ไทยเบฟรายงานผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2566 ที่แข็งแกร่ง รับการฟื้นตัวของภาคบริโภค

นายกฯ ชื่นชมข้อเสนอจากการระดมสมองภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เร่งเปลี่ยนประเทศไทย สู่สังคมคาร์บอนต่ำ ชวนทุกภาคส่วนร่วมสร้างสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย พร้อมหนุนขยายผลเศรษฐกิจหมุนเวียน และการเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รองรับการขยายตัวเศรษฐกิจ ดึงดูดนักลงทุน เชื่อมั่นพลังความร่วมมือจะพาไทยเติบโตแบบคาร์บอนต่ำได้สำเร็จในงาน ESG Symposium 2023

นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ร่วมงาน ESG Symposium 2023 ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 11 ในหัวข้อ “ร่วม เร่ง เปลี่ยน สู่สังคมคาร์บอนต่ำ” ด้วยความร่วมมือจากหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเอสซีจี ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีผู้ร่วมงานจากทุกภาคส่วนกว่า 2,000 คน โดยนายกรัฐมนตรีได้รับฟังข้อเสนอ “ร่วม เร่ง เปลี่ยนประเทศไทย สู่สังคมคาร์บอนต่ำ” ที่มาจากการระดมสมอง ทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาสังคมกว่า 500 คน ตลอดเดือนกันยายนที่ผ่านมา ประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่

  • ร่วมสร้าง “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยอุตสาหกรรมสีเขียว เกษตรยั่งยืน ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เนื่องจากสระบุรีเป็นจังหวัดที่มีความซับซ้อนและท้าทายมาก เพราะมีระบบเศรษฐกิจทั้งภาคอุตสาหกรรมหนัก การเกษตร การท่องเที่ยว และความเป็นเมืองที่ผสมผสาน
    จึงสามารถเป็นตัวแทนเสมือนของประเทศไทยได้ เพื่อศึกษาเรียนรู้ปัจจัยความสำเร็จและข้อจำกัดต่าง ๆ ในการเปลี่ยนสู่เมืองคาร์บอนต่ำ ซึ่งร่วมบูรณาการโดยผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมจริง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรง และภาคประชาสังคมที่ได้รับผลกระทบ หากประสบความสำเร็จจะเป็นแรงจูงใจให้จังหวัดอื่น ๆ ได้ ปัจจุบันมีความร่วมมือเกิดขึ้นแล้ว อาทิ การกำหนดใช้ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำในทุกงานก่อสร้างในจังหวัดสระบุรีตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป การทำนาเปียกสลับแห้ง ช่วยลดการใช้น้ำ การปลูกพืชพลังงาน หญ้าเนเปียร์ และนำของเหลือจากการเกษตรไปแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน สร้างรายได้ให้ชุมชน รวมทั้งร่วมปลูกป่าชุมชน 38 แห่งทั่วจังหวัด ช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก และนำไปสู่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างรายได้ให้ชุมชน
  • เร่งผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะเป็นการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบ
    คาร์บอนต่ำ ในประเทศไทยมี 3 อุตสาหกรรมที่ลงมือทำแล้ว คืออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ และก่อสร้าง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนเกิดขึ้นได้จริง คือ กำหนดนโยบาย กฎหมาย มาตรฐาน การคัดแยกและจัดเก็บขยะเป็นระบบเดียวกันทั้งประเทศ กำหนดตัวชี้วัดในการติดตามผล ตลอดจนสร้าง Eco-system สนับสนุนสิทธิประโยชน์ในการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมทั้งรณรงค์ใช้สินค้ากรีนที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุชีวภาพ ออกกฎหมายระบุปริมาณอย่างชัดเจน โดยหน่วยงานภาครัฐนำร่องจัดซื้อจัดหาสินค้ากรีน เพื่อให้เกิดการยอมรับอย่างแพร่หลาย
  • เปลี่ยนสู่พลังงานสะอาดและยั่งยืน ปลดล็อกข้อจำกัด โดยเปิดเสรีซื้อ-ขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดด้วยระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Grid Modernization) เพื่อให้ภาครัฐและเอกชนใช้เครือข่ายไฟฟ้าร่วมกัน ให้ทุกคนเข้าถึงพลังงานสะอาดสะดวกยิ่งขึ้น สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานสะอาดและใช้พื้นที่ว่างเปล่า
    กักเก็บพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พลังงานน้ำ พลังงานความร้อน พลังงานกล พลังงานเคมี รวมทั้งพัฒนาพลังงานทดแทนใหม่ ๆ และผลักดันให้อยู่ในแผนพลังงานชาติ เช่น พลังงานไฮโดรเจน พืชพลังงาน ขยะจากชุมชน ของเสียจากโรงงาน ตลอดจนปรับปรุงนโยบายและให้สิทธิประโยชน์ที่เอื้อต่อการใช้พลังงานสะอาด และส่งเสริมการใช้ข้อมูล Big Data เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง
  • ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ยังไม่สามารถปรับตัวได้ เช่น SMEs แรงงาน เกษตรกร และชุมชน โดยแบ่งกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบและจัดสรรความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม เพื่อให้ตระหนักรู้ เข้าถึงเทคโนโลยีลดคาร์บอนและแหล่งเงินทุนสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ซึ่งมีอยู่มากถึง 52 ล้านล้านบาท และขอเสนอให้ไทยควรร่วมเร่งเข้าถึงกองทุนดังกล่าว เพื่อขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น กองทุนนวัตกรรมจัดการน้ำให้กลุ่มเกษตรกรรับมือสภาพภูมิอากาศแปรปรวน กองทุนฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่ป่าพร้อมสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต  นอกจากนี้ ยังควรพัฒนาทักษะแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านให้มีความพร้อมปรับตัวทันท่วงทีและพึ่งพาตัวเองได้

นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวชื่นชมข้อเสนอดังกล่าว และเชื่อมั่นว่า หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันตามกลยุทธ์ ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่เน้นสร้างเศรษฐกิจควบคู่กับสมดุลทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างโปร่งใส มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน จะช่วยกู้โลกให้กลับมาดีขึ้น  สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของไทยต้องมีแนวทางที่นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ดังนี้  1) มุ่งมั่นการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผ่านหลักการไปให้ถึงและช่วยเหลือกลุ่มที่รั้งท้ายก่อน  2) ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศ สำหรับประชากรทุกคนในประเทศ และให้ความสำคัญกับสิทธิด้านสุขภาพ  3) ผลักดันความร่วมมือทุกระดับ เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงส่งเสริมการเข้าถึงบริการพลังงานสมัยใหม่ ในราคาที่เหมาะสมและมีความน่าเชื่อถือภายในปี ค.ศ 2030

“ผมรู้สึกประทับใจมาก ที่ได้เห็นคนไทยทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ร่วมกันหาแนวทางทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ เพราะภาวะโลกเดือดส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของทุกชีวิตบนโลก

ผมชื่นชมความตั้งใจสร้าง “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย  เพราะเป็นจังหวัดที่มีความท้าทายสูง มีอุตสาหกรรมใหญ่อยู่มาก ซึ่งจะสำเร็จได้ต้องอาศัยการดำเนินงานร่วมมือกันหลายส่วน ทั้งมาตรการและเงินทุน จึงขอเชิญชวนภาคส่วนอื่น ๆ มาร่วมกัน เพราะหากสำเร็จจะเป็นตัวอย่างให้เมืองและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ต่อไป

การผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นวาระแห่งชาติ ผมชื่นชมความมุ่งมั่นทั้ง 3 อุตสาหกรรมนำร่อง ทั้งบรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ และก่อสร้าง ซึ่งรัฐบาลจะขยายผลความสำเร็จนี้ โดยให้ความสำคัญกับการกำหนดนโยบายจัดการขยะและเปิดให้จัดหาสินค้ากรีนเพื่อสร้าง Eco-system ที่เอื้อต่อระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน  สำหรับการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาดให้เต็มประสิทธิภาพ และศึกษาการเปิดให้สามารถซื้อ-ขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมทั้งรองรับการขยายตัวเศรษฐกิจไทย ดึงดูดนักลงทุนและบริษัทต่างชาติในอนาคต”

นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมขอขอบคุณทุกคนที่มุ่งเปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะยังมีประชาชนอีกมากโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก เกษตรกร และชุมชน ที่ยังไม่ตระหนักถึงวิกฤตินี้ หรือยังไม่พบทางออกเพื่อรับมือ เราควรสนับสนุนการเข้าถึงความรู้ เทคโนโลยี และการเข้าถึงเงินทุน ให้ทุกคนสามารถปรับตัวอยู่รอดได้ สำหรับข้อเสนอในวันนี้ ผมจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป

นายรุ่งโรจน์  รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “คณะจัดงานขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่ให้เกียรติมาร่วมงาน และรับฟังข้อเสนอจากพวกเราทุกภาคส่วนในวันนี้  ผมเชื่อมั่นว่าภายใต้การบริหารงานของท่านที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมทั้งแนวนโยบายที่ชัดเจนของประเทศ จะทำให้ทุกภาคส่วนทำงานร่วมกันอย่างแข็งแกร่ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

นายธรรมศักดิ์  เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีพร้อมนำแนวทางจากท่านนายกรัฐมนตรีไปผลักดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งเร่งพัฒนากระบวนการผลิตสีเขียว ควบคู่กับนวัตกรรมกรีน เช่น ปูนคาร์บอนต่ำ พลาสติกรักษ์โลก บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ อีกทั้งผสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนแก้วิกฤติโลกเดือด ซึ่งเย็นวันนี้ 80 ซีอีโอ จากหลายอุตสาหกรรม เช่น ภาคพลังงาน การผลิต อสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ สุขภาพ บริการ มาร่วมระดมสมองเพิ่มเติม ซึ่งมั่นใจว่าจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโต พร้อมโลว์คาร์บอน เป็นจริงได้แน่นอน”

นิยามใหม่แห่งบริการด้านสุขภาพ ดูแลยิ่งกว่าประกัน ตอบโจทย์สุขภาพครบวงจร

ดร.พสุ โลหารชุน ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เข้าพบนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง พร้อมทั้งนำเสนอยุทธศาสตร์และบทบาทของ EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มุ่งสู่การเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank) สนับสนุนผู้ประกอบการไทยในทุกอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมสีเขียว และอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศ เพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจไทยให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก ณ กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2566

ธุรกิจห้าดาว ผู้นำธุรกิจแฟรนไชส์อาหาร เปิดตัว The Elevator Pitch

มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับจังหวัดขอนแก่น จัดพิธีมอบหมวกนิรภัยให้นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น การดำเนินงาน “จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย 365 วัน” บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ในการนี้ รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้กล่าวต้อนรับผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น โดยระบุว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ขับเคลื่อนงานเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนมาโดยตลอด  ทั้งในส่วนของการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้  การกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัย เสริมสร้างวัฒนธรรมในการขับขี่อย่างปลอดภัย ให้กับนักศึกษาและบุคลากร  รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมด้านความปลอดภัยทางการจราจร ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยมาอย่างต่อเนื่อง

การที่จังหวัดขอนแก่น โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ประกาศวาระ “จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย 365 วัน” และนำหมวกนิรภัย จำนวน 500 ใบมาส่งมอบให้นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นในวันนี้ นับเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะช่วยเสริมสร้างให้เกิดพฤติกรรมการขับขี่จักรยานยนต์อย่างปลอดภัย  เป็นส่วนผลักดันที่สำคัญ ในการลดความรุนแรงจากการบาดเจ็บ ลดความสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สินของนักศึกษา ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติร่วมในพิธีมอบหมวกนิรภัยให้นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และขอต้อนรับทุกท่าน ด้วยความยินดียิ่ง

ขณะที่ รศ.เพียรศักดิ์ ภักดี รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ กล่าวรายงานว่า ตามที่จังหวัดขอนแก่นได้ประกาศวาระ จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย 365 วัน การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็น นักเรียน นักศึกษา ที่มีอายุระหว่าง 15 – 22 ปีนั้น สอดคล้องกับนโยบายด้านความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ได้จัดทำกิจกรรมรณรงค์เพื่อส่งเสริมป้องกัน รวมถึงการสร้างความตระหนักในการป้องกันการบาดเจ็บจากการใช้รถใช้ถนนของนักศึกษา และบุคลากรมาโดยตลอด

ด้าน นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ประธานในพิธี กล่าวว่า ทางจังหวัดจึงได้ดำเนินงาน “จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย  365 วัน” มาต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยนอกจากการให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายจราจรแล้ว จังหวัดขอนแก่นยังดำเนินการแจกหมวกนิรภัยซึ่งเป็นหนึ่งในการป้องกันอุบัติเหตุ โดยตลอด 2 เดือนที่ทำโครงการมาพบว่า สถิติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดลงจริงถึงครึ่งหนึ่ง และคาดว่าในเดือนสุดท้ายของโครงการจะมีตัวเลขลดลงต่อไป

หากขับขี่แล้วสวมหมวกนิรภัยอย่างน้อยจะช่วยลดอาการบาดเจ็บจากหนักเป็นเบา ป้องกันการสูญเสีย เพราะเรื่องอุบัติเหตุไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หวังว่าหมวกนิรภัยนี้จะช่วยปกป้องชีวิตของน้อง ๆ ให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ขอบคุณอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และขอบคุณมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ได้ร่วมผลักดันให้จังหวัดขอนแก่นกลายเป็นจังหวัดสวมหมวกกันน็อก 100%

ภายในงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น และผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ยังได้เป็นเกียรติมอบรางวัลแก่ นายวิทวัส นามคำมูล และนายนพพล ช่างชัย นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ ชั้นปีที่ 2 ผู้ได้รับรางวัลจากการประกวดโปสเตอร์รณรงค์และประชาสัมพันธ์การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ภายใต้หัวข้อ “การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์” จัดโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย

จากนั้นผู้บริหารมหาวิทยาลัยขอนแก่น และผู้บริหารจังหวัดขอนแก่น ได้ร่วมมอบหมวกนิรภัยให้แก่ตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยตัวแทนนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ชั้นปีที่ 3 ระบุว่า ในมหาวิทยาลัยขอนแก่นนักศึกษาใช้รถมอเตอร์ไซค์เยอะ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ฝนตก หากมีอุปกรณ์ที่มาช่วยป้องกันอุบัติเหตุให้เราได้แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก ซึ่งนอกจากแจกหมวกกันน็อกแล้ว มหาวิทยาลัยยังได้จัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจรและอบรมเกี่ยวกับใบขับขี่มาอย่างต่อเนื่อง ขอบคุณทางมหาวิทยาลัยที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักศึกษาจริง ๆ

ECOM Thailand จับมือ 2T Multimedia and Marketing, GDK GROUP และ VERSE

หนุนเทคโนโลยีบริหารเพื่อการจัดการพลังงาน มุ่งหน้าสู่ความเป็น Smart Hotel เต็มตัว

เปิดเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หนุนชุมชนยั่งยืน

ดร.พลรัตน์ เอกโยคยะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการขายและการตลาด 2  คุณณัฐพล อังควานิช ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย คุณไพศาล อุดมกุลวณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจหล่อลื่น คุณสุรเชฏฐ์ พรพิพัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจบริการยานยนต์ และคุณสุวิทย์ อิ่มใจ ผู้จัดการส่วนการตลาดและพัฒนาธุรกิจบริการยานยนต์ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ร่วมจัดแคมเปญ “โปรเด็ดท้ายปี ช่างดีต่อใจ” ที่พร้อมดูแลทุกการเดินทางด้วยช่างผู้เชี่ยวชาญบริการจากใจไปกับศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto

ทิพยประกันภัย ส่งโปรโมชัน “ดีต่อใจดีต่อบ้าน” เข้าร่วมแคมเปญดังกล่าว เพื่อมอบความอุ่นใจไร้กังวลด้วยประกันภัยที่อยู่อาศัย คุ้มครองครบทุกความต้องการ ไฟไหม้ ฟ้าผ่า น้ำท่วม ระเบิด ภัยเนื่องจากน้ำ ลูกเห็บ ลมพายุ แผ่นดินไหว การประท้วง รวมถึงความคุ้มครองอื่น ๆ เช่น การโจรกรรม ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก เงินชดเชยค่าที่พักอาศัยชั่วคราว และกรณีไฟฟ้าดับ ให้บ้านและคอนโดของคุณปลอดภัยในทุกเวลา  ความคุ้มครองสูงสุดถึง 800,000 บาท นาน 30 วัน ฟรี  เมื่อมียอดชำระครบ 8,000 บาทขึ้นไปที่ FIT Auto

นอกจากนี้ยังมีโปรโมชันอื่นๆ อีกมากมายจาก FIT Auto อาทิ น้ำมันเครื่องราคาพิเศษ เริ่มต้น 720 บาท ซื้อยางรถยนต์ 3 เส้น ฟรี 1 เส้น พร้อมโปรแกรมดูแลยาง FIT Care ฟรี สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก Blue Card รับคะแนนสะสม 2 เท่า คูปองเปลี่ยน-ถ่าย และเติมลมยางไนโตรเจนไม่จำกัด 2 ปี ราคาพิเศษเพียง 1 บาท ที่แอปพลิเคชัน xplORe สิทธิพิเศษบริการดูดฝุ่นและทำความสะอาดภายในรถยนต์ที่ Wizard

พบโปรโมชันคุ้มค่าและดีต่อใจ ที่ศูนย์บริการฯ FIT Auto ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม  – 31 ธันวาคม 2566  สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ www.pttfitauto.com/th/promotions หรือโทร 1365 กด 17

X

Right Click

No right click