่งเป็นชื่อสมมติ เขียนบทความขึ้นมาชิ้นหนึ่งและส่งให้โปรแกรมเมอร์ระดับโลกว่ามีวิธีการสำหรับเรื่องข้างต้น นั่นคือแนวคิดของบล็อกเชน เป็นจังหวะเดียวกันที่อินเทอร์เน็ตไปถึงจุดที่เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารผ่านระบบเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกได้ ด้วยแนวคิดว่าให้คนบนเครือข่ายมาช่วยกัน Verify ไฟล์ที่เรากำหนดไว้ ทำให้ทุกคนไม่สามารถโกงกันได้ เพราะจะเห็นจำนวนที่ตรงกัน มีรหัสเดียวกัน หากใครมีรหัสที่แปลกปลอมก็จะถูกเตะออกนอกระบบ

บิทคอยน์คือตัวอย่างที่ทำให้โลกเห็นว่า มีแอปพลิเคชันหนึ่งที่สามารถสร้างและเก็บรักษามูลค่าโดยกำหนดจำนวนได้ เป็นต้นแบบให้กับธุรกิจอื่นๆ สามารถจะนำไปต่อยอด เช่นศิลปิน สามารถออกเพลงโดยกำหนดจำนวนก๊อบปี้ที่ชัดเจนบนแอปพลิเคชันมิวสิกบล็อกเชน ผู้อยากได้ไฟล์ไปฟังก็ส่งเงินไปที่วอลเล็ตของศิลปิน และหากมีการส่งต่อหรือซื้อขายเพลงดังกล่าวไปสู่ผู้ฟังรายอื่น ตัวศิลปินก็จะได้ส่วนแบ่งรายได้ จากโค้ดที่เขียนไว้

เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วในชุมชนของคนรุ่นใหม่ ขณะเดียวกันก็ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่อย่างเช่นหัวเหว่ยที่เตรียมจะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาอยู่บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งหากวันใดก็ตามที่บริษัทสมาร์ตโฟนที่มีชื่อเสียง มีผู้ใช้งานเป็นพันล้านคนนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ ก็เป็นการเปิดช่องทางให้ทุกคนต้องเข้ามาใช้เทคโนโลยีนี้

ดร.เศรษฐพงค์เปรียบเทียบอินเทอร์เน็ตว่าเหมือนกับทะเล เป็นตัวกลางที่ยังไม่มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ ขณะที่บล็อกเชนเปรียบดังเรือที่สามารถบังคับตัวเองได้ตามที่กำหนดไว้ เมื่อมีคนขึ้นเรือก็เก็บเงินผ่านวอลเล็ต หรือจะเรียกบล็อกเชนว่า Programmable Internet ก็ได้ บล็อกเชนจะกำหนดอุปทาน และกำหนดการทำ Smart Contact รูปแบบใหม่ ที่จะช่วยสร้างมูลค่าให้กับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเพลง การแลกเปลี่ยนพลังงาน และอื่นๆ

“บล็อกเชนเป็นตัวกำหนดว่าเรือลำนี้กับเรือลำนั้นเป็นเพื่อนกัน จะคุยกัน แต่ถ้าเรือลำนี้ไม่มีโค้ดเราจะไม่คุยกับเรือลำนี้ เราจะไปส่งคนให้เรือลำที่เรารู้จักเท่านั้น เรือก็ล่องเต็มไปหมดเป็นโหนดๆ เต็มไปหมด เรือจะมากขึ้นๆ เพราะคนเป็นพันล้านคน บล็อกเชนคือการทำทรานเซกชันแบบเรียลไทม์และอัตโนมัติ โดยเขียนโปรแกรมไว้แล้ว เป็นข้อตกลงกัน และจะทำงานให้อัตโนมัติ ผมแค่ออกเพลง 1 ล้านเพลงเป็นดิจิทัลไฟล์ที่มีการเข้ารหัสไว้เรียบร้อยแล้ว ใครซื้อมาก็โอนให้”

ผลกระทบของบล็อกเชนจะทำให้ตัวกลางที่เคยมีอยู่ถูกลดหรือเปลี่ยนบทบาทลงไป เช่นอุตสาหกรรมสื่อสาร อุตสาหกรรมการเงิน ทนายความ รวมไปถึงภาครัฐต่างๆ ซึ่งต้องมีการเตรียมตัวปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่กันใหม่

ดร.เศรษฐพงค์มองว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะเป็นเหมือนกับแอปพลิเคชันที่เราใช้กันเป็นประจำในวันนี้ ที่เมื่อเกิดมาแล้วมีผู้ใช้งานจำนวนมากก็กลายเป็นสิ่งที่คนในสังคมต้องใช้ เพื่อติดต่อสื่อสารหรือทำธุรกรรมระหว่างกัน ดังนั้นการเตรียมเข้าไปมีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีนี้อย่างชาญฉลาดจึงเป็นทางออกของเรื่องนี้

  5G จะพาเราไปไหน

ดร.เศรษฐพงค์เล่าถึงเทคโนโลยี 5G ที่เป็นพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงสู่อุตสาหกรรม 4.0 ว่า เป็นการพัฒนาต่อจากระบบ 4G LTE Advance และมีอีกกลุ่มหนึ่งที่พัฒนาแบบแยกออกไปต่างหากซึ่งกำลังแข่งขันกันเพื่อเป็นเทคโนโลยีหลักอยู่ เนื่องจากอุตสาหกรรมโทรคมนาคมสร้างมูลค่าได้ลดลง ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีคิดมาสู่การเชื่อมโยงธุรกิจสู่ธุรกิจ (Business to Business) มนุษย์สู่มนุษย์ (Human to Human) และ มนุษย์สู่ธุรกิจและสู่อะไรก็ได้ (Human to Business to X)

ดังนั้น 5G จึงสามารถเป็นได้ทั้งแพลตฟอร์มในโรงงานอุตสาหกรรม หรือเป็นช่องทางทำธุรกรรมในอุตสาหกรรมทางการเงิน หรือจะนำไปใช้ในรถอัตโนมัติ โดยสามารถสร้างแพลตฟอร์มเฉพาะแต่ละธุรกิจได้ เช่นเป็น Mobile Commerce เป็นยานยนต์ไฟฟ้า หรือเป็น IoT ที่ทำงานด้านบริการ

“ระบบ 5G จะเป็นระบบซึ่งไม่ใช่ผู้คนคุยกันเอง แต่ผู้คนคุยกับองค์กร ผู้คนลงทุนกับองค์กร องค์กรทำงานแบบอัตโนมัติมากขึ้น มูลค่าก็จะไปสร้างใหม่เพราะแบบเดิมสร้างไม่ได้ นั่นคือเส้นทางของ 5G ที่แตกต่างจาก 4G 3Gโดยสิ้นเชิง ทำให้บล็อกเชนและเอไอต้องเข้ามาเพื่อจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 5G เป็นพื้นฐานของIndustry 4.0 ที่ทำให้บล็อกเชนเป็น Simple Application เหมือนซอฟต์แวร์ตัวหนึ่ง แต่ข้างในก็ verify ด้วยบล็อกเชน คนใช้งานไม่รู้เรื่องเลย แต่ที่บล็อกเชนดังเพราะมีอิทธิพลสูงมากจนคนทุกคนได้ยิน”

สำหรับประเทศไทยการจะได้ใช้ระบบ 5G ซึ่งต้องใช้ช่วงความถี่ถึง 100 เมกกะเฮิร์ตช ผู้ประกอบการจะต้องลงทุนจำนวนมาก ดร.เศรษฐพงค์ทำนายว่า ประเทศไทยอาจประสบปัญหาทางตันสักระยะหนึ่งจนต้องไปแก้กฎหมายและ 5G จะกลับมาเริ่มได้ช่วงปี 2022 เพราะตามกำหนดที่วางไว้โลกจะเริ่มใช้เทคโนโลยีนี้ในปี 2020 แต่ปัจจุบันมีหลายประเทศเริ่มไปแล้วไม่ว่าจะเป็น อเมริกา จีน เกาหลีใต้

 

  โลกของผู้เชี่ยวชาญ

ดร.เศรษฐพงค์เล่าว่า นับจากความสำเร็จของเทคโนโลยี 4G ในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน ซึ่งเป็นเรื่องที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้เราเห็นว่า ประชาชนสามารถผลิตสื่อ บริโภคสื่อต่างๆ กันได้เอง ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ จะเป็นผู้กำหนดเนื้อหาโดยที่สื่อตัวกลางเริ่มลดบทบาทลง ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกยุคใหม่

“โลกอนาคตจะเป็น self regulation เช่น ส.ส. กำลังจะไปโหวตในสภา ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ปรากฏว่าประชาชนไม่รับ ถ้าส.ส.คนนี้โหวตแบบนี้ ฉันขอโหวตผ่านบล็อกเชนว่าไม่เห็นด้วยกับคุณ คน 1 ล้านคนโหวตบอกไม่เอาอย่างนี้แต่คุณไป
โหวตในสภาแบบนี้ ครั้งหน้าคุณจะได้เป็นไหม บล็อกเชนจะเป็นระบบโหวตที่มีประสิทธิภาพมาก”

ความรวดเร็วของเทคโนโลยีส่งผลต่อการกำกับดูแลในอนาคต ดร.เศรษฐพงค์มองว่า ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะต้องทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่จินตนาการแต่เป็นเส้นทางที่ถูกกำหนดขึ้นมาแล้ว โดยยกตัวอย่างเทคโนโลยี 4G ที่กำหนดมากว่าจะมาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมสื่อที่เราได้เห็นไปแล้ว

“สึนามิมาน้ำในแม่น้ำไม่มีความหมายหรอก คุณคิดว่าคุณจะสร้างเขื่อนกันระบบชลประทานในประเทศ แต่อินเทอร์เน็ตคือทะเล น้ำขึ้นน้ำลงไปห้ามได้หรือ หรือแผ่นดินไหวใต้ทะเล สร้างสึนามิคุณห้ามแผ่นดินไหวได้หรือ คุณต้องอยู่กับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้”

การเกิดขึ้นของเศรษฐกิจดิจิทัล นับเป็นโลกใหม่ ที่เราต้องรู้จักการสร้างมูลค่าใหม่ๆ เพื่อทดแทนสิ่งที่กำลังจะหายไป เพราะหากไม่ทำก็จะมีคนที่มีความรู้และแนวคิดเข้ามาแล้วทำธุรกิจเหล่านั้นแทนที่ ดร.เศรษฐพงค์เปรียบเทียบกับที่ดินในกรุงเทพฯ บางพื้นที่ว่าในอดีตแทบไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้นในปัจจุบันก็แย่งซื้อขายกันเพื่อนำมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมหรืออาคารสำนักงานขนาดใหญ่ เปลี่ยนแปลงย่านที่เคยเงียบเหงาให้กลายเป็นย่านชิคชิลล์ยกระดับให้มีมูลค่าสูงขึ้น

การอยู่กับโลกโดยเราได้มูลค่าร่วมไปด้วย หากเราไม่สามารถหารูปแบบการยึดโยงได้เราก็จะสูญเสียรายได้ไปกับโลกดิจิทัล เช่นการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ที่ปัจจุบันมีผู้ประกอบการรายใหญ่ระดับโลกหลายรายสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ ปัญหาคือภาครัฐจะเก็บภาษีธุรกรรมที่เกิดขึ้นได้อย่างไร

“ถ้าเราไม่สร้างแพลตฟอร์มของเรา เราไม่ Engage กับโลก เราไม่ไปสร้าง Value Chain ของเรา เราก็ไม่สามารถไปเก็บภาษีได้ ภาษีก็จะหลอมละลายไปในอินเทอร์เน็ต และการทำ Transaction (ธุรกรรม) ระหว่างประเทศ เขาก็เอา Transaction เราไป เราซื้อของต่างประเทศภาษีเราจะไปเก็บที่ไหน เราก็ได้แต่เก็บภาษีบนเรือนร่างประเทศไทย ค่าแรงงาน การค้าภายในประเทศ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย”

การจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่นับจากปีนี้จะเปลี่ยนแปลงด้วยอัตราเร่ง ในมุมมองของดร.เศรษฐพงค์มองว่า เราต้องการผู้เชี่ยวชาญที่จะมาช่วยกำหนดแนวทางเพื่อช่วยสร้างระบบให้ประเทศไทย “ถามว่าประเทศไทยต้องการคนเป็นล้านมาสร้างระบบเพื่อให้ประเทศเจริญและมีงานทำรูปแบบใหม่หรือไม่ เราต้องการคนที่เป็น expert (ผู้เชี่ยวชาญ) ไม่กี่พันคน” เขาเปรียบเทียบกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างกูเกิลที่มีผู้ใช้งานนับพันล้านคนว่ามีนักวิทยาศาสตร์วิศวกรที่คิดซอฟต์แวร์เป็นหลักพันแม้จะจ้างคนเป็นหลักหมื่นคน

และบอกต่อว่า “ผมมองว่าเด็กรุ่นใหม่เขาจะค่อยๆ มาเปลี่ยน เขาจะมีบทบาทในนิติบัญญัติมากขึ้น เขาจะมองออกว่าแล้วทำไมเรามานั่งคิดเรื่องพวกนี้” 

หลังจากที่ บมจ.เจมาร์ท (JMART) ประกาศความสำเร็จ บ.เจ เวนเจอร์ส (JVC) บริษัทย่อยที่ระดมทุน ICO (Initial Coin Offering) สำเร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเปิด Pre-Sale ขาย JFin Coin 100 ล้านโทเคนหมดเกลี้ยงภายใน 55 ชั่วโมง ล่าสุดเดินหน้าแผนธุรกิจตามที่กำหนดไว้ เปิดเกมรุกสินเชื่อในโลกฟินเทค โดยพัฒนา JFin DDLP ระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลาง อีกทั้งเตรียมนำมาต่อยอดผลิตภัณฑ์อื่นๆ ประเดิมใช้งานในกลุ่มเจมาร์ทภายในปี 2562 นี้

อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART  เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานหลังจาก บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC (เป็นบริษัทย่อยที่ JMART ถือหุ้นในสัดส่วน 80%)  ผู้พัฒนาซอฟท์แวร์ และแอฟพลิเคชั่นทางด้านฟินเทค ลงทุนในธุรกิจสตร์ทอัพ ประสบความสำเร็จจากการระดมทุนด้วยการทำ ICO เป็นรายแรกในประเทศไทยของกลุ่มบริษัทมหาชน ที่สร้างปรากฏการณ์ของโลกการเงิน นำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาใช้ในการทำธุรกิจสินเชื่อ ในชื่อเหรียญ JFin Coin

 

อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน)

 

ทั้งนี้ JFin Coin เปิดเสนอขาย Pre-sale วันแรกเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเกินคาดหมาย โดยเปิดเสนอขายในคราวนี้จำนวน 100 ล้านโทเคน ที่ราคาขาย 6.60 บาทต่อโทเคน ได้ถูกผู้สนับสนุนจองซื้อหมดเต็มจำนวนเรียบร้อยแล้วภายใน 55 ชั่วโมงแรก ตอกย้ำความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนในแผนธุรกิจที่วางไว้ ในฐานะที่เจมาร์ทเป็นบริษัทมหาชน ก่อตั้งและดำเนินธุรกิจมา 30 ปี การันตีความถูกต้อง และธรรมภิบาลในการบริหารธุรกิจ มุ่งหวังในการเป็นผู้นำเทคโนโลยีทางด้านการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เกิด ICO ที่มีมาตรฐานขึ้นในประเทศไทย ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานต่างๆ มั่นใจนำเงินที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และมีประสิทธิภาพ โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนราว 660 ล้านบาท ทีมงานได้เริ่มดำเนินการพัฒนาระบบ Decentralized Digital Lending Platform (DDLP) ไปตามแผนที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว สนับสนุนการเติบโตในธุรกิจสินเชื่อของกลุ่มเจมาร์ท ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้

ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC เผยถึงการพัฒนระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลาง (Decentralized Digital Lending Platform หรือ DDLP) คือ ระบบการกู้ยืมเงินแบบดิจิทัลบนเทคโนโลยี Blockchain ที่มีความปลอดภัยสูง รองรับกระบวนการแบบครบวงจร ตั้งแต่การระบุตัวตน (KYC) กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ การประเมินเครดิต การอนุมัติสินเชื่อ และการติดตามหนี้สิน เพื่อสนับสนุนและพัฒนาการบริการด้านสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รวมถึงรองรับระบบ P2P Lending ระบบตลาดสินเชื่อออนไลน์ที่เชื่อมต่อให้ผู้กู้ที่มีศักยภาพสามารถกู้เงินได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงิน ดังนั้น ระบบ DDLP จะเป็นหนึ่งในระบบสำคัญที่เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของกลุ่มบริษัทเจมาร์ทในอนาคตอันใกล้นี้ ตั้งเป้าระบบจะแล้วเสร็จ พร้อมเริ่มใช้งานในปี 2562

 

 

สำหรับจุดแข็งของ  JFin DDLP  คือ เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ ทำให้สามารถสร้างระบบการเงินที่ยั่งยืน ขยายตลาด และเข้าถึงประชากรได้อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบธนาคารหรือการให้บริการทางการเงิน โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการจับกลุ่มลูกค้าที่มีเครดิตดี วิเคราะห์จากฐานข้อมูลลูกค้าของกลุ่มเจมาร์ทที่มีรวมกันมากกว่า 3 ล้านราย

โดยเฉพาะบริษัทในเครือ ได้แก่ บมจ.เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้นำในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และรับจ้างติดตามหนี้สิน เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เรามีฐานข้อมูลและสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น

รวมถึงการเสริมทัพด้วยการจับมือพันธมิตรและกลุ่มผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ เพื่อสนับสนุนข้อมูลให้แก่บริษัทฯ ให้มี Big Data ที่สามารถสร้าง Credit scoring หรือการประเมินการขอสินเชื่อบุคคลโดยอัติโนมัติผ่านเทคนิคการให้คะแนนเครดิตผ่านข้อมูลต่างๆ ที่ระบุไว้ เพื่อให้สามารถคัดเลือกลูกค้าที่มีเครดิตดีได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นับเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในโลกการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลดีต่อ JVC ในฐานะผู้นำในธุรกิจพัฒนาซอฟท์แวร์ และแอฟพลิเคชั่นทางด้านฟินเทคให้ได้รับการตอบรับมากขึ้นในอนาคต

 

หลังจากบริษัทย่อยของกลุ่มเจมาร์ท บริษัท เจเวนจอร์ส ประกาศทำ ICO (Initial Coin Offering) ในชื่อ JFin Coin โดยเริ่มเสนอขาย Pre-Sale วันแรก เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 10.00 น. ผ่าน TDAX ตลาดแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลของคนไทยเหรียญที่นำมาเสนอขายครั้งนี้ทั้งหมดจำนวน 100 ล้านโทเคน ที่ราคา 6.60 บาท หรือคิดเป็นเงิน 660 ล้านบาทสามารถขายได้หมดในเวลาเพียง 55 ชั่วโมง และเตรียมเข้าซื้อขายในตลาดรองไม่เกิน 2 เมษายนที่จะถึงนี้ เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่วงการการเงินและฟินเทคในประเทศไทยต้องบันทึกไว้

จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีใหม่นี้เริ่มจาก Bitcoin เหรียญชื่อดังเจ้าแรกเป็นต้นมา ผู้ที่สนใจวงการนี้ในประเทศไทย ก็เริ่มขยับตัวตามกันมา ในช่วงแรกยังคงอยู่ในวงแคบๆ ไม่โด่งดังเท่าไรนัก จนกระทั่งราคา Cryptocurrencies ในตลาดโลกพุ่งสูงทำสถิติกันเป็นรายวัน ส่งผลให้เกิดความตื่นตัวในฝั่งผู้ลงทุน และกลุ่มที่ต้องการทำเหมือง (Miner) ขุดเหรียญต่างๆ จนปัจจุบันตลาด Cryptocurrencies ในไทยมีผู้เข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น จำนวนเหรียญที่อยู่ในตลาดแลกเปลี่ยนหลายล้านเหรียญ คือเครื่องยืนยันในเรื่องนี้รวมถึงงานพูดคุยสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่มีให้เห็นอยู่แทบจะทุกสัปดาห์

ตาม White Paper ของ JFin Coin ระบุว่า จะนำเงินที่ได้ไปใช้พัฒนา Decentralized Digital Lending Platform (DDLP) เป็นแพลตฟอร์มการให้บริการกู้ยืมแบบดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี Blockchain แน่นอนว่าเจ้าของโครงการย่อมมีความยินดีที่ ICO ของตนได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม
อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) กล่าวหลังจากการ Pre-Sale สิ้นสุดเนื่องจากมีผู้จองซื้อโทเคนหมด 100 ล้านโทเคนว่า “ขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่ให้โอกาสเราในการอธิบาย และคำแนะนำต่างๆ การทำ ICO ครั้งนี้ เราถือเป็นกลุ่มบริษัท
จดทะเบียนรายแรกที่ทำเรื่องนี้ ผมเข้าใจดีว่าย่อมมีอุปสรรคในด้านการอธิบายความเข้าใจ และมีหลากหลายความคิดเห็น แต่ด้วยความตั้งใจของผมและทีมงานที่มุ่งหวังให้ ICO นี้เกิดขึ้นให้ได้ในประเทศไทย ที่ผมทำธุรกิจมาตั้งแต่ต้น”

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นส่งผลให้เห็นการออกตัว ICO อีกหลายรายติดตามมา บางรายก็ไปออกขายในต่างประเทศ บางรายเสนอขายในประเทศ แต่ยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียดเท่าที่ควร แต่ก็เห็นได้ว่ามีหลายธุรกิจที่มองว่า ICO คือช่องทางหนึ่งในการระดมทุนสำหรับกิจการ

ความใหม่ของ ICO เป็นหนึ่งในความท้าทายสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หนึ่งในหน่วยงานหลักของภาครัฐที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเกี่ยวกับ Cryptocurrency ก็ออกข่าวเตือนเกี่ยวกับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ ICO มาเป็นระยะในช่วงที่เกณฑ์การกำกับดูแลยังไม่ออกมาอย่างเป็นทางการ โดย ก.ล.ต. เตือนและให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องว่า “การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ICO และ Cryptocurrencies จำเป็นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างมาก เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้มีความเสี่ยงในหลายแง่มุม หากผู้ลงทุนไม่เข้าใจอย่างแท้จริงจะเสียหายได้โดยง่ายนอกจากนี้ อาจมีผู้ฉวยโอกาสในการสร้างกระแสโดยนำโครงการที่มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนมาเป็นจุดขาย หรือโครงการที่ไม่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจนที่จะสามารถรองรับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว และ/หรือนำเรื่องเทคโนโลยีมาบังหน้า เพื่อหลอกลวงประชาชนให้ลงทุน
ผู้ที่ได้รับการชักชวนหรือคิดที่จะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล จำเป็นต้องทำความเข้าใจรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ทั้งสินทรัพย์ที่จะลงทุน ตัวกิจการ สิทธิของผู้ลงทุน และโครงสร้างของโทเคนที่จะได้รับจากการลงทุน และประเมินความเหมาะสมเทียบกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนก่อนลงทุนเสมอ ตลอดจนระวังความเสี่ยงจากการที่ผู้ให้บริการไม่ใช่ธุรกิจที่อยู่ในการกำกับดูแลความเสี่ยงและไม่มีการกำหนดมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์และอื่น ๆ

อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนควรตระหนักว่า การกำกับดูแลจะช่วยลดความเสี่ยงได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น เช่น ป้องกันการหลอกลวง แชร์ลูกโซ่ อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงในด้านอื่นๆ ยังคงมีอยู่ เช่น ความเสี่ยงทางธุรกิจของกิจการ ความเสี่ยงจากราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผันผวน ตลอดจนความเสี่ยงจากการที่ระบบเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลอาจถูกโจรกรรมไซเบอร์ และที่สำคัญที่สุด ควรตระหนักว่า หากเกิดความเสียหาย มีโอกาสสูงที่จะไม่สามารถเรียกร้องจากใครได้ ดังนั้น ถ้าไม่เข้าใจ อย่าลงทุน เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้เหมาะกับทุกคน”

โดย ก.ล.ต. เตรียมออกเกณฑ์กำกับดูแล ICO ที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนในประเทศไทยคาดว่าจะออกมาภายในเดือนมีนาคมนี้ หลังจากรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาแล้ว 2 รอบ

ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีประกาศไปยังสถาบันการเงินให้งดทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrencies ก็เป็นอีกหนึ่งดาบที่หยุดความร้อนแรงของวงการสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยไปได้ระดับหนึ่ง

ฝั่งผู้ให้บริการอย่าง TDAX ต้องออกประกาศในหน้า ICO Portal ว่า “เนื่องจากความไม่แน่นอนต่อกฎเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. อาจจะประกาศออกมาในเร็วๆ นี้ ทางเราได้ทำการระงับการดำเนินการของ ICO portal ไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีความชัดเจนต่อสถานการณ์นี้มากขึ้น” ทำให้ ICO ที่เตรียมจะขายใน TDAX ต้องรอต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจน

ผลกระทบจากปรากฏการณ์ ICO ที่เปิดตัวกันอย่างร้อนแรงจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องติดตามดูท่าทีจากหน่วยงานกำกับดูแล ในการออกเกณฑ์การควบคุมดูแลที่ความชัดเจน ป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนจากผู้ที่คิดใช้เครื่องมือนี้เพื่อหลอกลวง และป้องกันการใช้เครื่องมือทางการเงินใหม่นี้ในทางที่ผิด โดยต้องไม่ลืมว่า เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเคลื่อนตัวไปได้ทุกแห่งตราบที่ยังสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ เราจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ในระดับใด และทำอย่างไรให้ประเทศไทยปรากฏตัวอยู่บนแผนที่ของเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เราเสียโอกาสได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้  

โมเดอร์นฟอร์มแบรนด์แห่งนวัตกรรม เปิดตัวการลงทุนใน FIN$TREET (ฟินสตรีท) Tech Startup Company โดย ทักษะ บุษยโภคะ (กลาง) ประธานกรรมการบริหาร บริษัทโมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กิติพัฒก์ เนื่องจำนงค์ (ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัทโมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ  ดร.โกศล ทรัพย์ประเสริฐ (ซ้าย) ผู้ก่อตั้ง FIN$TREET (ฟินสตรีท)  ณ โชว์รูมโมเดอร์นฟอร์ม เพลินจิต 

ทักษะ บุษยโภคะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการลงทุนใน FIN$TREET (ฟินสตรีท) ว่า “โมเดอร์นฟอร์มให้ความสำคัญกับวิวัฒนาการปัจจุบันซึ่งเป็นการตอบสนองนโยบายของภาครัฐ ที่มุ่งสู่ Digitalization ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกอุตสาหกรรมในธุรกิจกำลังปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ Digital Transformation ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย สำหรับโมเดอร์นฟอร์มได้นำเรื่องของ Digital Transformation มาปรับใช้ในการบริหารจัดการหลายๆส่วน และโครงการที่เราได้ตัดสินใจลงทุนไปเมื่อไม่นานมานี้ก็คือการลงทุน Tech Startup Company คือ FIN$TREET ซึ่งโมเดอร์นฟอร์ม ร่วมลงทุนอยู่ในสัดส่วน 10% และ HBot จากการศึกษา พัฒนาและก่อตั้งของดร. โกศล 

ในขณะนี้ กำไร ที่ได้จากกำลงทุน และกำไรที่ได้จากขาย อัตราส่วนอยู่ที่ 30% ต่อ 70% ภายใน 2 ปี คาดว่าจะมีอัตราส่วนอยู่ที่ 50% ต่อ 50% ในอนาคตอีก 3-5 ปีข้างหน้า โมเดอร์นฟอร์มจะไม่ได้อยู่แค่ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์เพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไฟแนนซ์ โรงแรม โรงพยาบาล เพื่อให้เกิดวิธีการใหม่ๆ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และส่งเสริมให้ต่างฝ่ายต่างแข็งแกร่งมากขึ้น ช่วยเสริมสร้างศักยภาพของโมเดอร์นฟอร์มให้ก้าวหน้า ทันต่อสถานการณ์โลกอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงสร้างกลุ่มลูกค้า ขยายฐานลูกค้า ต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่ให้เติบโต และก้าวหน้าไปได้อีกในอนาคต

คุณกิติพัฒก์ เนื่องจำนงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริม นอกจากจะเน้นเรื่อง Digital แล้ว สิ่งที่ทำมาตลอดคือ เราจะไม่หยุดนิ่งและเพิ่มพันธมิตรไปเรื่อยๆ และสาเหตุที่โมเดอร์นฟอร์มตัดสินใจลงทุนในฟินสตรีทเพราะเรามองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้น รวมถึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่ยืนยันและแสดงให้เห็นว่าโมเดอร์นฟอร์มนั้น เป็นแบรนด์และเป็นบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ทันสมัย และยังทำให้เราดู younger ขึ้นอีกด้วย เรามองว่าการลงทุนในธุรกิจต่างๆ เป็นผลดีกับทั้ง 2 ฝ่าย เพราะจะได้แลกเปลี่ยน knowledge, know-how ที่เรามีให้กันและกัน และเสริมให้เราทั้ง 2 แข็งแกร่งมากขึ้น 

FIN$TREET ตั้งใจพัฒนา SMART Credit Report ให้เป็นอีกทางเลือก ที่จะช่วยในการประเมิน คำนวณ วิเคราะห์ถึงสุขภาพทางการเงินและความสามารถในการผ่อนชำระ ที่มองเห็นถึงความสามารถของผู้กู้ในอนาคต โดยวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินของผู้ใช้งานจากการบูรณาการของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บจากหลายมิติ ทั้งทาง โซเชียล การชำระภาษีเงินได้ พฤติกรรมการใช้เงิน และที่สำคัญที่สุดคือข้อมูลที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติผ่านการใช้งานระบบ FIN$TREET ตัวอย่างเช่น ระบบจะสามารถบอกได้ว่าคนที่มีความเข้าใจและสามารถปลดหนี้บัตรเครดิตได้ น่าจะมีแนวโน้มที่จะไม่มีหนี้เสียอีก หรือคนที่เคยผ่านการรีไฟแนนซ์บ้านบ่งชี้ได้ถึงวินัยทางการเงินที่ดีSMART Credit Report ให้ข้อมูลในมิติที่ลึก แต่รวดเร็วแบบ real time ให้กับทั้งสถาบันการเงิน ผู้ให้กู้ยืม โดยจะครอบคลุมทั้งลูกค้าชั้นดี ลูกค้าทั่วไป คนที่เคยเสียประวัติ หรือไม่มีข้อมูลเครดิต

ด้วยกลยุทธ์เจาะตลาดแบบเข้าถึง โดยการนำเสนอคอนเทนต์คุณภาพบน FIN$TREET Facebook ช่วยสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทำให้มีกระแสตอบรับผู้ใช้ต่อโพสต์มากถึง 6 ล้านการเข้าถึงแบบ organic รวมถึงการที่ลูกเพจแชร์หลายๆโพสต์ต่อๆกันไปร่วม 100,000  shares ส่งผลให้อัตราการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการของ FIN$TREET ได้พุ่งทะยานแบบก้าวกระโดดกว่า 10 เท่าตัวในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันมีฐานผู้ใช้งานกว่า 130,000 คน บน Facebook และในขณะเดียวกันระบบ FIN$TREET สามารถรองรับผู้ใช้งานที่ต้องการคำปรึกษาส่วนตัว ด้วยการใช้ A.I. Chatbot แบบตัวต่อตัว 1:1 ในกรณีที่เป็นเรื่องซับซ้อน และต้องใช้การวิเคราะห์เชิงลึกช่วยให้คำปรึกษาเพิ่มเติม เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ใช้งานไม่เพียงแต่เข้ามาหาความรู้บนหน้าเพจเท่านั้น ซึ่งจะทำให้แพลตฟอร์มเกิดการพัฒนายิ่งๆขึ้นไปในรูปแบบ Machine Learning

นอกเหนือจากระบบ Chatbot ที่สามารถให้คำปรึกษาแบบอัตโนมัติ FIN$TREET จึงได้พัฒนาสร้างระบบ จับคู่ ที่ช่วยหาผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์ มาให้คำปรึกษา แนะนำ ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือด้านการบริหารจัดการหนี้สิน ออมเงิน ลงทุน หรือการวางแผนทางการเงิน แบบแชทตัวต่อตัว 1:1 บนแพลตฟอร์มของ FIN$TREET เริ่มเปิดใช้งานฟีเจอร์ล่าสุดนี้ มี.ค. 2561 ซึ่งบริการนี้จะเป็นการเปิดมิติใหม่ของการให้คำปรึกษาทางการเงินแบบ exclusive ส่วนตั๊วส่วนตัว ก่อให้เกิด peer-to-peer learning โดยใช้ระบบเก็บข้อมูลประวัติการรับบริการและวิธีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ผ่านเทคโนโลยีBlockchain”

X

Right Click

No right click