พร้อมนวัตกรรมการรักษาความปลอดภัยใน Google Workspace

EXIM BANK แต่งตั้งนายคมกฤช ณ นคร เป็นผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล มีผลตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

กาแฟพร้อมดื่ม ภายใต้เครื่องหมายการค้า บอส (BOSS) โดยบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมายการเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดกาแฟพร้อมดื่มระดับพรีเมียมของเมืองไทย ด้วยการเปิดตัว พีช พชร จิราธิวัฒน์ หนุ่มมาดเท่สุดเนี้ยบ พรีเซนเตอร์คนใหม่ของแบรนด์อย่างเป็นทางการ เพื่อสะท้อนถึงความพิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียดและการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง พร้อมปรับโฉมบรรจุภัณฑ์ของบอส คอฟฟี่ ทั้ง 4 สูตรและโลโก้ใหม่ให้มีความโดดเด่นและดึงดูดสายตามากยิ่งขึ้น  ตอกย้ำแบรนด์กาแฟพร้อมดื่มอันดับ 1 จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซ่อนอยู่ในทุกขวดของบอส คอฟฟี่

พีช พชร จิราธิวัฒน์ พรีเซนเตอร์คนล่าสุดของกาแฟพร้อมดื่มบอส คอฟฟี่ กล่าวว่า “รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมากที่ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ให้โอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกาแฟพร้อมดื่มบอส คอฟฟี่ ซึ่งโดยส่วนตัวผมเป็นคนที่พิถีพิถันในการเลือกสิ่งต่าง ๆ และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ดังนั้น เมื่อลองชิมกาแฟพร้อมดื่มบอส คอฟฟี่ แล้วรู้สึกว่าตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองมาก ทั้งด้านคุณภาพ ความอร่อย ตลอดจนรสชาติที่ผมมองว่าเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากกาแฟพร้อมดื่มทั่วไป ด้วยการใช้เทคนิคการผลิตผ่านกระบวนการชงร้อนและล็อกเย็นในรูปแบบแฟลช บริว (Flash Brew) ซึ่งจะช่วยสกัดความเข้มข้น ดึงรสชาติละมุน และกลิ่นหอมของกาแฟตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดขวด พร้อมให้รสสัมผัสที่นุ่มลึก ดื่มง่าย กลมกล่อม เต็มรสชาติในแบบที่หลายคนชื่นชอบ อยากให้ทุกคนได้ลองกาแฟพร้อมดื่มบอส คอฟฟี่ กันเยอะ ๆ ครับ”

นอกจากนี้ กาแฟพร้อมดื่มบอส คอฟฟี่ ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่ได้ พีช พชร พรีเซนเตอร์คนล่าสุดมาร่วมถ่ายทอดความเป็นหนุ่มสุดเนี้ยบ ซึ่งมองหากาแฟพร้อมดื่มคู่ใจที่พกพาสะดวก มีเอกลักษณ์ ความแตกต่างในสไตล์ “Sense of Selective” พร้อมชูภาพลักษณ์ความพรีเมียมผ่านไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่สนุกสนาน เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจให้แก่คนรอบข้าง โดยเฉพาะการเลือกที่จะดื่มด่ำทุกรายละเอียดในระดับบอสกับรสชาติเฉพาะตัวที่ทุกคนต้องลอง

สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการดื่มกาแฟพรีเมียมในแบบฉบับของกาแฟพร้อมดื่มบอส คอฟฟี่ ทั้ง 4 สูตร ซึ่งทยอยวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก-ส่ง และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Facebook: Boss Coffee Thailand

ไต้หวันเตรียมนำสินค้า 23 แบรนด์สำหรับการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนมาจัดแสดงในงานสถาปนิก’67 มหกรรมแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน พร้อมมุ่งหวังที่จะร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมของไทย เพื่อศึกษาแนวทางธุรกิจและความร่วมมือทางเทคนิค เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามโมเดล BCG ของประเทศไทย ซึ่งงานเริ่มตั้งแต่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคม นี้ ณ บูธ P105-P106 อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ในปีนี้ คณะผู้แทนได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการค้าระหว่างประเทศของไต้หวัน (TITA) ร่วมจัดโดยสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกแห่งไต้หวัน (TAITRA) และสมาคมอุตสาหกรรมโลหะของไต้หวัน เพื่อนำเสนอสุดยอดผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของไต้หวัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการร่วมมือระหว่างประเทศไทย-ไต้หวันในภาคธุรกิจการก่อสร้าง ทั้งนี้ TITA และ TAITRA ได้จัดแสดงสินค้าที่ได้รับรางวัลการันตีผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมของไต้หวันที่บูธ Taiwan Excellence Pavilion โดยนำเสนอสินค้าไฮไลต์ 6 รายการ พร้อมมีการพาชมผลิตภัณฑ์และการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางออนไลน์โดยอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังอีกด้วย

ไฮไลต์ 6 บริษัท ที่นำเสนอโซลูชั่นตามโมเดล BCG เพื่อคนไทย

AUO: แบรนด์แผงหน้าจออันดับ 3 ของโลก ที่พัฒนาหน้าจอแสดงผลดิจิทัลระดับ museum-grade ซึ่งสามารถนำไปสร้างสรรค์เป็นกำแพงศิลปะในโรงแรมหรูและหอศิลป์ ช่วยให้ผู้คนดื่มด่ำไปกับศิลปะ และยกระดับความเป็นไปได้ด้านการออกแบบของกรุงเทพมหานคร

E INK: ผู้ผลิตกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ (ePaper) รายใหญ่ที่สุดของโลก แนะนำแนวทางการใช้ประโยชน์จาก ePaper ในรูปแบบดิจิทัลที่ใช้พลังงานต่ำ เพื่อสร้างเมืองอัจฉริยะ รวมถึงการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมแห่งอนาคตผ่านการประยุกต์ใช้

YZTEK: บริษัทสตาร์ทอัพจากไต้หวัน คิดค้นสวิตช์เตาแก๊สอัจฉริยะ ช่วยป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นในครัวเรือน เช่น แก๊สระเบิดหรือพิษจากก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์

SAN JEOU: ผู้จัดจำหน่ายเทคโนโลยีป้องกันน้ำท่วมซึมสำหรับโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ของไต้หวัน ได้รับการยอมรับในระดับวิศวกรรมความแม่นยำจากประเทศญี่ปุ่น มุ่งหวังร่วมมือในการลดผลกระทบจากอุทกภัยในประเทศไทยอันเกิดจากสภาพอากาศเลวร้าย

HISS: บริษัทวิศวกรรมประตูและหน้าต่างที่ได้รับความนิยมในโครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีในไต้หวัน มาแนะนำหน้าต่างอัจฉริยะด้วยคุณสมบัติการตรวจจับฝุ่น PM 2.5 และทำการเปิด-ปิดหน้าต่างให้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณภาพอากาศภายในอาคารอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เหมาะสำหรับแก้ปัญหาคุณภาพอากาศในประเทศไทย

AMA TECH: บริษัทพัฒนาพัดลมระบายอากาศประหยัดพลังงานอัจฉริยะ ช่วยยกระดับความปลอดภัยในการทำงาน เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในสถานที่แออัด และอันตรายจากก๊าซพิษที่มักเกิดขึ้นได้บ่อยในโรงงานอุตสาหกรรม

เตรียมพบกับ 2 อินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังที่จะมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้ชีวิตด้วยสุดยอดผลิตภัณฑ์ชั้นนำจากไต้หวัน

  • คุณหิน The Roommaker ผู้เชี่ยวชาญด้านการตกแต่งบ้านที่มีผู้ติดตามบนเฟซบุ๊กกว่า215,000 คน จะมานำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และแบรนด์ชั้นนำของไต้หวัน รวมถึงการผสมผสานแนวคิดการตกแต่งและปรับปรุงบ้านที่สร้างสรรค์ เพื่อแบ่งปันความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม

  • คุณก้อง KongGreenGreen ครีเอเตอร์คอนเทนต์ที่มีผู้ติดตามบนเฟซบุ๊ก 180,000 คน ผู้หลงใหลในวิถีชีวิตแบบสีเขียวและวิถีชีวิตแบบยั่งยืน จะนำเสนอสุดยอดไอเดียที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมของไต้หวัน โดยเน้นย้ำถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

พบกับอินฟลูเอ็นเซอร์ทั้งสองท่านได้ที่งานสถาปนิก’67 บูธ Taiwan Excellence Pavilion P105-106 ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หน้าเฟซบุ๊กแฟนเพจ Taiwan Excellence TH ทาง https://www.facebook.com/TaiwanExcellence.TH/

นอกจากนี้ ในบูธ Taiwan Excellence Pavilion ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพอีกกว่า 30 รายการ ไม่ว่าจะเป็น ที่ดูดติดผนังจาก FECA, ปั๊มน้ำจาก Walrus, เครื่องพ่นสารอเนกประสงค์จาก Justime, เครื่องฟอกอากาศ PM2.5 จาก Alaska และสารเคลือบป้องกันเชื้อจุลินทรีย์จาก Everlight เป็นต้น โดยครอบคลุมด้านเทคโนโลยีทางวัฒนธรรม โซลูชันเมืองอัจฉริยะ การก่อสร้างอย่างยั่งยืน ตลอดจนการเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของอาเซียนอีกด้วย

คลังสินค้าครบวงจร พร้อมชูมาตรฐานบริการด้วยโซลูชั่นครอบคลุมอาเซียน

ดิวเบอร์รี่คุกกี้ (Dewberry) แบรนด์คุกกี้สอดไส้แยมผลไม้คุณภาพระดับพรีเมียมที่ครองใจผู้บริโภคมานาน ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่แกะกล่อง “เอินเอิน ฟาติมา” สาวสวยวัยใสมากความสามารถ ที่มีกระแสดังฮิตติดเทรนด์ในสื่อโซเชียล ดึงตัวมาช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความสดใส สนุกสนาน หวังครองใจวัยรุ่น Generation Z พร้อมจัดใหญ่แจกจริงกับกิจกรรม Challenge #แยมอร่อยที่ใคร ๆ ก็อยากแจม ลุ้นรางวัลใหญ่สุดฟินบินไปกินสตรอเบอร์รี่ไกลถึงประเทศญี่ปุ่น

นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป ประเทศไทย ลาว และ กัมพูชา บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ดิวเบอร์รี่คุกกี้ เป็นผู้นำตลาดในกลุ่มสินค้าคุกกี้พรีเมียมสอดไส้แยมผลไม้ ซึ่งมาพร้อมกับรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ จากความลงตัวของบัตเตอร์คุกกี้ที่ผสมผสานกับครีมหวานหอมและแยมที่เป็นส่วนผสมจากผลไม้ คัดสรรคุณภาพสดใหม่ จนได้การตอบรับจากผู้บริโภคด้วยดีเสมอมา และมียอดขายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ครองผู้นำในกลุ่มสินค้าคุกกี้แยมผลไม้ โดยในปีนี้ ดิวเบอร์รี่เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ด้วยการดึงตัว เอินเอิน - ฟาติมา เดชะวลีกุล นั่งแท่นพรีเซนเตอร์คนใหม่ เพื่อสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์ให้แก่ผู้บริโภคผ่านการทำการตลาดแบบ 360 องศา ซึ่งเอินเอินเป็นสาวน้อยที่ครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการร้อง การเต้น เล่นดนตรี แสดงละคร และมาพร้อมกับความน่ารักสดใส ซ่อนลุคคุณหนูมากความสามารถ ใครเห็นก็จะต้องตกหลุมรัก สะท้อน Brand Character ที่เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ สวย สดใส เก่ง และมั่นใจ ส่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็นคุกกี้พรีเมียม อร่อยอีกระดับ ไม่เหมือนใคร ของดิวเบอร์รี่ ได้เป็นอย่างดี”

นอกจากนี้ ยังรุกเดินหน้าอัดแน่นทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดให้ผู้บริโภคมาร่วมแจมความสนุกกับดิวเบอร์รี่ ในกิจกรรม Challenge #แยมอร่อยที่ใครๆ ก็อยากแจม สามารถร่วมสนุกโดยการอัดคลิปวิดีโอชวนเพื่อน ๆ มาแจมความอร่อยกับดิวเบอร์รี่ ในสไตล์ของคุณ พร้อมมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลใหญ่สุดฟิน บินไปกินสตรอเบอร์รี่ฉ่ำๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท ร่วมสนุกได้ตั้งแต่ 22 เมษายน 2567 - 26 พฤษภาคม 2567 นี้ 

ร่วมสัมผัสประสบการณ์ของรสชาติสุดยูนีคของดิวเบอร์รี่ ที่อยากให้ทุกคนได้มาแจมความอร่อยของดิวเบอร์รี่ แยมอร่อย ที่ใครๆก็อยากแจม! กับหลากหลายรสชาติทั้ง สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ องุ่น แอปเปิ้ลกีวี่ และลิ้นจี่โยเกิร์ต กับขนาด 27 กรัม ราคา 5 บาท, ขนาด 72 กรัม ราคา 10 บาท, ขนาด 105 กรัม ราคา 20 บาท และขนาด 144 กรัม ราคา 25 บาท มีจำหน่ายที่ 7-Eleven, โลตัส, Big C, Makro และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ      

ติดตามกิจกรรมข่าวสารและความเคลื่อนไหวพร้อมกับกิจกรรมสนุกจากแบรนด์ดิวเบอร์รี่ที่รอให้ทุกคนมา “แจม” กันตลอดทั้งปีได้ทาง Facebook fanpage: www.facebook.com/dewberrycookiesthailand

กรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง (KRUNGSRI PRIVATE BANKING) นำโดย นางสาวกนกวรรณ ศุภนันตฤกษ์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านเครือข่ายการขาย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา Unlocking Value: Navigating World of Private Equity สำหรับลูกค้ากรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง พร้อมรังสรรค์ความอร่อยส่งตรงถึงลูกค้าคนพิเศษโดยเฉพาะ ภายในงานเสิร์ฟอาหารจีนสไตล์ฝรั่งเศสจากร้านดัง Cross BKK ที่สร้างปรากฎการณ์จองเต็มข้ามปี โดยเชฟไอซ์ ศิวพล ปลื้มธีรวงศ์ ทายาทรุ่นที่ 3 ของห้องอาหารจีนแต้จิ๋วเก่าแก่อย่าง 'รื่นรสภัตตาคาร' พร้อมอัปเดตการลงทุนในกองทุนกรุงศรีโกลบอลไพรเวทอิควิตี้ (KFGPE-UI) สำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ

ความพิเศษเหนือระดับครั้งนี้ยกให้ เชฟไอซ์ ศิวพล ปลื้มธีรวงศ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งและเชฟหลักจาก Cross BKK ที่มารังสรรค์เซทอาหารจีนสไตล์ Fine Dining ให้กับลูกค้ากรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง ได้ลิ้มรส เริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยอย่างเปาะเปี๊ยะรื่นรส และขนมจีบหอยเชลล์และเป๋าฮื้อฟูเจี้ยน เสิร์ฟพร้อมซุปไก่กระเพาะปลาสด เมนูซิกเนเจอร์ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ตัวซุปไก่สูตรเฉพาะเคี่ยวจากไก่แก่และกังป๋วยจนได้เป็นน้ำซุปสีขาว รสเข้มข้น มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ทานคู่กับกระเพาะปลาสดอย่างดีที่ใช้เวลาในการทำนานถึง 4 วันกว่าจะได้ซุปที่ได้ลิ้มลองกัน นอกจากกระเพาะปลาที่ถูกตุ๋นจนนุ่มแต่ไม่เหนียวแล้ว ยังตัดเลี่ยนด้วยหอยเชลล์แห้งและส่วนผสมของยาจีนอย่างฮ่วยซัวและเก๋ากี้ ที่ทำให้ซุปชามนี้กลมกล่อม ซดคล่องคอ

ปิดท้ายด้วยของหวาน พุดดิ้งชาอู่หลงรังนก และเครื่องดื่มสุดพิเศษ ชาเก็กฮวยหิมะจากเทือกเขาคุนหลุน

เรียกว่างานสัมมนาครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสุดพิเศษที่สร้างความประทับใจในรสชาติสุดพิเศษแบบไม่ต้องแข่งจองกับใคร พร้อมอัปเดตข้อมูลข่าวสารด้านการลงทุนก่อนใคร ซึ่งกรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง ตั้งใจรังสรรค์ขึ้นเพื่อมอบให้กับลูกค้าคนพิเศษอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

SCB WEALTH เปิด 3 สินทรัพย์ผลงานโดดเด่นในไตรมาสแรก ได้แก่ น้ำมัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทองคำ พร้อมแนะกลยุทธ์ลงทุนไตรมาส2  จัดพอร์ตระยะยาว มองตราสารหนี้ Investment grade  อายุ 2-3 ปี  เพื่อเก็บผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยจ่ายที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าตราสารหนี้ระยะยาวไว้ และเมื่อ Fed ลดดอกเบี้ยแล้ว ยังมีโอกาสรับ Capital gain จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้น  ด้านหุ้นสหรัฐ  อินเดีย และไทย รอจังหวะปรับตัวลดลง ค่อยเข้าลงทุน  ส่วนการลงทุนระยะสั้น แนะนำตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และเวียดนาม จากอานิสงส์ ผลประกอบการแนวโน้มดี มูลค่าหุ้นถูก เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้า

SCB WEATLH เดินหน้าจัดสัมมนาตลอดปี ตอบรับการตื่นตัวในการอัพเดทข้อมูลการลงทุนของกลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคารที่ต้องการรับคำปรึกษาการลงทุน จากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน โดยตรงแบบตัวต่อตัว  โดยเริ่มที่งานแรกExclusive Investment Talk  ในหัวข้อ “ส่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทย ปรับกลยุทธ์ลงทุนไตรมาส 2” โดยมี 2 ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน จาก SCB CIO  ได้แก่ น.ส.เกษรี อายุตตะกะ CFP® ผู้อำนวยการกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office (SCB CIO)  และนายธนกฤต ศรันกิตติภัทร CFP® ผู้อำนวยการที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์  เป็นวิทยากร เพื่อเปิดมุมมองวิเคราะห์เจาะลึกสถานการณ์เศรษฐกิจ การลงทุน พร้อมแนะนำกลยุทธ์ และผลิตภัณฑ์ลงทุนที่เหมาะสำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในไตรมาส 2 ให้กับกลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคาร  เมื่อเร็วๆ นี้  ณ  SCB  Investment  Center เซ็นทรัลเวิลด์

น.ส.เกษรี อายุตตะกะ CFP® ผู้อำนวยการกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา พบว่า น้ำมัน เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนรวม (Total Return) สูงสุด โดย 3 เดือนแรกของปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้น 16.5% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 สาเหตุหลักมาจากอุปทานน้ำมันตึงตัว ท่ามกลางการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมัน ประกอบกับมีความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่มีการโจมตีโรงกลั่นในบริเวณที่ผลิตน้ำมัน 

รองลงมาได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทน ประมาณ 10.6% ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากกระแสปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ที่ทำให้บริษัทหลายแห่ง เช่น NVIDIA มีผลประกอบการเติบโตค่อนข้างโดดเด่น ประกอบกับนักลงทุนคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ออกมาดี   และ ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนรวม เป็นอันดับ 3 อยู่ที่ 9.8% ส่วนหนึ่งมาจากประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ทำให้นักลงทุนต้องการถือครองทองคำมากขึ้น เนื่องจากมองว่า เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ ธนาคารกลางต่างๆ ก็สะสมทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นด้วย      

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุน ได้แก่ เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นว่า จะชะลอตัวแบบจัดการได้ (Soft Landing) ทำให้นักลงทุนมองว่า เศรษฐกิจโลกไม่น่าจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรง แต่ก็ทำให้ ความหวังที่ Fed จะลดดอกเบี้ยรวดเร็วและรุนแรง มีน้อยลง  ด้านความน่าจะเป็นที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 1 ปีข้างหน้า ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Developed Market) มีแนวโน้มลดลงเกือบทุกประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ ที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลายรายการปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ Fed ก็มีการปรับคาดการณ์ตัวเลขต่างๆ ดีขึ้น ส่วนโอกาสการเกิดเศรษฐกิจถดถอยใน 1 ปีข้างหน้า ของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market) ในเอเชีย อยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้ว โดยประเทศไทย แม้มีความน่าจะเป็นสูงที่สุดในกลุ่ม Emerging Market ในเอเชีย แต่ก็ยังอยู่ในระดับ 30% เท่านั้น และเมื่อพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจไทยแล้ว ก็ยังเติบโตล่าช้ากว่าเมื่อเทียบกับ Emerging Market ในเอเชียอื่นๆ

ส่วนของนโยบายการเงิน SCB CIO มองว่า Fed ไม่จำเป็นต้องรีบลดดอกเบี้ย โดยอาจเริ่มลดในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ช้ากว่าที่ตลาดมอง เพราะข้อมูล Fed Dot Plot สะท้อนว่า แม้ปีนี้ Fed จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง จนไปอยู่ที่ 4.625% แต่ Fed ได้ปรับคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยในปี 2568-2569 และในระยะยาว น้อยลงจากคาดการณ์ครั้งก่อน จากการที่เงินเฟ้ออาจไม่ได้ลดลงเร็ว ขณะที่ สภาพคล่องในระบบยังมีค่อนข้างมาก ส่วนตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง สนับสนุนให้ Fed ไม่ต้องรีบลดดอกเบี้ย  

สำหรับ ธนาคารกลางอื่นๆ ได้แก่ ธนาคารกลางญี่ปุ่นนำร่องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสวนทางธนาคารกลางอื่นๆ ไปเรียบร้อยแล้ว ในไตรมาสแรก เนื่องจากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่ธนาคารกลางอื่นๆ ในโลกส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ทั้งสิ้น โดยมีธนาคารกลางหลักที่คาดว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 2 นี้ ได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. ประมาณ 25 bps และ ธนาคารกลางจีน ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 เช่นกัน

SCB CIO  มองว่า กลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนไตรมาส 2  ช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวแบบจัดการได้ ส่วนดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง และลดลงช้า ในพอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) ควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น การลงทุนในตราสารหนี้ ให้เน้นในกลุ่มพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนที่มีคุณภาพดี มีอันดับเครดิตอยู่ในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) โดยเน้นเลือกตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุคงเหลือ (Duration) เฉลี่ย 2-3 ปี เพื่อเก็บอัตราผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยจ่าย (Carry Yield) ที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าตราสารหนี้ระยะยาวไว้ ก่อนที่ Fed จะตัดสินใจลดดอกเบี้ย และเมื่อ Fed ลดดอกเบี้ยแล้ว ผู้ถือตราสารหนี้กลุ่มนี้ก็จะมีโอกาสได้รับ Capital gain จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้นด้วย

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น สำหรับพอร์ตระยะยาว แนะนำลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อินเดีย และไทย โดยในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ผ่านมาดัชนีปรับขึ้นมามากตั้งแต่ปี 2566 และจากข้อมูลของ Bloomberg ณ วันที่ 29 มี.ค. 2567 การปรับขึ้นกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มหุ้น 7 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Tesla และ Nvidia อีกทั้งสถิติหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นเกิน 10% ติดต่อกัน 2 ไตรมาสแล้ว ใน 1 เดือนถัดมาดัชนีมักจะปรับลดลง และหลังจากนั้น 3 เดือน ดัชนีจะปรับขึ้นได้ไม่มาก จึงแนะนำให้รอจังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลง แล้วทยอยเข้าไปลงทุน เน้นคัดเลือกหุ้นกลุ่มคุณภาพ หรือ Quality Growth เป็นหลัก

ขณะที่ ตลาดหุ้นอินเดีย กำลังจะมีการเลือกตั้ง คาดว่านายนเรนทรา โมดี น่าจะยังได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และนโยบายรัฐบาลก็คงเป็นการสานต่อนโยบายเดิม เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ปฏิรูประบบแรงงาน เน้นสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเข้าไปลงทุนโดยตรงในอินเดียมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จากสถิติในอดีต 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นอินเดียมักจะปรับขึ้น แต่ในช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้งตลาดหุ้นมักจะพักฐาน เพราะนักลงทุนรอให้การเลือกตั้งผ่านพ้นไปก่อน แล้วหลังจากนั้นจึงขานรับนโยบายรัฐบาลใหม่ แล้วจึงปรับขึ้นต่อ อีกทั้งตลาดหุ้นอินเดียปรับขึ้นมามาก ทำให้มูลค่าค่อนข้างแพงแล้ว จึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวมากกว่าระยะสั้น ส่วนตลาดหุ้นไทย ยังปรับขึ้นล่าช้ากว่าตลาดหุ้น Emerging Market ในเอเชีย แต่มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การท่องเที่ยวฟื้นตัว งบประมาณภาครัฐที่เบิกจ่ายเร็วขึ้น และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปีนี้ จึงลงทุนในพอร์ตระยะยาวได้

ส่วนการลงทุนในพอร์ตลงทุนเพื่อโอกาสระยะสั้น (Opportunistic Portfolio) ซึ่งผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง ควรลงทุนไม่เกิน 10-20% ของเงินลงทุนโดยรวม เรามองว่า ตลาดหุ้น Emerging Market ในเอเชีย มีความน่าสนใจมากกว่า ตลาดหุ้น Developed Market ที่ปรับขึ้นมาค่อนข้างมาก และเป็นการปรับขึ้นกระจุกตัวในหุ้นมาร์เก็ตแคปสูงในตลาดไม่กี่ตัว เนื่องจากตลาด Emerging Market ในเอเชีย มีการกระจุกตัวของหุ้นที่ปรับขึ้นน้อยกว่า ราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก ทำให้มูลค่าหุ้นยังถูกกว่า Developed Market ยกเว้นตลาดหุ้นอินเดีย ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ตลาดคาดการณ์ 12 เดือนข้างหน้า มีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างมาก อีกทั้งเงินลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดหุ้นที่โดดเด่น คือ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) อย่างเช่น ตลาดหุ้นเวียดนาม

“ช่วงที่ผ่านมา เงินลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้น Emerging Market เอเชียต่อเนื่อง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2563-2565 และเพิ่งจะเริ่มไหลกลับเข้ามาในปี 2566 ต่อเนื่องถึง ไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 โดยเมื่อนำเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าและไหลออกหักลบกัน พบว่า ยอดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลออกสุทธิ อยู่ที่ 78,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้ง สัดส่วนเงินที่ไหลกลับมาลงทุนที่เป็นของนักลงทุนต่างชาติ นับตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ยังอยู่เพียง 38% ของยอดเงินที่ไหลออกทั้งหมด ดังนั้น จึงมีช่องว่างที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนใน Emerging Market เอเชียต่อ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่เงินไหลออกไปมากในช่วงที่ผ่านมา” น.ส.เกษรี กล่าว

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจเกาหลีใต้ที่ได้อานิสงส์การส่งออกที่ดี โดยเฉพาะสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ในวงจรต้นน้ำ เช่น DRAM ชิปหน่วยความจำในคอมพิวเตอร์ และ NAND ชิปประมวลผลในการ์ดความจำ ซึ่งจะไปสนับสนุนหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่มีสัดส่วน 39% ของมูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ให้เติบโตได้ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตขึ้นมาก อีกทั้งตลาดหุ้นเกาหลีใต้พยายามให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่มมูลค่าบริษัทโดยสมัครใจ ด้วยการเพิ่มการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น และการซื้อหุ้นคืน เพื่อให้ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ของบริษัทสูงขึ้น ซึ่งหุ้นที่มีราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ระดับต่ำ จะได้ประโยชน์จากปัจจัยนี้

ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม เรามองว่า เศรษฐกิจเวียดนาม ในปี 2567 ยังมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากภาคการส่งออก และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ การยกระดับสถานะตลาดหุ้นเวียดนาม จากตลาด Frontier Market ไปสู่ตลาด Emerging Market มีแนวโน้มส่งผลให้เงินทุนไหลเข้ามากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ หุ้นกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่จะครบกำหนดนัดชำระหนี้ในไตรมาสที่ 2-3 ปี 2567 นี้มีค่อนข้างมาก อาจส่งผลให้นักลงทุนกังวลและขายทำกำไรกลุ่มอสังหาฯ ในระยะสั้น ดังนั้นควรเน้นคัดเลือกกองทุนที่มีนโยบายการบริหารเชิงรุก มีผู้จัดการกองทุนคัดเลือกหุ้นรายตัว หลีกเลี่ยงหุ้นที่อ่อนไหวกับประเด็นในภาคอสังหาฯ

ด้านนายธนกฤต ศรันกิตติภัทร CFP® ผู้อำนวยการที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกล่าวว่า ในส่วนของการลงทุน นักลงทุนควรลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ โดยการลงทุนในพอร์ตหลักนั้น ตราสารหนี้ ยังเป็นคำตอบที่น่าสนใจในช่วงก่อนดอกเบี้ยปรับลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเราแนะนำให้เลือกพันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ ส่วนหุ้นกู้ให้หลีกเลี่ยงการเลือกหุ้นกู้ที่ มีความเสี่ยงจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจากระดับ Investment Grade ไปอยู่ในกลุ่มตราสารหนี้ความเสี่ยงสูง (High Yield) โดยควรเลือกลงทุนหุ้นกู้ Investment Grade ระดับ A ขึ้นไป ซึ่งกองทุนที่ตอบโจทย์ได้ค่อนข้างดีคือ SCBDBOND(A) ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ธปท.รัฐวิสาหกิจในไทยเป็นส่วนใหญ่ และลงทุนในตราสารหนี้เอกชนในประเทศ

กรณีที่รับความเสี่ยงได้สูงขึ้น ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายขึ้นในพอร์ตลงทุนหลัก แต่ยังเน้นลงทุนในประเทศเป็นหลัก แนะนำเลือกกองทุนผสม KFYENJAI-A ซึ่งมีการลงทุนในหุ้น ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และพันธบัตรรัฐบาล กรณีที่พร้อมรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน มีกองทุนผสมน่าสนใจ 2  กองทุน ได้แก่ SCBCIO(A) ซึ่งมุ่งเน้นการปรับสัดส่วนเงินลงทุนได้ยืดหยุ่น เพิ่มหรือลดสินทรัพย์เสี่ยงได้ 0-100% เพื่อรับมือทุกสภาวะตลาด ที่บริหารพอร์ตกองทุนโดย SCB CIO Office และ กองทุน SCBGA(A) ที่เงินลงทุนหลัก 70% บริหารโดยสะท้อนมุมมองการลงทุนจากจูเลียส แบร์ อีก 30% คัดเลือกลงทุนโดย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ โดยทั้ง 2 กองทุน มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และกรณีที่ต้องการเลือกลงทุนกองทุนหุ้นไทยในพอร์ตหลัก แนะนำกองทุน SCBDV(A) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี สามารถลงทุนได้ในระยะยาว  ขณะที่ กองทุนที่น่าสนใจสำหรับ Opportunistic Portfolio ได้แก่ SCBKEQTG ซึ่งลงทุนในตลาดหุ้นเกาหลีใต้  และกองทุน PRINCIPLE VNEQ-A ที่ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม

นอกจากนี้ หากผู้ลงทุนที่มีความมั่งคั่งสูง ประสบการณ์ลงทุนสูง รับความเสี่ยงได้สูง อาจเลือกลงทุนเพิ่มเติมในผลิตภัณฑ์หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Product) ที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์การป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนในภาวะตลาดผันผวน เพื่อลดโอกาสการสูญเสียเงินต้น เช่น Double Sharkfin ซึ่งการลงทุนส่วนใหญ่ลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้แบบมีกำหนดอายุและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนคงที่ อีกส่วนหนึ่งไปลงทุนในสัญญาวอแรนท์ ที่อ้างอิงกับดัชนีตลาดหุ้นต่างๆ โดยกำหนดเงื่อนไขว่า หากดัชนีเคลื่อนไหวปรับขึ้นหรือลดลงในกรอบที่กำหนด มีโอกาสได้ผลตอบแทนตามที่ระบุไว้ แต่กรณีดัชนีเคลื่อนไหวหลุดจากกรอบที่กำหนด จะได้รับผลตอบแทนน้อยลง หรือไม่ได้เลย แต่โอกาสขาดทุนก็น้อยลงเช่นกัน

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จับมือ วีซ่า จัดแคมเปญใหญ่ต้อนรับ Olympic Games Paris 2024 มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต ttb ร่วมสนุกกับการใช้จ่ายสะสมทีละติ๊ด พิชิตรางวัล ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มีนาคม  – 30 เมษายน 2567 ด้วยการมอบสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าใครให้ลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายสะสมผ่านบัตรเครดิต ttb ที่เป็นสกุลเงินบาท ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป รับเครดิตเงินคืน 200 บาท / บัตร ตลอดรายการส่งเสริมการขาย และรับของกำนัลสุดพิเศษเพิ่มเติมจากวีซ่า เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสมเพิ่มขึ้นตามขั้นที่กำหนด พิเศษ! ในช่วง 5 วันสุดท้ายของแคมเปญ ระหว่างวันที่ 26 - 30 เมษายน 2567 ผู้ถือบัตรที่มียอดใช้จ่ายสะสมครบ 100,000 บาท รับเพิ่มกระเป๋าเดินทางล้อลาก Trolley Luggage Bag with Reversible Cover มูลค่า 4,000 บาท จำกัดเพียง 250 ใบเท่านั้น

สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับ บัตรเครดิต ttb visa และบัตรเครดิต ttb Global House ยอดใช้จ่ายจากทั้งบัตรหลักและบัตรเสริม ทุก ๆ 1,000 บาท / เซลล์สลิป รับ 1 สิทธิ์ ลุ้นโชครางวัลใหญ่ เอ็กซ์คลูซีฟ ทริป ท่องเที่ยวปารีส 5 วัน 4 คืน พร้อมร่วมชมพิธีปิดงาน Olympic Games Paris 2024 จำนวน 1 รางวัล สำหรับ 2 ท่าน มูลค่ากว่า 1.59 ล้านบาท โดยธนาคารจะประกาศรายชื่อผู้โชคดีในวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ทางเว็บไซต์ www.ttbbank.com พร้อมส่ง SMS และโทรศัพท์แจ้งไปยังผู้ได้รับรางวัลภายใน 45 วัน นับจากวันจบรายการ ทริปพิเศษนี้กำหนดเดินทางระหว่างวันที่ 8-12 สิงหาคม 2567

ผู้สนใจร่วมแคมเปญ สามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ได้ทุกประเภทบัตร โดยลงทะเบียนครั้งเดียวใช้ได้ตลอดรายการส่งเสริมการขายนี้ ทางแอป ttb touch หรือส่ง SMS พิมพ์ PAR ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่หมายเลข 4806026 โดยทีทีบีมุ่งส่งเสริมให้ลูกค้าวางแผนใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น และผ่อนชำระคืนไหว เพื่อสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น

เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ คว้า 3 รางวัลใหญ่ จากงาน Employee Experience Awards 2024 จัดโดย Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ สะท้อนความสำเร็จและการันตีความเป็นเลิศด้านการบริหารองค์กรและทรัพยากรบุคคลระดับสากล ตอกย้ำการบริหารงานด้านความหลากหลายและเท่าเทียมภายในองค์กร พร้อมเดินหน้าพัฒนาพนักงานในทุกมิติเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต

โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก นางสาวสายฝน คงจิตต์งาม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและสนับสนุนองค์กร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ พร้อมด้วย นายไพสิฐ เจียมจรรยา หัวหน้าสำนักประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกลยุทธ์องค์กร เป็นตัวแทนรับรางวัล ได้แก่ รางวัลระดับ Gold Best Diversity and Inclusion Strategy” องค์กรที่ขับเคลื่อนการบริหารบุคลากรด้วยกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและสร้างคุณค่าให้กับทุกความแตกต่าง รวมถึงส่งเสริมความเท่าเทียมในทุกบริบท รางวัล ระดับ Gold Best Remote Work Strategy”  องค์กรที่ยกระดับการทำงาน อำนวยความสะดวกให้พนักงาน สามารถทำงานได้ทุกที่ในรูปแบบ Hybrid ทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน หรือที่อื่น ๆ และรางวัล ระดับ Silver Best ESG Programme” องค์กรที่นำแนวคิด ESG มาปรับใช้ในการบริหารธุรกิจ โดยคำนึงถึงการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนเป็นสำคัญ

สำหรับรางวัลทั้ง 3 สาขาเป็นรางวัลระดับนานาชาติ มอบให้แก่องค์กรชั้นนำที่มีแนวทางการบริหารพนักงานอย่างยอดเยี่ยม การให้ความสำคัญทั้งเรื่องของ สวัสดิการพนักงาน การพัฒนาความสามารถของพนักงานอย่างรอบด้าน และให้ความสำคัญในเรื่องของความเท่าเทียม เพื่อขับเคลื่อนบริษัทให้เกิดความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ

Page 2 of 598
X

Right Click

No right click