หัวเว่ย คอนเนกต์ ประจำปี พ.ศ. 2566 (Huawei Connect 2023) ได้เปิดงานในนครเซี่ยงไฮ้แล้ววันนี้ โดยมีนักธุรกิจชั้นนำ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี คู่ค้า นักพัฒนา และผู้มีส่วนได้เสียภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ จากทั่วโลก เข้าร่วมงานเพื่อหาโอกาสใหม่สำหรับโลกอัจฉริยะในอนาคต

ภายในงาน นางสาวซาบรีนา เมิ่ง รองประธาน ประธานกรรมการหมุนเวียนตามวาระ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของหัวเว่ย ได้ประกาศกลยุทธ์อัจฉริยะครบวงจร หรือ All Intelligence และย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเจาะลึกเทคโนโลยีเอไอขั้นพื้นฐาน และสร้างโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์อันแข็งแกร่งสำหรับประเทศจีน – เพื่อเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับทั่วโลก – เพื่อรองรับเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่นเอไอหลากหลายรูปแบบสำหรับทุกอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมอ้างอิงเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่โลกอัจฉริยะ ตลอดจนผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่เกี่ยวข้องอีกมากมายภายในงาน โดยรายละเอียดของสถาปัตยกรรมอ้างอิงที่ได้เปิดตัวภายในงาน ได้ถูกรวมอยู่ในสมุดปกขาวฉบับล่าสุด ในหัวข้อ การเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่โลกอัจฉริยะ (Accelerating Intelligent Transformation) ซึ่งให้คำแนะนำในเชิงปฏิบัติและประกอบด้วยข้อมูลอ้างอิงต่าง ๆ เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้รับประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีอัจฉริยะนี้

กลยุทธ์อัจฉริยะครบวงจรของหัวเว่ย (Huawei's All Intelligence Strategy)

กว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อผลักดันเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น เริ่มจากกลยุทธ์ All IP เพื่อรองรับการใช้ข้อมูลสารสนเทศ ตามด้วยกลยุทธ์ All Cloud เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล (Digitalization)  ขณะที่ปัญญาประดิษฐ์ได้รับความสนใจมากขึ้น กอปรกับผลกระทบที่เพิ่มขึ้นต่อภาคอุตสาหกรรม กลยุทธ์อัจฉริยะครบวงจร (All Intelligence) ของหัวเว่ยจึงถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ทุกอุตสาหกรรมได้ประโยชน์สูงสุดจากโอกาสเชิงกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่มาพร้อมกับเอไอ

กุญแจสำคัญของกลยุทธ์นี้อยู่ที่การผนึกกำลังกันของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในปริมาณมหาศาล อันจำเป็นสำหรับการสร้างความเข้าใจและความรู้ในการใช้งานโมเดลพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ  "หัวเว่ยมุ่งมั่นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ที่แข็งแกร่งสำหรับประเทศจีน – เพื่อเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับทั่วโลก" ดังที่คุณเมิ่งได้กล่าวไว้  "เรายังคงเสริมสร้างการประสานการทำงานร่วมกันระหว่างฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ชิป (chips) เทคโนโลยีเอดจ์ (edge) เครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ และเทคโนโลยีคลาวด์ (cloud) เพื่อเป็นรากฐานที่สมบูรณ์สำหรับระบบนิเวศแห่งอนาคต  เป้าหมายสุดท้ายของเราคือการตอบสนองความต้องการคอมพิวเตอร์เอไอหลากหลายรูปแบบสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ"

คุณเมิ่งยังกล่าวถึงก้าวต่อไปของหัวเว่ยด้วยว่า "หัวเว่ยจะเดินหน้าเจาะลึกต่อยอดด้านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่เรามีความเป็นเลิศ และทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้า คู่ค้า นักพัฒนา และผู้มีส่วนได้เสียอื่นเพื่อสร้างสรรค์โซลูชันทางอุตสาหกรรมที่ล้ำสมัยและใช้งานง่าย  โดยการทำงานร่วมกัน เราจะสามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยและความน่าเชื่อถือทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น ตลอดจนเร่งสร้างโลกอัจฉริยะให้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม"

ในช่วงท้าย คุณเมิ่งยังย้ำด้วยว่า "ความสามารถนำมาซึ่งความมั่นใจ และอนาคตคือสิ่งที่เราต้องร่วมกันสร้าง"  เพื่อให้โลกอัจฉริยะในอนาคตสัมฤทธิ์ผลขึ้นได้: "สามัคคีคือพลัง ความพยายามย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ"

บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เชิญชวนพนักงานร่วมคัดแยกขยะเพื่อนำวัสดุกลับเข้าสู่กระบวนการคัดแยกอย่างถูกต้อง ภายใต้การดำเนินงานธุรกิจภายใต้หลัก ESG ของเมย์แบงก์ ที่ให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นสร้างความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วมในสังคม โดยได้ร่วมกับ Recycle Day เปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ ด้วยการคัดแยกและนำวัสดุที่รีไซเคิลได้กลับเข้าสู่กระบวนการอย่างถูกต้อง โดยตั้งเป้าคัดแยกส่งขยะเพื่อส่งเข้ากระบวนการรีไซเคิลเดือนละประมาณ 40-50 กิโลกรัม เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคม Zero Waste อย่างแท้จริง

บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์ไฟฟ้า BYD อย่างเป็นทางการในประเทศไทย พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ RÊVERLUTION (ขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ) รวมถึงการเปิดโครงการ Carbon Credit ซึ่งเป็นโครงการแรกของ RÊVERLUTION (ขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ)ในประเทศไทย ซึ่งเรเว่ พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศ สู่ NEV Nation ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม กับแนวคิดและความมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทย พร้อมความร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายสาขาเพื่อขยายสถานีชาร์จครอบคลุมทั่วประเทศ

พันธกิจเชิงวิสัยทัศน์ “RÊVERLUTION” (ขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ) เรเว่ ออโตโมทีฟ ได้ตระหนักถึงความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มความรุนแรงที่สูงขึ้น เรเว่ มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในแก้ปัญหา เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

RÊVERLUTION มีจุดประสงค์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนแผนการ NDC (Nationally Determined Contribution) เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ภายในปี พศ. 2573 โดยประเทศไทยได้ประกาศ ให้คำมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน ‘Carbon Neutrality’ ภายในปี พ.ศ. 2593 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ‘Net Zero Emission’ ภายในปีพ.ศ. 2608 เรเว่มีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ ภายใต้มาตรฐาน VERRA’s Verified Carbon Standard (VCS) ผ่านการส่งเสริมการให้ผู้ขับขี่ในประเทศไทยเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) มาสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ไม่ปล่อยมลพิษทางอากาศหรือก๊าซเรือนกระจก เราเชื่อว่า โครงการ Carbon credit ภายใต้พันธกิจ RÊVERLUTION ของเราจะสามารถช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้อย่างดี โดยลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ BYD ทุกท่าน สามารถเข้าร่วมโครงการ Carbon credit ผ่านทาง ทาง RÊVER Application โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ โดย เรเว่ ออโตโมทีฟ เป็นบริษัทแรกในโลกที่มอบผลประโยชน์ ทาง Carbon Credit คืนให้กับลูกค้า

เรเว่ ออโตโมทีฟ เป็นบริษัทแรกในโลกที่มอบผลประโยชน์ ทาง Carbon Credit กลับคืนสู่ลูกค้าผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า BYD ทุกรุ่นที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งหลังจากที่ได้ผ่านการอนุมัติ Carbon Credit แล้ว ทางเรเว่จะเป็นผู้ดูแลดำเนินการ และ Claim Carbon Credit ให้กับลูกค้าซึ่งลูกค้าผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมายหลังจากเป็นสมาชิก โครงการ สมาชิกผู้เข้าร่วมโครงการ จะได้รับ Carbon Credit จากการคำนวณ ระยะทางการขับขี่ (Mileage) จะคำนวณเป็นอัตราการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสามารถนำมาใช้เป็นเครดิตส่วนลดในการชาร์จรถยนต์ EV กับ RÊVERSHARGER  เป็นต้น  และยังมีสิทธิประโยชน์อีกมากมาย

ประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด กล่าวว่า  RÊVERLUTION ถือเป็นพันธกิจ ของเรา  ดิฉันเชื่อว่าอนาคตของไทยสร้างได้ตั้งแต่วันนี้ เราทุกคนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เราจึงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบโซลูชั่นด้านพลังงานในรูปแบบใหม่ (NEW DREAM ENERGY)  โดยผ่านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ยิ่งผู้คนเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เราก็ยิ่งมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น เรามาร่วมเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ เราจึงอยากเชิญชวนลูกค้า BYD ทุกท่านมาเข้าร่วมโครงการ Carbon Credit  ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกของเรา ขับเคลื่อนสู่สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นและยั่งยืนไปด้วยกันเพื่ออนาคตลูกหลานของเรา”

และอีกความสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนจากรถสันดาปภายใน (ICE) มาสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) นั้น จากการที่เรเว่ ได้เป็นผู้จัดจำหน่ายและบริการหลังการขายรถยนต์ BYD อย่างเป็นทางการไปในประเทศไทย และเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 เราได้เริ่มจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BYD ATTO 3 เป็นรุ่นแรกและได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ลูกค้าต่อแถวจองตั้งแต่โขว์รูมยังไม่เปิด เป็นกระแสในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น และต่อมาในเดือน กรกฏาคม 2566 เรเว่ได้เปิด BYD DOLPHIN เป็นรุ่นที่สอง ก็ยังได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีเช่นกัน จนทำให้เกิดการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยแบบก้าวกระโดด ซึ่งเกินโครงสร้างขั้นพื้นฐานในประเทศไทยที่จะรองรับการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า

เรเว่ ได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดจากการเติบโตรถยนต์ไฟฟ้าแบบก้าวกระโดด จึงได้เกิดความร่วมมือกับบริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด ก่อตั้งเป็น “RÊVERSHARGER”  ซึ่งเป็นพันธมิตรในการขยายสถานีชาร์จครอบคลุมทั่วประเทศอีก 1,110 จุด (สถานีชาร์จไฟฟ้า กระแสตรง 394 จุด และสถานีชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ 716 จุด) ภายในสิ้นปี 2566 นี้ และเรายังมีพันธมิตรจากโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด โครงการแสนสิริ และ โครงการชาญอิสระ อีกทั้งสถานีบริการน้ำมันบางจาก และ สถานีบริการน้ำมันซัสโก้ ซึ่งผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะคลายความกังวลในการเดินทางไกลได้อย่างสบายใจมากขึ้น

พีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) กล่าว  ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา Sharge ได้สร้างเครือข่ายสถานีชาร์จที่แข็งแกร่งกว่า 486 จุดใน 155 แห่ง โดย 75% อยู่ในภาคกลางของประเทศไทย เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการต่อคิวตามสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน โครงการ RÊVERSHARGER จึงร่วมมือกับพันธมิตรในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายราย รวมถึงโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด, แสนสิริ และชาญอิสสระ ตลอดจนสถานีบริการบริการน้ำมัน ได้แก่ ซัสโก้และบางจาก เพื่อสร้างสถานีชาร์จที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบายและตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้ทุกรูปแบบ

ประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด กล่าวว่า “ผมขอขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจรถยนต์ไฟฟ้า BYD  ตั้งแต่รถรุ่นแรก จนถึงรุ่นปัจจุบัน เราตระหนักถึงการบริการหลังการขายเป็นที่สุด และเราทราบปัญหาการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่เร็วเกินโครงสร้างขั้นพื้นฐานในประเทศไทย ทางเรเว่ จึงเร่งสร้าง “RÊVERSHARGER” ซึ่งได้รับความร่วมมือกับ บริษัท Sharge , อสังหาริมทรัพย์และสถานีบริการน้ำมันบางจาก, Susco ทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต”

ระดมทีมจิตอาสาฟื้นฟูสภาพแหล่งน้ำ สร้างสังคมน่าอยู่อย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “อยู่ดี มีสุข”  

รู้ใจ ผู้นำด้านอินชัวร์เทคธุรกิจ B2C ในประเทศไทย ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ 2566 (เมษายน 2565 – มีนาคม 2566) โดยทำเบี้ยประกันรายปีได้กว่า 1,300 ล้านบาท พร้อมได้รับการสนับสนุนจากรอบลงทุน Series B มูลค่า 42 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ รู้ใจยังได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท เอฟดับบลิวดีประกันภัย จำกัด มหาชน (FWDGI) เสร็จสมบูรณ์

ในปีงบประมาณ 2566 เบี้ยประกันภัยของรู้ใจเพิ่มขึ้นถึง 20% และมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 15% แม้ว่าจะมีการเรียกร้องสินไหมเพิ่มขึ้น รู้ใจยังคงรักษาความพึงพอใจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ด้วยการบริการที่เน้นความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก

ในเดือนมีนาคม รู้ใจประสบความสำเร็จในการระดมทุนรอบ Series B ด้วยมูลค่า 42 ล้านดอลลาร์หรือกว่า 1,509 ล้านบาท  นำโดย เอชดีไอ อินเตอร์เนชั่นแนล (HDI International) บริษัทประกันภัยระหว่างประเทศในเครือ ทาแลงซ์ กรุ๊ป จากเยอรมนี (German Talanx Group) นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนเงินทุนเพิ่มเติมจากผู้ลงทุนเดิมอย่าง บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC) ที่อยู่ภายใต้เครือธนาคารโลก

ตามมาด้วยความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการบริษัท เอฟดับบลิวดีประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในเดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งทำให้รู้ใจก้าวขึ้นเป็นบริษัทประกันภัยดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมเป็นผู้ถือใบอนุญาตในการรับประกันวินาศภัยทั่วไปและขยายช่องทางการจัดจําหน่ายเพิ่มเติมทั่วประเทศ ในปีหน้า รู้ใจมุ่งมั่นขยายเครือข่ายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ต่างจังหวัดให้มากขึ้น โดยคาดว่า 40% ของโอกาสทางธุรกิจในอนาคตจะมาจากตัวแทนและนายหน้าประกันภัย และอีก 60% จะยังเป็นการดำเนินการขายโดยตรงให้กับลูกค้า

ก้าวแรกในฐานะบริษัทประกันภัย รู้ใจเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์เดิมอีกครั้งในชื่อ Roojai Insurance ก่อนที่จะนำผลิตภัณฑ์ของเอฟดับบลิวดีประกันภัยมาพัฒนาเป็นกรมธรรม์ดิจิทัล ด้วยความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เองในอนาคต รู้ใจตั้งเป้าขยายธุรกิจออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ประกันภัยทรัพย์สินและเบ็ดเตล็ด และประกันอุบัติเหตุ - สุขภาพ ซึ่งจะรวมถึงผลิตภัณฑ์ เช่น ประกันภัยสำหรับ SME, ประกันภัยการเดินทาง, ประกันภัยยานพาหนะ และประกันสุขภาพส่วนบุคคล ในอีกสองปีข้างหน้า

นิโคลัส ฟาร์เกต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งรู้ใจกรุ๊ป กล่าวว่า "นับตั้งแต่การก่อตั้งในปี 2559 รู้ใจได้แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์การเติบโตมาโดยตลอด เป้าหมายของธุรกิจของเราคือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสร้างประสบการณ์มิติใหม่ให้กับลูกค้าในราคาที่เข้าถึงได้ ด้วยฐานลูกค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอบริการและทางเลือกที่หลากหลายแก่ลูกค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขา และนำนวัตกรรมมาเสริมสร้างความพึงพอใจอย่างต่อเนื่อง

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พบปะนายพอนมะนี สีสมพง ผู้อำนวยการฝ่ายและรักษาการหัวหน้าฝ่ายบริหารทุนและบริการต่างประเทศ ธนาคารพัฒนาลาว (Lao Development Bank : LDB) และนายวิเชฐ ตันติวานิช ที่ปรึกษาธุรกิจ LDB เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจการค้าการลงทุนชายแดนไทย-สปป.ลาว รวมทั้งการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศผ่านการออกสินเชื่อร่วมกัน ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมด้วย นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และนางสาวอรรัตน์ ชุติมิต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพันธมิตรธุรกิจ เป็นตัวแทนรับรางวัล Best Life Insurance Company Thailand 2023 จากนิตยสาร International Business พร้อมทั้ง Insurance Asia Awards 2023 ในสาขา International Life Insurer of the Year จากนิตยสาร Insurance Asia และ Asia Responsible Enterprise Awards 2023 for Health Promotion (AIA Healthiest Schools Program) จาก Enterprise Asia ซึ่งทั้ง 3 รางวัลถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติจากเวทีระดับโลก และเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของเอไอเอ ประเทศไทย ตลอดระยะเวลากว่า 85 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังตอกย้ำถึงมาตรฐานระดับสูงในการให้บริการ การดูแล และช่วยคนไทยในการวางแผนความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และการเงินในระยะยาว เพื่อมุ่งมั่นสนับสนุนคนไทยให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives’

กลุ่มดุสิตธานีเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง เปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ “ดุสิต คอลเลคชั่น” (Dusit Collection) และ “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” (Devarana-Dusit Retreats) รองรับตลาดลักซูรี่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เผย “ดุสิต คอลเลคชั่น” จับกลุ่มเจ้าของโรงแรมสแตนด์อโลน หรืออสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชูรี ที่ต้องการรักษาแบรนด์และความเป็นตัวตนของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น ในขณะที่ “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” เป็นรูปแบบที่พักที่เน้นเป็นสถานที่ให้บริการฟื้นฟูร่างกายและเยียวยาจิตใจในที่พักหรูหราที่มีความเป็นส่วนตัว ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบทั่วโลก โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการแห่งแรกในจีน ประมาณเดือนตุลาคม 2566 ก่อนที่จะเปิดให้บริการอีกหลายแห่งในปีนี้ ครอบคลุมทั้งยุโรป ตะวันออกกลาง และจีน

มร. จิลล์ เครตัลเลช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่องกับการเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่  ดุสิต คอลเลคชั่น (Dusit Collection) และ เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์ (Devarana – Dusit Retreats)  เพื่อรองรับตลาดที่พักระดับลักซูรี่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทั้ง 2  แบรนด์จะเป็นเพิ่มจำนวนแบรนด์ภายใต้ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และวิลล่าหรู ที่มีอยู่เดิมภายใต้กลุ่มดุสิตธานี ซึ่งประกอบด้วย ดุสิตธานี, ดุสิตสวีท, ดุสิตเดวาราณา, ดุสิตดีทู, ดุสิตปริ๊นเซส, อาศัย และอีลิธฮาเวนส์ ให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มมากขึ้น และยังถือเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจที่พักให้กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกมากขึ้น 

สำหรับแบรนด์ “ดุสิต คอลเลคชั่น” ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อช่วยเจ้าของโรงแรมสแตนด์อโลนหรือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชูรี ให้สามารถรักษาตัวตน และเสน่ห์ดั้งเดิมของแบรนด์ ในขณะเดียวกัน ก็สามารถเพิ่มศักยภาพในการให้บริการได้อย่างเป็นระบบ จากนักบริหารมืออาชีพที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในงานบริหารโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยไม่ต้องยุ่งยากในการรีแบรนด์หรือปรับใหม่แต่อย่างใด คุณสมบัติอันโดดเด่นของโรงแรมภายใต้แบรนด์ดุสิตคอลเลกชั่นคือ ตั้งอยู่ในโลเคชั่นที่น่าสนใจ ตัวโรงแรมมีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและเรื่องราวที่น่าสนใจ และมีการตกแต่งอย่างลงตัว ผสมผสานเข้ากับเอกลักษณ์ของท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืน  ซึ่งที่พักแบบนี้ กำลังเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แท้จริง และแตกต่างไม่เหมือนใคร ซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยว

“เรามั่นใจว่า “ดุสิต คอลเลคชั่น” จะเป็นโมเดลที่มีประสิทธิภาพและสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด โดยเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะได้รับการดูแลจากทีมที่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในการบริหาร ที่มีความเข้าใจตัวตน และรักษาไว้ซึ่งความโดดเด่นของทรัพย์สินที่มีคุณค่า ขณะที่กลุ่มดุสิตธานีจะได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์ที่สามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างคล่องตัว เพิ่มความหลากหลายให้กับงานบริการ และยังสามารถสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจบริการของเรา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้เข้าพักจะได้รับประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ในการค้นหาเรื่องราวที่น่าสนใจจากเมืองปลายทางอันเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และเอกลักษณ์เฉพาะตัว” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานีกล่าว

ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมั่นใจว่า ยังมีอสังหาริมทรัพย์สุดหรูอีกมากที่รอการค้นพบ ตั้งแต่พระราชวังเก่าในเมืองแห่งประวัติศาสตร์ จนถึงที่พักริมทะเลอันเงียบสงบ จากทวีปเอเชีย เรื่อยไปจนถึงตะวันออกกลางอันมีเสน่ห์ และครอบคลุมถึงทวีปยุโรป ที่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ “ดุสิต คอลเลคชั่น” ซึ่งขณะนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลงกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายราย และคาดว่าจะสามารถประกาศการลงนามความร่วมมืออย่างเป็นทางการได้ในเร็ว ๆ นี้

สำหรับแบรนด์ใหม่ลำดับที่ 2 ของกลุ่มดุสิตธานี จะเป็นการพลิกโฉมแบรนด์หรูที่มีอยู่เดิม “ดุสิต เดวาราณา”  เปลี่ยนเป็น “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” เพื่อยกระดับประสบการณ์การเข้าพักที่มีคุณค่าในระดับอัลตร้า ลักซ์ชูรี

ทั้งนี้ จากความสำเร็จของการพัฒนาคอนเซ็ปต์ “เทวารัณย์ เวลเนส” (Devarana Wellness) หรือแนวคิดด้านสุขภาพแบบองค์รวมผสานกับองค์ประกอบของความเป็นอยู่ที่ดีอย่างมีเอกลักษณ์ให้กับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตทั่วโลก ทีมงานได้มีการต่อยอดและยกระดับการบริการดังกล่าว จนเกิดเป็นแบรนด์ “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์”  มุ่งหวังที่จะยกระดับแนวทางการรักษาสุขภาพแบบองค์รวมนี้ให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการมอบประสบการณ์ของการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้อย่างเต็มที่ ในที่พักอันหรูหรา ที่มีความเป็นส่วนตัว เงียบสงบทั่วโลก 

แบรนด์เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์ ถูกพัฒนาขึ้นจากหลักการดูแลสุขภาพแบบไทยดั้งเดิม ผสมผสานกับแนวคิดของการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูอย่างยั่งยืน  เพื่อให้เกิดเป็นโปรแกรมเชิงสุขภาพแบบครบวงจร ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษจากการผสมผสานเอกลักษณ์อันโดดเด่นของธรรมชาติในแต่ละชุมชน เข้ากับหลักการบำบัดแบบโบราณ เพื่อมอบให้กับนักท่องเที่ยว ที่มองหาการฟื้นฟูและเยียวยาร่างกายและจิตใจ ในพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัว อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบความประทับใจอย่างสูงสุดแก่ผู้เข้าพัก

“เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” แห่งแรกมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้ที่ประเทศจีน และกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลง เพื่อลงนามเพื่อสร้าง “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” อีกหลายแห่งภายในปีนี้ ทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และในจีน

ปัจจุบัน กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรม 55 แห่งที่ดำเนินกิจการภายใต้ ดุสิต โฮเท็ล แอนด์ รีสอร์ท และวิลล่าระดับลักซ์ชูรีกว่า 230 หลังภายใต้ อีลิธฮาเวนส์ ใน 19 ประเทศ ยังมีโรงแรมและรีสอร์ทในกลุ่มดุสิตธานีที่พร้อมจะเปิดมากกว่า 60 แห่งทั่วโลก และมีเป้าหมายการลงนามเพิ่มเติมอีก 22 แห่งในปีนี้

“การเปิดตัวแบรนด์ “ดุสิต คอลเลคชั่น” และ “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” ในช่วงเวลานี้ สะท้อนถึงความสำคัญของการปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ที่บริหารภายใต้กลุ่มดุสิตธานี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และสะท้อนความพร้อมในการขยายธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เราได้ทยอยปรับปรุงแบรนด์แต่ละตัวอย่างพิถีพิถันเพื่อมอบความสะดวกสบาย ประสบการณ์ และความคุ้มค่าให้กับผู้เข้าพัก การเพิ่มขึ้นของแบรนด์น้องใหม่ทั้งสองแบรนด์ นับเป็นการขยายการรูปแบบการให้บริการที่พัก ให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่ม  ตั้งแต่ไลฟ์สไตล์บูติก ไปจนถึงการดูแลสุขภาพองค์รวมระดับลักซ์ชูรี ซึ่งทุกแบรนด์ได้รับแรงบันดาลใจจากความเป็นไทย และการต้อนรับแบบไทยอย่างอบอุ่น ซึ่งถือเป็นการต่อยอดสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ของกลุ่มดุสิตธานี” มร.จิลล์กล่าว

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จัดกิจกรรมลูกค้าสุดพิเศษ “Cycling Class#2 เบิร์นกันสุดมันส์ ปั่นกันให้สุดใจ ครั้งที่ 2” พาลูกค้าที่รักสุขภาพมาปั่นจักรยานในสตูดิโอ พร้อมขยับร่างกายเคลื่อนไหวไปกับจังหวะดนตรี ที่ช่วยเพิ่มความสนุกสนาน พร้อมกระตุ้นให้ตื่นตัว โดยมีการนำของเทรนเนอร์มืออาชีพจาก Absolute You Studio

โดยกิจกรรมดังกล่าวได้สร้างความสุขความสนุกสนานพร้อมได้รับความรู้ในการดูแลสุขภาพ ที่ดีแบบง่ายๆ ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่จะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป ทั้งนนี้สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมลูกค้าเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ และผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประเทศไทยให้การสนับสนุนประชาชนในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพด้วยระบบสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขได้มากขึ้น แต่ไม่อาจสรุปได้ว่าคนไทยเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพราะยังคงมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยยากไร้ ทั้งในแง่ของการเข้าถึงและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และแม้ว่าคนไทยจะสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้มากขึ้น แต่ในบางสถานบริการสุขภาพก็ยังคงมีศักยภาพไม่เพียงพอต่อการรักษาที่ครอบคลุม โดยเฉพาะการรักษาในกลุ่มโรคซับซ้อน

มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงมุ่งมั่นสืบสานพันธกิจแห่ง “การให้” ตลอด 54 ปีที่ผ่านมา ด้วยบทบาทของการเป็นเสมือนที่พึ่งให้กับคนไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยจากบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษากลุ่มโรคซับซ้อน พร้อมมอบโอกาสให้ผู้ป่วยยากไร้สามารถเข้าถึงบริการทางสุขภาพได้อย่างทัดเทียม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตควบคู่ไปกับการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีของคนไทย

ศ.นพ.วิบูลย์ บุญสร้างสุข ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เล่าถึงแง่มุมในการทำงานภายใต้บทบาทของการเป็นแพทย์ด้านระบบการหายใจว่า “ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยทำให้ แวดวงการแพทย์สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดในการรักษาและช่วยยืดระยะเวลาในการใช้ชีวิตของผู้ป่วยได้มากขึ้น สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดในระยะที่ลุกลามเข้ามาในอวัยวะสำคัญ เช่น บริเวณท่อหลอดลมจนทำให้เส้นผ่านศูนย์กลางของหลอดลมมีขนาดแคบลง ส่งผลให้การหายใจเป็นไปได้อย่างยากลำบากและมีอาการเหนื่อยหอบ ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องได้รับการใส่ท่อค้ำหลอดลม (airway stent) เพื่อขยายเส้นผ่านศูนย์กลางของหลอดลมให้มีขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับการหายใจ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหายใจได้สะดวกมากขึ้น หลุดพ้นความทรมานจากอาการเหนื่อยหอบ และมีโอกาสดำเนินการรักษาโรคมะเร็งต่อไป นอกจากนี้ ท่อค้ำหลอดลมยังช่วยป้องกันไม่ให้มะเร็งลุกลามไปในบริเวณของหลอดลมได้อีกด้วย ในการใส่ท่อค้ำหลอดลมจะพิจารณาจากบริเวณการลุกลามของมะเร็ง ซึ่งมี 2 รูปแบบ ได้แก่ ท่อค้ำหลอดลมรูปแบบตรง และท่อค้ำหลอดลมรูปแบบตัว Y ซึ่งราคาของท่อค้ำหลอดลมอยู่ที่ประมาณ 20,000-45,000 บาทต่อชิ้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบและความยาว โดยท่อค้ำหลอดลม อยู่นอกเหนือบัญชีการเบิกจ่ายกับสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง ทั้งผู้ป่วยของโรงพยาบาลรามาฯ เอง หรือผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อมารับการรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ไม่สามารถเบิกค่าท่อค้ำหลอดลมได้ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลง”

“แม้การใส่ท่อค้ำหลอดลมจะมีประโยชน์เพื่อลดอาการเหนื่อยจากหลอดลมตีบ เนื่องจากมะเร็งที่ลุกลาม และยืดอายุของผู้ป่วยได้ แต่ในแง่ของการเข้าถึงของผู้ป่วยถือว่ายังคงมีอย่างจำกัด ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง อีกทั้งสถานบริการที่มีศักยภาพในการใส่ท่อค้ำหลอดลมมักจะเป็นโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์เหมือนกับโรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งนี้ สำหรับเคสตัวอย่างเป็นเคสที่ถูกส่งต่อการรักษามาจากจังหวัดราชบุรีคือผู้ป่วยโรคมะเร็งหลอดอาหารที่ลุกลามไปในบริเวณผนังหลอดลม ไม่สามารถหายใจได้ แม้จะได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจแล้ว แพทย์จึงใส่ท่อค้ำหลอดลมร่วมกับการเจาะคอจึงทำให้ผู้ป่วยสามารถหายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น และสามารถส่งตัวกลับไปรักษาโรคมะเร็งต่อที่จังหวัดราชบุรีได้” ศ.นพ.วิบูลย์ บุญสร้างสุข กล่าวเสริม

อ.นพ.ธัช อธิวิทวัส (สาขาวิชามะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์) แพทย์ผู้ให้การรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่อเนื่องหลังจากการถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งปอด และมะเร็งหลอดอาหาร เผยว่า “ในอดีตโรคมะเร็งที่พบได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มชายไทย คือ โรคมะเร็งตับและท่อน้ำดี แต่ในปัจจุบันโรคมะเร็งปอด ถือเป็นโรคที่พบได้มากที่สุดในกลุ่มชายไทย และเริ่มพบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเพศหญิง ในปัจจุบันการรักษามะเร็งปอดพัฒนาไปมาก ทั้งยาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้า และยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน หากร่างกายของผู้ป่วยตอบสนองต่อยารักษาอย่างดีและติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง จะช่วยยืดระยะเวลาการใช้ชีวิตของผู้ป่วยได้ถึง 2-3 ปี แต่การรักษามะเร็งปอดในกลุ่มผู้ป่วยระยะลุกลามจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากผู้ป่วยไม่ได้รับการใส่ท่อค้ำหลอดลมเพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยก่อน เพราะช่วงที่ผู้ป่วยไม่สามารถหายใจได้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตลงภายในไม่กี่นาทีในปี 2565 ที่ผ่านมา มูลนิธิรามาธิบดีฯ ได้ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใส่ท่อค้ำหลอดลมแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์กว่า 10 ราย แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามีผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่ต้องการเข้ารับการรักษาในการใส่ท่อค้ำหลอดลมเพื่อบรรเทาอาการทรมานจากเหนื่อยหอบแต่ไม่สามารถเข้าถึงบริการนี้ได้”

อีกหนึ่งกลุ่มโรคเรื้อรังที่มีจำนวนผู้ป่วยไทยเพิ่มมากขึ้นในทุกปีนั่นคือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง ผศ.พญ.พิณทิพย์ งามจรรยาภรณ์ สาขาวิชาโรคภูมิแพ้อิมมูโนวิทยาและโรคข้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “โรคแพ้ภูมิตัวเองคือโรคที่ร่างกายของผู้ป่วยมีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติและทำลายอวัยวะภายในร่างกายตนเอง สาเหตุของโรคมาจาก 2 ปัจจัยร่วม ได้แก่ 1) พันธุกรรมเสี่ยง และ 2) สิ่งแวดล้อมที่เป็นปัจจัยกระตุ้น เช่น พฤติกรรมการสูบบุหรี่ และการติดเชื้อของแบคทีเรียในช่องปาก เป็นต้น แต่กลุ่มโรคแพ้ภูมิตัวเองนั้นไม่ได้มีแค่โรคพุ่มพวง หรือ SLE (Systemic Lupus Erythematosus) อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ เพราะกลุ่มโรคนี้ยังประกอบไปด้วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) โรคผิวหนังแข็ง (Scleroderma) และโรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) โดยในแต่ละโรคนั้นผู้ป่วยจะมีช่วงอายุที่หลากหลาย โดยเฉพาะโรคพุ่มพวงที่เมื่อก่อนมักจะพบในกลุ่มผู้หญิงที่อายุน้อย แต่ปัจจุบันก็สามารถพบได้ในกลุ่มผู้ชายมากขึ้น ในระยะหลังมานี้อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยกลุ่มโรคแพ้ภูมิตัวเองเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยีทางการแพทย์และแนวทางในการรักษาที่ทันสมัย อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงการรักษายังถือว่าค่อนข้างจำกัด เนื่องจากจำนวนของแพทย์เฉพาะทางโรคแพ้ภูมิตัวเองยังมีไม่เพียงพอที่จะรองรับการรักษาของคนไทยทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงปัจจัยด้านค่าใช้จ่ายที่มีราคาสูง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และจำเป็นต้องใช้สารชีวภาพ (Biologic Agents)”

ในมุมมองของ พรทิพย์ ผู้ประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง หนึ่งในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดอักเสบที่ได้รับการสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า “ในช่วงปี 2553 เริ่มมีอาการปวดตาข้างซ้ายจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลจังหวัดนครสวรรค์ แต่อาการดีขึ้นแค่ช่วงหนึ่งก็กลับมาปวดตาอย่างรุนแรง จึงถูกส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลรามาธิบดี คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดอักเสบ ตอนนั้นมีก้อนเนื้อบริเวณหลังตาจึงต้องผ่าตัดเพื่อนำก้อนเนื้อและลูกตาออก หลังจากนั้นก็พบอาการผิดปกติที่หลายอวัยวะจึงทำให้ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบาลรามาธิบดีตลอด 10 ปี โดยได้เข้ารับการผ่าตัดมากกว่า 10 ครั้ง ช่วงที่ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่มีรายได้เลย แต่โชคดีที่ได้รับเงินทุนช่วยเหลือจากมูลนิธิรามาธิบดีฯ ช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลเกือบทั้งหมด ภายหลังการรักษารู้สึกเหมือนได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของโรคร้าย แม้จะเหลือดวงตาขวาเพียงข้างเดียวแต่ก็ดีใจที่ยังมีชีวิต มีโอกาสได้ใช้เวลากับครอบครัวและหลานรัก ทุกวันนี้ยังคงเดินทางมาติดตามอาการที่โรงพยาบาลรามาฯ ขอขอบคุณคุณหมอและพยาบาลที่โรงพยาบาลรามาฯ ที่ให้ความช่วยเหลือและให้การรักษาอย่างเต็มที่ รวมถึงให้กำลังใจอย่างดีมาโดยตลอด ทำให้รู้สึกว่าไปโรงพยาบาลไหนก็ยังไม่ดีเท่าโรงพยาบาลรามาธิบดี”

มูลนิธิรามาธิบดีฯ มุ่งมั่นที่จะมอบโอกาสในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ดีและมีประสิทธิภาพให้กับผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ภายใต้ “โครงการเพื่อผู้ป่วยยากไร้” เพื่อระดมเงินทุนสนับสนุนงบประมาณท่อค้ำหลอดลมให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามสิทธิการรักษา จำนวน 1,000,000 บาท และสนับสนุนงบประมาณในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง จำนวน 2,000,000 บาท เพื่อต่อชีวิตให้กับผู้ป่วยที่ยังรอคอยความช่วยเหลือ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสุขภาวะที่ดีของคนไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “การให้” ที่ยิ่งใหญ่ ร่วมบริจาคกับมูลนิธิรามาธิบดีฯ

คำว่าให้...ไม่สิ้นสุด

###

 

X

Right Click

No right click