บริษัท สเปซ วอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มแบรนด์ สเปซ วอเตอร์ (Space Water) เดินหน้าขยายพอร์ตโฟลิโอแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ Space Flavored Water” น้ำดื่มผสมกลิ่น ที่มีรสชาติและสีใกล้เคียงน้ำเปล่ามากที่สุดในประเทศไทย พร้อมชูกลิ่นไฮไลท์ อุทัยสเปซ (UTAISPACE) น้ำกลิ่นสมุนไพรที่คุ้นเคย ดับกระหายคลายร้อน ปลุกคืนความสดชื่น หวังเจาะกลุ่มผู้บริโภคในตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด สร้างมิติใหม่ในการดื่มน้ำช่วงซัมเมอร์

 “Space Flavored Water” น้ำดื่มผสมกลิ่น เปิดตัวด้วยกลิ่น อุทัยสเปซ (UTAISPACE) น้ำกลิ่นสมุนไพร ซึ่งเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ในการใช้กลิ่นอุทัย ซึ่งเป็นกลิ่นยอดฮิตของสาวๆ ในยุค Y2K มาเป็นกลิ่นเรือธงของสินค้า ซึ่งพร้อมด้วยสรรพคุณที่ช่วยดับกระหาย คลายร้อน สร้างความสดชื่น และยังหอมกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ มีรสชาติใกล้เคียงกับน้ำเปล่ามากที่สุด โดยไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล ไม่ใส่วัตถุกันเสีย สามารถดื่มทดแทนน้ำเปล่าได้ ขณะเดียวกันยังถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องดื่มประเภท Functional Drink ที่มีส่วนผสมของ คอลลาเจน ซิงค์ และวิตามินบี 6 ที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย ขนาดบรรจุ 500 ml. มาพร้อมกับดีไซน์น่ารักพาสเทล ราคาเพียงขวดละ 10 บาท

นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 กลิ่นแนะนำ ซอฟพีช (Soft Peach) น้ำกลิ่นพีช และซอฟไรซ์ (Soft Rice) น้ำกลิ่นข้าวหอม ที่มีแผนทำการตลาดต่อจากกลิ่นอุทัยสเปซ โดยช่องทางการจัดจำหน่ายขณะนี้ สามารถสั่งซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่าย ร้านค้าขายส่ง และช่องทางออนไลน์ Shopee: https://shopee.co.th/spaceflavoredwater และ Lazada: https://www.lazada.co.th/shop/space-flavored-water

และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ร่วมชิม Space Flavored Water ผลิตภัณฑ์น้ำดื่มผสมกลิ่นอุทัยสเปซ (UTAISPACE) ได้ที่บูธกิจกรรมของ Space Water ทั่วกรุงเทพฯ สามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวและกิจกรรมของ Space Water ได้ที่ www.spacewaterfactory.com และ Facebook: SPACE Flavored Water

นิทรรศการ “100 Italian Vases” จัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่คู่ขนานกันไปกับผลิตภัณฑ์นวัตกรรมขั้นสูง ณ Sphere Gallery 2 ศูนย์การค้า EmSphere กรุงเทพฯ เป็นไฮไลต์ของมหกรรรมเฉลิมฉลองงานดีไซน์สไตล์อิตาลี หรือ อิตาเลียนดีไซน์เดย์ 2024 โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย มร. เปาโล ดีโอนีซี เป็นประธานในพิธี เมื่อเร็วๆนี้

นิทรรศการ “100 Italian Vases” นำเสนอความงดงามเชิงช่างของเครื่องกระเบื้องแบรนด์ Ginori 1735 ที่มีชื่อเสียงยาวนานถึง 289 ปี สะท้อนความยั่งยืน และ "ความพิเศษเฉพาะของอิตาลี " ในการออกแบบ เป็นโครงการที่ริเริ่มโดยกระทรวงการต่างประเทศของอิตาลี่ดำเนินการจัดทำนิทรรศการเคลื่อนที่นี้ เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อที่เหมาะสมและคุ้มค่าในการส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการออกแบบของอิตาลีได้ตลอดทั้งปี ภายใต้การดูแลของ Marco Meneguzzo และ Enrico Morteo เป็นรูปแบบนิทรรศการสัญจรจัดแสดงประวัติศาสตร์และความสำคัญของแจกันอิตาลีในศตวรรษที่ 20

นอกจากนี้ โครงการ "100 Italian Vases" ยังมุ่งหวังที่จะเป็นตัวกระตุ้นดึงดูดสาธารณชนที่หลากหลายให้เข้ามาร่วมสัมผัสและแบ่งปันประสบการณ์กัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้า ผู้นำเข้าสินค้าที่มีดีไซน์ บุคลากรในแวดวงพิพิธภัณฑ์ และสถาบันต่างๆ ทั่วโลก ด้วยสาระที่ครอบคลุมและลุ่มลึกทางประวัติศาสตร์ โครงการ "100 Italian Vases" จะเป็นรากฐานสำคัญของภูมิทัศน์ การออกแบบระดับสากล ที่สะท้อนให้เห็นถึง มรดกทางความคิดสร้างสรรค์และงานฝีมือของอิตาลีที่สืบทอดมายาวนาน

มหกรรรมเฉลิมฉลองงานดีไซน์สไตล์อิตาลี  หรือ อิตาเลียนดีไซน์เดย์ 2024 ยังมีหลากหลายกิจกรรม ที่จัดทำร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจในโชวฺ์รูมต่างๅ ทั้งเรื่องการชิมไวน์ การสาธิตทำอาหารอิตาเลียน    ชมแฟชั่น หรือการสัมมนาเรื่องไฟตกแต่งและส่องสว่าง ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือของหลากหลายแบรนด์ ทั้ง Lamborghini EmSphere, Lamptitude, Seasons, Scintilla Gioielli and Euro Creations, Ducati, Ferrari and Vespa, Alist, ItalAsia,  Lamptitude, Lightsculptures, Motif and Seasons.

การศึกษาของลูกเป็นเป้าหมายสำคัญของครอบครัว พ่อแม่ควรจะวางแผนเตรียมแนวทางและความพร้อมไว้ให้ลูกแต่เนิ่นๆ การวางแผนการศึกษาให้ลูกเปรียบเหมือนบันไดที่จะนำลูกก้าวสู่อนาคตตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ บันได 4 ขั้นเพื่อการวางแผนการศึกษาของลูกรักทำได้ดังนี้

บันไดขั้นแรก: เป็นบันไดขั้นแรกเป็นขั้นที่สำคัญที่สุด เริ่มจากการเลือกแนวทางการศึกษาสำหรับอนาคตที่เหมาะสำหรับลูก ปัจจุบันการศึกษามีหลากหลายแนวทางให้เลือก ตั้งแต่ โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชน โรงเรียนสองภาษา โรงเรียนทางเลือก หรือ โรงเรียนนานาชาติ ซึ่งแต่ละแนวทางมีระบบการศึกษาที่แตกต่างกันออกไป แต่ละครอบครัวอาจเลือกแนวทางการศึกษาที่แตกต่างกันตามปัจจัยและองค์ประกอบของครอบครัว นอกจากนี้การวางแผนการศึกษาที่ดีควรวางแผนไปจนถึงการระดับการศึกษาสูงสุด  รวมถึงการเตรียมทักษะเพื่ออนาคตด้านอื่นๆ ทั้งทักษะด้านสารสนเทศและเทคโนโลยี ทักษะชีวิตและอาชีพ เช่น ความเป็นผู้นำ ความใช้ชีวิตในสังคม เป็นต้น 

ขั้นที่สอง: ประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา เมื่อพ่อแม่เลือกแนวทางการศึกษาที่เหมาะสำหรับลูกได้แล้ว ลองวางแผนคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแน่นอน เช่น ค่าเล่าเรียน ค่าชุดนักเรียน ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน ค่ากิจกรรมและการเรียน จึงควรหาข้อมูลของโรงเรียนที่เปิดการสอนในแนวทางที่เราสนใจเพื่อพิจารณาและนำรายละเอียดมาพิจารณา ค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษายังปรับเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลา จึงควรคำนวณอัตราเพิ่มขึ้นของการศึกษาไว้ด้วย อาจใช้ค่าเฉลี่ยการเพิ่มค่าใช้จ่าย 5% เป็นเกณฑ์เบื้องต้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเงินทุนเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายการศึกษา

ขั้นที่สาม: วางแผนการออมเงินระยะยาว ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในช่วงแรกของการศึกษา มักเป็นเงินที่มาจากการบริหารรายรับรายจ่ายของครอบครัวเพื่อจัดสรรเงินสำหรับค่าใช้จ่ายของลูก เนื่องจากพ่อแม่มักมีเวลาการเตรียมพร้อมที่ค่อนข้างสั้น  การเก็บออมเงินเพื่อการศึกษาจึงมักเป็นการออมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในระดับการศึกษามัธยมศึกษา หรือระดับปริญญา แต่แม้เราจะมีการเก็บออมอยู่แล้ว  หากไม่ได้แยกเงินออมสำหรับเป้าหมายการศึกษาออกมากให้ชัดเจนก็อาจทำให้แผนการเงินไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ การออมเพื่อการศึกษาเป็นหนึ่งเป้าหมายการเงินที่สำคัญและมีระยะเวลาที่ยาวนานจึงควรกำหนดเป็นเป้าหมายเฉพาะและชัดเจน ที่สำคัญจะต้องมีวินัยในการออมและไม่นำเงินก้อนนี้ไปใช้เพื่อการอื่นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ขั้นที่สี่: ป้องกันความเสี่ยง แม้การออมเงินจะเป็นวิธีที่จะไปถึงเป้าหมายการออม  เราควรป้องกันความเสี่ยงหากเกิดอะไรขึ้นกับเราด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าแผนการศึกษาของลูกจะเป็นไปตามเป้าหมาย แม้จะเกิดอะไรขึ้นกับเราก่อนบรรลุเป้าหมายการเงิน 

บันได 2 ขั้นแรกเป็นบันไดขั้นที่สำคัญมากในการวางแผนการศึกษา เพราะเป็นการเลือกเส้นทางในการเดินสู่อนาคตให้กับลูกของเรา  ที่สำคัญเราควรสังเกตว่าลูกของเรามีความถนัดหรือมีความเหมาะสมกับแนวทางการศึกษาที่เราเลือกด้วยหรือไม่  เราสามารถหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ รวมถึงการไปเยี่ยมชมโรงเรียนที่เราสนใจ หรือปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาเพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับใช้วางแผน

สำหรับบันไดขั้นที่ 3 และ 4  เป็นขั้นตอนที่จะทำให้ลูกของเราเดินไปบนเส้นทางที่เลือกและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจอย่างแน่นอน การวางแผนการเงินเป็นหัวใจสำคัญสำหรับบันไดสองขั้นนี้ เนื่องจากเป้าหมายการศึกษาเป็นเป้าหมายที่มีความสำคัญสำหรับครอบครัว การเลือกผลิตภัณฑ์การเงินสำหรับเป้าหมายที่สำคัญมักเน้นสัดส่วนของการออมไปทางผลิตภัณฑ์การเงินที่มีความเสี่ยงไม่สูงนักและได้รับผลตอบแทนที่เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้เงินที่ออมได้รับความเสี่ยงจากการลงทุนที่ไม่เป็นไปตามแผนจนส่งผลกระทบต่อเป้าหมายที่ตั้ง วินัยในการออมเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราออมไปตลอดระยะเวลาของแผนการเงินที่วางไว้เช่นเดียวกัน  

ประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์การเงินที่สามารถป้องกันเงินออม ช่วยสร้างวินัยทางการเงินจากเบี้ยประกันที่ต้องชำระอย่างต่อเนื่อง และประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันความเสี่ยงระยะยาว แผนทางเลือกต่างๆ ที่มีทำให้เราสามารถเลือกระยะเวลาการออม ระยะเวลาความคุ้มครอง ให้เหมาะสมกับเป้าหมายการเงินและความพร้อมในการออมของเรา  ยังสามารถใช้ประโยชน์ด้านสิทธิลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย การเลือกประกันชีวิตเป็นส่วนหนึ่งในการออมเพื่อการศึกษาระยะยาวจึงช่วยสร้างความมั่นใจว่าแผนการเงินของเราสามารถไปถึงเป้าหมายได้อย่างมั่นคง

กรุงเทพสมาร์ทคิดส์ จาก กรุงเทพประกันชีวิต เป็นแบบประกันสะสมทรัพย์ที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 15 ปี 18 ปี และ 21 ปี มีระยะเวลาการออมที่ยาวถึง 15 ปี จึงช่วยให้เรามีวินัยการออมไปตลอดระยะเวลา และยังมีความคุ้มครองหากเสียชีวิตหรือสูญเสียอวัยวะและสายตาเนื่องจากอุบัติเหตุ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ จึงเป็นทางเลือกสำหรับการวางแผนการศึกษาของลูก ผู้ที่สนใจสามารถสมัครทำประกันได้ผ่านตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน กรุงเทพประกันชีวิต และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรุงเทพประกันชีวิต www.bangkoklife.com หรือติดต่อ Call Center โทร. 02-777-8888

ชูความสำเร็จ The Ecosystem For All ผนึกพันธมิตรเติบโตทั้งระบบ พร้อมพลิกโฉมรีเทลครั้งยิ่งใหญ่ด้วยโครงการระดับ The World’s New Magnitude

จับมือ ซันเรย์ มิวสิค เปิดแคมเปญ “เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ Fresh No Limit” รับซัมเมอร์ เดินหน้าบุกตลาดด้วย “Music Collaboration”

เอสซีจี เผยมุมมองการเปลี่ยนผ่านสู่สังคม Net Zero ควบคู่สร้างการเติบโตให้เอเชียอย่างยั่งยืน ต้องใช้จุดแข็งของประเทศผสานพลังของเทคโนโลยี แก้โจทย์พลังงานสะอาดและพัฒนานวัตกรรมกรีน ในงาน 3rd Annual Sustainability Week Asia

การสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ควบคู่ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนบนสังคม Net Zero นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ได้แบ่งปันมุมมองในประเด็นดังกล่าว ร่วมกับผู้นำองค์กรระดับโลกบนเวทีเสวนา หัวข้อ “Achieving Net Zero: Matching Ambition with Action” ในงาน 3rd Annual Sustainability Week Asia โดย Economist Impact เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ณ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชันโฮเทล กรุงเทพฯ

นายธรรมศักดิ์ กล่าวบนเวทีเสวนาว่า “เอสซีจีเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ใช้พลังงานมาก ถ้าเอสซีจีจะไปถึงเป้าหมาย Net Zero 2050 ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต อย่างธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน กำลังเดินหน้าปูนคาร์บอนต่ำด้วยนวัตกรรมวัสดุศาสตร์และเทคโนโลยีการผลิตมาตรฐานใหม่ พร้อมส่วนผสมพิเศษที่เอสซีจีพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ทำให้ปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชันแรก สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ ร้อยละ 10 ปีนี้เตรียมออกปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรก อีกร้อยละ 5 และจะพัฒนารุ่นต่อ ๆ ไป ให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเรื่อย ๆ”

ในแง่ของความท้าทายนายธรรมศักดิ์มองถึงเรื่องการเข้าถึงพลังงานสะอาด “การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตสู่คาร์บอนต่ำให้ได้ไว ต้องมองหาพลังงานสะอาดที่ราคาจับต้องได้ เข้าถึงง่าย ซึ่งแต่ละพื้นที่มีสิ่งที่ตอบโจทย์แตกต่างกัน”

กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ขยายความถึงแนวทางต่อว่า “เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญมากต่อการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด สิ่งสำคัญคือ การนำเทคโนโลยีมาผสานกับจุดแข็งของแต่ละพื้นที่หรือภูมิภาค เช่น ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม สามารถนำเทคโนโลยีมาเปลี่ยนพืชผลเกษตรเหลือใช้ อย่างใบอ้อย ฟางข้าว ซังข้าวโพดให้กลายเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงทดแทนพลังงานฟอสซิล ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ ขณะที่ควบคุมต้นทุนได้ดี เอสซีจีจึงเร่งเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลอย่างเต็มที่”

“นอกจากนั้น ผลิตผลเกษตรยังสามารถนำมาพัฒนานวัตกรรมกรีน อย่างพลาสติกชีวภาพ ซึ่งตลาดโลกต้องการมาก ทิศทางนี้จะช่วยให้เราเดินหน้าธุรกิจ เศรษฐกิจ ควบคู่กับสังคม Net Zero ได้เร็วยิ่งขึ้น องค์กรจึงควรลงทุนและสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีกับทุกภาคส่วน”

นายธรรมศักดิ์ ทิ้งท้ายถึงความมุ่งมั่นของเอสซีจี “เราพร้อมร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืนในเอเชียและทั่วโลก เพื่อสร้างสังคม Net Zero ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมกรีน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามแนวคิด ‘Passion for Inclusive Green Growth’ ของเอสซีจี”

3rd Annual Sustainability Week Asia โดย Economist Impact เวทีขับเคลื่อนความยั่งยืนระดับเอเชีย ภายใต้แนวคิด ‘Achieving climate targets, faster’ จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุมมองเชิงลึก และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ใช้ได้จริง เพื่อสร้างความร่วมมือแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศและการส่งต่อเทคโนโลยีโดยประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ โดยมีผู้นำทางธุรกิจ ผู้กำหนดนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ ตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ และ NGOs ทั่วเอเชียเข้าร่วมกว่า 800 รายภายในงาน และจากช่องทางออนไลน์อีกกว่า 2,000 ราย

วีเอ็นยู กรุ๊ป ร่วมกับเครือข่าย VIV Worldwide แถลงข่าวอย่างเป็นทางการเปิดตัวงานใหม่ล่าสุดอย่าง “Horti Agri Next Asia” (ฮอร์ติ อะกริ เน็กซ์ เอเชีย) หรือเรียกสั้นๆ ว่า HAN Asia 2025 (ฮาน เอเชีย) ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของภูมิภาคเอเชีย เป็นงานแสดงสินค้าที่มุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรพืชไร่พืนสวนสำหรับอนาคตอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีกำหนดการจัดงาน ระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งจะจัดควบคู่ไปกับงาน VIV Asia (วิฟ เอเชีย) และงาน Meat Pro Asia (มีท โปร เอเชีย) 2025 เพื่อผสานความแข็งแกร่งให้กับตลาดเกษตรควบคู่ไปกับตลาดปศุสัตว์อย่างเต็มรูปแบบ และเป็นมหกรรมงานแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่ระดับภูมิภาคที่นักลงทุนทั่วโลกต้องจับตามอง

Horti Agri Next Asia งานเกษตรใหม่ของเอเชีย

“วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากในการจัดงานแสดงสินค้าในภาคธุรกิจการเกษตร ตั้งแต่เริ่มเปิดตัวงาน Horti Asia 2012 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 และตามมาด้วยงาน Agri Asia 2015 ในปี พ.ศ. 2558 และเราก็ดำเนินการจัดงานเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน” คุณอิกอร์ เพาก้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค กล่าว “เรามุ่งมั่นที่จะสร้างเวทีเจรจาการค้าที่ดีที่สุดให้กับอุตสาหกรรม ด้วยการขยายขอบเขตเชิงกลยุทธ์เพื่อสอดรับไปกับแนวโน้มของภาคธุรกิจที่มีการหลอมรวมกันระหว่างธุรกิจเกษตรและปศุสัตว์อย่างลงตัว นำมาสู่การเปิดตัวงานใหม่ล่าสุดอย่าง Horti Agri Next Asia (ฮอร์ติ อะกริ เน็กซ์ เอเชีย) หรือ เรียกสั้นๆ ว่า “HAN Asia” (ฮาน เอเชีย) ในปี 2025 นี้ ซึ่งจะจัดควบคู่ไปกับงาน VIV Asia (วิฟ เอเชีย) และงาน Meat Pro Asia (มีท โปร เอเชีย) อย่างเต็มรูปแบบบนพื้นที่การจัดงานมากกว่า 75,000 ตารางเมตรของ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกและปลูกเมล็ดพันธุ์ ไปจนถึงอาหาร รวมทั้งภาคเกษตรและปศุสัตว์อย่างลงตัว”

Dr. Gijs Theunissen DVM อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) – สถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ความท้าทายในปัจจุบัน คือ การผลิตอาหารที่เพียงพอ ปลอดภัย และเข้าถึงได้สำหรับทุกคนด้วยวิธีการผลิตที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม การผสมผสานวิธีการผลิตแบบเก่า (การทำฟาร์มแบบธรรมชาติ) เข้ากับความรู้และเทคโนโลยีใหม่ (AI, โดรน) มีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจสอบความเป็นไปได้ซึ่งได้ประโยชน์เทียบเท่ากันทุกฝ่าย งานแสดงสินค้าอย่าง Horti Agri Next (HAN Asia) เปิดโอกาสให้เราได้สร้างเครือข่าย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรียนรู้และรับข้อมูลเชิงลึก รวมถึงแรงบันดาลใจใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับความร่วมมือและความสำเร็จในอนาคต”

“การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตร ไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ แต่เป็นการยกระดับขีดความสามารถให้แก่เกษตรกรและภาคอุตสาหกรรมหลักของประเทศอย่างยั่งยืนด้วย” รศ.ดร. เกียรติศักดิ์ แสงประดิษฐ์, ที่ปรึกษาธุรกิจเกษตรภัณฑ์ และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา ผู้จัดการหน่วย บ่มเพาะวิสาหกิจ – มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าว “ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการเชื่อมโยงงานทั้ง 2 งานไว้ในวาระเดียวกัน นับเป็นการสร้างโอกาสที่ดีให้กับลูกค้า/ผู้ลงทุน ที่ดำเนินธุรกิจครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ / ตั้งแต่การเพาะปลูกพืช จนถึงกระบวนการแปรรูปได้มาอัพเดทเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจได้ครบ จบที่เดียว อีกทั้งเป็นโอกาสในการศึกษา ทิศทางการขยายธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า จากด้านปศุสัตว์อย่างเดียว สู่ด้านการเกษตร หรือจากเดิมทำการเกษตรอย่างเดียว เข้ามาใช้ในด้านปศุสัตว์  เป็นการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่เป็น Eco System ของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารอย่างสมบูรณ์”

การเปลี่ยนผ่านของเกษตรยุคใหม่

“ปัจจุบันเกษตรกรจึงมีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การใช้โดรนช่วยให้ปุ๋ยและสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้อย่างรวดเร็ว การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบุโรคและตรวจจับศัตรูพืช การใช้โรงเรือนอัจฉริยะตรวจสอบและปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม การใช้เครื่องจักรกลเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น เพื่อให้กระบวนการปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตมีความแม่นยำมากขึ้น ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพผลผลิต แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และตอบสนองความต้องการตลาดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีไม่เพียงแต่ช่วยด้านการผลิตเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งห่วงโซ่อุปทานการเกษตร ตลอดจนผู้บริโภค  นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ดร. เมธินี ศรีวัฒนกุล, เลขาธิการ – สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย กล่าว

Shijo Joseph Group Head - Strategy & Transformation บจก. อีสท์ เวสท์ ซีด กล่าวว่า “เราอยู่ในธุรกิจความยั่งยืนที่มุ่งเน้นการวิจัย การผลิตเมล็ดพันธุ์ผักที่หลากหลาย และมีคุณภาพสำหรับเกษตรกรรายย่อย บริการด้านพืชไร่เป็นส่วนสำคัญของแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนของเราในการปรับปรุงความเป็นอยู่ของเกษตรกรโดยมุ่งเน้นที่การเสริมศักยภาพให้กับสตรีและเกษตรกรรุ่นใหม่”

ดร. ดาเรศร์ กิตติโยภาส, นายกสมาคม – สมาคมวิศวกรรมเกษตรแห่งประเทศไทย กล่าว “การทำการเกษตรในยุคปัจจุบันนับว่ามีความสะดวกสบายกว่ายุคเก่ามาก เกษตรกรรุ่นใหม่มีเครื่องจักร อุปกรณ์ ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าและยากลำบาก เช่น มี GPS ช่วยควบคุมการขับเคลื่อน มีเครื่องจักรอัตโนมัติที่ทำงานได้อย่างสะดวก มีระบบการให้น้ำที่สามารถควบคุมความต้องการน้ำของพืชได้ในระยะไกล มีระบบช่วยในการตัดสินใจให้สามารถลดความเสี่ยงจากความล้มเหลวเนื่องจากคาดการณ์ฟ้าฝนผิดพลาด มีระบบช่วยส่งสัญญาณความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและแก้ปัญหาได้ทันท่วงที จึงนับว่าการทำการเกษตรยุคนี้น่าสนุกกว่ายุคเดิมและมีโอกาสของความเสี่ยงจากการผิดพลาดน้อยกว่ามาก”

มาร่วมต่อยอดธุรกิจเกษตรอย่างไร้ขีดจำกัดเพื่อเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจที่มากกว่าที่เคยไปกับงาน Horti Agri Next Asia (ฮอร์ติ อะกริ เน็กซ์ เอเชีย) กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ควบคู่ไปกับงาน VIV Asia และ Meat Pro Asia 2025 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.hortiagrinext.com หรือโทร. 02-116611

มุ่งยกระดับความรู้และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาด้านดิจิทัล

พร้อมดึง มาร์ช – จุฑาวุฒิ นั่งแท่นพรีเซนเตอร์ สร้างมิติใหม่ของวัยมันส์

X

Right Click

No right click