DGA หรือ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) จัดงาน “มอบรางวัลท้องถิ่นดิจิทัล ประจำปี 2566” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยได้รับเกียรติจาก จาก ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี พร้อมมอบรางวัลท้องถิ่นดิจิทัลให้ 20 อปท.จากทั่วประเทศ โดยมี ดร.นพรัตน์ เมธาวีกุลชัย ประธานกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เผยถึง “ความมุ่งมั่นของ DGA กับการพัฒนาท้องถิ่นดิจิทัล” เพื่อเป็นการรวมพลังจากภาพเล็กสู่จิ๊กซอว์ใหญ่ร่วมขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล พร้อมด้วย นายศิริพันธ์ ศรีกงพลี รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เผยถึง “มิติใหม่การให้บริการประชาชนในท้องถิ่นด้วยดิจิทัล” ใช้เทคโนโลยีในการให้บริการประชาชนแต่ละพื้นที่ให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ในปีนี้ได้รับความสนใจจากหน่วยงาน อปท. ทั่วประเทศเข้าร่วมนำเสนอผลงานกว่า 60 ผลงาน จาก 59 อปท.ซึ่งได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจาก 12 หน่วยงาน ร่วมพิจารณาคัดเลือกผลงานที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่โดดเด่น สร้างประโยชน์แก่ประชาชนอย่างกว้างขวางและง่ายต่อการใช้บริการ โดยมีหน่วยงานในแต่ละพื้นที่มาร่วมให้กำลังใจกันเป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุม ซี อาเซียน พระราม 4 อาคารไทยเบฟควอเตอร์ กรุงเทพฯ

ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งเน้นนโยบายเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานในแต่ละจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่โดยใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการประชาชนให้ได้รับความสะดวก ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง โดยรัฐบาลจะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการให้บริการมาเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความโปร่งใส ขจัดช่องโหว่ในการทุจริต ลดค่าใช้จ่าย และปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล รวมถึงการพัฒนา Super App ที่รวมบริการของรัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าใช้งานจากประชาชนได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลา อาทิ แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ที่ประชาชนสามารถ ตรวจจสอบสิทธิสวัสดิการ อาทิ เบี้ยผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการ เบี้ยเด็กแรกเกิด เป็นต้น ดังนั้น รางวัลท้องถิ่นดิจิทัลประจำปี 2566” นี้ จึงเป็นเสมือนรางวัลของหน่วยงานรัฐในท้องถิ่นอันทรงคุณค่าและเป็นความภาคภูมิใจ เสมือนเป็นตัวแทนของรัฐบาลในความมุ่งมั่นดูแลประชาชน ให้ได้รับความสะดวก ประหยัดเวลาการเดินทาง และค่าใช้จ่าย ทั้งนี้หน่วยงานที่ได้รับรางวัลประเภทยอดเยี่ยม จะได้เข้ารับรางวัลรัฐบาลดิจิทัลประจำปี 2566 จากท่านนายกรัฐมนตรีอีกด้วย

ดร.นพรัตน์ เมธาวีกุลชัย ประธานกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา DGA มุ่งมั่นดำเนินการยกระดับการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลร่วมกับทุกหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ปี พ.ศ 2566-2570 เพื่อให้การบริหารงาน มีความคล่องตัว รวดเร็วและขยายสู่หน่วยงานภาครัฐระดับท้องถิ่น สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2565 ที่มุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกของประชาชนเพิ่มช่องทางออนไลน์ในการติดต่อราชการ สนับสนุนภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาล

ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กล่าวว่า การเฟ้นหา อปท. ที่มีผลงานโดดเด่นจากอปท. ทั่วประเทศ ได้มีการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจากเกณฑ์การประเมินรางวัล 4 หมวด ได้แก่ หมวดที่ 1 ปัญหา หมวดที่ 2 นโยบายและแผน หมวดที่ 3 กระบวนการทำงาน และ หมวดที่ 4 ผลลัพธ์การพัฒนาต่อยอดเป็นรูปธรรม ซึ่งในปี 2566 นี้ขอแสดงความยินดีกับ เทศบาลนครยะลา จังหวัดยะลา กับผลงาน Big Data เพื่อพัฒนาคุณภาพบริการ และ เทศบาลตำบลครึ่ง จังหวัดเชียงราย กับโครงการบริหารจัดการขยะแบบบูรณาการ บนพื้นฐานดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน (แอพพลิเคชั่นถังเงิน ถังทอง) ที่ได้รับรางวัลท้องถิ่นดิจิทัลประเภทยอดเยี่ยมทั้ง 2 เทศบาล และ เทศบาลอีก 18 เทศบาล ที่ได้รับรางวัลท้องถิ่นดิจิทัลประเภทดีเด่น ซึ่งจากความมุ่งมั่นตั้งใจของทั้ง 20 หน่วยงาน สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานระดับท้องถิ่นมีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นต้นแบบให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศหันมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับปรุงการบริการประชาชนให้มีความทันสมัย สะดวก รวดเร็วมากขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งสู่ ‘ท้องถิ่นดิจิทัล’ ให้เกิดขึ้นได้จริง

ท้ายที่สุดนี้ DGA ขอขอบคุณคณะกรรมการพิจารณาผลทุกท่านที่ได้เสียสละเวลาร่วมเป็นกรรมการพิจารณาคัดเลือกเพื่อเฟ้นหา อปท. ที่มีผลงานโดดเด่นจนได้รับรางวัลในครั้งนี้ และขอเป็นกำลังใจให้กับ อปท.ที่ได้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในครั้งนี้ ขอให้มุ่งมั่นพัฒนาขยายผลต่อยอดบริการต่อไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของท่าน และส่งผลงานเข้ามาประกวดอีกในการประกวดครั้งหน้า เพื่อร่วมกันพัฒนารัฐบาลดิจิทัลให้เกิดขึ้นจริงในระดับท้องถิ่น ต่อไปครับ

สกสว. จับมือ ทปอ. บพค. และภาคีเครือข่าย เร่งพัฒนากำลังคนและสร้างองค์ความรู้ เทคโนโลยี เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ‘ศูนย์กลางกำลังคนระดับสูงด้านชีวสารสนเทศ’ เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลพันธุกรรมและการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ บริการ และธุรกิจแห่งอนาคต

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับ คณะกรรมการวิจัยและนวัตกรรม ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) และสถาบันอุดมศึกษาในเครือข่ายที่มีความพร้อมในการพัฒนางานวิจัยด้านชีวสารสนเทศ จัดประชุมภาคีเครือข่ายวิจัยชีวสารสนเทศ และเชื่อมโยงนักชีวสารสนเทศของประเทศไทย รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประจำปี พ.ศ. 2566 Thailand Bioinformatics Research Network (TBRN 2023) : Talent Pool and Stakeholder Engagement เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่องจีโนมิกส์ โครงการวิจัยด้านสุขภาพ เพื่อรวบรวมและสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมขนาดใหญ่ของคนไทย เพื่อให้นักวิจัยใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการศึกษาวิจัยในอนาคตเกี่ยวกับสุขภาพของคนไทย ทำให้ประชาชนได้รับการวินิจฉัย การรักษาอย่างจำเพาะและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โดยมี ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) และ รองศาสตราจารย์ ดร. ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สกสว. พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยด้านจีโนมิกส์  ทั้งใน และต่างประเทศ กว่า 200 คน เข้าร่วมการประชุม

โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล กล่าวว่า การดำเนินงานของแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในการร่วมผลักดันแผนฯ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดบริการ การรักษาที่มีความแม่นยำสูง การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและการให้บริการการแพทย์จีโนมิกส์จึงมีความจำเป็น ทั้งการจัดตั้งศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของอาสาสมัครไทยภายใต้โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย และการพัฒนาระบบชีวสารสนเทศ เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรค การออกแบบแผนการรักษาที่มีประสิทธิภาพ การทำนายโอกาสการเกิดโรค รวมไปถึงการต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านจีโนมิสก์และชีวสารสนเทศให้เพียงพอ และเชื่อมั่นว่าการจัดตั้ง “ศูนย์กลางกำลังคนระดับสูงด้านชีวสารสนเทศ” นั้น จะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านชีวสารสนเทศของประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม

ด้าน ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ กล่าวเน้นย้ำถึงการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริม ววน. ว่า ได้จัดสรรงบประมาณ 2000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการ genomics Thailand เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีด้านจีโนมิกส์ในประเทศไทย และสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นท้าทายหลายประการที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข เช่น การขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านจีโนมิกส์ การขาดความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคเอกชน การขาดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่รองรับการวิจัยด้าน genomics เป็นต้น จึงได้เกิดการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ร่วมกับ ทปอ. สกสว. บพค. จนได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าควรจัดตั้ง “ศูนย์กลางกำลังคนระดับสูงด้านชีวสารสนเทศ” ของประเทศไทย เพื่อรวบรวมผู้เชี่ยวชาญ พัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสูง การผลักดันการกำหนดมาตรฐานข้อมูล genomics ระดับประเทศ รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ให้เกิดการใช้ประโยชน์ในภาคการผลิตและภาคบริการ

ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร. ปัทมาวดี โพชนุกูล กล่าวถึงการดำเนินงานของ "แผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย ว่า นับตั้งแต่ปี2563 เป็นต้นมา สกสว.ได้จัดสรรงบประมาณด้าน ววน. ให้มีการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย ซึ่งเน้นการสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมคนไทยจำนวน 50,000 ราย เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลที่สำคัญในการแพทย์ สาธารณสุข และการปรับปรุงระบบบริการสุขภาพของประชาชน โดยมีการส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลพันธุกรรมและการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ บริการ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกองทุนส่งเสริม ววน. ได้เน้นพัฒนาการวิจัยในด้านการแพทย์จีโนมิกส์ในกลุ่มโรคต่างๆ ได้แก่ มะเร็ง โรคหายาก โรคติดเชื้อ โรคไม่ติดต่อ และโรคแพ้ยา โดยให้ความเห็นว่าความท้าทายสำคัญในปัจจุบันของประเทศไทยด้านชีวสารสนเทศ คือ การผลักดันส่งเสริมในด้านการพัฒนาบุคลากรด้านชีวสารสนเทศ ตลอดจนนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการตรวจวินิจฉัยทางพันธุศาสตร์ที่ทันสมัย และได้มาตรฐาน เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์ของประเทศไทยในอนาคต

สำหรับการดำเนินการด้านจีโนมิกส์ในปัจจุบัน ดำเนินการโครงการสำคัญในมิติต่าง ๆ  อาทิ โครงการการศึกษาพันธุศาสตร์ จีโนมระดับประชากร จำนวน 50,000 คน การสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมอ้างอิงของไทย เพื่อต่อยอด งานวิจัยและบริการด้านการแพทย์จีโนมิกส์ และ การศึกษากลุ่มผู้ป่วยหลายกลุ่มโรคที่สามารถศึกษาระยะยาวแบบไปข้างหน้า ฯ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นําด้าน Genomic medicine ระดับอาเซียน ภายใน 5 ปี อีกทั้งให้ประชาชนไทยสามารถเข้าถึงบริการด้าน Genomic medicine อย่างมีคุณภาพต่อไป

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ร่วมกับภาคี Dow & Thailand Mangrove Alliance เปิดใช้งานและจัดอบรมระบบติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชายเลนจากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนา 1.9 ล้านบาท จากกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) เพื่อเป็นเครื่องมือใหม่สำหรับเจ้าหน้าที่และประชาชนในการติดตาม เฝ้าระวัง และป้องกันการบุกรุกป่าชายเลนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เริ่มใช้งานได้แล้ววันนี้

ระบบติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชายเลนนี้ใช้ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม Sentinel-2A/2B และ ดาวเทียม Landsat-8/9 นำมาวิเคราะห์จุดเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชายเลน ด้วยการสร้างแบบจำลองเชิงพื้นที่ร่วมกับการคัดกรองข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมหลายช่วงเวลาและข้อมูลภูมิสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA การใช้ระบบดังกล่าวจะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถวางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถตรวจสอบและคัดกรองก่อนส่งข้อมูลไปยังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้นหากประชาชนพบเห็นการบุกรุก หรือตัดไม้ทำลายป่าชายเลน ก็สามารถร่วมแจ้งเหตุผ่านทางระบบนี้ได้เช่นกัน

ล่าสุด ได้เปิดระบบใช้งานจริงแล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่กว่า 70 คน ผ่านการอบรมการใช้งานระบบในครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 โดยจะมีการอบรมเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง และมีแผนจะประชาสัมพันธ์วิธีการใช้งานเพื่อเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถรายงานการบุกรุกป่าชายเลนทั่วประเทศได้ด้วยแผนที่และภาพถ่ายจากดาวเทียมต่อไป

นางภรณี กองอมรภิญโญ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “Dow เป็นบริษัทนวัตกรรมซึ่งเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์และความร่วมมือ เรามีความมุ่งมั่นในการต้านโลกร้อนด้วยการอนุรักษ์ป่าชายเลนซึ่งเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพสูง  Dow จึงยินดีที่ได้ทำงานร่วมกับ ทช. ในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมในครั้งนี้ นอกจากนี้ ระบบติดตามพื้นที่ป่าจากภาพถ่ายดาวเทียมยังจะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแจ้งการบุกรุกป่าชายเลนทั่วประเทศให้ ทช. ทราบได้อย่างทันท่วงที”

นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า “กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ยินดีที่บริษัทเอกชนเช่น Dow ได้เข้ามาสนับสนุนและทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ระบบดังกล่าวจะช่วยประหยัดงบประมาณและเวลาในการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปสำรวจข้อมูลภาคพื้นดิน เนื่องจากข้อมูลภาพดาวเทียมสามารถถ่ายภาพได้เป็นบริเวณกว้าง มีความเป็นปัจจุบัน รวมถึงการนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดทำฐานข้อมูลการบริหารจัดการการติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชายเลนของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและเข้าใช้งานระบบติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชายเลนจากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม ได้ที่ https://change.dmcr.go.th/main

สร้างสรรค์นวัตกรรมที่แตกต่าง เพื่อร่วมเปลี่ยนมุมมองของผู้คนที่มีต่อการประกันชีวิต

ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สานต่อบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ส่งต่อคุณค่าขยะอินทรีย์อบแห้งกว่า 10,000 กิโลกรัม สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน พัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

การส่งมอบขยะอินทรีย์อบแห้งในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ทางศูนย์ฯ สิริกิติ์ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ สส. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการขยะ ตั้งแต่ต้นทางด้วยการนำขยะอินทรีย์อบแห้งภายในพื้นที่ของศูนย์ฯ สิริกิติ์ ผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิจัย และส่งเสริมการเผยแพร่องค์ความรู้ให้กับวิสาหกิจชุมชน เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

ม.ร.ว.สวัสดิวุฒิ สวัสดิวัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จํากัด ผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  กล่าวว่า “ศูนย์ฯ สิริกิติ์ มีความยินดีที่ได้สานต่อข้อตกลงร่วมกับ สส. ในการส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการขยะอาหารจากการจัดอิเวนต์ โดยการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้สร้างคุณค่าให้กับเศษอาหาร โดยนำกลับมาหมุนเวียน ทำเป็นขยะอินทรีย์อบแห้ง ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งต่อสู่ชุมชนในการนำไปเลี้ยงหนอนแมลงวันลาย เพื่อกำจัดขยะอินทรีย์ ทำเป็นปุ๋ยสำหรับปลูกต้นไม้ และพืชผัก และยังสร้างรายได้ให้กับชุมชนควบคู่ไปกับการช่วยลดก๊าซเรือนกระจก อันเนื่องมาจากขยะ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม ชุมชน  และสังคมต่อไป”

ระยะ 1 ปีที่ผ่านมา ศูนย์ฯ สิริกิติ์ ได้นำขยะอาหารมาแปรรูปด้วยการอบแห้ง เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับวิสาหกิจชุมชน ซึ่งศูนย์ฯ สิริกิติ์สามารถส่งต่อขยะอบแห้งให้กับสส. และวิสาหกิจชุมชนกว่า 10,000 กิโลกรัม ทำให้เกิดการหมุนเวียน และลดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนนำไปสู่การไม่มีของเสีย เป็นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายให้กับวิสาหกิจชุมชน รวมถึงยังช่วยลดขยะอาหารของศูนย์ฯ สิริกิติ์ได้ถึง 55,797 กิโลกรัม เทียบเท่าการปลูกต้นไม้มากกว่า 15,686 ต้นต่อปี และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 141,174 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (kgCO2e/yr)

ปัญญา วรเพชรายุทธ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “ทางกรมฯ ได้ดำเนินการตามนโยบายขององค์กรสหประชาชาติที่กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ว่าด้วยเรื่องของขยะอาหารที่ขอให้แต่ละประเทศร่วมกันลดปริมาณขยะอาหารลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่กรมฯ และศูนย์ฯ สิริกิติ์ได้ดำเนินความร่วมมือสอดรับกับนโยบายของ UN ในการลดขยะอาหารเพื่อลดภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นหนึ่งในการดำเนินงานที่นำไปสู่ความสำเร็จในเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

ศูนย์ฯ สิริกิติ์ในฐานะผู้นำอิเวนต์ด้านความยั่งยืน ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสู่การเป็นสถานที่จัดงานที่คำนึงถึงชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม และพร้อมผลักดันธุรกิจอิเวนต์ของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เมื่อเร็วๆ นี้ นายระเฑียร  ศรีมงคล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับมอบรางวัลนวัตกรรมเทคโนโลยียอดเยี่ยม (Technical Solution Joint Innovation Awards) ในการออกแบบและพัฒนาโครงสร้างระบบไอทีให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์ (Cloud technology) จากงาน Huawei Connect 2023 ซึ่งเป็นงานประจำปีของหัวเว่ยที่มีผู้ร่วมงานจากทั่วโลกมากกว่า 20,000 คน ภายใต้ธีมงาน “เร่งสร้างโลกอัจฉริยะ” (Accelerate Intelligence) ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเคทีซีเป็นลูกค้ารายแรกของหัวเว่ยที่ใช้บริการเทคโนโลยีประมวลผลรูปแบบใหม่ (Cloud Native Application) ในการสร้างและรันแอปพลิเคชัน และเทคโนโลยีเครือข่าย เช่น New Cloud Native Container (Cloud Container EngineTurbo), Enterprise Router และ GaussDB สำหรับ MySQL เป็นต้น

ทั้งนี้ เคทีซีเป็น 1 ใน 2 บริษัทของประเทศไทยจากองค์กรทั่วโลก ที่ได้รับรางวัลในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยียอดเยี่ยมในการพัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อรองรับการประมวลผลในรูปแบบคลาวด์ ทำให้เคทีซีสามารถส่งมอบการบริการให้แก่ลูกค้าและผู้ใช้งานอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย เสถียร ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพ

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบสิทธิพิเศษ สำหรับผู้ถือบัตรเครดิต ttb เมื่อซื้อนาฬิกาแบรนด์ดังสุดหรู PENDULUM, PMT THE HOUR GLASS และ Cortina Watch ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ ได้แก่ PENDULUM เซ็นทรัลเวิลด์ / สยามพารากอน / เชียงใหม่ Franck Muller สยามพารากอน PMT THE HOUR GLASS สยามพารากอน / ไอคอนสยาม / เซ็นทรัล เอ็มบาสซี / เกษรวิลเลจ / เอ็มควอเทียร์ / ภูเก็ตฟลอเรสต้า Cortina Watch – Cartier เซ็นทรัล เอ็มบาสซี Cortina Watch เซ็นทรัล ลาดพร้าว และ Cortina Watch - Frank Muller แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม 2566 – 30 พฤศจิกายน 2566  โดยมอบสิทธิพิเศษดังนี้

สิทธิพิเศษ 1: รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 30,000 บาท เพียงมียอดใช้จ่ายแบบชำระเต็มจำนวน ขั้นต่ำ 150,000 บาท / เซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 3,000 บาท และรับเพิ่มขึ้นตามขั้นที่กำหนด จำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุด 30,000 บาท / บัญชีบัตรหลัก /  ร้านค้า ตลอดรายการ  ลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอป ttb touch หรือ ส่ง SMS พิมพ์ LUX ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026 สำหรับ  บัตรเครดิต ttb reserve รับสิทธิ์โดยอัตโนมัติ   

สิทธิพิเศษ 2: แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12% เมื่อใช้คะแนนสะสมทุก 1,000 คะแนนและมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป  โดยคำนวณจากยอดใช้จ่ายแบบชำระเต็มจำนวน บัตรเครดิต ttb reserve infinite และบัตรเครดิต ttb reserve signature ทุก 1,000 คะแนน = 120 บาท บัตรเครดิต ttb (บัตรเครดิต ทีเอ็มบี และ บัตรเครดิต ธนชาต) และบัตรเครดิต ttb Global House ที่มีคะแนนสะสม ทุก 1,000 คะแนน = 100 บาท จำกัดการแลกคะแนนสะสม 1,000,000 คะแนน / บัญชีบัตรหลัก ตลอดรายการส่งเสริมการขาย ส่ง SMS ทุกครั้งที่ต้องการแลกคะแนน พิมพ์ LUXB ตามด้วยคะแนนที่ต้องการแลก ทุก 1,000 คะแนน แต่ไม่เกินยอดใช้จ่าย เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026  

พร้อมเปิดตัวสมาร์ทชาร์จเจอร์ตอบโจทย์ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

ผสานจุดแข็งของแม็คโคร-โลตัส มอลล์ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้ประกอบการและลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อก้าวสู่การเป็น Destination ของค้าส่งรูปแบบใหม่อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

เปิดประสบการณ์ Immersive Show ส่งโลกแฟชั่นประชันโลกเสมือนจริง นำ 52 ดีไซเนอร์ฮ่องกงอวดผลงานพร้อม 4  ดีไซเนอร์แบรนด์ไทยรับเชิญ

X

Right Click

No right click