ครั้งแรกของงานเทศกาลเคานต์ดาวน์ในสยามสแควร์ ภายใต้แนวคิด “POPpiness Spark Up” ชวนมาสปาร์คความสุข สัมผัสไลฟ์สไตล์สุดป็อป ครบทั้งดนตรี-แสงสี-ศิลปะบนพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ

เริ่มต้นสปาร์คความสนุกด้วยเทศกาลประดับไฟสุดป็อปกับ Siam Luminary Spark Up ให้เป็นจุดถ่ายภาพ สร้างคอนเทนต์แห่งปี ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 พร้อมเสริมทัพกิจกรรมส่งความสุขใน 3 วันสุดท้ายของปี ตั้งแต่วันที่ 29 - 31 ธันวาคม 2566 กับพื้นที่สปาร์คความคิดสร้างสรรค์ Siam Story Pop Space เมื่อศิลปินรุ่นเก๋า “โลเล ทวีศักดิ์ ศรีทองดี” พบกับ ศิลปินรุ่นเยาว์อย่าง “Wild So Serious” ผสมผสานโชว์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอาร์ตและประติมากรรมไฟ “Kinetic Snowfall” อีกทั้งพบกับเหล่านักร้องศิลปินหลากหลายแนว อาทิ ส้ม มารี, ตู่ ภพธร, PiXXiE, HYBS, bamm, VieTrio, และ BOTCASH ที่จะมาสปาร์คความมันส์ พร้อมแสงสีเสียงจัดเต็มตลอดทั้งคืนจนถึงเคานต์ดาวน์

ห้ามพลาดทุกกิจกรรมสปาร์คจอยส่งท้ายปี  กับงานเคานต์ดาวน์สุดยิ่งใหญ่แห่งปีที่สยามสแควร์ ได้ตั้งแต่ 1 ธันวาคมนี้ งานนี้จัดโดยสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับบริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) (CMO Group) สร้างสรรค์ประสบการณ์ความสุขแบบใหม่บนพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

“เซเว่น อีเลฟเว่น” จับมือ “วี ฟาร์ม” SME ระดับประเทศ เดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์ “3 ให้” หวังสร้างระบบ Ecosystem สำหรับ SME เต็มรูปแบบ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ประกาศดันสินค้าโอท็อป 5 ดาว จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง ก้าวสู่ Local Snack ในรูปแบบอินเตอร์ ภายใต้แบรนด์ “วี ฟาร์ม ตะกร้า” ลุยตลาดโมเดิร์นเทรด วางจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งเป้าเป็นอีกหนึ่งพลังขับเคลื่อน SME และสินค้าไทยสู่ชาวโลก

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เปิดเผยว่า เซเว่น อีเลฟเว่น มีความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนธุรกิจ SME และชุมชน พร้อมกับสังคม ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตามปณิธานองค์กร “Giving & Sharing” ผ่านกลยุทธ์ 3 ให้ ได้แก่  1.ให้ความรู้ 2.ให้ช่องทางขาย และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย เพื่อก่อให้เกิดเป็น Ecosystem สำหรับ SME ในการสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนด้วยตัวเองในอนาคต

“ระบบเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนได้นั้น ระบบเศรษฐกิจชุมชน สังคม และธุรกิจ SME ซึ่งถือเป็นฐานรากสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ต้องเข้มแข็ง และแข็งแรงเสียก่อน เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะหน่วยงานที่ร่วมทำงานกับ SME ในทุกมิติมากว่า 30 ปี เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงมีความมุ่งมั่น และตั้งใจจริงที่จะสนับสนุน ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน สังคม และธุรกิจ SME อย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพื่อสร้าง Ecosystem สำหรับ SME ให้เกิดขึ้นในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ระดับชุมชน และเกษตรกร ในการช่วยสร้างความมั่นคงด้านรายได้ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการ SME เองก็จะได้วัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพ นำมาผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน พร้อมส่งต่อสู่ผู้บริโภค เมื่อสินค้าเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค และตลาดจะช่วยเพิ่มขีดศักยภาพด้านการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจในอนาคต” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ผลิตภัณฑ์วี ฟาร์ม (V Farm) และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง ถือเป็นอีกหนึ่งต้นแบบในการสร้าง Ecosystem สำหรับ SME ที่ทาง เซเว่น อีเลฟเว่น ดำเนินการผ่านกลยุทธ์ 3 ให้ ด้วยการให้องค์ความรู้ด้านการผลิตที่ได้มาตรฐานกับกลุ่มวิสาหกิจฯ  ขยายช่องทางตลาดสู่ร้านค้าโมเดิร์นเทรด  โดยยกระดับจากเดิมที่ผลิตเป็นสินค้าโอท็อป  และสร้างเครือข่ายสำคัญ อันจะนำมาซึ่งการพัฒนาของชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป  ภายใต้แบรนด์ “วี ฟาร์ม ตะกร้า”

ด้าน นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ “วี ฟาร์ม” กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนมาอย่างต่อเนื่องร่วม 10 ปี ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ 3 ให้ของเซเว่น อีเลฟเว่น จึงได้ร่วมกัน ทำ MOU เพื่อสนับสนุน และส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง นำผลไม้ขึ้นชื่อของ บ้านดอนทอง จ.นครปฐม อย่างกล้วยหอมทองที่คุณสมบัติเป็นเอกลักษณ์ มาแปรรูปในลักษณะของLocal Snack ภายใต้แบรนด์ “วี ฟาร์ม ตะกร้า” 

หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าทำไมต้องเป็น “ตะกร้า” เพราะ “ตะกร้า”เป็นภาชนะที่ใช้ใส่ผลผลิตด้านการเกษตรที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทย ลักษณะการสานของตะกร้าสื่อถึงการประสานความร่วมมือของเซเว่น อีเลฟเว่น  วีฟาร์ม และวิสาหกิจชุมชน รวมถึงเกษตรกรท้องถิ่นในการทำงานร่วมกับเครือข่ายต่างๆ ในระบบนิเวศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบเกษตรของไทย และผลักดันให้เป็น Local Snack เอกลักษณ์เฉพาะถิ่น มาตรฐานระดับโลก “สานความตั้งใจ สร้างความยั่งยืน เพื่อชุมชน และเกษตรกรไทย”

“ความร่วมมือกันระหว่าง เซเว่นฯ และบริษัทฯ ในครั้งนี้เป็นความร่วมมือที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถือเป็นโมเดลธุรกิจที่จะก่อให้เกิด Ecosystem สำหรับ SME เต็มรูปแบบ ผ่านการวางแผนการทำงานร่วมกันในทุกมิติ ตั้งแต่เรื่องการปลูก การผลิต การพัฒนาสินค้า โดยจะเน้นการนำนวัตกรรม การวิจัย และพัฒนามาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า และในอนาคตจะขยายขอบเขตการทำงานโดยประสานความร่วมมือเพิ่มเติมกับเครือข่ายอื่น เช่น สถาบันการศึกษา หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยีทางการเกษตร หรือ AgriTech และเทคโนโลยีทางอาหาร หรือ Food Tech เพื่อร่วมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรจากกลุ่มวิสาหกิจฯ ควบคู่กับสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกร ชุมชน และระบบนิเวศทางเศรษฐกิจของ SME ในอนาคต” นายอภิรักษ์กล่าว

“วี ฟาร์ม ตะกร้า” เป็นแบรนด์ SME ไทยที่นำผลิตผลทางการเกษตรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ Local Snack ที่หลากหลาย ในเบื้องต้น วี ฟาร์ม ตะกร้า นำเสนอผลิตภัณฑ์กลุ่มกล้วยหอมทอง และกล้วยน้ำว้ามะลิอ่องซึ่งอร่อย มีประโยชน์ เป็นที่ชื่นชอบของชาวไทยและต่างชาติ ได้แก่ กล้วยหอมอบเนย กล้วยหอมกรอบ จากวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง จ.นครปฐม และกล้วยน้ำว้าตากหนึบ กล้วยน้ำว้าตาก และกล้วยน้ำว้าตากอบน้ำผึ้งดอกลำไย จาก จ.พิษณุโลก โดยจะทยอยออกสู่ตลาดตามลำดับในระยะเวลาอันใกล้

นางวันดี ไพรรักษ์บุญ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง กล่าวว่า การที่ เซเว่น อีเลฟเว่น และ วี ฟาร์ม เข้ามาช่วยสนับสนุน และส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง ถือเป็นการช่วยยกระดับสินค้าโอท็อประดับ 5 ดาวของจังหวัดนครปฐมให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และยังช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับสมาชิกในกลุ่มฯ รวมถึงเกษตรกรในจังหวัดต่างๆ ทั้งในนครปฐม เพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร และชาวบ้านที่ปลูกกล้วยหอมทองในพื้นที่ จากเดิมที่เกษตรกรขายได้เพียง 8-10 บาทต่อกิโลกรัม แต่กลุ่มวิสาหกิจรับซื้อกล้วย ปลอดสารจากกลุ่มนี้ในราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม ขณะเดียวกันยังรับซื้อผลผลิตเพิ่มจากเดิม 1 ตันต่อวัน เป็น 2 - 2.5 ตันต่อวัน เพื่อให้เพียงพอต่อการแปรรูปส่งขายในโมเดิร์นเทรด

ความพิเศษที่ทำให้สินค้าภายใต้แบรนด์ “วี ฟาร์ม ตะกร้า” มีความโดดเด่นต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นในตลาด คือ ทางกลุ่มฯใช้กล้วยหอมทองพันธุ์ไทยแท้ ซึ่งมีคุณลักษณะเฉพาะคือ เนื้อเนียน ละเอียด แน่น รสชาติอร่อย โดยเก็บเกี่ยวในระยะกล้วยดิบที่แก่ 80% นำมาผ่านกระบวนการทำความสะอาด และนำไปสไลด์ด้วยใบมีดพิเศษที่ทำให้ชิ้นกล้วยมีความบาง เมื่อนำไปทอดจะทำให้ได้ชิ้นกล้วยที่กรอบเสมอกันทุกชิ้น และมีสีเหลืองสวยงาม และนำมาอบเนยให้ความหอม จนได้เป็น “กล้วยหอมอบเนย” ขณะที่กล้วยดิบที่แก่มากกว่า 80% แต่ไม่เกิน 95% จะนำมาแปรรูปเป็นกล้วยหอมกรอบ เพื่อลดการสูญเสียของกล้วยหอมทองที่นำมาแปรรูปไม่ทัน

“หลังจากที่ทาง วี ฟาร์ม เข้ามาพูดคุยถึงเรื่องการนำกล้วยหอมทองมาแปรรูปเป็นกล้วยหอมอบเนย และกล้วยหอมกรอบ ในรูปแบบของ Local Snack ก็มีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพ มาตรฐาน และกำลังการผลิต แต่ทางวี ฟาร์ม และเซเว่น อีเลฟเว่น ได้เข้ามาให้การช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นอย่างดี ทำให้มีความมั่นใจ จนสามารถผลิตออกมาเป็นสินค้าที่ได้คุณภาพ ตรงตามมาตรฐานของตลาด ทำให้มีความเชื่อมั่นว่า กล้วยหอมทองของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง จะสามารถยกระดับสู่การเป็นสินค้าไทยในตลาดโลกในอย่างแน่นอน” นางวันดี กล่าว

ในปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ยุค 5.0 ซึ่งมนุษย์สามารถใช้เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกในทุกมิติของชีวิตประจำวัน เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนและสังคม โดยที่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยลงกว่าที่เคย การเตรียมความพร้อมสำหรับยุค 5.0 จึงเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น เพราะจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และโอกาสที่เพิ่มขึ้นสำหรับทุกคน เพื่อให้ไม่มีใครถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจากเทรนด์ใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ องค์กรต่าง ๆ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนจึงต้องหันหน้ามาร่วมหารือกันว่าจะสนับสนุนภาคธุรกิจในด้านการลงทุนกับทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการยกระดับความรู้ความสามารถที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจและการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน

หัวเว่ย ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารชั้นนำระดับโลก มุ่งมั่นในพันธกิจที่จะนำองค์กรไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ไม่ทิ้งใครเอาไว้เบื้องหลัง โดยนำหลักการความยั่งยืนมาผนวกเข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจ นอกจากนี้ บริษัทฯยังตั้งเป้าที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ทุกผู้คน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร ให้ประเทศไทยเชื่อมต่อถึงกันอย่างสมบูรณ์แบบด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากความร่วมมือระหว่างหัวเว่ยกับสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กประเทศไทยและสหประชาชาติในประเทศไทย (UN Global Compact Network Thailand: UNGCNT) ทำให้ได้คิดค้นวิธีที่จะเพิ่มศักยภาพของผู้คนในชีวิตประจำวัน สร้างแรงบันดาลใจให้องค์กรทุกขนาดได้สร้างสรรค์นวัตกรรม รวมทั้งช่วยผลักดันให้ประเทศไทยไปถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)

ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวย้ำถึงบทบาทของหัวเว่ยในการปูทางสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังสังคมที่ทุกคนมีความเท่าเทียมด้านดิจิทัลได้ในระดับโลกว่า “หัวเว่ยวางกลยุทธ์สร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของเรา ด้วยการทำให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืน และปูทางเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความเท่าเทียมทางดิจิทัลทั่วทั้งโลก เรามุ่งมั่นที่จะใช้เทคโนโลยีในการช่วยยกระดับสังคมสามารถเห็นได้จากกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของเรา ซึ่งได้แก่ความเท่าเทียมทางด้านดิจิทัล ความปลอดภัยและคามน่าเชื่อถือ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างระบบนิเวศที่เข้มแข็งและสมดุล เราเชื่อมั่นว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และกลยุทธ์ในการสร้างพันธมิตร จะช่วยให้เราผลักดันโลกไปสู่ความเท่าเทียมและความยั่งยืนทางดิจิทัลที่มากยิ่งขึ้น”

ดร.ชวพลยังเน้นย้ำถึงเรื่องการกำหนดนโยบายที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางด้านดิจิทัล โดยกล่าวว่าหัวเว่ยได้ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐบาลและองค์กรในระดับโลกมากมาย เนื่องจากเห็นความสำคัญของการจัดทำกฎระเบียบและข้อบังคับเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ในขณะเดียวกัน โลกดิจิทัลก็กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาพร้อมกับประโยชน์ใช้สอยมากมาย แต่ก็พ่วงมาด้วยความเสี่ยงหากตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่ประสงค์ดี ด้วยเหตุนี้ หัวเว่ยจึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ผ่านโครงการฝึกอบรม และโครงการเพื่อการศึกษาต่าง ๆ เพื่อเสริมศักยภาพให้บุคลากรมีความรู้ความสามารถ มีทักษะที่เหมาะสม ในการใช้ประโยชน์และความพร้อมในการรับมือต่อความเสี่ยงซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล

ในด้านภารกิจเพื่อผลักดันความเท่าเทียมทางด้านดิจิทัล ดร.ชวพลกล่าวว่า: “เทคโนโลยีคือสะพานที่จะเชื่อมไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้คน และนำประเทศไทยไปสู่ความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายเรื่องนี้ เราได้ร่วมมือกับองค์กรสหประชาชาติ องค์กรภาคเอกชน สถาบันวิทยาศาสตร์ รัฐบาล ผู้ให้บริการ และลูกค้าองค์กรของเราอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 40 องค์กรทั่วโลก ในการรังสรรค์โครงการร่วมกันกว่า 60 โครงการ โดยโครงการ TECH4ALL ซึ่งเป็นโครงการระยะยาวเพื่อสร้างความเท่าเทียมด้านดิจิทัลของหัวเว่ย ได้ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น จากการได้ช่วยสนับสนุนให้โรงเรียนกว่า 600 แห่ง พร้อมครู นักเรียน และเยาวชนที่ยังไม่มีงานทำ รวมกว่า 220,000 คน ได้มีโอกาสเข้าถึงอินเทอร์เน็ต รวมทั้งได้รับการฝึกอบรมทักษะดิจิทัล นอกจากนี้ โครงการนี้ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของเขตอนุรักษ์ทางธรรมชาติ 46 เขตทั่วโลก ด้วยการเสริมประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ”

เทคโนโลยีของหัวเว่ยได้สร้างความแตกต่างให้แก่องค์กรและชีวิตคนมากมายทั่วประเทศ โดยได้นำพาเทคโนโลยีไปสู่ทุกคนแม้อยู่ในพื้นห่างไกลของประเทศไทย โดยโครงการต่าง ๆ ของหัวเว่ยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนชุมชน ส่งเสริมความเชื่อมโยง และยกระดับคุณภาพชีวิตในภาพรวมรวมให้แก่ผู้คนในพื้นที่ห่างไกล ตัวอย่างเช่น โครงการ TrackAI ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติสเปนกับหัวเว่ย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่พิการทางสายตา โดยระบบตรวจสอบการมองเห็นของเด็กจะประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ของหัวเว่ย และประเมินว่าเด็กคนนั้น ๆ มีสัญญาณความบกพร่องด้านการมองเห็นหรือไม่ ซึ่งนับตั้งแต่โครงการนี้เปิดตัวเมื่อสามปีก่อน ได้มีการตรวจสอบตาให้เยาวชนไปแล้วกว่า 4,500 คน ใน 5 ประเทศ

ความมุ่งมั่นในการสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลของหัวเว่ย ยังปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในโครงการรถดิจิทัลเพื่อสังคม ที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ในประเทศไทย โดยโครงการนี้ได้ช่วยสนับสนุนความเท่าเทียมทางดิจิทัลผ่านการอบรบทักษะเทคโนโลยีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในพื้นที่ 10 จังหวัดชนบท ครอบคลุม 40 ชุมชนในพื้นที่ห่างไกล โดยได้อบรมเด็ก ๆ บุคลากร และธุรกิจขนาดเล็กในชนบทไปแล้วกว่า 4,000 คน ซึ่งหัวเว่ยได้มีส่วนในการส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลและสะเต็มศึกษา (STEM Education) รวมทั้งปูพื้นฐานให้การเรียนรู้ที่เท่าเทียมผ่านโครงการดังกล่าว  นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้จับมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในโครงการ USO 2.0 จากการเล็งเห็นช่องว่างทางดิจิทัลในพื้นที่ชนบท โดยหัวเว่ยได้นำโซลูชัน AirPON มาใช้ขับเคลื่อนการเชื่อมโยงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตบนเครือข่ายไฟเบอร์สู่หมูบ้านจำนวน 19,652 หมู่บ้าน โครงการนี้ไม่เพียงแต่ลดช่องว่างทางดิจิทัล แต่ยังช่วยปลดล็อคบริการที่จำเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่บริการด้านสาธารณสุขทางไกล การศึกษา และการซื้อขายผ่านออนไลน์ ทั้งยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเชื่อมต่อและมอบเทคโนโลยีให้กับผู้คนแม้อยู่ในชุมชนห่างไกล อันจะปูทางไปสู่ความเท่าเทียมและการพัฒนาที่ยั่งยืน

“หัวเว่ยเข้าใจถึงบทบาทของกฏหมายในการลดช่องว่างทางดิจิทัล จึงเน้นผลักดันนโยบายที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางดิจิทัล เราให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก ด้วยการทำโครงการฝึกอบรมและโครงการด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะที่จำเป็นในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ หัวเว่ยยังมุ่งมั่นในพันธกิจ “เติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย” และ “นำทุกฝ่ายก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” ด้วยการมุ่งเน้นสนับสนุนประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล และการหันมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสีเขียว” ดร.ชวพลกล่าวเสริมในตอนท้าย

ประกาศเกียรติคุณโรงพยาบาลพันธมิตร ยกระดับมาตรฐานบริการที่เป็นเลิศ ดูแลใส่ใจผู้เอาประกันภัย

บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด (Kao) รุกตลาดผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจความยั่งยืน จับมือสองผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ระดับโลก ได้แก่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC และ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) การพัฒนาวัสดุบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เพิ่มทางเลือกแก่ผู้บริโภคเพื่อความยั่งยืน เน้นบรรจุภัณฑ์คุณภาพที่ปลดปล่อยคาร์บอนต่ำลงและรีไซเคิลได้ เตรียมนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของคาโอในประเทศไทยในอนาคต

ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566  บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ภายใต้สินค้าแบรนด์ดัง คู่ครัวเรือนคนไทยต่าง ๆ อาทิ แอทแทค บิโอเร ไฮเตอร์ มาจิคลีน ลอรีเอะ ฯลฯ ได้ปักหมุดพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจความยั่งยืน โดยเข้าร่วมพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ เอสซีจีซี และ ดาว พร้อมเปิดโอกาสพัฒนานวัตกรรมร่วมกับพันธมิตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ณ อาคารทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ สำนักงานใหญ่กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย โดยมีนายยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด นายพิสันติ์ เอื้อวิทยา ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC และ นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ร่วมลงนามในครั้งนี้

นายยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "คาโอ มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบริษัทชั้นนำทางด้านอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์อย่าง เอสซีจีซี และ ดาว ในการร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมสำหรับสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ตามหลัก 4R: Reduce, Reuse, Recycle และ Replace สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางด้าน ESG หรือ "Kirei Lifestyle Plan" (คิเรอิ ไลฟ์สไตล์ แพลน)

คาโอมีเป้าหมายที่จะบรรลุ Net Zero ในปี ค.ศ. 2040 เพื่อลดผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากการดำเนินธุรกิจของคาโอ เราจึงใส่ใจในการจัดการพลังงานภายในโรงงานผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลอดวงจรอายุ เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน และตั้งเป้าหมายลดขยะที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2040 หมายความว่าปริมาณบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เราจำหน่ายออกไปจะต้องเท่ากับปริมาณบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นำกลับมารีไซเคิล นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คาโอต้องมีพันธมิตรที่เข้มแข็ง เชี่ยวชาญ และมีเป้าหมายร่วมกัน อย่าง เอสซีจีซี และ ดาว เพื่อสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแนวทางที่ยั่งยืนและเกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง”

นายพิสันติ์ เอื้อวิทยา ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า “แนวทางเพื่อความยั่งยืนที่ SCGC ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง คือ การดำเนินธุรกิจภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยพัฒนากรีนโซลูชัน (Green Solutions) ที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของเจ้าของแบรนด์สินค้า และผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อความยั่งยืน สำหรับความร่วมมือกับคาโอในครั้งนี้ SCGC พร้อมนำความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและพัฒนาขวดและถุงบรรจุภัณฑ์ ด้วยนวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก จาก SCGC GREEN POLYMERTM  ซึ่งมี 4 โซลูชันหลัก ได้แก่ การลดใช้ทรัพยากร (Reduce) การออกแบบเพื่อให้รีไซเคิลได้ (Recyclable) การนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน (Renewable) เพื่อสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนให้กับผลิตภัณฑ์ภายใต้คาโอ รวมทั้งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม”

นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า "ดาวมุ่งมั่นในการสนับสนุนลูกค้าของเราในการลดการปลดปล่อยคาร์บอน และลดขยะพลาสติกตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน เราพร้อมสนับสนุนคาโอ ในการออกแบบและพัฒนาถุงบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ด้วยความเชี่ยวชาญจากดาวทั้งในประเทศไทย และ ดาว แพค สตูดิโอ (Dow Pack Studio) สิงคโปร์ ผสานกับนวัตกรรมเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษของ ดาว เช่น INNATE, ELITE, DOWLEX และ Dow PCR  เพื่อให้ถุงบรรจุภัณฑ์ของคาโอสามารถรีไซเคิลได้ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น และยังคงตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี"

ข้อตกลงนี้จะนำไปสู่การออกแบบพัฒนาวัสดุใหม่ ๆ และการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ให้กับสินค้าต่างภายใต้คาโอ ให้มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ต่ำลง และสามารถนำไปรีไซเคิลได้ ทั้งบรรจุภัณฑ์ชนิดขวด และชนิดถุง โดยยังคงคุณสมบัติของบรรจุภัณฑ์ที่ดีในการปกป้องผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายในและให้ความสะดวกกับผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของคาโอในการเดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัท ที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ภายในปี 2593 สอดคล้องกับแนวทางของ เอสซีจีซี และ ดาว ที่มุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างทางเลือกที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภคชาวไทย

ดึงเทคโนโลยีดิจิทัล พลิกโฉมระบบการบริหารจัดการทุกมิติ ยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย ปูพรมวางโครงสร้างพื้นฐาน ต่อยอดพัฒนาดิจิทัลโซลูชัน มุ่งสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอย่างยั่งยืน 

บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต โดยนายสหพล พลปัถพี (ขวา)ประธานเจ้าหน้าที่สายงานช่องทางตัวแทน เป็นผู้แทนบริษัท ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดยนางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านตรวจสอบ (กลาง)  มอบเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา จำนวน 29 เครื่อง ในกิจกรรม “รวมพลังภาคประกันภัย รวมใจเพื่อการศึกษา” ให้กับโรงเรียนในพระอุปถัมภ์ของวัดทองธรรมชาติ วรวิหาร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร จำนวน 2 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดทองธรรมชาติ และโรงเรียนวัดทองธรรมชาติ เพื่อสนับสนุนการศึกษาและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านการใช้เทคโนโลยี โดยมี นางสาวจินตนาพร สุวรรณพงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดทองธรรมชาติ (ซ้าย) เป็นผู้รับมอบ โดยในงานนี้มีหน่วยงานภาคประกันภัย รวมใจกันนำอุปกรณ์การศึกษามาร่วมมอบกว่า 380 รายการ

โดยตลอดปี 2566 FWD ประกันชีวิต ได้มอบเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอที ให้กับหน่วยงานและโรงเรียนต่างๆ  อาทิ สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล โรงเรียนบ้านพรมใต้พิทยาคาร โรงเรียนบ้านโนนงาม โรงเรียนบ้านหว้าทอง โรงเรียนบ้านโนนสลวย โรงเรียนบ้านแข้ (เจริญราษฎร์วิทยา) โรงเรียนชุมชนบ้านหนองเซียงซา รวมทั้งสิ้นกว่า 2,460 รายการ

ชูจุดเด่นตั้งอยู่ในทำเลทองแห่งใหม่ของมาเลเซีย ห่างจากใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์เพียง 40 นาที

ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ให้การต้อนรับและพบปะหารือกับนายวาเลนติโน แดส หัวหน้าสำนักงานประจำสหพันธรัฐมาเลเซียและประเทศไทย การเงินเพื่อการส่งออกแห่งสหราชอาณาจักร (UK Export Finance : UKEF) ซึ่งเป็นการหารือต่อเนื่องจากการเจรจาทวิภาคีในระหว่างการประชุมประจำปีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าในเอเชีย (Asian EXIM Banks Forum : AEBF) ครั้งที่ 28 ณ นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 21-22 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ถึงแนวทางความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK และ UKEF ในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยและสหราชอาณาจักรด้านการค้าการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ รวมทั้งประเทศที่สาม ตลอดจนความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาบุคลากรร่วมกัน ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566

เมื่อเร็วๆ นี้ นายระเฑียร  ศรีมงคล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และทีมผู้บริหารการตลาดเคทีซี ได้ให้การต้อนรับคณะศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย​ นำโดยนายไพบูลย์  สำราญภูติ  เจ้าของกิจการ บริษัท ไพบูลย์  แอนด์ ซัน คอนซัลแตนท์ จำกัด และผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ กว่า 20 คน พร้อมแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจการตลาดบัตรเครดิต สินเชื่อและแพลทฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ “KTC U Shop” รวมทั้งแนะนำบริการชำระเงินหลากหลายรูปแบบเพื่อธุรกิจร้านค้า (KTC Merchant Acquiring) เพื่อสร้างโอกาสในการขยายเครือข่ายธุรกิจในอนาคต เมื่อเร็วๆ นี้ ณ “เคทีซี ทัช” สุขุมวิท 33  

X

Right Click

No right click