Glenfiddich (เกลนฟิดิค) แบรนด์ซิงเกิลมอลต์ ภายใต้บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สุดหรู

Wanbo (ว่านป๋อ) แบรนด์โปรเจคเตอร์คุณภาพ เปิดตัว “Mozart 1”

นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ผู้พัฒนาและบริหารโครงการ “วัน แบงค็อก” ลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานระดับพรีเมียม ร่วมกับ นาย วินท์ ภักดีจิตต์ Managing Partner และ นาย สรชน บุญสอง Partner บริษัท เบเคอร์ แม็คเค็นซี่ จำกัด บริษัทกฎหมายระดับโลกซึ่งมี 74 สำนักงานใน 45 ประเทศทั่วโลก เบเคอร์ แมคเค็นซี่ประเทศไทยเป็นสำนักงานกฎหมายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนมาตลอด 45 ปี ทางสำนักงานจึงเข้าร่วมเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน Tower 4 ของโครงการวัน แบงค็อก รวมพื้นที่เช่าประมาณ 10,000 ตร.ม. ด้วยความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน จึงได้ตกลงเซ็นสัญญาเช่าแบบสีเขียว (Green Lease) ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย อันถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับรูปแบบการเช่าพื้นที่สำนักงาน โดยผู้ให้เช่าและผู้เช่าพื้นที่ร่วมกันกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนขึ้นเป็นข้อสัญญาอย่างชัดเจน พร้อมทั้งตั้งแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เริ่มตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงขั้นตอนของการก่อสร้างไปจนถึงการดำเนินงานของอาคาร

โครงการวัน แบงค็อก และ Baker McKenzie ต่างมีวิสัยทัศน์เดียวกันในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อบรรลุเป้าหมายของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างสภาพแวดล้อมภายในอาคารเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนในสำนักงาน โดยมุ่งเน้นการออกแบบพื้นที่สำนักงานเพื่อการใช้พลังงานและน้ำที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการลดขยะฝังกลบ และการเลือกใช้วัสดุตกแต่งที่เป็นมิตรกับผู้คนและสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน LEED และ WELL เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งยกระดับสุขภาวะของผู้ใช้ ทำให้พนักงานเกิดความพึงพอใจในการทำงานและช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการทำงานให้มากขึ้น ทั้งนี้การตกแต่งออฟฟิศจะแล้วเสร็จพร้อมกำหนดการย้ายเข้าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567

วัน แบงค็อก มีความมุ่งมั่นสร้างสรรค์อาคารสำนักงานที่เพียบพร้อมด้วยระบบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนทำงาน และความสะดวกสบาย และเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์รายแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรอง WiredScore Platinum ตอกย้ำความเป็นเลิศแห่งการเชื่อมต่อทางดิจิทัลและระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ดีที่สุด พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นโครงการฯ แห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED for Neighbourhood Development ระดับ Platinum และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคาร ระดับ Platinum ตลอดจนตั้งเป้าการรับรองมาตรฐาน SmartScore สำหรับกลุ่มอาคารสำนักงานที่มีระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะแห่งอนาคตที่ดีที่สุด เพื่อให้ผู้อาศัยในอาคารได้รับประสบการณ์สุดพิเศษ อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงาน เพื่อความคุ้มค่าแห่งอนาคต

ภายในโครงการวัน แบงค็อก ประกอบด้วยอาคารสำนักงานระดับพรีเมียม จำนวน 5 อาคาร มีพื้นที่เช่าสุทธิรวมกว่า 500,000 ตร.ม. โดยอาคารสำนักงาน Tower 4 จะเปิดให้บริการเป็นอาคารแรกของโครงการฯ ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 อาคารดังกล่าวได้รับการออกแบบโดย KPF บริษัทสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบอาคารสูงที่ล้ำสมัย และมีรูปทรงที่โดดเด่นเฉพาะตัว มาร่วมเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมและตกแต่งภายในให้กับอาคารสำนักงานดังกล่าวนี้ พร้อมรังสรรค์สภาพแวดล้อมที่สวยงามและตอบรับกับทุกความต้องการของผู้เช่าอาคาร เพื่อประสบการณ์การทำงานแบบเหนือระดับ โครงการวันแบงค็อกตั้งอยู่บนหัวมุมถนนวิทยุ และพระราม 4 เชื่อมต่อโดยตรงกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT มอบความสะดวกสบายสูงสุดแก่ผู้ขับขี่รถยนต์ ด้วยทางเข้าออกรอบโครงการถึง 6 จุด และทางด่วนตัดตรงเข้าโครงการ  ล่าสุดอาคารสำนักงาน Tower 4 คว้ารางวัล “Best Office Development” จากเวทีประกาศผลรางวัล PropertyGuru Thailand Property Awards 2022 ครั้งที่ 17 ที่ผ่านมา

ด้วยข้อเสนอใหม่จาก utu Miles และ Royal Orchid Plus การช้อปปิ้งจึงไม่เป็นเพียงการเติมเต็มความต้องการอีกต่อไป แต่ยังสามารถช่วยแลกเป็นบัตรโดยสารเครื่องบินบินลัดฟ้าในทริปต่อไปได้อีกด้วย utu ประกาศเปิดตัวการปรับเทียบสถานภาพบัตร utu ที่ให้สมาชิกรอยัล ออร์คิด พลัส โปรแกรมสะสมไมล์ของสายการบินไทยเป็นครั้งแรก เพื่อพลิกโฉมประสบการณ์การช้อปปิ้งสินค้าเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) ให้สะดวกและคุ้มค่า

utu นำเสนอสิทธิพิเศษเพื่อให้ประโยชน์ที่มากกว่าในกระบวนการขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มทั่วไป ให้นักเดินทางสามารถเปลี่ยนภาษีเงินคืนจากการซื้อสินค้าในต่างประเทศเป็นไมล์สะสมและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ รวมถึงไมล์สะสม utu (utu Miles) ซึ่งปลดล็อกมูลค่าภาษีเงินคืนให้เพิ่มมากขึ้น โดยการเปลี่ยนจำนวนเงินคืนเป็นเครดิตไมล์สะสมที่มีมูลค่าทวีคูณ นวัตกรรมนี้จะเปลี่ยนประสบการณ์การช้อปปิ้งในต่างประเทศให้กลายเป็นการลงทุนในการเดินทางที่น่าจดจำครั้งต่อไป

ง่าย ๆ เพียงดาวน์โหลดและลงทะเบียนผ่านแอป utu Tax Free เพื่อรับบัตร utu visa (Virtual Card) พร้อมเพลิดเพลินกับไมล์สะสมเพิ่มเติม 25% จากการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม และสำหรับสมาชิกระดับพรีเมียมที่ทำการสะสมเครดิตภาษีเงินคืนหรือชําระเงินค่าสมาชิก utu จะได้รับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นถึง 40% ทั้งนี้ ปัจจุบัน utu ได้ร่วมมือกับพันธมิตรสายการบินและโรงแรมระดับโลก 13 แห่ง ซึ่ง รอยัล ออร์คิด พลัส เป็นรายแรกที่เปิดตัวการปรับเทียบสถานภาพบัตร ที่ให้สมาชิกรอยัล ออร์คิด พลัส ได้รับการเลื่อนอันดับเป็นสมาชิกระดับพรีเมียมของ utu โดยอัตโนมัติ

 

รอยัล ออร์คิด พลัส และ utu ได้ดำเนินการส่งคําเชิญให้กับสมาชิกผ่านทางอีเมล และเมื่อสมาชิกตอบรับคําเชิญ จะสามารถเทียบระดับสมาชิก รอยัล ออร์คิด พลัส กับระดับสมาชิกพรีเมียมของ utu ได้ โดยระดับสมาชิก Classic, Silver, Gold และ Platinum จะได้รับไมล์สะสมรอยัล ออร์คิด พลัส เพิ่มขึ้นในมูลค่า 25%, 30%, 35% และ 40% ตามลําดับ เป็นสิทธิพิเศษสําหรับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้รับจากบัตร utu Tax Free

ข้อเสนอพิเศษสถานภาพสมาชิกพรีเมียมของ utu นี้ ทำได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในระยะเวลา 2 ปีแรกของการเป็นสมาชิก โดยสมาชิกสามารถอัปเกรดเป็นสมาชิกระดับพรีเมียมได้ผ่านการชําระเงินจำนวน 60, 120 หรือ 180 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรืออัปเกรดสถานะผ่านการสะสมการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มในแอป utu Tax Free โดยสมาชิกระดับ Classic จะได้รับการอัปเกรดเป็นระดับ Silver เมื่อสะสมเครดิตภาษีเงินคืนผ่านบัตร utu Tax Free จำนวน 750 ดอลลาร์สหรัฐฯ และอัปเกรดสถานะเป็นระดับ Gold และ Platinum ได้ เมื่อสะสมเครดิตภาษีเงินคืนครบ 1,500 และ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลําดับ โดยระยะเวลาการเป็นสมาชิกมีอายุ 2 ปี

คุณสุรังคนา สุรไพฑูรย์ รองประธานและผู้จัดการประจําประเทศไทย บริษัท รีวอร์ดส์ พาร์ตเนอร์ จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ รอยัล ออร์คิด พลัส ได้ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ให้กับสมาชิกของรอยัล ออร์คิด พลัส ซึ่ง utu ได้เดินหน้าเพิ่มมูลค่าให้กับนักเดินทางอย่างต่อเนื่อง และในโอกาสครบรอบ 6 ปี utu ได้พัฒนารูปแบบโครงการของโปรแกรมอย่างมีกลยุทธ์เพื่อให้สมาชิกรอยัล ออร์คิด พลัส ที่ลงทะเบียนเป็นสมาชิกกับ utu ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด”

คุณซานเจย์ ชินฉ์วดี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ Partnerships & utu Miles บริษัท รีวอร์ดส์ พาร์ตเนอร์ จำกัด กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่กระบวนการซื้อสินค้าในต่างประเทศเพื่อการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มส่วนมากนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ปี 2523 นวัตกรรมของ utu จะทำให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์การและสิทธิพิเศษในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ด้วยข้อเสนอการคืนภาษีให้กับนักชอปพร้อมรับสิทธิพิเศษเพื่อมูลค่าที่เพิ่มขึ้นทันทีผ่านแอปพลิเคชัน utu โดยความร่วมมือกับรอยัล ออร์คิด พลัส ครั้งนี้เป็นการต่อยอดพันธกิจและวิสัยทัศน์ ในการมอบประสบการณ์ที่รื่นรมย์และเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่ตอบสนองความต้องการของนักเดินทางยุคใหม่อย่างแท้จริง”

คุณกิตติพงษ์ สารสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้าและการตลาด บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการส่งมอบความคุ้มค่าให้กับสมาชิกของสายการบินของเรา ในโลกของการเดินทางที่กำลังพัฒนา เราตระหนักถึงความสําคัญของความร่วมมือเชิงนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว ซึ่งแนวทางในการส่งมอบสิทธิพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของ utu สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเรา และเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือในการสร้างมาตรฐานใหม่และมอบสิทธิประโยชน์ที่เหนือชั้นให้กับสมาชิกทั่วโลกของเรา”

ด้วยความร่วมมือระหว่าง utu และรอยัล ออร์คิด พลัส นับเป็นการมอบสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ายิ่งให้กับลูกค้าของทั้งสองฝ่าย

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของ utu Tax Free และการยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งได้ที่ https://www.utu.global/ หรือดาวน์โหลดแอป utu Tax Free จาก App Store และ Google Play พร้อมเริ่มต้นการเดินทางที่คุ้มค่าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนได้แล้ววันนี้

ดึงอินไซต์จริงจากผู้อยู่อาศัยถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดล่าสุด หวังครองใจลูกค้าทุกเจนเนเรชัน ชมพร้อมกันทั่วโลกแล้ววันนี้

เพราะกำลังใจและความปลอดภัยสำคัญที่สุด ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงจัดเต็มภารกิจสนับสนุนการสื่อสาร เปิดระบบให้ลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทค ที่อิสราเอล โทรและ SMS ฟรีทั้งภายในอิสราเอล และฟรีกลับมายังครอบครัวในประเทศไทย ตลอด 24 ชม. ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ตุลาคมนี้ เพิ่มเติมจากมาตรการเร่งด่วนขั้นต้นที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคที่ใช้บริการโรมมิ่งอยู่ในอิสราเอล สามารถโทรติดต่อและขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากสถานทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ และ Call Center ทั้งทรูและดีแทคได้ฟรี มาตั้งแต่  7 ตุลาคมที่ผ่านมา อีกทั้งยังพร้อมเป็นสื่อกลางส่งข้อมูลข่าวสารผ่าน SMS Broadcast เพื่อให้ลูกค้าที่อยู่ในอิสราเอลได้รับทราบข้อมูลและความเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์และมีความจำเป็นสำหรับการตัดสินใจเพื่อความปลอดภัยในสวัสดิภาพของผู้อยู่ในพื้นที่

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ (รักษาการ) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอลที่มีมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะคนไทยที่พำนักอยู่ในพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม ตระหนักเป็นอย่างดีว่ากำลังใจและการสื่อสารในสถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ผ่านมาจึงอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคที่ใช้บริการโรมมิ่งอยู่ในอิสราเอล สามารถติดต่อสื่อสารและขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากสถานทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ และ Call Center ของทั้งทรูและดีแทคได้ฟรี ตั้งแต่  7 ตุลาคมที่ผ่านมา รวมทั้งล่าสุด ยังได้ยกระดับการอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร โดยเปิดให้ลูกค้าทั้งทรูมูฟ เอช และดีแทค โทรออกและรับสายฟรีทั้งในอิสราเอล รวมทั้งติดต่อสื่อสารกลับมายังครอบครัวในประเทศไทย รวมทั้งส่ง SMS ได้ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ตุลาคม 2566 และหากสถานการณ์ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ก็จะพิจารณาขยายเวลาอีกครั้ง”

“นอกจากนี้ เราเข้าใจดีว่า ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและทันท่วงทีจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจและช่วยเพิ่มความปลอดภัยในสวัสดิภาพของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ จึงได้ประสานสถานทูตไทยในอิสราเอลเพื่อเป็นสื่อกลาง ส่ง SMS Broadcast ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคที่อยู่ในอิสราเอล สนับสนุนให้การสื่อสารระหว่างภาครัฐและผู้ที่ต้องการอพยพและเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยสามารถติดต่อประสานงานกันได้อย่างราบรื่นและทันการณ์ ซึ่งการอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารทั้งหมดนี้เป็นเสมือนสิ่งแทนความห่วงใยจากทรู คอร์ปอเรชั่น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สถานการณ์ทั้งหมดจะคลี่คลายกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว” นายจักรกฤษณ์ กล่าวสรุป

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) เดินหน้าสู่บริบทใหม่ในปฏิบัติการ “Krungsri Race to Net Zero” เร่งขับเคลื่อนพลวัตเพื่อบรรลุพันธกิจแห่งความยั่งยืนที่ครอบคลุมมิติด้านชุมชน สังคม และเศรษฐกิจ ตลอดจนร่วมแก้ไขปัญหาที่เป็นวาระสำคัญเร่งด่วนของโลก เสริมทัพด้วยพลังศักยภาพของพนักงานกรุงศรี กรุ๊ปกว่า 20,000 คน ร่วมรับมือกับวิกฤตการณ์โลกเดือดและการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศที่ส่งผลให้เกิดมหันตภัยทางธรรมชาติที่รุนแรง

เมื่อเร็วๆ นี้ สหประชาชาติได้ออกคำเตือนถึงการเข้าสู่ "ยุคโลกเดือด" พร้อมเรียกร้องประชาคมโลกให้ตระหนักถึงภัยคุกคามด้านสภาวะภูมิอากาศ ซึ่งเป็นวาระเร่งด่วนที่ทุกคนต้องร่วมแก้ไขอย่างจริงจัง กรุงศรีในฐานะสถาบันการเงินชั้นนำของไทยและพลเมืองโลกที่มีความรับผิดชอบ ได้ร่วมรับมือวิกฤตนี้พร้อมเร่งดำเนินการตามวิสัยทัศน์สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของธนาคาร ที่มุ่งลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการทางธุรกิจของธนาคารภายในปี 2573 และจากบริการทางการเงินทั้งหมดภายในปี 2593 

กรุงศรีตอกย้ำความเป็นผู้นำภาคการเงินไทยในการขับเคลื่อนพันธกิจแห่งความยั่งยืนให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง ผ่านปฏิบัติการ “Krungsri Race to Net Zero รวมพลัง หยุด!โลกเดือด” ระดมพลังความรู้ความร่วมแรงร่วมใจของพนักงานกรุงศรี กรุ๊ป กว่า 20,000 คน รับมือกับความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญอยู่ พร้อมขับเคลื่อนให้พันธกิจแห่งความยั่งยืนเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "โลกและเราทุกคนได้ก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญด้านสภาวะภูมิอากาศ กรุงศรีดำเนินการเพื่อรับมือกับความรุนแรงของวิกฤตการณ์โลกเดือด ด้วยการเร่งปลูกฝังแนวคิดและสร้างวัฒนธรรม Net Zero ในองค์กร  มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อย่างเร่งด่วน  ด้วยความร่วมมือร่วมใจของพนักงานกรุงศรี กรุ๊ป กว่า 20,000 คน เรามีศักยภาพที่แข็งแกร่งในการช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผ่านวิถีการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันแบบคาร์บอนต่ำ พร้อมส่งต่อพลังแห่งแนวคิด Net Zero นี้ไปยังลูกค้าและผู้เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆ ยกระดับปฏิบัติการ Krungsri Race to Net Zero สู่สังคมในวงกว้าง พลวัตการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายนี้จะช่วยสนับสนุนประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ที่ตั้งไว้”

“ปฏิบัติการ Krungsri Race to Net Zero เป็นบทพิสูจน์อีกวาระหนึ่งของกรุงศรีที่สะท้อนถึงจิตสำนึกรับผิดชอบในฐานะธนาคารพาณิชย์ที่มีจุดยืนเพื่อความยั่งยืน  และดำเนินการตามแนวทางสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของ MUFG ผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ของกรุงศรี” นายยามาโตะกล่าว

ปฏิบัติการ Krungsri Race to Net Zero ได้กำหนดเป้าหมายปี 2566-2567 ดังนี้

  • การเสริมสร้างศักยภาพของพนักงาน:  พัฒนาหลักสูตรอบรมอย่างเข้มข้นและครอบคลุม รวมทั้งสนับสนุนด้านทรัพยากรที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างความความรู้ ความเข้าใจด้านแนวคิด นโยบาย และเป้าหมาย Net Zero กลยุทธ์ด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน ตลอดจนรณรงค์ให้ตระหนักถึงบทบาทส่วนบุคคลของพนักงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว
  • กิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน: ปฏิบัติการ “Krungsri Race to Net Zero” กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย ที่สนุกสนาน น่าสนใจและมีส่วนร่วมได้ง่าย โดยได้รับการพัฒนามาเพื่อสร้างความเข้าใจด้านการดำเนินงานเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วยการอบรมเชิงปฏิบัติการด้วยการสื่อสารแบบสองทาง กิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วม และเกมต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้
  • พันธกิจแห่งความยั่งยืนเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน: กรุงศรีมุ่งมั่นสร้างจิตสำนึกรับผิดชอบต่อพันธกิจแห่งความยั่งยืน และสนับสนุนให้พนักงานมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายพันธกิจดังกล่าว ภายใต้ปฏิบัติการ “Krungsri Race to Net Zero” พนักงานสามารถมีส่วนร่วมในการลดคาร์บอนทั้งในที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว

ความสำเร็จในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมและโครงการต่างๆ ของกรุงศรี ตอกย้ำปณิธานของธนาคารในหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ และเป็นแบบอย่างแก่ภาคการเงินไทย ซึ่งรวมถึงการประกาศวิสัยทัศน์แห่งความเป็นกลางทางคาร์บอน การเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกที่ได้รับรางวัลสำนักงานสีเขียว (ระดับดีเยี่ยม)  และเป็นสมาชิกตั้งต้นของเครือข่าย Carbon Markets Club ในปี 2564 ตลอดจนเป็นธนาคารที่มีบทบาทสำคัญในการจัดทำประกาศเจตนารมณ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Declaration) ของสมาคมธนาคารไทย และเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกที่ได้จัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรครอบคลุมทุกอาคารสำนักงาน สาขาธนาคาร และบริษัทย่อยในปี 2565

LINE ประเทศไทย เดินหน้าส่งเสริมวิถี “เซลฟ์แคร์” (Self Care) การดูแลสุขภาพกาย–ใจในยุคดิจิทัล ด้วยตัวเอง เริ่มนำร่องในวันสุขภาพจิตโลก 10 ตุลาคม นี้เป็นต้นไป จับมือพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญ Love Frankie และ Art for Cancer ร่วมจัดเต็มกิจกรรม-คอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพจิตและการดูแลรักษาโรคมะเร็ง ผ่าน 3 บริการฮิต LINE VOOM – LINE OpenChat – LINE TODAY สานต่อแนวคิด LINE Digital Well-being ให้การดูแลตัวเองเป็นเรื่องง่ายและทำได้ในชีวิตประจำวัน 

ในช่วงเวลาสองสามปีที่ผ่านมาความสนใจในเรื่อง “เซลฟ์แคร์” (Self Care) การดูแลตัวเอง เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จากความตึงเครียดสะสมของสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ผู้คนจึงเริ่มสนใจมองหาวิธีในการดูแลตัวเองทั้งร่ายกายและจิตใจ หลายคนอาจคิดว่า “การดูแลตัวเอง” เป็นภาระที่ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงหรืออาจต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เซลฟ์แคร์เริ่มต้นได้ด้วยการลงมือทำสิ่งดีๆ เพื่อตัวเองในชีวิตประจำวัน สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้คนบนโลกดิจิทัลที่มักจะหาข้อมูลคอนเทนต์ที่สามารถใช้ตรวจสอบ ดูแล และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและอาการผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วยตัวเองก่อนจะเข้าหาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ 

LINE ประเทศไทย เห็นความสำคัญและความต้องการข้อมูลที่เชื่อถือได้ของผู้ใช้บนโลกออนไลน์ จึงเดินหน้าจับมือพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญ Love Frankie ครีเอทีฟเอเจนซีเพื่อสังคม ผู้ผลิตคอนเทนต์ส่งเสริมทัศนคติเชิงบวกด้านสุขภาพจิตในการใช้ชีวิตและเผชิญปัญหาในสังคม และ Art for Cancer องค์กรเพื่อสังคมที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง ผ่านรูปแบบการใช้ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์เป็นสื่อกลาง โดยทั้ง 2 หน่วยงาน จะผลิตคอนเทนต์คุณภาพนำเสนอสู่ผู้ใช้งาน LINE ผ่าน 3 บริการ ได้แก่  LINE VOOM – LINE OpenChat – LINE TODAY

LINE VOOM ชวนทุกคนมีส่วนร่วมในคอนเทนต์คุณภาพไปกับ Art for Cancer ร่วมสร้างคลิปคอนเทนต์เป็นยากำลังใจให้ผู้ป่วยมะเร็ง หรือ ร่วมแชร์ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์ พร้อมติด #ArtforCancer โชว์ความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่น พร้อมชวนร่วมชมคลิปสั้น สนทนาปัญหาสุขภาพจิตจาก Love Frankie เคล็ดลับวิธีการเยียวยาจิตใจตัวตนเองในทุกๆ วัน 

สนุกกับฟิลเตอร์พิเศษบน LINE VOOM ได้ที่ https://lin.ee/O71A7QfN/lntl/PR 

LINE OpenChat พบกับสารพัน Live talk กับห้องสนทนาด้วยเสียงได้ตลอดทั้งปี โดย episode พิเศษจาก “ดีเจพี่อ้อย นภาพร” และคุณออย ไอรีล ไตรสารศรี ผู้ก่อตั้ง Art for Cancer ที่จะมาร่วมทอล์กเพิ่มพลังใจเพื่อผู้ป่วยและการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ เวลา 12.00 น.

ติดตามได้ห้อง OpenChat ART for CANCER: https://lin.ee/79ykw2M/gyjp

นอกจากนี้ยังมีแคมเปญ The Nook จาก Love Frankie ที่มีกลุ่มโอเพนแชท #WTFeeling by #TheNook พื้นที่กิจกรรมด้านสุขภาพจิตที่หลากหลายสำหรับวัยรุ่นให้ได้ติดตามกันในระยะยาวโดยภายในห้อง OpenChat มีนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตที่จะคอยพูดคุยกับสมาชิกในห้อง

ทั้งยังสามารถติดตาม “เขื่อน ภัทรดนัย” ที่จะมาร่วมทอล์กในซีรีย์ vlog What's This Feeling (WTF) เกี่ยวกับสารพัดหัวข้อสุขภาพจิตของคนเมือง เริ่มจาก episode แรก “Alone Together โดดเดี่ยวไปด้วยกัน สานสัมพันธ์ ทลายความเดียวดาย” บนช่องทางของ Love Frankie

ติดตามห้อง OpenChat #WTFeeling by #TheNook ได้ที่: https://lin.ee/ri5Nc73/gyjp 

LINE TODAY รวบรวมทุกคอนเทนต์สาระความรู้เพื่อการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจจากทั้ง Love Frankie และ Art for Cancer และยังมีหัวข้อโพลชวนทุกคนให้มีส่วนร่วม เช็กสุขภาพกายใจของตนเองอีกด้วย 

การดูแลตัวเองทำได้ง่ายๆ เริ่มต้นได้ด้วยการเข้าถึงคอนเทนต์และข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อตัวเองได้แล้ววันนี้บน LINE VOOM – LINE OpenChat – LINE TODAY

 

MEAT ZERO ผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ต้อนรับเทศกาลถือศีลกินเจ ตั้งแต่วันที่ 15-23 ตุลาคม 2566 หลากหลายเมนู ภายใต้แนวคิด 'ถูกเจ ถูกใจ ใครๆ ก็กินได้' ทำให้เทศกาลกินเจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ด้วยรสชาติที่ถูกปากทุกกลุ่มวัย ไม่ต้องกังวลจะแตกเจ พร้อมเพิ่ม 2 เมนูใหม่! 'เนื้อไก่นุ่ม' เอาใจสายโชว์ฝีมือทำอาหาร และ 'ไส้กรอกค็อกเทลเจ' เอาใจสายเร่งรีบ สะท้อนผ่าน 3 Tiktoker ชื่อดัง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเอง ได้แก่ 1. พี่ฮง (Bangkokboykub) หนุ่มเกาหลีมาดกวน ทรงแบดๆ 2. เชฟอิน (Kamlangin) เชฟมากความสามารถ ที่รังสรรค์เมนูต่างๆ ได้อร่อยถูกปาก จนทุกคนต้องทำตาม และ 3. คุณอินทนนท์ (intanont246) นักเล่าเรื่องที่มีความเรียลและสนุกตามคาเรคเตอร์ พร้อมทริคมูต่างๆ ที่จะมาสร้างสีสัน ทำให้ทุกคนเห็นว่า ใครๆ ก็กิน MEAT ZERO ได้

สำหรับเทศกาลกินเจปีนี้  MEAT ZERO จัดเต็ม! นำผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืชมาให้เลือกสรรมากมายตลอด 10 วัน ได้ทั้งบุญทั้งสุขภาพ ตั้งแต่อาหารพร้อมรับประทาน อาทิ ราเมนผัดพริกเผา ข้าวถั่วแขกผัดพริกเกลือ ข้าวผัดคะน้าปลาเค็มพริกสด วุ้นเส้นอบทรงเครื่อง ไส้กรอกวุ้นเส้น ลาบทอด เกี๊ยวซ่า เบอร์เกอร์ปลา ไส้กรอกค็อกเทล โบโลน่า และอาหารพร้อมปรุงยอดฮิต อย่าง เนื้อบด เนื้อสามชั้น ไก่นุ่ม โปรตีนทางเลือกให้ผู้บริโภค วางจำหน่ายแล้วที่ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไทย

นอกจากนี้ MEAT ZERO ยังร่วมกับคู่ค้าธุรกิจและร้านอาหารชั้นนำ อาทิ Chester Black Canyon Salad Factory The Coffee Club นิตยาไก่ย่าง Sukishi แสนยอด Terrace รังสรรค์เมนูเจโดยใช้วัตถุดิบหลักเนื้อจากพืช พร้อมจับมือ ห้าง Central รวม 8 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ เวสต์เกต พระราม 3 อีสต์วิลล์ พระราม 2 พระราม 9 ปิ่นเกล้า และบางนา ขนทัพเมนูเจให้ชิมช้อป ในงาน Thailand J Food Festival 2023 รวมทั้งห้างโมเดิร์นเทรดทั่วประเทศ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/meatzero/ 

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช (Plant-Based) แบรนด์ MEAT ZERO ด้วยนวัตกรรม Plant-Tec จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะ เนื้อสัมผัส และรสชาตที่อร่อยเสมือนเนื้อสัตว์จริง โปรตีนและไฟเบอร์สูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่มีโคเลสเตอรอล ตอบโจทย์ผู้บริโภค กลุ่มเจ วีแกน มังสวิรัติ มังสวิรัติยืดหยุ่น ตลอดจนกลุ่มคนที่รักสุขภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อม การันตีคุณภาพและความอร่อย ด้วยรางวัล “สุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก” หรือ Superior Taste Award จากสถาบันชั้นนำของโลก International Taste Institute ประเทศเบลเยียม 2 ปีซ้อน

  • เรียนรู้ความสำคัญของ Family Business Management เพื่อสานต่อ ‘ธุรกิจกงสี’ ที่ดีต่อทุกฝ่าย
  • แนะวิธีรับช่วงต่อ ‘ธุรกิจกงสี’ และแก้ Pain Point ด้วยวิชา Family Business Management

การบริหาร ‘ธุรกิจครอบครัว’ หรือที่คนไทยพูดกันติดปากว่า ‘ธุรกิจกงสี’ มักมีประเด็นปัญหาภายในที่คนในครอบครัวถกเถียงกันแล้วไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร หนำซ้ำบางเรื่องหาทางออกไม่ได้ บางเรื่องมีความขัดแย้งจนบานปลาย ส่วนหนึ่งนั่นเป็นเพราะขาดองค์ความรู้และความเข้าใจด้านการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัวโดยเฉพาะ ซึ่งต้องมีความเข้าใจในชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรม รวมถึงจริยธรรม

สำหรับประเด็นที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ (Extension School) ผู้อำนวยการศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และเป็น ผู้ก่อตั้ง บริษัท แฟมซ์ จำกัด (FAMZ Co., Ltd.) ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการบริหารธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 7 ของการดำเนินธุรกิจได้แบ่งปันมุมมอง พร้อมสะท้อนแง่มุมปัญหาและแนวทางแก้ไขของธุรกิจครอบครัวกับกองบรรณาธิการ MBA อย่างน่าสนใจ

ความสำคัญของศาสตร์ด้านการบริหารธุรกิจครอบครัว

เนื่องจากการบริหารธุรกิจของแต่ละครอบครัวมีอัตลักษณ์แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงซ้อน เช่น ความเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก ความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติ ความสัมพันธ์เชิงธุรกิจ ตลอดจนความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ สิทธิประโยชน์ อำนาจการบริหาร ความสนใจส่วนบุคคล ฯลฯ ซึ่งยากจะบริหารให้บรรลุผลและลงตัว อีกทั้งไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เนื่องจากแต่ละครอบครัวก็มีมิติปัญหาที่แตกต่างกัน

ที่สำคัญ การบริหารธุรกิจ ก็มีความแตกต่างกับ การบริหารธุรกิจครอบครัวด้วย

จากผลการสำรวจภาพรวมของธุรกิจครอบครัวโดย FAMZ พบว่า ธุรกิจในประเทศไทยมากกว่า 80% เป็นธุรกิจครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เช่น ซีพี ไทยเบฟ กลุ่มเซ็นทรัล แต่หากสำรวจเฉพาะบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะพบว่า มีธุรกิจครอบครัวอยู่ราว 70% ซึ่งมีผลประกอบการค่อนข้างดี

“สำหรับธุรกิจครอบครัวนั้นถ้าหากสามารถบริหารจัดการได้ดีก็จะเป็นผลดีหลายประการ ทั้งชื่อเสียง ความมั่งคั่ง และภายในครอบครัวเองก็มีความเข้มแข็ง ถ้าหากสามารถบริหารความขัดแย้ง และไม่ทะเลาะกัน”

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัยกล่าว และยกตัวอย่างหลายกรณีที่เป็นประเด็นปัญหาความละเอียดอ่อนต่างๆ อาทิ

กรณีแรก: หากผู้บริหารต้องการนำรายได้จากธุรกิจครอบครัวไปจับจ่ายใช้สอยส่วนตัว เช่น หากต้องการซื้อรถให้หลาน สามารถทำได้หรือไม่

เรื่องการใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งของต่างๆ ให้สมาชิกในครอบครัว หากต้องการบริหารเพื่อความมั่งคั่ง รศ.ดร.เอกชัยระบุว่า ต้องจัดการหรือแก้ไขด้วยระบบ เพื่อเป็นการสร้างสภาพคล่อง โดยให้กลับไปกำหนดหลักการ หรือทบทวนหลักการก่อน อาทิ คนทำงานในตำแหน่งใดจะได้ใช้รถอะไร คนที่ไม่มีตำแหน่งงานสามารถใช้รถอะไรได้ และจะนำเงินจากส่วนไหนไปซื้อ จะจัดสรรผลประโยชน์อย่างไร ฯลฯ

กรณีที่สอง: ผู้บริหารหญิงที่รับหน้าที่แบกรับภาระ และ ทำงานเต็มที่อยู่คนเดียว แต่เมื่อมีลูกแล้วต้องการเปลี่ยนโหมด ขอทำงานน้อยลง เนื่องจากต้องการเวลาไปดูแลลูก แล้วธุรกิจครอบครัวควรจะทำอย่างไร

การให้ทายาท (Successor) เพียงคนเดียวบริหารงานของธุรกิจครอบครัวถือเป็นความเสี่ยงของบริษัท เพราะหากผู้ที่ทำหน้าที่หลักไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ก็จะส่งผลให้คนอื่นๆ จะไม่สามารถทำอะไรต่อได้ หรือต้องใช้เวลาเรียนรู้อีกพักใหญ่ สำหรับการมอบหมายความรับผิดชอบให้กับสมาชิกที่เป็นหญิงแบกรับภาระเพียงผู้เดียว แล้วเมื่อมีการสมรส มีบุตรในภายหลังก็อาจทำให้ความทุ่มเทที่มีต่อธุรกิจครอบครัวเป็นไปอย่างไม่เต็มที่นัก ดังนั้น “ความเป็นผู้หญิง” จึงทำให้ถูกมองได้ว่า ทำให้การบริหารภายในธุรกิจครอบครัวมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

 

“จากกรณีดังกล่าวจึงเกิดวัฒนธรรมและแนวคิดที่ต้องการให้ผู้ชายมาบริหารธุรกิจครอบครัวก่อนหากว่าสามารถเลือกได้ โดยต้องสร้างแรงจูงใจ สร้างทายาทธุรกิจหลายคน เช่น มีทายาทอันดับ 1, 2, 3 เพราะเมื่อใดที่สมาชิกครอบครัวที่เป็นหญิงแต่งงานไปก็มักจะไปช่วยกิจการของครอบครัวคู่สมรส แต่อย่างไรก็ตาม หากว่า บ้านใดเตรียมตัวก่อน หรือมีการเจรจาเพื่อทำข้อตกลงกันก่อน ปัญหาในธุรกิจครอบครัวก็จะน้อยลง”

กรณีที่สาม: หากทายาทไม่มีต้องการสืบทอดหรือทำธุรกิจครอบครัวต่อ แบรนด์ธุรกิจครอบครัวที่มีอายุยาวนานก็จะต้องปิดตัวลงหรือไม่

โดยทั่วไป สมาชิกในครอบครัวก็ย่อมอยากจะให้คนในครอบครัว หรือเครือญาติเข้ามาบริหาร หรือสืบทอดกิจการ เนื่องจากมีความเชื่อถือและไว้วางใจกับสมาชิกในครอบครัว และสมาชิกร่วมสายโลหิตว่าเป็นคนบ้านเดียวกันเติบโตมาด้วยกัน เป็นคนกลุ่มเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ในโลกความจริงก็ไม่เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว โดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวที่มีขอบเขตธุรกิจมากมายที่ต้องบริหารอยู่แล้วก็อาจจำเป็นต้องเลือกว่า ธุรกิจใดหรือช่วงเวลาใดควรจะให้สมาชิกในครอบครัวดำเนินการ หรือบริหาร หรือควรที่จะจ้างมืออาชีพจากภายนอกเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัว

รศ.ดร.เอกชัยแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า "การวางตัวผู้บริหารธุรกิจต่อไปนั้นจะเป็นใครก็ได้ เพียงแต่คนที่เป็นเจ้าของต้องมีความเข้าใจก่อนและวางระบบบริหารธุรกิจครอบครัวของตนเอง เพื่อทำให้การบริหารธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น โดยส่วนตัว ผมอยากให้มี One Family, One Wisdom หรือ หนึ่งครอบครัว หนึ่งภูมิปัญญา” เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวส่งต่อองค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญเฉพาะจากรุ่นสู่รุ่น เติบโตไปกับ Soft Power ซึ่งเป็นนโยบายของภาครัฐ และจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจครอบครัวอยู่ต่ออย่างยั่งยืนได้"

แน่นอนว่า การให้สมาชิกครอบครัวบริหารธุรกิจของครอบครัวย่อมเป็นทางเลือกที่ดี ดังนั้น ผู้บริหารจึงมีหน้าที่ที่จะต้องให้ความรู้แก่สมาชิกในครอบครัวอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่าน เช่น ความรู้ด้านการตลาด ด้านการเงิน ฯลฯ รวมทั้งการดูแลใส่ใจ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว

ทว่า หลังจากที่ธุรกิจเติบโต มีมาตรฐานมากขึ้น งานซับซ้อนยิ่งขึ้น แต่หากทายาทไม่สนใจรับช่วงต่อ เพราะไม่มีการพูดคุยกันให้ชัดเจน ไม่มีการเตรียมแผนการสืบทอดกิจการ การคัดเลือกทายาททางธุรกิจ ฯลฯ ดังนั้น ผู้นำธุรกิจครอบครัวก็อาจเลือกใช้วิธีจ้างมืออาชีพ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถจากภายนอกเข้ามาบริหารงานแบบเต็มตัว ขณะเดียวกัน เจ้าของกิจการก็สามารถเปลี่ยนบทบาทของตนเองไปเป็น ‘ผู้ลงทุน’ คล้ายกับองค์กรที่มีบริษัทแม่คุมและถือหุ้นบริษัทลูกก็ได้

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ยกมาเล่าสู่กันฟังนี้ ไม่สามารถใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาหรือยึดคำแนะนำดังกล่าวเป็นสูตรสำเร็จได้ เนื่องจากบริบทของแต่ละธุรกิจครอบครัวนั้นแตกต่างกัน ที่สำคัญ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมตามสภาพความเป็นจริงและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมด้วย

เปลี่ยนผ่านธุรกิจครอบครัว ด้วยชุดวิชาบริหารจัดการที่เป็นรากฐานความเข้าใจ

ในการสร้างรากฐานความเข้าใจ และเพื่อให้ธุรกิจครอบครัวเดินหน้าได้อย่างยั่งยืนนั้น จากคุณสมบัติสำคัญของการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจครอบครัวมาอย่างยาวนานของ ศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ บริษัท แฟมซ์ จำกัด ซึ่งมีความเข้าใจกับปัญหาของการบริหารธุรกิจครอบครัวอย่างหลากหลายแง่มุม อีกทั้งมีมุมมองปัญหาด้วยทัศนคติที่ดี มีหลักการเชิงวิชาการ พร้อมทั้งมีการศึกษา ตลอดจนงานวิจัยที่ FAMZ ศึกษามาอย่างยาวนาน เพื่อใช้ในการวางแผนและการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว ขณะเดียวกัน ก็เป็นการดำเนินการในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เพื่อตอบโจทย์สังคมในยุคที่มีคนต่างเจเนอเรชันก้าวขึ้นมาสืบทอดหรือบริหารกิจการ ซึ่งมี Pain Point ที่คล้ายคลึงและต่างกันไป กอปรกับต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้เข้ากับโลกดิจิทัล

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัยได้เปิดเผยเพิ่มเติมถึงการพัฒนาหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) ว่า

กลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจครอบครัว (Concentration in Family Business Management) ซึ่งพัฒนาโดย คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในรูปแบบออนไลน์ 100% นั้นสอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจครอบครัวยุคใหม่ เหมาะกับสมาชิกในครอบครัวรุ่นถัดไป ผู้สืบทอดกิจการ หรือผู้ประกอบการที่มุ่งรักษาและบริหารความมั่งคั่งให้กิจการของครอบครัวตัวเอง โดยผู้เรียนจะได้เรียนกลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจครอบครัวที่มีคณาจารย์ออกแบบและใช้สอนมานานกว่า 15 ปี ทั้งยังเป็นผู้ให้คำปรึกษามาแล้วกว่า 500 ธุรกิจ อาทิ การบริหารความเสี่ยงสำหรับธุรกิจครอบครัว, การบริหารความขัดแย้ง, การบริหารนวัตกรรมในธุรกิจครอบครัว, กฎหมายและภาษีของธุรกิจครอบครัว, การวางแผนสืบทอดธุรกิจและการเปลี่ยนผ่านในธุรกิจครอบครัว, การบริหารความมั่งคั่ง ฯลฯ เพื่อใช้ปฏิบัติได้จริง”

ธุรกิจครอบครัว ยั่งยืนด้วย ESG

สำหรับแนวคิดเรื่อง ESG ที่มีพูดถึงกันมากในขณะนี้ รศ.ดร.เอกชัยเผยว่า "ผู้บริหารธุรกิจครอบครัวสามารถดำเนินการได้ควบคู่กันไประหว่าง “ธุรกิจ” และ ESG ได้ โดยเมื่อธุรกิจสามารถทำกำไรได้แล้วก็สามารถดำเนินการ เพื่อส่งเสริมแนวทางด้าน ESG ไปได้ด้วย โดยเริ่มจาก E (Environment สิ่งแวดล้อม) S (Social สังคม) แล้ว G (Governance ธรรมาภิบาล) ก็จะตามมา และถ้าอยากให้ระบบเป็นไปได้ยาวๆ ธุรกิจครอบครัวก็จำเป็นที่จะต้องมี ‘ระบบธรรมาภิบาลที่ดี’ เพื่อลดปัญหาความอยุติธรรม ความไม่เป็นมืออาชีพ พร้อมกันนี้ ก็ร่วมปลูกฝังให้รุ่นลูกรุ่นหลานเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ และดึงทายาทรุ่นใหม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมและสานต่อธุรกิจกันต่อไป และแนวทางการบริหารธุรกิจครอบครัวกับหลักการความยั่งยืนอย่าง ESG นั้นเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนหลีกเลี่ยงไม่ได้"

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.famz.co.th 

 

X

Right Click

No right click