มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) สถาบันการศึกษาเอกชนชั้นนำของไทย ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านวิชาการให้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยจัดการเรียนการสอนที่จะทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้ด้านวิชาการ ฝึกทักษะสำคัญของศตวรรษที่ 21 และเป็นสถาบันการศึกษาอันดับต้น ๆ ของไทยที่มีความร่วมมือด้านการศึกษา การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การค้า และอีกหลากหลายด้านกับหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาในประเทศจีนมาอย่างยาวนาน ล่าสุด มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้รับเชิญให้เข้าร่วม World Chinese Economic Forum (WCEF) หรือ การประชุมเศรษฐกิจจีนระดับโลก ครั้งที่ 12 จัดขึ้นโดย สถาบันยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (International Strategy Institute ISIโดยมี นางสาวเกล็ดทราย อินทรพล ผู้อำนวยการสายงานการตลาดและประชาสัมพันธ์ DPU และตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมงาน ระหว่างวันที่ 12 - 13 พฤศจิกายน 2566 ณ ชิงเถียน มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน

นางสาวเกล็ดทราย อินทรพล ผู้อำนวยการสายงานการตลาดและประชาสัมพันธ์ DPU เปิดเผยว่า World Chinese Economic Forum (WCEF) เป็นงานประชุมเศรษฐกิจจีนระดับโลก ซึ่งจัดขึ้นเพียงปีละครั้ง มายาวนานกว่า 10 ปี โดยเป็นเวทีการประชุมระดับโลกที่รวมตัวแทนจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน และสถาบันการศึกษา โดยมีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมโยงโอกาสทางเศรษฐกิจในประเทศจีนกับภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เน้นความสำคัญของการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคและส่งเสริมกรอบความคิดด้านการเติบโตทางธุรกิจ ส่งเสริมการเติบโตด้านการจ้างงานและการขยายระเบียงเศรษฐกิจในระดับโลก สอดรับกับแนวนโยบายจีนเชื่อมโลก ภายใต้  โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) ซึ่งเป็นนโยบายและแผนการลงทุนระยะยาวของจีน โดยมีเป้าหมายในการหารือเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเร่งสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศต่าง ๆ  ตลอดแนวเส้นทางสายไหมเดิมและเพิ่มเติมด้วยแนวเส้นทางใหม่ เพื่อช่วยให้ประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกสามารถเชื่อมโยงกันด้วยเส้นทางเศรษฐกิจที่ก่อเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย

สำหรับการจัดงานครั้งที่ 12 นี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “การประสานความสำเร็จร่วมกันผ่านการเชื่อมต่อระดับโลก : การพัฒนาเศรฐกิจจีนให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเจรจาและการแลกเปลี่ยนบทบาทของจีนในยุคใหม่ ระหว่างผู้นำทางความคิด หน่วยงานภาครัฐ สื่อมวลชน และภาคเอกชน รวมทั้งส่งเสริมการสร้างธุรกิจใหม่ที่พร้อมรองรับโลกดิจิทัลในอนาคต และส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเรื่องราวของจีนอย่างถูกต้อง

การประชุมเศรษฐกิจจีนระดับโลก ครั้งที่ 12 นี้ ยังเป็นเวทีเชื่อมเครือข่ายธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผ่านการอภิปรายหลากหลายหัวข้อ อาทิ การค้าและการลงทุนในภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ซึ่งครอบคลุม 15 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีประชากรรวมแล้วมากกว่า 2.5 พันล้านคน โดยคิดเป็นสัดส่วนทางการค้ามากกว่า 30% ของโลกและถือเป็นหนึ่งในเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ในหัวข้อนี้ มุ่งเน้นไปที่โอกาสใหม่ ๆ และความท้าทายในยุคดิจิทัลที่มีต่อการค้าการลงทุนใน RCEP ตลอดจนการหาวิธีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและกลยุทธ์การใช้นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเติบโตและความร่วมมือให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อีกหัวข้อสำคัญของเวทีนี้ คือ การร่วมกันหารือเกี่ยวกับความสำคัญของโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) โอกาสและความท้าทายที่เกิดจากการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและการเสริมสร้างความเชื่อมโยงทั่วโลกไปด้วยกัน โดย BRI จะส่งเสริมการเชื่อมโยงประเทศและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะครอบคลุมทั่วโลก และยังเป็นโครงการที่พลิกโฉมการค้าระหว่างประเทศและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพราะ BRI ทำให้เกิดโครงการโครงสร้างพื้นฐานมากมาย จากการสร้างเส้นทางเชื่อมต่อภูมิภาคเอเชีย ยุโรป แอฟริกา และภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อให้เกิดเส้นทางการค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมใหม่ ๆ และโครงการนี้ยังดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก กระตุ้นให้เกิดการค้าและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาประเทศอีกด้วย

นางสาวเกล็ดทราย กล่าวในตอนท้ายว่า ในฐานะที่ ชิงเถียน เป็นอำเภอหนึ่งในมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งรุ่มรวยด้วยมรดกทางวัฒนธรรม และยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ขณะที่ DPU เป็นมหาวิทยาลัยที่มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศจีน โดยมีวิทยาลัยนานาชาติจีน (CIC) ที่มีนักศึกษาจากจีนมาเรียนมากที่สุดในมหาวิทยาลัยของไทย และมีสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเล ที่ส่งเสริมด้านการศึกษาและวัฒนธรรมจีน จึงเล็งเห็นความสำคัญในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมข้ามแดน  การได้รับเชิญเข้าร่วมงาน World Chinese Economic Forum (WCEF) จึงเป็นเรื่องน่ายินดีและเป็นโอกาสพิเศษ ที่ DPU ได้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมครั้งสำคัญ รวมถึงเป็นโอกาสอันดีในการขยายเครือข่ายสู่ระดับโลก และกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรชาวจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งยังได้รับทราบนโยบายเศรษฐกิจ การค้า การจ้างงาน ที่รัฐบาลจีนส่งเสริมหรือมีนโยบายสนับสนุน ซึ่งล้วนเชื่อมโยงและนำมาประยุกต์เข้ากับการศึกษาให้สอดรับกับความต้องการหรือบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และทิศทางการศึกษาในอนาคต

ซีพี-เมจิ ผู้นำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ต ชูกลยุทธ์ความยั่งยืน 3 ด้าน สุขภาพ-สังคม-สิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “เพิ่มคุณค่าชีวิต (Enriching Life)” พร้อมขยายตลาดสินค้าคุณภาพไปทั่วภูมิภาค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้เติบโตไปด้วยกัน

นางสาวสลิลรัตน์ พงษ์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักเสมอถึงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน โดยใช้แนวคิดการเพิ่มคุณค่าชีวิต 3 ด้าน เริ่มด้วย ด้านสุขภาพ ที่บริษัทฯ จะผลิตเฉพาะผลิตภัณฑ์นมคุณภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน มุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมเครื่องดื่มที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การเพิ่มรสชาติใหม่ๆ ที่มีฟังก์ชั่นในการดูแลร่างกายของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม โดยจะขยายพอร์ตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-value) และส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มโยเกิร์ตให้เพิ่มขึ้น รวมถึงความตั้งใจขยายตลาดนมซีพี-เมจิ ออกไปให้ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการขายน้ำนมแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทยให้มากขึ้น

ถัดมา ด้านสังคม ที่ ซีพี-เมจิมุ่งเน้นการดูแลและสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเลี้ยงโคและการจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรต้นน้ำ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการผลิตสินค้าให้เติบโตเคียงข้างไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทฯ ยังให้การดูแลชุมชนในจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่โรงงานอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

สุดท้าย ด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด อาทิ การผลิตไฟฟ้าใช้ในโรงงานจากหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบการกำจัดน้ำเสียและนำกลับมาใช้ โดยจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิตให้มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net-Zero) ตลอดจนเพิ่มพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายทางชีวภาพให้กับโลกอย่างต่อเนื่อง

“โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบอย่างมากมายดังที่ทุกคนทราบกันดี ในฐานะที่ซีพี-เมจิ เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ เราจึงเดินหน้าคู่ขนานไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการดูแลรักษาโลกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” นางสาวสลิลรัตน์ กล่าว

กลยุทธ์ความยั่งยืนทั้ง 3 ด้านจะนำไปสู่ความยั่งยืนทางธุรกิจของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี เมื่อผนวกกับสองปัจจัยบวก ทั้งการท่องเที่ยวและตลาดในประเทศฟื้นตัว ซีพี-เมจิ เชื่อมั่นว่า ในปีนี้ผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมาย หรือเติบโตราว 10% และยังคงครองการเป็นผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มนมพร้อมดื่มพาสเจอร์ไรส์ของประเทศไทยได้เช่นเดิม

แบรนด์ในกลุ่ม Holiday Inn มีอัตราส่วนถึง 50% ของการลงนามสัญญาความร่วมมือในภูมิภาคของ IHG ในปีนี้

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ส่งมอบ โครงการเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) แก่วิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์โมเดล อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เพื่อพัฒนาและช่วยเหลือสังคมควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนธุรกิจของชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกลไกการบริหารงานโดยชุมชนด้วยธุรกิจไก่ไข่เป็นแห่งแรก

นายจอมกิตติ ศิริกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เปิดเผยว่า โครงการเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคมดังกล่าว ถือเป็นธุรกิจชุมชนเพื่อสังคมแห่งแรก ที่มูลนิธิฯ ร่วมกันขับเคลื่อนกับซีพีเอฟ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจไก่ไข่ ที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนองค์ความรู้การเลี้ยงไก่ไข่ แนวคิดการจัดการวิสาหกิจชุมชน และการตลาด ตลอดจนมองเห็นโอกาสในการต่อยอดเชิงธุรกิจ เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตชาวชุมชนบ้านบุโพธิ์ทุกคน ไปพร้อมๆ กับการสร้างอาชีพและรายได้ สู่เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง รวมถึงการได้รับประโยชน์และเข้าถึงแหล่งโปรตีนคุณภาพที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน ที่สำคัญคือการผลักดันให้โครงการฯนี้ กลายเป็นสถานที่ศึกษาดูงานถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจ ไปพร้อมๆ กับการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับกลุ่มอาชีพอื่นๆ ในชุมชน ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชน ผ่านการสร้างแบรนด์และการแปรรูป ก่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน เพื่ออนาคตที่ดีของเด็กและเยาวชนลูกหลานบ้านบุโพธิ์ต่อไป

ทางด้าน นายสมคิด วรรณลุกขี กล่าวว่า โครงการฯนี้ เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการผนึกกำลังของ ซีพีเอฟ และมูลนิธิฯ ที่ร่วมกันสนับสนุนโครงการการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน มาอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 35 ปี สู่การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์ให้เป็นโมเดลเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคม ที่จะทำให้คนในชุมชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงและบริโภคไข่ไก่สดที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึง จากปริมาณไข่ไก่ที่วิสาหกิจชุมชนฯ ผลิตได้เฉลี่ยวันละ 270 ฟอง หรือประมาณ 90,000 ฟองต่อปี จากสถิติคนไทยบริโภคไข่ไก่เฉลี่ยปีละ 220 ฟองต่อคน โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงไก่ไข่ของซีพีเอฟ ให้คำแนะนำการเลี้ยงไก่ไข่ การจัดการการเลี้ยง และการดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้โครงการฯ สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง นำไปสู่เป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

“มูลนิธิฯ ซีพีเอฟ และองค์การบริหารส่วนตำบลบุโพธิ์ ให้การสนับสนุนการดำเนินกิจการต่างๆ ให้กับกลุ่มวิสาหกิจฯ อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการปลูกมะพร้าวน้ำหอม การปลูกฝรั่งกิมจู การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 และที่สำคัญคือ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ” ที่สามารถสร้างประโยชน์และเป็นแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพให้กับชาวบ้านบุโพธิ์ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ จากการเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง “โอกาส อนาคต ย่างก้าวแห่งความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์โมเดล” ยังทำให้ได้แนวทางส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนอย่างยั่งยืนและเข้มแข็งต่อไป” นายวิชาญ สิวิเส็ง กำนันบ้านบุโพธิ์และประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ กล่าว

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ได้เข้ามาสนับสนุนและดำเนินการในพื้นที่ตำบลบุโพธิ์ในทุกมิติตั้งแต่ปี 2540 ส่งเสริม 7 อาชีพ 7 รายได้ และต่อยอดความสำเร็จจากอดีตสู่การขับเคลื่อนในปัจจุบัน ผ่าน 5 แผนงาน เพื่อยกระดับฐานอาชีพ ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ชาวบ้าน และเกษตรกรบ้านบุโพธิ์ อาทิ เกษตรประณีตมูลค่าสูง เกษตรผสมผสานมูลค่าสูง ธนาคารน้ำใต้ดิน การพัฒนาวิสาหกิจชุมชน และโครงการเลี้ยงไก่ไข่ชุมชนธุรกิจเพื่อสังคม.

เอ็มที แอสเสท ดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำจากโซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ เดินเครื่องเร่งพัฒนา เอ็มที คูคต ไลฟ์สไตล์ มอลล์ (MT Khu Khot Lifestyle Mall) รองรับดีมานด์ที่อยู่ย่านคูคตพุ่ง พร้อมกำหนดเปิดตัวทางการในไตรมาสสองปีหน้าและวางแผนนำเข้ากอง REIT ในอีก 3 ปี

ดร.วรพจน์ กันตพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มที แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “ภายหลังรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เปิดให้บริการ วิ่งเชื่อมกรุงเทพฯ และปทุมธานี ทำให้ราคาที่ดินโซนคูคตพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ สูงทะลุ 100% ไปแล้วเมื่อเทียบกับราคาเมื่อปี 2563 ก่อนมีบีทีเอส ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เกิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายนี้เพิ่มขึ้น เพื่อขานรับดีมานด์จากฝั่งผู้ซื้อที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ซื้อเพื่ออยู่จริงและเพื่อลงทุน เรียกได้ว่าตอนนี้ คูคตกำลังจะเป็นทำเลทองของโซนกรุงเทพฯ เหนือไปแล้ว จึงเป็นเหตุผลที่เอ็มที แอสเสทนำโครงการรีเทลที่มีอยู่แล้ว ซึ่งติดถนนลำลูกกา ห่างจากสถานีคูคตเพียง 400 เมตร ขึ้นมารีโนเวท โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 100 ล้านบาท เพื่อทำเป็นไลฟ์สไตล์มอลล์ ในชื่อ MT Khu Khot Lifestyle Mall”

โครงการ MT Khu Khot Lifestyle Mall เป็นการนำ MT Arena Sport & Lifestyle Mall มารีโนเวทและต่อเติมเริ่มทำตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเอ็มที แอสเสทยังคงรูปแบบธุรกิจที่เป็นโครงการอสังหาฯ เพื่อปล่อยเช่า แต่เน้นเพิ่มพื้นที่รีเทลมากขึ้น เพื่อรองรับปริมาณผู้บริโภคในพื้นที่ที่กำลังขยายตัว และเพื่อเพิ่มรายได้จากการเก็บค่าเช่าพื้นที่โครงการดังกล่าวมีเนื้อที่ 10 ไร่ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ อาคารหนึ่งชั้นที่เป็น Makro Food Service พื้นที่ 4,400 ตร.ม. ส่วนที่สองเป็น Starbucks Drive Thru แห่งแรกบนถนนลำลูกกา ซึ่งทั้งสองส่วนได้เปิดให้บริการแล้ว และส่วนสุดท้ายเป็นมอลล์ ขนาด 3 ชั้น จำนวน 16 ยูนิต ที่จะเป็น food destination แห่งแรกและแห่งเดียวในย่านคูคต รวมพื้นที่ขาย 1,600 ตร.ม. ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 70% และได้เปิดขายพื้นที่แล้วตั้งแต่กลางปี ล่าสุดปิดได้แล้ว 40% โดยตั้งเป้าจะปิดการขายได้ทั้งหมดและส่งมอบพื้นที่ให้กับผู้เช่าได้ในไตรมาสแรกปีหน้า พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในไตรมาสสอง

ดร.วรพจน์ กล่าวว่า “ร้านค้าในมอลล์จะเป็นประเภทอาหารและเครื่องดื่ม 12 ยูนิต และให้บริการด้านสุขภาพและความงามอีก 4 ยูนิต โดยมีค่าเช่าเริ่มต้นที่ 500 บาท/ตร.ม. สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะมีทั้งผู้อาศัยและทำงานในรัศมี 5 กิโลเมตรรอบโครงการฯ ครอบคลุมโซนลำลูกกา รังสิต สายไหม ผู้ใช้บริการบีทีเอส สถานีคูคต และอาคารจอดแล้วจร สถานีคูคตและแยก คปอ. ที่มีผู้นำรถยนต์และจักรยานยนต์มาจอดต่อวันกว่า 2,100 คัน รวมถึงข้าราชการจากหน่วยงานราชการต่างๆ และกองทัพอากาศ ผู้ปกครองและนักเรียนจากโรงเรียนโดยรอบ เช่น โรง เรียนผ่องสุวรรณ โรงเรียนสายไหม เป็นต้น ผู้มาใช้บริการและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสินแพทย์ ลำลูกกา ที่อยู่ห่างไปเพียง 400 เมตร นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบกิจการภายในโฮมออฟฟิศ ‘MT ลำลูกกา’ จำนวน 108 ยูนิต ซึ่งอยู่ติดกับ MT Khu Khot Lifestyle Mall และลูกค้าที่มาติดต่อธุรกิจอีกด้วย ที่กล่าวมานี้ยังไม่รวมถึงอานิสงส์จากดีมานด์มหาศาลที่มาจากโครงการขนาดใหญ่ของดีเวลลอปเปอร์บิ๊กแบรนด์ต่างๆ ที่ทยอยเปิดตัวในย่านคูคต โดยเมื่อโครงการฯ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว บริษัทฯ คาดว่าจะมีผู้มาใช้บริการไม่ต่ำกว่า 3,000 คนในวันธรรมดา และเพิ่มเป็นสองเท่าในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุดพิเศษ”

สำหรับภาพรวมธุรกิจของเอ็มที แอสเสท ดร.วรพจน์ ได้กล่าวถึงว่าบริษัทฯ มีจุดแข็งที่ประสบการณ์ในการพัฒนา บริหาร และขายโครงการอสังหาฯ มาหลากหลายประเภท และอยู่มานานกว่า 40 ปี โดยปัจจุบันมีทำเลยุทธศาสตร์อยู่ในโซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ได้แก่ เขตดอนเมือง สายไหม บางเขน จังหวัดนนทบุรี ต่อไปถึงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี อย่างลำลูกกาและคลองหลวง บริษัทฯ เน้นการดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง หรือ Diversification Strategy มาตลอด โดยแบ่งพอร์ตออกเป็นสองด้าน ได้แก่ โครงการเพื่อการขายและปล่อยเช่า ซึ่งมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 70:30 ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจไปพร้อมกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ๆ และเพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์ MT อีกด้วย สำหรับโครงการเพื่อการขาย บริษัทฯ มีประสบการณ์ในการทำทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม โฮมออฟฟิศ มินิแฟคตอรี่ รวมถึงซื้อขายที่ดินเปล่าจัดสรร ขณะที่โครงการเพื่อปล่อยเช่า มีตั้งแต่ไลฟ์สไตล์มอลล์ ตลาดสด อพาร์ทเม้นท์ ไปจนถึงโรงแรม

“ในส่วนของผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายที่ 145 ล้านบาท และจากการปล่อยเช่า 45 ล้านบาท ซึ่งรวมแล้วเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ราว 50% ส่วนของปีนี้จนถึงไตรมาสสาม รับรู้รายได้รวมไปแล้วกว่า 160 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 120 ล้านบาท และจากการปล่อยเช่า 40 ล้านบาท โดยคาดว่าปีนี้จะทำรายได้ทั้งสิ้นอยู่ราว 210 ล้านบาท จากการปิดโครงการคอนโดมิเนียม MT Residence คลองหลวง จำนวน 312 ยูนิต ที่ตอนนี้มีการโอนไปแล้วมากกว่า 80% รวมกับรายได้ส่วนค่าเช่าจากโครงการต่างๆ ในมือ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตต่อเนื่องได้อีกปีที่ 10%”

“บริษัทฯ มั่นใจว่าโครงการ MT Khu Khot Lifestyle Mall จะได้รับการตอบรับอย่างดีตั้งแต่ช่วงเปิดตัว และสามารถรักษาอัตราการเช่าพื้นที่ (occupancy rate) ได้ไม่ต่ำกว่า 90% อีกทั้งจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนจากงบรีโนเวทที่ลงไปภายในไม่ถึง 3 ปี เนื่องจากที่ตั้งของโครงการฯ เป็นทำเลศักยภาพสูง ห่างจากสถานีบีทีเอสคูคต เพียง 400 เมตร โครงการฯ สามารถเก็บค่าเช่าได้ทั้งจากธุรกิจประเภทค้าส่ง อย่าง Makro Food Service และค้าปลีก อย่างร้านค้าแบรนด์ต่างๆ ในส่วนของมอลล์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจะคัดสรรกิจการร้านค้าที่มีความหลากหลายสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และมอบความสะดวกสบายแก่ชาวคูคตให้ได้มากที่สุด โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าว่าจะนำโครงการ MT Khu Khot Lifestyle Mall เข้าระดมทุนผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT ในอีก 3 ปีหลังเปิดให้บริการในปีหน้า เพื่อนำเงินมาพัฒนาโครงการใหม่ต่อไป” ดร.วรพจน์ กล่าวทิ้งท้าย

ผู้นำด้าน Digital Insurance เข้าถึงทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายจัดจำหน่าย (แถวหลัง คนกลาง) ดร.อุกฤษฎ์ ศรีดโรมนต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แผนกตัวแทนและแผนกฝึกอบรมและพัฒนาฝ่ายจัดหน่าย (แถวหลัง คนที่ 8 จากซ้าย) และผู้บริหารฝ่ายขายของ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จัดงาน Krungthai-AXA Professional Final Call 2023 ให้แก่นักขายมืออาชีพ จากสโมสร MDRT GAMA และ AXA Prime ที่พร้อมจะพัฒนาศักยภาพอย่างไม่หยุดยั้ง

โดยภายในงานเต็มไปด้วยสาระความรู้จากวิทยากรมากความสามารถ อาทิ ดร. ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ คุณธีธัช สินธุอุทัย คณะกรรมการ GAMA Thailand และวิทยากรกว่า 20 ท่าน ที่มาร่วมแบ่งปันข้อมูล มุมมองการพลิกโอกาส พร้อมปลุกพลังฝ่ายขายให้พิชิตเป้าหมายปี 2566 โดยมีฝ่ายขายเข้าร่วมงานกว่า 600 ท่าน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวตอกย้ำการเติบโตอย่างยั่งยืนของช่องทางจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน ตามนโยบายของบริษัทฯ ที่จะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

สำหรับผู้ที่สนใจร่วมงานเป็นตัวแทนกับบริษัทฯ สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานตัวแทนใกล้บ้านท่าน หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

นำเจตนารมณ์ “ชีวิตมีกัน ... ทุกวันดีกว่า” สร้างองค์กรส่งต่อการให้ที่ยั่งยืนในสังคม

เน้นย้ำความสำคัญของบทบาทสตรี ควบคู่การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

fintips by ttb #เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ ชวนเช็กกันอีกรอบก่อนสิ้นปี! สำหรับเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มาสำรวจให้ดี ๆ ว่าปีนี้วางแผนภาษีล่วงหน้ากันครบถ้วนแล้วหรือยัง โดยเริ่มจากการคำนวณจำนวนภาษีที่ต้องเสียและหาตัวช่วยลดหย่อนภาษีรูปแบบต่าง ๆ

ยื่นภาษีเงินได้ผ่านช่องทางไหนได้บ้าง

การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2567 สามารถทำได้หลายวิธี มีทั้งการยื่นภาษีแบบเอกสารกระดาษที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาใกล้บ้าน ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2567 หรือจะเลือกยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากรที่ www.rd.go.th สามารถทำได้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2567

อัตราภาษีเงินได้เท่าไหร่ถึงต้องเสียภาษี

การคำนวณภาษีจะเป็นการคิดคำนวณแบบขั้นบันได ซึ่งจากข้อมูลอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2566

ผู้มีเงินได้สุทธิ 0 - 150,000 บาทแรก จะได้รับการยกเว้นภาษี และเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาทขึ้นไป จะเริ่มอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี โดยเริ่มที่ฐาน 5% รายละเอียดเกณฑ์อัตราภาษีสามารถดูได้จากภาพประกอบด้านล่าง

ภาษีเงินได้เกิน มีอะไรที่สามารถนำมาช่วยลดหย่อนได้บ้าง

"ค่าลดหย่อน" คือ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ถูกกำหนดตามกฎหมาย กำหนดไว้ให้สามารถนำไปหักออกจากเงินได้หลังจากที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว จะช่วยทำให้เราเสียภาษีน้อยลงหรืออาจจะไม่ต้องเสียภาษีเลยก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยในแต่ละปีอาจมีรายการลดหย่อนภาษีต่างกันออกไปเล็กน้อย เนื่องจากนโยบายของรัฐในช่วงนั้น ๆ โดยสำหรับปี 2566 มีรายการลดหย่อนภาษีแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว

  1. ลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
  2. คู่สมรส (จดทะเบียนสมรส - ไม่มีรายได้) 60,000 บาท
  3. บุตร คนละ 30,000 บาท หากเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย สามารถหักลดหย่อนได้ไม่จำกัดจำนวนคน แต่ถ้าเป็นบุตรบุญธรรม สามารถหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน โดยมีเงื่อนไขดังนี้
  • อายุไม่เกิน 20 ปี
  • หากอายุ 21 - 25 ปี ต้องศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ขึ้นไป
  • บุตรมีเงินได้ไม่ถึง 30,000 บาทต่อปี ในกรณีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป จะสามารถลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
  1. ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร หักลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท
  2. ค่าดูแลเลี้ยงดูพ่อแม่ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป คนละ 30,000 บาท โดยพ่อแม่ต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และสามารถหักลดหย่อนสำหรับพ่อแม่ของคู่สมรสได้อีกคนละ 30,000 บาท
  3. ค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาท โดยผู้พิการต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และมีบัตรประจำตัวคนพิการ

ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกันและการลงทุน (ลำดับ)

  1. ประกันสังคมสูงสุด 9,000 บาท
  2. เบี้ยประกันสุขภาพพ่อแม่ของตัวเองและของคู่สมรส ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
  3. เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป หรือเงินฝากแบบมีประกันชีวิต (คุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป) ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  4. เบี้ยประกันสุขภาพตัวเอง ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันชีวิตทั่วไปแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
  5. เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้ 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และอาจจะลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ถ้ายังไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป โดยมีเงื่อนไขดังนี้
  • ระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป
  • จ่ายผลตอบแทนให้ผู้เอาประกันตั้งแต่อายุ 55 ปี ต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 85 ปี หรือมากกว่านั้น
  1. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน ลดหย่อนได้ 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และสำหรับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
  2. กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้
  • ต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ
  • ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อและไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
  1. กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้
  • ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี หรืออย่างน้อยปีเว้นปี
  • ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก โดยนับเฉพาะปีที่มีการซื้อหน่วยลงทุน คือ ปีใดไม่ลงทุนจะไม่นับว่ามีการลงทุนในปีนั้น
  • ขายได้ตอนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
  1. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุด 30,000 บาท

ทั้งนี้ กองทุน RMF, กองทุน SSF, กบข., กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ และประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมด ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ

  1. ดอกเบี้ยบ้าน ลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้
  • เป็นดอกเบี้ยจากเงินกู้เพื่อซื้อบ้าน คอนโดมิเนียม หรือที่อยู่อาศัย โดยเราต้องอาศัยในบ้านหลังนี้ด้วย
  • ต้องเป็นการกู้เพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่บนที่ดินของตัวเอง หรือกู้เพื่อซื้อคอนโดมิเนียม
  • ต้องเป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงินภายในประเทศ
  • หากมีการกู้สำหรับที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 แห่ง สามารถรวมกันได้ แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
  • กรณีกู้ร่วมกันหลายคน ให้แบ่งดอกเบี้ยคนละเท่า ๆ กัน
  1. เงินลงทุนวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) 100,000 บาท
  2. ช้อปดีมีคืน 40,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้
  • ซื้อสินค้าและบริการทั่วไปที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หนังสือ (รวมถึง e-book) และสินค้า OTOP ลงทะเบียนกับกรมพัฒนาชุมชนแล้ว
  • มีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ลดหย่อนได้ 30,000 บาท
  • มีใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ ลดหย่อนเพิ่มได้อีก 10,000 บาท
  • ใช้สำหรับการซื้อสินค้าในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2566

ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค

  1. บริจาคพรรคการเมือง 10,000 บาท
  2. เงินบริจาคเพื่อการศึกษา สนับสนุนกีฬา พัฒนาสังคมต่าง ๆ มูลนิธิด้านสาธารณสุข และโรงพยาบาลรัฐ ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
  3. เงินบริจาคอื่น ๆ มูลนิธิและองค์กรสาธารณกุศล ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

สำหรับใครที่มองหาวิธีเปลี่ยนเรื่องภาษีให้เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ทีทีบีขอแนะนำ “My Tax” ฟีเจอร์ใหม่ บนแอป ttb touch ผู้ช่วยจัดการภาษีแบบครบวงจร ที่มาพร้อมฟีเจอร์ครบครันด้านภาษี ช่วยให้คุณวางแผนการเงินเพื่อประหยัดภาษีได้ล่วงหน้า…สะดวก ใช้งานก็ง่าย แถมไม่ต้องยุ่งยากกับเอกสารอีกด้วย

คลิก https://ttbbank.com/mytax เพื่อลองใช้งาน My Tax ผ่านแอป ttb touch

วางแผนลดหย่อนภาษีสามารถจัดการได้แต่เนิ่น ๆ

อ่านบทความฉบับเต็ม คลิกเลย! https://www.ttbbank.com/th/fintips-tax66-pr

หรือติดตามเคล็ดลับการเงินอื่น ๆ จาก fintips by ttb ได้ที่เว็บไซต์ทีทีบี เลือก “เคล็ดลับการเงิน”

คลิก https://www.ttbbank.com/th/fintips-097

 

X

Right Click

No right click