บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด จัดอีเวนท์ครั้งใหญ่เพื่ออวดโฉมเทคโนโลยี Huawei Cloud Stack ซึ่งตอบโจทย์การให้บริการโซลูชันคลาวด์ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ให้กับศูนย์ข้อมูลของกลุ่มลูกค้าองค์กรในประเทศไทย ด้วยความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาเทคโนโลยีคลาวด์ของหัวเว่ย เสริมความแกร่งด้วยจุดยืน “Huawei Cloud Stack: ที่สุดแห่งบริการคลาวด์เพื่อยกระดับสู่ความอัจฉริยะ” สอดคล้องกับพันธกิจ “เติบโตในประเทศไทย สนับสนุนประเทศไทย” ของหัวเว่ย รวมถึงความมุ่งมั่นในการนำเสนอโซลูชันที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ปูทางขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลแห่งภูมิภาคอาเซียนในอนาคต

งาน Huawei Cloud TechDay Thailand 2024 ครั้งนี้ จัดขึ้น ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพมหานคร ในหัวข้อ “Huawei Cloud Stack: ที่สุดแห่งบริการคลาวด์เพื่อยกระดับสู่ความอัจฉริยะ” โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันศักยภาพการใช้งานคลาวด์ในประเทศไทย เนื่องจากคลาวด์ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมหลายพันแห่ง และระบบไฮบริดคลาวด์ก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในองค์กร จากจุดเด่นด้านการใช้งานแบบอเนกประสงค์, ต้นทุนต่ำ, ปรับการใช้งานเข้ากับอุปกรณ์ที่มีอยู่ได้อย่างครอบคลุมและมีนวัตกรรมการบริการที่ทันสมัย ภายในงานนี้ มีจำนวนพาร์ทเนอร์ของหัวเว่ยในประเทศไทยเข้าร่วมมากกว่า 30 ราย และมีเป้าหมายในการส่งเสริมอีโคซิสเต็มคลาวด์ในประเทศไทยให้แข็งแกร่ง

นายวิคเตอร์ หลัว ผู้อำนวยการด้านสถาปัตยกรรมโซลูชัน หัวเว่ย คลาวด์ ประเทศไทย ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในงานว่า “ปัจจุบันภาครัฐและองค์กรล้วนต้องการการบริการด้าน AI และบิ๊กดาต้า เพื่อรองรับนวัตกรรมด้านแอปพลิเคชันต่าง ๆ ทั้งนี้ การประมวลผลด้วยเทคโนโลยีคลาวด์สามารถช่วยสร้างสถาปัตยกรรมในรูปแบบเดิมได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจใหม่ขององค์กรในหลากหลายระดับได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยคลาวด์ในรูปแบบเดียว (single-form cloud) มีข้อจำกัดในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์ผลได้แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยี Huawei Cloud Stack จึงมอบโซลูชันที่ทรงประสิทธิภาพเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายนี้ ด้วยศักยภาพในการเชื่อมต่อและประมวลผลข้อมูลจากเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ฐานข้อมูลต่าง ๆ , บิ๊กดาต้า และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้อย่างไร้ข้อจำกัด”

ผู้นำด้านเทคโนโลยี

จุดแข็งของ Huawei Cloud Stack คือความเชี่ยวชาญในการผสานนวัตกรรมระบบคลาวด์และข้อมูลของหัวเว่ย ตลอดจนการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการพัฒนาบริการคลาวด์ อย่างต่อเนื่อง ด้วยความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี พื้นที่เก็บข้อมูลได้รับการพัฒนาให้เป็นแบบอัจฉริยะ โดยยกระดับประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูลได้สูงขึ้น 30%, ในขณะเดียวกันการบูรณาการข้อมูลและการหมุนเวียนสินทรัพย์ในระบบคลาวด์ช่วยเพิ่มมูลค่าข้อมูล ด้วยบริการคอนเทนเนอร์ระดับองค์กรที่ใช้งานร่วมกับโอเพ่นซอร์สแบบ K8 ได้ 100% นอกจากนี้ Huawei Cloud Stack ยังเป็นแพลตฟอร์ม AI แบบครบวงจร ที่ช่วยพัฒนา AI ในระดับอุตสาหกรรม และมอบความสามารถในการประมวลผลอัลกอริธึม AI ในสถานการณ์ที่หลากหลาย พร้อมแพลตฟอร์มการจัดการวงจรการพัฒนา AI อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการประยุกต์ใช้งานและสร้างกระบวนการดำเนินการอีกด้วย

ยืนหนึ่งด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ

รากฐานคลาวด์เนทีฟประสิทธิภาพสูงของ Huawei Cloud Stack ทำให้การกู้คืนข้อมูลหลังเหตุวิกฤติทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องสร้างสถาปัตยกรรมใหม่ องค์กรจึงสามารถปกป้อง กู้คืนข้อมูล และแอปพลิเคชันได้อย่างปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือ สถาปัตยกรรมด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุม พร้อมด้วยระบบการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง มอบปราการป้องกันถึง 7 ชั้นและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานสูงขึ้นถึง 10 เท่า นอกจากนี้ ประสบการณ์อันยาวนานในอุตสาหกรรมและการขยายธุรกิจอย่างครอบคลุมของหัวเว่ย ส่งผลให้มีการเข้าถึงโซลูชันเฉพาะอุตสาหกรรมเพื่อยกระดับการใช้งานและส่งเสริมความปลอดภัยบนระบบคลาวด์ให้ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบัน Huawei Cloud Stack ให้บริการลูกค้าภาครัฐและองค์กรมากกว่า 5,200 รายใน 150 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงระบบคลาวด์ของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) ใน 800 หน่วยงาน, สถาบันการเงิน 300 แห่ง, และองค์กรชั้นนำติดอันดับ Fortune Global 500 ถึง 70 แห่ง นอกจากนี้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังได้มีการใช้เทคโนโลยี Huawei Cloud Stack กับระบบคลาวด์ของภาครัฐและองค์กรมากกว่า 200 ระบบ ครอบคลุมทั้งการบริหารงานภาครัฐ, การเงิน, สายการบินและองค์กรขนาดใหญ่

ผู้นำด้านคลาวด์และ AI

ด้วยผลงานชั้นนำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี AI, องค์ความรู้ในอุตสาหกรรมที่ครอบคลุม และการบริการที่เป็นเลิศ Huawei Cloud Stack พร้อมให้การสนับสนุนและผลักดันองค์กรไทยสู่การปลดล็อกศักยภาพดิจิทัล และปูทางสู่การพลิกโฉมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนจากทีมบริการในประเทศของหัวเว่ย ครอบคลุมการบริการระดับมืออาชีพกว่า 80 รายการ สำหรับลูกค้าและแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อปรับใช้ให้ตรงกับความต้องการของธุรกิจ ในปัจจุบันหัวเว่ย คลาวด์ ครองอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้นำด้านบริการคลาวด์ และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดังกล่าวด้วยความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งสามด้าน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการบริการไฮบริดคลาวด์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่กำลังพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง

นอกจากนี้ หัวเว่ย คลาวด์ ได้ผนึกกำลังร่วมกับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) และลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ในประเทศไทย เพื่อผลักดันการบูรณาการข้อมูลและยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐบาลดิจิทัล ทั้งนี้หัวเว่ยยังจับมือกับโรงพยาบาลศิริราช นำเทคโนโลยี Huawei Cloud Stack มาใช้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีแบบครบวงจร ทำให้มีความยืดหยุ่นและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการด้านไอทีผ่านสถาปัตยกรรมอัจฉริยะ นอกจากนี้หัวเว่ย คลาวด์ ร่วมกับริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) นำ Huawei Cloud Stack ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบคลาวด์สำหรับรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในระดับประเทศ ยกระดับศักยภาพไฮบริดคลาวด์ในประเทศและฟูลสแต็กสำหรับหน่วยงานต่างๆของภาครัฐ ตลอดจนพัฒนาขีดความสามารถด้านการบริการของภาครัฐให้ดียิ่งขึ้น

ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการลงทุนอย่างยั่งยืนในอีโคซิสเต็มและโครงสร้างพื้นฐานของระบบสถาปัตยกรรมคลาวด์ในประเทศ หัวเว่ยจึงได้รับความไว้วางใจจากภาครัฐและองค์กรชั้นนำในประเทศไทย ในการร่วมยกระดับประเทศไทยสู่ยุคอัจฉริยะด้วยบริการคลาวด์แบบไฮบริด, บริการคลาวด์สาธารณะ และบริการคลาวด์ส่วนตัว ยิ่งตอกย้ำพันธกิจระยะยาวของหัวเว่ยที่มีต่อประเทศไทยและการปูทางสู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพด้วยการ 'ขับเคลื่อนทุกคนไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง'

กิ่งก้านใบ ผู้นำด้านการจัดสวนแนวโมเดิร์นฝีมือระดับโลก เผยไลฟ์สไตล์คนเมืองปัจจุบัน ดันธุรกิจออกแบบจัดสวนโตต่อเนื่อง พร้อมเปิดเทรนด์การจัดสวนโมเดิร์นสไตล์ Urban Living 2024 ตอบโจทย์และเติมเต็มทุกความต้องการของการใช้ชีวิตนอกตัวบ้านของคนยุคใหม่ที่ต้องการใกล้ชิดกับธรรมชาติ ในงาน “Ripple Retreat: The Garden Runway” นิทรรศการจำลองสวนขนาดย่อม และ Performing Runway ครั้งแรกของประเทศไทย ชี้ตลาดและดีมานด์การออกแบบจัดสวนในประเทศไทยและทั่วโลกยังขยายตัวได้อีกมาก สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการเกษตรทั้งระบบต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ

นายธวัชชัย ศักดิกุล สถาปนิก นักออกแบบ และผู้ก่อตั้ง บริษัท กิ่งก้านใบ จำกัด  เผยว่า หลังจากสถานการณ์โควิด 19 ระบาดหนัก ส่งผลต่อไลฟ์สไตล์และทำให้เกิดนิวนอมอลการใช้ชีวิตที่บ้านมายิ่งขึ้น ทำให้ความต้องการด้านออกแบบและจัดสวนขยายตัวโตตามไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับคอนเซปต์ Outdoor Living ของบริษัททื่ต้องการสนับสนุนให้ทุกคนใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆ กลางแจ้งได้อย่างที่ต้องการ รวมทั้งจากการที่ได้เป็นบริษัทออกแบบและจัดสวนหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่รับคัดเลือกไปโชว์จัดสวนในหมวด Urban Garden ในงาน RHS Chelsea Flower Show 2021 (อาร์เอชเอส เชลซี ฟลาวเวอร์ โชว์ 2021) มหกรรมแสดงดอกไม้และจัดสวนที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในโลก ซึ่งมีมาอย่างยาวนานกว่า 112 ปี ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทำให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก และนับเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจในระดับนานาชาติอีกด้วย ซึ่งจากการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศทำให้มองเห็นดีมานด์ในตลาดที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม จึงหันมาศึกษาไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนในประเทศต่างๆ รวมทั้งศึกษาสายพันธุ์ต้นไม้ที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศและ   ภูมิประเทศนั้นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญและถือเป็นหนึ่งในมาตรฐานของบริษัทในการออกแบบจัดสวนให้ดูแลง่าย สามารถเติบโตไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป

หากธุรกิจออกแบบจัดสวนของไทยยิ่งเติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลดีในวงกว้างต่อผู้ประกอบการด้านเกษตรของไทยทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ทั้งผู้ที่คิดค้นผสมพันธุ์ไม้ใหม่ๆ คนขายต้นไม้ ผู้ผลิตปุ๋ยโดยเฉพาะประเทศไทยมีความสามารถและศักยภาพด้านเกษตร สามารถคิดค้นพันธุ์ไม้ที่มีเอกลักษณ์ สีสันสวยงามทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ สิ่งนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาด้านเกษตรของประเทศและดึงดูดเม็ดเงินมากมายเข้าสู่ประเทศไปยังภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่างๆ

กิ่งก้านใบก่อตั้งขึ้นในปี 2549 ให้บริการออกแบบสวนเพียงอย่างเดียว และออกแบบก่อสร้างงานจัดสวนแบบครบวงจร กว่า 17 ปี ที่รับหน้าที่สร้างความสุขภายใต้การออกแบบและจัดสวนสไตล์โมเดิร์นไปแล้วถึง 2,044 สวน แต่ละสวนใช้กำลังคนที่มีความเชี่ยวชาญในหน้าที่ต่างๆ กว่า 80 คน เพื่อช่วยเติมเต็มชีวิตและความสุขของลูกค้า และด้วยความเป็นนักออกแบบจึงให้ความสำคัญกับความงดงามเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดสมบูรณ์แบบที่ตอบสนองทุกความต้องการของการใช้ชีวิตนอกบ้าน ทุกการออกแบบและทุกองศาขององค์ประกอบต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในสวน เกิดจากความตั้งใจและความใส่ใจที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับการใช้ชีวิตและการทำกิจกรรมภายนอกตัวบ้าน จึงทำให้สวนที่กิ่งก้านใบออกแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครเหมือน

ก่อนที่จะผ่านการคัดเลือกได้โชว์จัดสวนในงาน RHS Chelsea Flower Show 2021 ลูกค้าใหม่ส่วนมากจะมาจาก Word of Mouth การบอกปากต่อปากจากลูกค้าเดิมที่ชื่นชอบผลงานของบริษัท รวมทั้งจากการทำช่อง YouTube : @gingchannel รวมผลงานการออกแบบจัดสวนของบริษัท และเกร็ดความรู้เพื่อการจัดสวนในแง่มุมต่างๆ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูล และตัวอย่างงานจัดสวนของบริษัทให้กับผู้ที่ต้องการจัดสวน โดยสามารถแบ่งสัดส่วนลูกค้าในประเทศ 90% และลูกค้าต่างประเทศ 10% ได้แก่ อังกฤษ, ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, คูเวต, สิงค์โปร์, มาเลเซีย และอินโดนิเซีย หลังจากกนี้ทางบริษัทตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าในกลุ่มไฮเอนด์ และผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตและทำกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น

นางสาวพลอยทับทิม สุขแสง สถาปนิก นักออกแบบ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท กิ่งก้านใบ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ และการออกแบบจัดสวนแนวโมเดิร์นที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของทุกเจนเนอเรชั่นในครอบครัว จึงได้จัดงาน “Ripple Retreat: The Garden Runway” ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โชว์ในรูปแบบเพอร์ฟอร์มมิ่ง รันเวย์ นำเสนอเทรนด์การจัดสวนบ้านในเมือง สไตล์เออเบิร์น ลิฟวิ่ง 2024 ในคอนเซ็ปต์ Ripple Retreat – หยุดพักไตร่ตรองและเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เป็นสื่อกลางที่สื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายในเรื่องความเชี่ยวชาญและจุดยืนในการออกแบบจัดสวนที่เข้าใจถึงแก่นแท้ที่สะท้อนตัวตนและความต้องการของลูกค้าทุกคน”

การจัดโชว์ครั้งนี้ได้แรงบันดาลใจจากคอนเซปต์การจัดสวนโมเดิร์นสไตล์ Urban Living 2024 โดยใช้ต้นไม้ “ตระกูลซิตรัส” (Citrus Fruit) เป็นหัวใจหลัก เช่น ส้มจี๊ด เลม่อน และต้นไม้ชนิดอื่นๆ จำลองเป็นรูปแบบสวนสวยของคนเมือง เพื่อสะท้อนให้เห็นความสำคัญของพื้นที่สวนภายในบ้านที่ช่วยรีเฟรช ความรู้สึกและร่างกาย ปลดปล่อยความเครียดจากสิ่งต่างๆ ที่เจอมาในแต่ละวัน รวมถึงเป็นพื้นที่ๆ ทุกคนในครอบครัวได้ใช้เวลาและทำกิจกรรมร่วมกัน โดยแบ่งเป็น 6 ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตกลางแจ้ง ได้แก่ Meditation pergola มุมพักผ่อนที่เงียบสงบเหมาะกับการนั่งสมาธิ, Living patio ลานนั่งเล่นกลางแจ้ง เหมาะสำหรับนั่งอ่านหนังสือ, Patio ลานกว้างกลางสวนสำหรับรองรับกิจกรรมต่างๆ, Swing ชิงช้าในสวนมุมนั่งเล่นสุดชิล, Plunge pool สระว่ายน้ำมุมโปรดของคนชอบออกกำลังกาย หรือต้องการรีเฟรชร่างกาย และ Dining area โซนโต๊ะอาหารกลางแจ้งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบปาร์ตี้กับครอบครัวและเพื่อนฝูงอีกด้วย

ผู้ที่สนใจการออกแบบจัดสวนสไตล์โมเดิร์นของกิ่งก้านใบ ผู้นำด้านการออกแบบและจัดสวนสไตล์โมเดิร์นฝีมือระดับโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ginggaanbai.com หรือ ติดตาม อัปเดตเทรนด์สวนสไตล์ Urban Living ได้ที่ Facebook: กิ่งก้านใบ หรือ Youtube: @gingchannel

มั่นใจหลังปิดดีลยักษ์ใหญ่ ใน 5 ประเทศ ตอกย้ำวิสัยทัศน์ ‘CONNECTING THE WORLD’

บริษัท ปันโปรโมชั่น จำกัด (ปันโปร) แพลตฟอร์มโปรโมชั่นและไลฟ์สไตล์ออนไลน์ที่มีผู้ติดตามในเครือรวมกว่า 15 ล้านผู้ติดตาม ร่วมกับ บริษัท เรียลลี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (SEA Bridge) ผู้ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือผู้ประกอบการขยายตลาดต่างประเทศ พร้อมต่อยอดธุรกิจ สร้างเครือข่ายพันธมิตร ขยายโอกาสเติบโตให้กับธุรกิจไทยในเวียดนาม

นายกฤษฎา ตั้งกิจ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ปันโปร เปิดเผยว่า “จุดแข็งของปันโปรคือการนำข้อมูลและอินไซต์ของผู้บริโภคมาวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาและวางกลยุทธ์การสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เข้าถึงผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันเรามีแบรนด์ในเครือกว่า 10 แบรนด์ ผู้ติดตามรวมกันทุกแบรนด์กว่า 15 ล้านผู้ติดตาม ในช่วงเริ่มต้นเรานำเสนอเรื่องราวของความคุ้มค่าในด้านการซื้อสินค้าและโปรโมชั่น รวมถึงการนำข้อมูลที่เข้าใจยากมาปรับเป็นการสื่อสารที่เข้าใจง่าย และช่วยให้ผู้คนสามารถตัดสินใจเลือกสินค้าและบริการที่คุ้มค่าต่อตัวเองที่สุด ซึ่งนอกจากการส่งมอบคุณค่าต่าง ๆ ให้ผู้คนแล้ว แล้วเรายังตั้งเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศด้วย จึงเกิดเป็นความร่วมมือระหว่างปันโปร และ SEA Bridge ในการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อ Nghiện Thái (เหงียนไทย) หมายถึง เสพติดประเทศไทย หรือหลงรักความเป็นไทย เป็นภาษาเวียดนาม ซึ่งมีผู้ติดตามชาวเวียดนามมากกว่า 100,000 ผู้ติดตาม โดยนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ วัฒนธรรม สินค้า บริการของไทย รวมถึงการท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อเป็นช่องทางในการผลักดันให้สินค้าไทยได้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น”

นายแคสเปอร์ เสริมสุขสัน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SEA Bridge กล่าวเสริมว่า “SEA Bridge เป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจและนวัตกรรมให้ผู้ประกอบการไทยในต่างประเทศ ผ่านการสร้างโอกาส วิเคราะห์ตลาด เพื่อที่จะต่อยอดธุรกิจไทยในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคอาเซียน เรามีความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจัยที่เลือกขยายธุรกิจไปยังตลาดเวียดนาม เรามองว่าจำนวนประชากรเวียดนามมีกว่า 100 ล้านคน แนวโน้มกำลังซื้อผู้บริโภคเวียดนาม ประกอบกับอัตราการบริโภคและการขยายของสังคมที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีความต้องการบริโภคสินค้ามากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอุปโภคบริโภค แต่สิ่งที่น่าสนใจคือตัวเลขด้านการท่องเที่ยวจากคนเวียดนามที่เดินทางไปต่างประเทศ พบว่าประเทศไทยถือเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ เรามองว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสนำสินค้าและบริการเข้าไปแข่งขันในตลาดเวียดนามได้ ซึ่งล่าสุดได้ขยายเครือข่ายพันธมิตรที่เวียดนาม โดยร่วมลงนามความร่วมมือด้านการตลาดกับ Coc Coc Company Limited (Cốc Cốc) ผู้ให้บริการ Search Engine รายใหญ่ของเวียดนาม มีผู้ใช้บริการกว่า 30 ล้านคน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจไทยมีช่องทางประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการที่ประเทศเวียดนามมากขึ้น”

นายกฤษฎา กล่าวต่อว่า “แน่นอนว่าเป้าหมายสำคัญที่เราอยากผลักดันให้เกิดขึ้นคือ success case ที่เราจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเปิดตลาดที่เวียดนามได้ โดยเราตั้งเป้าการเติบโตในปี 2567 ของ Nghien Thai ไว้ที่ 1 ล้านผู้ติดตาม ซึ่งมองว่าเราจะเป็นพื้นที่ให้ผู้ประกอบการไทยสามารถประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการให้เข้าถึงคนเวียดนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ในสัดส่วนของรายได้เป็นเป้าหมายรอง เพราะจุดมุ่งหมายหลักเราคือการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผ่านสิ่งที่บริษัทฯ ช่วยวางรากฐานไว้ให้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับธุรกิจไทย ส่วนแผนการเติบโตในปีนี้เราวางแผนที่จะขยายแพลตฟอร์มออนไลน์ในประเทศต่าง ๆ เช่น อินโดนีเซีย จีน เกาหลี และซาอุดิอาระเบีย”

จากความสำเร็จของการส่งมอบความคุ้มค่าสู่ผู้คนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ผสานกับการวางแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและเครือข่ายที่แข็งแกร่ง นำไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่ตลาดต่างประเทศ

กรุงเทพมหานคร, สำนักงานเขตคลองเตย, การทางพิเศษแห่งประเทศไทยและบมจ.อิชิตัน กรุ๊ป ร่วมมือกันปรับปรุงพื้นที่ในเขตทางพิเศษเฉลิมมหานครบริเวณซอยสุขุมวิท 50 เขตคลองเตย เป็นสวนสาธารณะ “สวน 50 สุข” ทำให้พื้นที่ไม่ได้ใช้งานเกิดมีชีวิตชีวา มีคุณค่าและสร้างความเชื่อมโยงให้กับคนในชุมชน เพิ่มพื้นที่สีเขียว และมีส่วนช่วยบรรเทาสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 จากแนวคิดโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น และนโยบายสวน 15 นาที ของท่านชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

“สวน 50 สุข” มีขนาดพื้นที่ 12 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวา อยู่ในบริเวณใกล้จุดลงทางด่วนในซอยสุขุมวิท 50 เกิดจากแนวคิด 3+2x10 พื้นที่ได้รับการออกแบบเพื่อกระตุ้นให้เกิด 3 ฮอร์โมนแหล่งกำเนิดความสุข เซโรโทนิน โดปามีน และออกซิโตซิน เพื่อให้คนต่างวัย ต่างความชอบได้ใช้พักผ่อน ออกกำลังกายท่ามกลางความร่มรื่นของต้นไม้ เพื่อเพิ่มฮอร์โมนความสุขตามธรรมชาติ เสริมสร้างอารมณ์และความเป็นอยู่ที่ดี ตั้งแต่เส้นทางเดินอันเงียบสงบ ไปจนถึงลานกีฬาที่จะทำให้หัวใจสูบฉีด และมีสวนสำหรับสัตว์เล็ก เพื่อร่วมแบ่งปันความสุขกับสัตว์เลี้ยงของชุมชน รวมกับ 2 องค์ประกอบด้านจิตใจ คือ Art & Earth ที่จะสามารถเดินชมงานศิลปะกลางแจ้ง จุดประกายจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ กลางต้นไม้เขียว และภูมิทัศน์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เชื่อมคนเข้ากับโลก แล้วขยายความสุข x10 เพราะทุกกิจกรรม ทุกลานกีฬา ทุกเส้นทาง และทุกงานศิลปะ คือโอกาสให้คนในชุมชนได้ชวนเพื่อน ครอบครัว หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง แบ่งปันความสุข สุขภาพดี แล้วส่งต่อออกไปไม่รู้จบ

ท่านชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าว “สวน 50 สุข เป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่ตั้งใจเหมือนกันในการให้ความสำคัญกับสุขภาพกายสุขภาพใจของชุมชน ไปพร้อมกับสุขภาพของสิ่งแวดล้อม จากข้อมูลทราบว่า สวน 50 สุข  ถูกออกแบบมาให้เป็นมากกว่าพื้นที่สีเขียว เป็นพื้นที่ที่ส่งเสริมให้เกิดความสุขที่เกิดจากร่างกายแข็งแรงสร้างความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในระดับครอบครัวและระดับชุมชน และยังตั้งใจจะทำให้ชุมชนได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ไปพร้อมกับการปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และก็ขอบคุณที่สวนแห่งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนโครงการปลูกต้นไม้หนึ่งล้านต้น ร่วมกันต่อสู้กับมลพิษทางอากาศ สร้างพื้นที่ร่มเย็นเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพให้กับภูมิทัศน์กรุงเทพ อยากจะขอเชิญชวนคนกรุงเทพ โดยเฉพาะชุมชนข้างเคียง ร่วมกันดูแลสวนนี้ เพื่อให้สวนนี้ดูแลชุมชนของเรา และสร้างความสุขให้เกิดขึ้นทุกวัน”

ดร.วรปรัชญ์ พ้องพงษ์ศรี รองผู้ว่าการ (กฎหมาย) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการสนับสนุนว่า “การทางพิเศษฯ มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการให้ความร่วมมือปรับปรุงพื้นที่ในเขตทางพิเศษเฉลิมมหานคร บริเวณซอยสุขุมวิท 50 เขตคลองเตย จัดทำเป็นสวนสาธารณะ 50 สุข (ซอยสุขุมวิท 50) เพื่อสาธารณประโยชน์ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของชุมชน    โดยการทางพิเศษฯ ได้อนุญาตให้ กรุงเทพมหานคร (สำนักงานเขตคลองเตย) ใช้ที่ดินในเขตทางพิเศษเฉลิมมหานคร บริเวณซอยสุขุมวิท 50 สวนไทรเฉลิมพระเกียรติ เพื่อปรับปรุงให้เป็นพื้นที่สวนสาธารณะ (สวน 15 นาที) มีเนื้อที่ทั้งหมด 5,182 ตารางวา (12 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวา) โดยมีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ซึ่งการทางพิเศษฯ ต้องขอขอบคุณ กรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตคลองเตย บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในความร่วมมือกันปรับปรุงพื้นที่จนเกิดเป็นสวนสาธารณะ 50 สุข ในครั้งนี้ด้วย”

คุณตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเจตนารมย์การสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐด้านสิ่งแวดล้อม และแนวคิดในการปรับปรุงสวน 50 สุขว่า “ความสุขของผม คือการได้ปลูกต้นไม้ ได้เห็นต้นไม้ที่ผมปลูกเติบโตตามที่ต่างๆ สีเขียวของต้นไม้มันสบายตา ผมเก็บเป็นความภูมิใจที่ได้มีส่วนเล็กๆ ในการช่วยลดอุณหภูมิให้กับโลก ตอนที่ทราบโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น และนโยบายสวน 15 นาที ของท่านชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เมื่อช่วงปี 2565 ผมและพนักงานอิชิตันได้อาสาเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กรุงเทพ นอกจากออกแบบและสนับสนุนการฟื้นฟูพื้นที่ริมทางด่วน ให้กลายเป็น “สวน 50 สุข” วันนี้ผู้บริหารและพนักงานอิชิตันจะร่วมปลูกต้นไม้จำนวน 1,000 ต้น ซึ่ง 1,000 ต้นนี้ เป็นส่วนหนึ่งใน New Year Resolution ที่จะปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น โดยอีก 9,000 ต้นผมได้ปลูกเสร็จเรียบร้อยที่เขาชีจรรย์ จังหวัดชลบุรี

ภายใน “สวน 50 สุข” อิชิตันได้ร่วมมือกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) จัดทำระบบบริหารจัดการขยะแบบ Closed Loop ส่งเสริมให้ชุมชนเห็นประโยชน์ของการหมุนเวียนทรัพยากร ผ่านการมีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เพื่อนำกลับเข้าสู่ Circular Economy หมุนเวียนนำขยะกลับมาสร้างคุณค่าใหม่ เพราะอิชิตันเชื่อว่าแท้จริงแล้วโลกนี้ไม่มีขยะ ถ้าหากเราทุกคนบริโภคอย่างรับผิดชอบ ร่วมมือกันแยกขยะแล้วนำกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตซ้ำ เพื่อเป็นการดูแลสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน “สวน 50 สุข” จึงเป็นความสุขที่ผมและพนักงานอิชิตัน จะขอส่งต่อความสุขให้กับสังคมเพื่อเป็นการขอบคุณที่ทุกคนสนับสนุนอิชิตันมาตลอด”

ด้าน ดร.ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืนองค์กร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “GC ในฐานะผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ ที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ สนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องตามแผนกลยุทธ์มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050 และเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาขยะในประเทศไทย GC จึงได้ขยายผลการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้สู่ภาคสังคม ผ่าน “YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม” ที่จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการขยะอย่างถูกวิธีเพิ่มความสะดวกและส่งเสริมเรื่องการคัดแยกขยะให้ถูกประเภท ไปจนถึงการขนส่งขยะประเภทที่นำไปรีไซเคิลและอัพไซเคิลได้ให้กลับเข้าสู่วงจรการผลิต ลดเส้นทางขยะสู่หลุมฝังกลบอย่างเป็นรูปธรรมโดย GC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำ “YOUเทิร์น” เข้ามาบริหารจัดการขยะอย่างถูกวิธีและสนับสนุนให้พื้นที่สวนสาธารณะ 50 สุขแห่งนี้ กลายเป็นพื้นที่ต้นแบบในการส่งต่อแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนให้สามารถทำได้จริงในชีวิตประจำวัน สร้างประโยชน์ให้ และมีส่วนช่วยสร้างความสุข สร้างสิ่งแวดล้อมดีๆ ให้กับทุกๆ คนในชุมชน ต่อไป”

Make It A Better Place For You & For Me สุขภาพและคุณภาพชีวิตดีๆ เปิดให้คุณใช้บริการฟรีที่ “สวน 50 สุข” แล้ววันนี้

สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management) และ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน พร้อมแล้วสำหรับการจัดการแข่งขันพัฒนาแผนธุรกิจระดับโลก Bangkok Business Challenge 2024 ในเวทีระดับโลก ครั้งที่ 22 ภายใต้แนวคิด Growing Impactful Ventures” เปิดรับสมัครนิสิต นักศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก ที่มีความคิดสร้างสรรค์ จากทุกสาขาทุกมหาวิทยาลัยทั่วโลก เข้าร่วมคัดเลือกเพื่อเฟ้นหาทีมที่มีความโดดเด่นในด้านความคิด เครื่องมือ นวัตกรรม เปิดโอกาสการเรียนรู้ สร้างประสบการณ์ ต่อยอดความคิดไปสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน พร้อมชิงถ้วยรางวัลเกียรติคุณและรางวัลเงินสด รวมทุกรางวัลมูลค่ากว่า 42,000 เหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1,500,000 บาท 

มาร่วมเป็นหนึ่งในทีมที่จะมีโอกาสสัมผัสประสบการณ์การแข่งขันระดับโลก เปิดตัวไอเดียและนวัตกรรมสุดสร้างสรรค์ สมัครเข้าร่วมการแข่งขัน Bangkok Business Challenge 2024 ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 29 มีนาคมนี้ โดยการแข่งขันรอบ Semi-final และรอบ Final จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 22 มิถุนายน 2567 ณ ศศินทร์ รีบสมัครได้แล้ววันนี้ที่ https://bit.ly/apply2bbc2024 สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ทาง Facebook page: bangkokbusinesschallenge หรือ https://bbc.sasin.edu/2024/

บมจ.ทีคิวเอ็ม อัลฟา โดย บจก.ทีคิวเอ็ม อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ (TQM) ร่วมกับ บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) เปิดตัวประกันภัยคุ้มครองโรคจากมลพิษทางอากาศ PM 2.5 เพื่อเพิ่มความคุ้มครองแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากค่าฝุ่นที่สูงเกินมาตรฐาน ด้วยกรมธรรม์คุ้มครองโรคร้ายที่มีสาเหตุมาจากการได้รับผลจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ด้วยเงินก้อนปลอบขวัญ เพื่อเป็นค่าชดเชยค่ารักษาพยาบาล กรณีที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และเงินชดเชยเงินรายวัน รวมถึงค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยนอก (OPD) เบี้ยเริ่มต้นเพียงหลักพันต่อปี คุ้มครองสูงสุดถึงหลักแสน   

ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธาน บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด (TQM) กล่าวว่า ภัยของฝุ่น PM 2.5 รุนแรงขึ้นทุกปีและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนแบบไม่รู้ตัว จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA รายงานว่า พบค่าฝุ่น PM 2.5 ในภาพรวมของประเทศที่สูงเกินมาตรฐาน โดยมีระดับสีแดงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่หลายจังหวัด ประกอบกับข้อมูลด้านการแพทย์ ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2566 คนไทยป่วยด้วยโรคจากมลพิษทางอากาศรวมกว่า 9 ล้าน 2 แสนคน (ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ยิ่งสะท้อนให้เห็นความรุนแรงของฝุ่น PM 2.5 ซึ่งกำลังเป็นปัญหา ที่ทั่วโลกต่างเผชิญร่วมกัน อยู่ ด้วยค่าฝุ่น PM 2.5 ที่ประเทศไทย ต้องประสบปัญหานี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อร่างกายและอาจทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ รวมถึงโรคร้ายแรงต่างๆ ทำให้หลายคนเกิดความกังวลใจว่าจะป้องกันและดูแลสุขภาพช่วงนี้อย่างไรให้ห่างไกลอันตรายจากการสูดดมฝุ่นละอองนี้เข้าไป รวมถึงความกังวลในเรื่องการแบกรับค่ารักษาพยาบาลที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จึงได้นำมาเป็นแนวคิดในการร่วมมือออกกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคจากมลพิษทางอากาศ PM 2.5

ด้าน ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI กล่าวว่า จากความห่วงใยสุขภาพของประชาชนที่กำลังเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพประกันภัย และ TQM จึงร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยคุ้มครองโรคจากมลพิษทางอากาศ PM 2.5 นี้ขึ้นมา โดยบริษัทฯ ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มครองผู้มีความเสี่ยงจากการได้รับผลกระทบจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งครอบคลุมถึงการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โรคตาแดง โรคเยื่อบุตาอักเสบรวมถึงโรคร้ายแรงที่อาจเป็นผลจากการได้รับฝุ่น PM 2.5 เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคถุงลมโป่งพอง และโรคมะเร็งปอด เป็นต้น

กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคจากมลพิษทางอากาศ PM 2.5 จะช่วยคลายความกังวลใจและช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย ด้วยความคุ้มครองที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก (OPD) เงินชดเชยรายได้รายวันสูงสุด 30 วัน และการชดเชยด้วยเงินปลอบขวัญ (เงินก้อน) กรณีเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่น้อยกว่า 5 วัน โดยวงเงินคุ้มครองจะขึ้นอยู่กับแต่ละแผนความคุ้มครองที่มีให้เลือกถึง 4 แผน สามารถทำประกันภัยได้ตั้งแต่อายุ 6 - 59 ปี เบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 1,400 บาทต่อปี  สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 – 65 ปี เบี้ยประกันภัยเริ่มต้น 1,700 บาทต่อปี

ด้าน ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด (TQM) กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาการรักษากลุ่มโรคที่อาจจะมีสาเหตุจากฝุ่น PM 2.5 นั้น เราสามารถใช้ประกันสุขภาพ ที่ครอบคลุมทุกโรคได้ แต่เนื่องด้วยประกันสุขภาพมีเบี้ยประกันภัยค่อนข้างสูง การมีกรมธรรม์ระบุโรคที่เกิดจากความเสี่ยง แบบเฉพาะ เช่น ความคุ้มครองโรคจากมลพิษทางอากาศ PM 2.5 เช่นนี้ จะทำให้เบี้ยประกันภัยถูกลง จึงเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงประชาชนได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ความร่วมมือกับ BKI ยังสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และเน้นความคุ้มครองโรคที่น่าจะเกิดจากผลของฝุ่น PM 2.5 ปัจจุบันแม้ภัยของฝุ่น PM 2.5 จะเหมือนเป็นภัยเงียบ แต่จริงๆ แล้วส่งผลเสียต่อร่างกายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคจากมลพิษทางอากาศ PM 2.5 บริษัทฯ จึงได้หารือร่วมกับ BKI เพื่อออกแบบกรมธรรม์ ประกันภัยที่เหมาะสมกับลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อเพิ่มความคุ้มครองและ พร้อมช่วยคลายความกังวลในการแบกรับค่ารักษาพยาบาลที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากมลพิษทางอากาศ PM 2.5 ด้วย กรมธรรม์ที่มีรูปแบบความคุ้มครองที่หลากหลาย เข้าถึงง่าย โดยสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันภัยทางออนไลน์และออฟไลน์ ได้ที่ www.tqm.co.th, Application TQM24 หรือโทรสายด่วน 1737 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

“ไลอ้อน ประเทศไทย” หนุน “ผักโมโรเฮยะ” ราชาแห่งผัก ดันเป็นพืชอัตลักษณ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น นำมาพัฒนาสารสกัดวัตถุดิบ ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อคนไทย เล็งขยายพื้นที่การเพาะปลูกเพิ่ม รองรับการขยายกำลังการผลิตในอนาคต

นายชูชีพ อภิรักษ์ ผู้จัดการส่วนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ พัฒนาสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง เปิดเผยว่า ไลอ้อน ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาวะที่ดีอย่างต่อเนื่อง ให้สอดรับกับพฤติกรรมและช่วงวัยของผู้บริโภค โดยเล็งเห็นความสำคัญของพืชพื้นถิ่น ไม่ว่าจะเป็น สารสกัดตรีผลาจากสมอไทยและสมอเทศ สารสกัดมะไฟจีน และสารสกัดผักโมโรเฮยะ เป็นต้น โดยดึงประโยชน์จากพืชพื้นถิ่น นำมาพัฒนาสารสกัดจนนำไปสู่ผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อคนไทย ทั้งยังสร้างประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน สิ่งแวดล้อมและสังคม (Sustainable R&D Direction)

“ผักโมโรเฮยะ ถูกขนานนามว่า เป็นพระราชาแห่งผัก ด้วยคุณประโยชน์ที่โดดเด่น มีสารพรีไบโอติกสูง สามารถสกัดนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ไลอ้อนได้ อีกทั้งยังเป็นผักที่เพาะปลูกง่ายมีวงจรการเพาะปลูกตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการเก็บเกี่ยวประมาณ 2 เดือนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ไลอ้อน จึงส่งเสริมการเพาะปลูกผักโมโรเฮยะให้กับชุมชน เพื่อนำมาจำหน่ายให้กับไลอ้อน โดยปัจจุบันมีแปลงสาธิตที่ภาคเหนือ จ.น่าน โดยร่วมมือกับศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ (ศนก.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ในการส่งเสริมการปลูก รวมไปถึงความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดลในการวิเคราะห์ตรวจสอบเกี่ยวกับค่าของการลดคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเราพบว่านอกจากจะเป็นผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว ยังสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้อีกด้วย” นายชูชีพ กล่าว

ด้วยคุณประโยชน์เด่นที่รอบด้านของ “ผักโมโรเฮยะ” ปัจจุบันไลอ้อนได้นำมาพัฒนาผ่านกระบวนการพิเศษในการสกัดจนได้มาซึ่งสารสกัดที่มีคุณภาพ โดยทำการวิจัยและทดสอบอย่างรอบด้าน ผ่านความร่วมมือกับสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์กรมหาชน) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร (ศนส.) รวมทั้งผ่านมาตรฐานความปลอดภัย OECD จากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) จนได้มาเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก ที่ส่งเสริมจุลินทรีย์ที่ดีและปกป้องจากจุลินทรีย์ที่ไม่ดี ได้แก่ ยาสีฟัน Salz King Herb ผลิตภัณฑ์ Shokubutsu Facial gel และ Shower gel ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค การันตีด้วยการคว้ารางวัลด้านนวัตกรรมระดับโลกจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และรางวัลผลิตภัณฑ์นวัตกรรมด้านสุขภาพจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

นายวิเชียร โฆษิตวัฒน์ ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและธุรการ บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย จำกัด ผู้ดูแลแปลงผักโมโรเฮยะ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เล่าถึงการดูแลแปลงผักโมโรเฮยะตั้งแต่เริ่มปลูกจนกระทั่งเก็บเกี่ยวว่า “ผักโมโรเฮยะเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตตามธรรมชาติ ชอบแสงแดด ศัตรูพืชน้อย เมื่อโตเต็มที่ 45 วัน สามารถตัดยอดได้เลย โดยใช้ประโยชน์จากใบสดและตากแห้งนำมาทำเป็นใบชา สำหรับการเก็บเกี่ยวหลังจากตัดประมาณ 30 เซนติเมตร จากยอดลงมา ส่วนที่ตัดจะนำไปแจกจ่ายชุมชนหรือพนักงานในบริษัท เพื่อนำไปประกอบอาหาร โดยสามารถทำอาหารได้หลายรูปแบบ และหลังจากที่ตัดผักโมโรเฮยะไปแล้ว 30 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้อีกครั้ง โดยไม่ต้องใส่ปุ๋ย

เสียงตอบรับจากผู้บริโภคที่ได้รับประทานผักโมโรเฮยะ จนนำไปสู่ความมั่นใจในการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของผักโมโรเฮยะ

นางรุ่งฤดี พรพัฒนไพโรจน์ ผู้ที่ได้บริโภค “ผักโมโรเฮยะ” กล่าวถึงความรู้สึกว่า “เราอยู่ในชุมชนรอบไลอ้อน ได้เห็นว่าทางไลอ้อนได้ปลูกผักโมโรเฮยะและมีการแจกจ่ายให้กับชุมชน จากที่ได้นำไปรับประทาน รู้สึกชอบ จึงได้หาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า เป็นผักที่มีประโยชน์เรียกว่า “ราชาผัก” และมีวิตามินมาก ๆ ซึ่งเป็นผักที่สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็น ผักโมโรเฮยะผัดไข่ แกงส้มผักโมโรเฮยะ แม้กระทั่งลวกจิ้มกับน้ำพริกก็อร่อย นอกจากการรับประทานผักแล้ว ยังมีโอกาสได้ใช้ผลิตภัณฑ์ไลอ้อน Salz King Herb ที่มีส่วนผสมของผักโมโรเฮยะ รู้สึกประทับใจในคุณภาพ ลมหายใจสดชื่นและปากสะอาดมาก นอกจากนี้ยังได้ใช้โฟมล้างหน้า Shokubutsu ก็ประทับใจเช่นกัน จึงอยากให้ทุกคนลองเปิดใจกับผักโมโรเฮยะและอยากให้ทุกคนได้ทดลองใช้”

นายเทวินทร์ อินทรสว่าง ที่ได้บริโภค “ผักโมโรเฮยะ” กล่าวเปิดใจว่า “ได้รู้จักผักโมโรเฮยะ จากผลิตภัณฑ์ Salz King Herb และโฟมล้างหน้า หลังจากที่ลองใช้ผลิตภัณฑ์ก็รู้สึกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ หลังจากที่ใช้ยาสีฟัน Salz King Herb รู้สึกปากสะอาดและสดชื่น ในส่วนของตัวโฟมล้างหน้าหน้ารู้สึกสะอาด ไม่มันและไม่แห้ง และเมื่อได้มีโอกาสไปหาซื้อผักโมโรเฮยะนำมาประกอบอาหารแบบง่าย ๆ ได้แก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ใส่ผักโมโรเฮยะ และนำไปผัดใส่น้ำมัน รู้สึกว่ารสชาติของผักโมโรเฮยะไม่ขม และสามารถทานได้ทุกคนและทุกวัย”

“ผักโมโรเฮยะ” เป็นเพียงหนึ่งในจำนวนหลายพืชพื้นถิ่น ที่เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านและเป็นผลผลิตชุมชนของชาวบ้านในประเทศไทย ยังมีพืชพื้นถิ่นอีกจำนวนมากที่สามารถนำมาสกัดเป็นวัตถุดิบที่มีประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย คงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีพืชพื้นถิ่นใดอีกบ้าง ซึ่งไลอ้อน ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยการดึงประโยชน์จากพืชพื้นถิ่นทั่วประเทศ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน สิ่งแวดล้อมและสังคม

SNNP” เปิดกลยุทธ์เดินเกมบุกตลาดปี 2567 สร้าง New S-Curve ลุยธุรกิจใหม่ ครั้งแรกกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรูปแบบเยลลี่รสผลไม้สำหรับแต่ละช่วงวัย เจาะตลาดพรีเมียมแมส วางจำหน่ายร้านสะดวกซื้อ 7-11 ราคาซองละ 15 บาท เน้นสื่อสารการตลาดผ่าน KOL สายบุคลาการทางการแพทย์และไลฟ์สไตล์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เผยปี 2566 ที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท หรือ 23% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ส่วนรายได้รวม 6,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 445  ล้านบาท หรือ 8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 5,604 ล้านบาท จากปัจจัยแผนการตลาดที่ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มองแนวโน้มตลาดปีนี้ยังคงท้าทาย แต่ SNNP เติบโตได้เป็นตัวเลข 2 หลัก

เปิดกลยุทธ์เดินเกมต้นปีลุยสร้างธุรกิจใหม่ บุกตลาดเสริมอาหารเต็มพิกัด

นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP กล่าวว่า สำหรับแผนการทำธุรกิจในปีนี้ บริษัท ฯ มีความพร้อมสร้าง New S-Curve กับธุรกิจใหม่ ในการลงทุนพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Supplementary) ภายใต้แบรนด์ ”เจเล่ฟิตต์” (Jele Fitt) ครั้งแรกของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบเยลลี่รสผลไม้ ที่ถูกพัฒนาเพื่อให้เหมาะกับคนแต่ละช่วงอายุที่แตกต่างกัน ราคาซองละ 15 บาท (1 ซอง บรรจุ 27 กรัม) วางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11

“ตลาดอุตสาหกรรมเสริมอาหารในไทยมีมูลค่ากว่า 8.7 หมื่นล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 10% ในปี 2566 ถ้าแบ่งตลาดอาหารเสริมในไทยตามคุณประโยชน์ กลุ่มอาหารเสริมที่เน้นคุณโยชน์สุขภาพโดยรวม มีสัดส่วนถึง 29% หรือประมาณ 25,230 ล้านบาท จากการศึกษาพฤติกรรมและมุมมองของผู้บริโภคต่อสินค้า กลุ่มอาหารเสริมในประเทศไทย ทำให้ทราบถึงความต้องการของผู้บริโภค จึงได้พัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการนั้น ซึ่งยังไม่มีใครนำเสนอในตลาด และสิ่งที่เราค้นพบคือผู้บริโภคในแต่ละช่วงอายุ มีความต้องการ อาหารเสริมในปริมาณที่ไม่เท่ากัน โดยสินค้าอาหารเสริมที่เหมาะสมตามช่วงอายุ ได้ถูกพัฒนาและวางขายในต่างประเทศมาหลายปีแล้วและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ดังนั้นแนวความคิดในการออกแบบสินค้า คือร่างกายคนเรามีความแตกต่างไม่เหมือนกัน และมีความต้องการสารอาหารที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงวัย ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงกำหนดกลยุทธ์เป็น New S Curve ของ SNNP เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2567 ซึ่งจากผลวิจัยและกลยุทธ์ดังกล่าวทางบริษัทฯ จึงนำมาพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ เจเล่ฟิตต์ ที่ออกแบบมาให้ฟิตต์แต่ละช่วงวัย และเป็นครั้งแรกที่ SNNP วางตลาดสินค้าอาหารเสริมในตลาด premium mass market

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเจ้าเดียวในรูปแบบเยลลี่รสผลไม้

ด้วยแนวความคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ เจเล่ฟิตต์ ที่ถูกพัฒนาเพื่อให้เหมาะกับคนแต่ละช่วงอายุที่แตกต่างกัน ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงวัย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำหรับวัย 20-29 ปี, สำหรับวัย 30-39 ปี และสำหรับวัย 40-49  ปี ซึ่งจากการวิจัย Jele Fitt ชนะใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านแนวความคิดผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค สินค้ารสชาติอร่อย ถูกปาก บรรจุภัณฑ์ที่สะดวกพกพาง่าย รวมถึงรูปแบบการดีไซน์ที่โดดเด่น โดยมากกว่า 80% ของคะแนนความชอบโดยรวม มีความชื่นชอบในรสชาติของผลิตภัณฑ์กว่า 80% มีความสนใจที่จะซื้อเพิ่มมากขึ้นหลังจากได้ลองชิมสินค้า และมีรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่น สื่อสารชัดเจน ในแต่ละซีรีย์ มาพร้อมกับการสื่อสารทางการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค

สื่อสารผ่าน KOL สายบุคลาการทางการแพทย์-ไลฟ์สไตล์ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

การสื่อสารการตลาดได้จัดทำหนังโฆษณาออนไลน์ มีการแจกสินค้าตัวอย่าง และทำสื่อสารผ่าน KOL สาย HCP (บุคลาการทางการแพทย์) และสายไลฟ์สไตล์ ที่ได้มีโอกาสทานผลิตภัณฑ์จริงๆ มาแบ่งปันประสบการณ์การทาน และถือเป็นครั้งแรกสำหรับการเปิดห้องให้ความรู้กับรายการ Fitt Talk by Jele Fitt ซึ่งเป็น social club เปิดให้มีการพูดคุยในทุกปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

สำหรับ KOL สาย HCP Health care Professional ซึ่งเป็นบุคลาการทางการแพทย์ จะมีช่อง Fitt Talk by Jele Fitt ได้แก่ Fitt Talk 20, Fitt Talk 30 และ Fitt Talk 40 เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่น การสร้างความน่าเชื่อถือและยืนยันว่าร่างกายของคนเราแตกต่างกัน จึงต้องการผลิตภัณฑ์อาหารเสริมตามช่วงวัยที่ไม่เหมือนกัน และ  KOL สาย Lifestyle จะมีช่อง Fitt Talk by Jele Fitt ได้แก่ Fitt Talk 20, Fitt Talk 30 และ Fitt Talk 40 เพื่อสร้างความมั่นใจจาก KOL ที่ได้ทดลองผลิตภัณฑ์จริง มาช่วยคอนเฟิร์มถึงคุณประโยชน์และความอร่อย

รวมไปถึงการแจกสินค้าตัวอย่างให้กลุ่มเป้าหมายตามมหาวิทยาลัย และ office building การวางสินค้าที่โดดเด่นบนชั้นวางสินค้า ด้วยแผนการตลาดทั้งหมด สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกว่า 80% สำหรับ 1 ซอง  บรรจุ 27 กรัม ราคาจำหน่ายอยู่ที่ซองละ 15 บาท มีวางจำหน่ายที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ 

มองแนวโน้มตลาดปีนี้ยังคงท้าทาย แต่ SNNP ยังเติบโตได้เป็นตัวเลข 2 หลัก

นายวิโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้มองว่าจะยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัว ซึ่งเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการที่จะต้องหากลยุทธ์มาขับเคลื่อนให้ธุรกิจมีการเติบโต ซึ่งจากกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปีนี้ของบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทำรายได้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2566 มีกำไรสุทธิ 636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท หรือ 23% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ส่วนรายได้รวม 6,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 445  ล้านบาท หรือ 8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 5,604 ล้านบาท โดยปัจจุบันภาพรวมตลาดขนบขบเคี้ยวในไทยมีการเติบโตเฉลี่ย 3-5%  มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 43,000 ล้านบาท

X

Right Click

No right click