เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ หลายคนคงกำลังมองหาที่เที่ยวสำหรับช่วงหยุดยาวเพื่อพักกายพักใจจากความวุ่นวายในที่ทำงาน และแน่นอนว่าการเที่ยวสายมูเสริมดวง คงจะอยู่ในลิสต์ลำดับต้นๆ ในการทำแผนการท่องเที่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะ “ประเทศฮ่องกง” ที่ใช้เวลาเดินทางจากประเทศไทยเพียง 2.5 ชั่วโมง เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เป็นเมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ที่นอกจากจะเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสวรรค์ของนักชิมแล้ว ยังมีความโดดเด่นในการไหว้พระขอพรตามวัดดังต่างๆ เช่น วัดหว่องไท่ซิน วัดแชกงหมิว วัดนางชี ฉีหลิน ฯลฯ และขึ้นชื่อในด้านการเสริมดวงชะตา "ฮวงจุ้ย" ศาสตร์แห่งการจัดวางสิ่งของเพื่อเสริมสิริมงคลอันโด่งดังอย่างตึก sky100” จุดชมวิวฮ่องกงที่สูงที่สุด ตั้งอยู่บนอาคารสูงที่สุดของฮ่องกง ให้นักท่องเที่ยวได้รับชมวิวทิวทัศน์แบบ 360 องศา พร้อมโอบรับสิริมงคลและโชคลาภจากทั่วทั้งเกาะมาไว้ที่นี่ที่เดียว

อาจารย์ฉี เซียน หยูว ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ฮวงจุ้ยชื่อดัง เปรียบเสมือนเจ้าแม่กวนอิมแห่งซัมชุยโป ได้ทำนายว่า จุดที่มีพลังมังกรมหาศาลมากที่สุดบนฮ่องกง คือบริเวณ อาคารไอซีซี ซึ่งเป็นที่ตั้งของตึก sky100 จุดชมวิวแบบพาโนรามาที่สูงที่สุดของประเทศ ราวกับเป็น 'ฟ้า' 'ดิน' และ 'ทะเล' มองดูด้านบนของตึกคล้าย 'หัวมังกร' หลังคาแก้วที่ทอดยาวตั้งแต่หัวไปจนถึง 'หางมังกร' เล่นแสงเปล่งประกายสีทองเมื่อกระทบแดด ว่ากันว่าหากได้มาเยี่ยมชม จะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต เสริมโชคลาภ ความรัก และนำพาความสุขมาให้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ อาจารย์ฉียังได้เล่าเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสริมฮวงจุ้ยว่า หากใครจะมาขอเรื่องโชคลาภการเงิน หน้าที่การงาน และคู่ครอง อาจารย์จะพาทุกคนขึ้นสู่ sky100 ในเวลาเพียง 60 วินาทีด้วยลิฟต์แบบห้องโดยสารคู่ที่เร็วที่สุดในฮ่องกงเพื่อดูดซับพลังจากสวรรค์และผืนพิภพ

เคล็ดลับเพิ่มความมั่งคั่ง: ให้พกเหรียญนำโชคที่ได้จากร้านของฝาก sky100 เพื่อดูดซับพลังที่ดี โดยวางเหรียญไว้ที่หน้าต่างดาดฟ้าทางทิศเหนือ หลังจากขอพรให้เก็บเหรียญไว้ใกล้ตัวตลอดปีมังกร เพื่อให้พลังแห่งมั่งคั่งสถิตอยู่กับเรา รับชมคลิปวิดีโอได้ที่:

สีเสื้อมงคลเสริมความรัก: สวมชุดหรือเสื้อผ้าสีแดงขณะกำลังดื่มด่ำกับแสงพระอาทิตย์ตกดิน จากนั้นให้ไปฝั่งดาดฟ้าด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ และถ่ายรูปในช่วงเวลานั้นเพื่อเสริมดวงความรักและคู่ครองให้เจอแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต รับชมคลิปวิดีโอได้ที่:

เตรียมตัวให้พร้อม เติมพลังมังกร เสริมสิริมงคล สายมูตัวจริงห้ามพลาด! sky100 คือจุดหมายปลายทางอันดับแรกที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนฮ่องกง นอกจากวิวทิวทัศน์อันตระการตาแล้ว sky100 ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมฮ่องกงที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น จุดถ่ายรูปพาโนรามาเท่ๆ เชื่อมต่อแอปพลิเคชันที่ทันสมัย รูปถ่ายสนุกๆ แบบ AR กำแพงเรื่องราวความยาว 28 เมตรแบบมัลติมีเดีย พิเศษ! ส่วนลดสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2567 รับส่วนลดสูงสุด 25% สำหรับการจองตั๋วเข้าชมผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ทางการของ sky100 https://sky100.com.hk/en/offers/overseas-ticket-offer/

สัมผัสฮ่องกงครบ 100% ในครั้งเดียว!

  • เปิดให้บริการ: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.30 น. (เข้าชมก่อนเวลา 20.00 น.)
  • ที่อยู่: ชั้น 100 อาคารเซ็นเตอร์การค้านานาชาติ สถานีรถไฟใต้ดิน Kowloon ฮ่องกง
  • การเดินทาง: เดินทางจากสนามบินนานาชาติฮ่องกงด้วย Airport Express ไปยังสถานี Kowloon (ประมาณ 20 นาที) เดินออกทางออก C ผ่านห้างสรรพสินค้า Elements เข้าสู่ตึก sky100

 

องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมกับจังหวัดสมุทรปราการ และกองทัพเรือ จัดงานพิธีเปิดการแสดงแสงเสียงสื่อผสมในรูปแบบมิวสิคัล รำลึกเหตุการณ์ ร.ศ. 112  “ปราการเวลา The Theatre” ภายใต้โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรปราการทางด้านประวัติศาสตร์ โดยมี นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ให้การต้อนรับและกล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน พร้อมกันนี้ได้รับเกียรติจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ และแขกผู้มีเกียรติร่วมงานในครั้งนี้ ณ โรงละครกลางแจ้ง ป้อมพระจุลจอมเกล้า

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า การจัดการแสดง “ปราการเวลา The Theatre” ในครั้งนี้ นอกจากจะมีขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยแล้ว ยังเป็นการดำเนินการตาม “นโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย” ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ที่ได้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นโอกาสในการจัดจำหน่ายสินค้า และสร้างอัตลักษณ์ชุมชนให้เข้มแข็ง เป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมต่อไป การที่ชุมชนใดจะกลายเป็น “แหล่งท่องเที่ยว” ที่เป็นที่นิยมได้นั้น จะต้องมี “ตัวตน” และ “เอกลักษณ์” ที่ชัดเจน การจัดงานหรือกิจกรรมพิเศษ เช่นในวันนี้นั้น สามารถเป็นการจุดประกายให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของเราได้ แต่ทางจังหวัดและพี่น้องประชาชนในพื้นที่คงตระหนักดีว่า ยังมีภารกิจที่จะต้องช่วยกันต่อยอด สร้าง “ประสบการณ์” ที่ดีให้กับผู้มาเยือนอย่างต่อเนื่อง จึงจะทำให้เกิดการบอกเล่าปากต่อปาก จนกลายเป็นความนิยมที่ยั่งยืนขึ้นได้”

นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า “องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ได้มีโอกาสจัดงานสำคัญในโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรปราการทางด้านประวัติศาสตร์ “การแสดงแสงเสียงสื่อผสม ในรูปแบบมิวสิคัลรำลึกเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ปราการเวลา The Theatre”  โดยจัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติ และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประเทศชาติไทย  อีกทั้ง เพื่อเป็นการสืบสานอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของจังหวัดสมุทรปราการ การแสดงปราการเวลา The Theatre เป็นการนำจุดเด่นที่ทางจังหวัดมี นำมาขยายและร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ด้วยการนำท่านผู้ชมล่องผ่านกาลเวลา ตั้งแต่บริเวณปากน้ำแห่งนี้ยังเป็นท้องทะเลกว้างใหญ่ ไม่มีผืนแผ่นดิน จนเกิดแผ่นดินขึ้นมา แล้วปากน้ำก็มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นเมืองท่าและเมืองหน้าด่านที่สำคัญ นับเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุครัตนโกสินทร์  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ขึ้น ป้อมปราการในจังหวัดสมุทรปราการ รวมถึงป้อมพระจุลจอมเกล้าแห่งนี้ ก็ได้มีส่วนในการปกป้องอธิปไตยของชาติไทย และสถานที่แห่งนี้ ที่เรารวมกันอยู่ในเวลานี้ ก็คือสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ในครั้งนั้น”

องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ยังมีกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านกิจกรรมทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม และประเพณีที่ดีงามของจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อชักนำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้หันมาสนใจประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น อันจะเป็นมิติใหม่ของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และยังผลักดันเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อภาคประชาชน และจังหวัดสมุทรปราการต่อไป

ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย มอบหมายให้นางสาวพิชยาพร ด่านทวีศิลป์ เจ้าหน้าที่ 2 พร้อมด้วยลูกจ้างกองทุนประกันวินาศภัย เข้าร่วม “โครงการอาสาสมัครประกันภัย” ประจำปี 2567 อบรมความรู้ให้แก่อาสาสมัครประกันภัย ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2567 ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ โฮเทล กรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจากนายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการด้านกฎหมาย คดี และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ เป็นประธานเปิดการอบรม และนางจตุรัตน์ มณีวรรณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานบริหารงานประกันภัยภูมิภาค เป็นผู้กล่าวรายงาน

โดยภายในงานมีการบรรยายในหัวข้อต่าง ๆ อาทิ หัวข้อ “การรู้จัก คปภ. และบทบาทอาสาสมัครประกันภัย” บรรยายโดยวิทยากรกลุ่มพัฒนาเครือข่ายและการมีส่วนร่วม, หัวข้อ “การใช้สิทธิประโยชน์จากการประกันภัย พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ”, หัวข้อ “การใช้สิทธิประโยชน์จากการประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุ” โดยวิทยากรจากสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ และร่วมกันเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกรณีศึกษาต่าง ๆ กับวิทยากรจากคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และฝ่ายสำนักนายทะเบียนคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ

อีกทั้ง กองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) ได้จัดบูธประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของบทบาท หน้าที่ และภารกิจในปัจจุบันของ กปว. เกี่ยวกับการชำระหนี้ ในกรณีที่บริษัทประกันวินาศภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาต ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้คุณค่าและประโยชน์ของการประกันภัยสามารถใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สินให้กับตนเองและครอบครัวอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งมีการตอบประเด็นข้อซักถามต่าง ๆ และมีกิจกรรมให้เข้าร่วมเพื่อรับของที่ระลึกจาก กปว.

นางสาวอภิณห์พร อังคกมลเศรษฐ์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานรัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนาม MOU ความร่วมมือ การใช้โปรแกรมเสริมสร้างวินัยการเงินการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระหว่างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย และสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย เพื่อยกระดับความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล และแนวทางสำคัญรัฐบาลดิจิทัล ณ ห้องดำริอิศรานุวรรต สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน

นางสาวอภิณห์พร กล่าวว่า DGA มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนนโยบายสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่มีความมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมทางการตรวจเงินแผ่นดินโดยใช้โปรแกรมที่เข้าถึงง่าย ช่วยให้หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำไปใช้งานได้สะดวก DGA จึงขอเชิญชวน อปท. ทั่วประเทศลงทะเบียนอีเมลของหน่วยงานเพื่อใช้เป็นอีเมลกลางในการลงทะเบียนเข้าใช้โปรแกรมเสริมสร้างวินัยการเงินการคลังเพื่อให้ อปท.สามารถประเมินตนเองเบื้องต้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งงบประมาณและการเบิกจ่าย รวมทั้งช่วยสนับสนุนและยกระดับรัฐบาลดิจิทัลหน่วยงานอปท. เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการรับ-ส่งเอกสารหนังสือทางราชการ รวมถึงช่วยให้ค้นหาอีเมลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ง่ายยิ่งขึ้น สร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการของประชาชน สามารถป้องกันการปลอมแปลงหรือแอบอ้างได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้นับเป็นการปฏิบัติให้สอดคล้องตามมาตรา 10 ของ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 โดยให้หน่วยงานใช้อีเมลเป็นช่องทางการติดต่อ DGA ได้นำเสนอแนวทางการลงทะเบียนอีเมลกลางโดยสามารถดาวน์โหลดได้ที่ลิงก์ https://dg.th/w0dm769ipe และ ตรวจสอบรายชื่อหน่วยงานที่มีการลงทะเบียน E-mail กลางกับทาง DGA ได้ที่ https://dg.th/cp9k2gsiq8 เพื่อร่วมกันยกระดับการบริหารการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศไทยสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างเต็มประสิทธิภาพ

นายมณเฑียร เจริญผล รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการแทน ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แถลงว่า ในวันนี้ (15 มีนาคม 2567) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การใช้โปรแกรมเสริมสร้างวินัยการเงินการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระหว่างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดย นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย  โดย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อุปนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย  สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย โดย นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ นายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย และสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย โดย นายสำราญ จันทร์ขจร อุปนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย โดยมีพลเอกชนะทัพ อินทามระ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

นายมณเฑียร กล่าวว่า สตง. ภายใต้นโยบายการตรวจเงินแผ่นดินของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินระยะยาว (พ.ศ. 2566-2570) และนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินประจำปี ได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาวินัยการเงินการคลัง การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่อยู่ในการกำกับดูแล รวมทั้งจัดให้มีการประเมินผลการรักษาวินัยการเงินการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพัฒนาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการรักษาวินัยการเงินการคลังเพิ่มมากขึ้น อันจะทำให้การใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปอย่างโปร่งใส มีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่น ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561- 2580) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 62 

“สตง. ได้พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างวินัยการเงินการคลังในรูปแบบของ Web Application ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งสะดวกต่อการใช้งานและสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์ และถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญนอกเหนือจากบทบาทด้านการตรวจสอบภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาเครื่องมือที่มีลักษณะเป็นแบบประเมินการบริหารจัดการการเงินการคลังของหน่วยรับตรวจ ซึ่งถือเป็น Non-audit Products และเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมทางการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถใช้ประเมินตนเองเบื้องต้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งงบประมาณและการเบิกจ่าย ดังนี้  1) โครงการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจ่ายเงินอุดหนุนให้กับหน่วยงานของรัฐ 2) โครงการจัดงานประเพณี และ 3) โครงการส่งเสริมกีฬาหรือการแข่งขันกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  โดยแบบประเมินตนเองดังกล่าวมีกรอบการประเมิน 4 หัวข้อ ได้แก่ 1) อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) แผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3) การจัดทำงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 4) กฎหมาย ระเบียบที่ใช้ในการปฏิบัติตามแผนการดำเนินงาน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการพัฒนาโปรแกรมดังกล่าว สตง. จึงได้จัดให้มีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขึ้น  เพื่อให้มีแนวทางการประสานความร่วมมือที่ชัดเจนบนฐานความประสงค์ร่วมกันของทุกฝ่าย” นายมณเฑียร กล่าว

นายอนุทิน  ชาญวีรกูล  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานปกครองที่กล่าวได้ว่าอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด กระจายอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศรวมแล้ว 7,850 หน่วยงาน มีภารกิจในการให้บริการสาธารณะ การป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว โดยในแต่ละปี มีรายได้ที่ได้รับการจัดสรรสำหรับการดำเนินงาน รวมเป็นเงินประมาณ 760,000 ล้านบาท หรือประมาณ 1 ใน 4 ของงบประมาณรายจ่ายของประเทศในแต่ละปี รวมถึงยังมีเงินสะสมรวมกันอีกไม่น้อยกว่า 600,000 ล้านบาท นอกจากนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังเป็นหนึ่งในกลไกภาครัฐในการขับเคลื่อนธรรมาภิบาล เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน การจัดทำบริการสาธารณะ และการใช้จ่ายเงินงบประมาณมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

“กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นยินดีให้ความร่วมมือ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับทราบ และนำโปรแกรมเสริมสร้างวินัยการเงินการคลังดังกล่าวไปใช้ในการประเมินตนเองเบื้องต้นเพื่อทราบสถานะในการดำเนินการเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แผนพัฒนาท้องถิ่น การตั้งงบประมาณและการเบิกจ่ายที่ถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่การลดข้อบกพร่องในการใช้จ่ายเงิน และเสริมสร้างมาตรฐานในการรักษาวินัยการเงินการคลังตามหลักธรรมาภิบาล และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการแสดงเจตจำนงร่วมกันในการส่งเสริมและพัฒนาระบบการตรวจสอบและการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน คือการรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เสริมสร้างระบบธรรมาภิบาล เพื่อให้การใช้จ่ายเงินแผ่นดิน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าว

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ร่วมกับ วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก จัดแคมเปญ “โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 กับกรุงศรี โดย วีซ่า” ชวนลูกค้าบัตร Krungsri Boarding Card และบัตรกรุงศรี เดบิต ร่วมลุ้นเปิดประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ครั้งหนึ่งในชีวิตบินลัดฟ้าถึงประเทศฝรั่งเศส ชมมหกรรมกีฬานานาชาติโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 พร้อมแพ็กเกจท่องเที่ยวสุดฟิน และรางวัลอื่น รวมมูลค่ากว่า 2.9 ล้านบาท เพียงสมัครหรือใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไขที่กำหนด ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 กรกฎาคม 2567 พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่สมัครบัตร Krungsri Boarding Card ในช่วงเวลาดังกล่าวจะได้รับบัตรลาย โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 (Limited Edition) เพื่อต้อนรับและเฉลิมฉลองไปกับมหกรรมกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ โดยวีซ่า

นางสาวดมิศา พิศิษฐวานิช ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านผลิตภัณฑ์และการตลาดลูกค้ารายย่อย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นอกจากความมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตแล้ว กรุงศรีอยากเห็นลูกค้าของเราทุกคนมีชีวิตที่ง่าย และมีความหมายในทุกวัน โดยโอลิมปิก เกมส์ถือเป็นมหกรรมการแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่ามกลางความสนใจจากผู้คนทั่วโลก และครั้งนี้จะจัดขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมืองแห่งศิลปะและไอเดียสร้างสรรค์ที่หลายคนอยากไปสัมผัส เราจึงได้ร่วมมือกับ วีซ่า จัดแคมเปญสุดพิเศษนี้ขึ้นเพื่อมอบความสุขและประสบการณ์ ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต’ ให้กับลูกค้าของเรา พร้อมเพลิดเพลินกับการท่องเที่ยวเพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำที่ดีกลับมาอีกด้วย และเพื่อเป็นการต้อนรับพร้อมสร้างบรรยากาศความคึกคักให้กับมหกรรมกีฬาสุดยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในเดือนกรกฎาคมนี้ กรุงศรีได้ออกบัตร Krungsri Boarding Card ลายใหม่ โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ซึ่งเป็น Limited Edition ออกแบบขึ้นมาพิเศษเฉพาะช่วงเวลานี้เท่านั้น ให้แฟนกีฬาชาวไทยหรือนักสะสมได้เก็บเป็นที่ระลึก ร่วมบันทึกอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของโลกด้านกีฬา”

นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะพันธมิตรด้านบริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก และผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมกับกรุงศรี จัดแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ในครั้งนี้เพื่อมอบสิทธิพิเศษที่เหนือระดับให้กับลูกค้าผู้ถือบัตรวีซ่า เรามุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการนำเสนอโซลูชันการชำระเงิน ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และเชื่อมโยงทุกคนทั่วโลกเข้าด้วยกัน ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะเรื่องการใช้จ่ายเท่านั้น เรายังภูมิใจที่ได้ให้การสนับสนุนนักกีฬา และแฟนกีฬา ผ่านการแข่งขันปารีสโอลิมปิก 2024 ซึ่งมีชื่อเสียงทั่วโลก โดยหวังว่าการเป็นผู้สนับสนุนมหกรรมกีฬาโอลิมปิกของเราจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก และช่วยให้ผู้บริโภคชาวไทยได้ใกล้ชิดกับกีฬาโอลิมปิกมากยิ่งขึ้น”

แคมเปญ “โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 กับกรุงศรี โดย วีซ่า” มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้สมัครหรือใช้จ่ายผ่านบัตร Krungsri Boarding Card และบัตรกรุงศรี เดบิต ทุกประเภท ร่วมลุ้นรับรางวัลใหญ่ 22 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 2.9 ล้านบาท ประกอบไปด้วย

  • รางวัลที่หนึ่ง แพ็กเกจทริปชมกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 พร้อมตั๋วเครื่องบิน และที่พัก 5 วัน 4 คืน จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 2 ท่าน มูลค่ารางวัลละ 1,116,549.50 รวมมูลค่า 2,233,099 บาท สำหรับลูกค้าที่สมัครหรือทำรายการระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2567 – 30 เมษายน 2567
  • รางวัลที่สอง โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy Z Flip5 256 GB จำนวน 20 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 37,900 บาท รวมมูลค่า 758,000 บาท สำหรับลูกค้าที่สมัครหรือทำรายการระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2567 – 31 กรกฎาคม 2567

ผู้สนใจสามารถรับสิทธิ์ลุ้นโชคได้ง่ายๆ โดยสำหรับลูกค้าใหม่ เพียงสมัครบัตร Krungsri Boarding Card หรือบัตรกรุงศรี เดบิต ทุกประเภท ผ่าน KMA krungsri app หรือ ผ่านสาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา รับ 5 สิทธิ์เพื่อลุ้นชิงโชค สำหรับลูกค้าปัจจุบัน เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร Krungsri Boarding Card หรือบัตรกรุงศรี เดบิต ทุกประเภท ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือที่ร้านค้าผ่านเครื่องรับบัตร 700 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ รับ 1 สิทธิ์เพื่อลุ้นชิงโชค

บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนกรมอนามัย จัดโครงการนำร่องฝึกอบรมหลักสูตร ‘แนวทางการดูแลรักษาผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน สำหรับแพทย์’ หรือ HCP Obesity Curriculum เพื่อให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ให้มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการดูแลผู้ป่วย การป้องกันและรักษาที่ต่อเนื่องและยั่งยืน โดยกรมอนามัยขับเคลื่อนงานผ่าน ‘เวชศาสตร์วิถีชีวิต’ (หรือ Lifestyle Medicine) ซึ่งเป็นรูปแบบการบริการทางการแพทย์แนวใหม่ ที่เน้น การปรับเปลี่ยนปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมเพื่อสุขภาพดี ร่วมกับการผสมผสานและบูรณาการศาสตร์ทางการแพทย์มาวางแผนเพื่อสนับสนุนให้ผู้ป่วยหรือผู้รับบริการสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใน 6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านโภชนาการ  2) ด้านการออกกำลังกาย 3) ด้านการนอนหลับ 4) ด้านการจัดการความเครียดและจัดการด้านอารมณ์ 5) ด้านการลดเลิกบุหรี่ สุรา และ 6) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2565 พบว่าปัจจุบันมีผู้คนทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคน ที่มีภาวะอ้วน แบ่งเป็นผู้ใหญ่ 650 ล้านคน วัยรุ่น 340 ล้านคน และเด็ก 39 ล้านคน โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2568 จะมีผู้คนกว่า 167 ล้านคนทั่วโลกจะมีสุขภาพที่ไม่ดีจากภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะเหล่านี้ โดยคาดว่าจะเติบโตขึ้นเป็นร้อยละ 4.9 ของ GDP ในประเทศไทย ขณะเดียวกัน หากลดความชุกของภาวะอ้วนลงร้อยละ 5 จากระดับที่คาดการณ์ไว้หรือคงไว้ที่ระดับปี 2562 จะทำให้ต้นทุนทางเศรษฐกิจลดลงเฉลี่ยร้อยละ 5.2 และร้อยละ 13.2 ต่อปี ระหว่างปี พ.ศ. 2563 – 2603 ตามลำดับ

การฝึกอบรมหลักสูตร ‘แนวทางการดูแลรักษาผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน สำหรับแพทย์’ หรือ HCP Obesity Curriculum ในช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคอ้วนครบในทุกมิติ ครอบคลุมตั้งแต่สาเหตุของการเกิดภาวะอ้วน ผลของภาวะอ้วนที่มีต่อสุขภาพอนามัย จิตใจ เศรษฐกิจสังคม แนวทางการรักษาภาวะอ้วน รวมถึงการดูแลผู้ป่วย และการป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยในการอบรมยังมีแพทย์เฉพาะทางและแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ผศ.พญ.พัชญา บุญชยาอนันต์ ผศ.พญ.ดารุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร และรศ.พญ.ประพิมพร ฉัตรานุกูลชัย ฯลฯ ร่วมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อหลักสูตร อาทิ โรคอ้วน กลไกและสมดุลของร่างกาย หลักการในการดูแลรักษาโรคอ้วน แนวทางปฏิบัติและข้อควรพิจารณา ในการดูแลรักษาโรคอ้วนและการนำไปใช้จริง รวมถึงทัศนคติมุมมองที่มีต่อโรคอ้วนจากผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน และที่สำคัญได้นำความรู้ไปปรับใช้ในงานเวชปฏิบัติและสามารถพัฒนาต่อยอดในการส่งเสริมสุขภาพของผู้ป่วยต่อไป เพื่อการมีสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เจเนอราลี่ กรุ๊ป ผนึกกำลัง โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme – UNDP) จัดประชุมใหญ่ “Building SME Resilience in Asia” เผยผลวิจัยด้านความยืดหยุ่นและความเสี่ยงของผู้ประกอบการกลุ่ม MSMEs ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะที่ประเทศไทย-มาเลเซีย เพื่อผลักดันความช่วยเหลือ พร้อมนำเสนอคู่มือป้องกันความสูญเสียสำหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ตลอดจนการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนและการสร้างสรรค์นวัตกรรมประกันภัย เพื่อเป็นกุญแจสู่ความมั่นคงและความยั่งยืนในการทำธุรกิจ  รวมถึงการขยายโครงการ SME EnterPRIZE สู่ภูมิภาคเอเชีย

เจนเนอราลี่ กรุ๊ป ร่วมมือกับ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme)  จัดงานประชุมเพื่อต่อยอดโครงการสนับสนุนการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง เพื่อมุ่งลดช่องว่างด้านความคุ้มครองให้กลุ่มผู้ประกอบการเปราะบางทั่วโลกผ่านโซลูชันการประกันภัย ที่สอดคล้องกับภารกิจสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และกำหนดแนวทางให้การประกันภัยเป็นกุญแจสู่ความมั่นคง ยั่งยืน และช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) พร้อมเปิดเผยผลการวิจัยร่วม หัวข้อ "การเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ที่เน้นการศึกษาห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย เพื่อนำเสนอแนวทางในการประเมินความเสี่ยงของ MSMEs และบริการประกันภัย ซึ่งงานวิจัยระบุว่า ประเทศไทยมีผู้ประกอบการ MSMEs คิดเป็นร้อยละ 99.6 ประเทศมาเลเซีย คิดเป็นร้อยละ 97.4 ถือเป็นสัดส่วนสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และมีบทบาทสำคัญในการแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่หลากหลาย ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ปัญหาการหยุดชะงักของธุรกิจ และการเข้าถึงตลาดเงินทุนที่จำกัด โดยความเสี่ยงเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้นจากการขาดการบริหารจัดการความเสี่ยง กลไกการรับมือ และความคุ้มครองจากประกันภัย และยังพบว่า MSMEs ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประกันภัยคุ้มครองน้อยกว่าร้อยละ 5

นายไฮเม่ อังคัสเตกุย เมลกาเรโจ CEO International of Generali กล่าวว่า “วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ในประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และภูมิภาคเอเชีย ถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตและพัฒนาการของตลาดเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม วิสาหกิจกลุ่มนี้กำลังเผชิญกับความเสี่ยงซึ่งทวีความรุนแรงมาก ส่งผลต่อความต่อเนื่องของธุรกิจและความสามารถในการคว้าโอกาสใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ประกันภัยถือเป็นหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาเพื่อให้วิสาหกิจเหล่านี้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเป็นก้าวสำคัญของเจนเนอราลี่ กรุ๊ป       ในการสนับสนุนผู้ประกอบการที่เป็นกลุ่มเปราะบางในเอเชีย”

โดยแนวทางใหม่ที่เสนอในการวิจัยฉบับนี้ คือ การแบ่งประเภทธุรกิจเพื่อทำความเข้าใจลักษณะความเสี่ยงและความต้องการเฉพาะของผู้ประกอบการในแต่ละประเภท พร้อมกับการสร้างความยืดหยุ่นต่อความเสี่ยง ด้วยการผนวกผลิตภัณฑ์ประกันภัยเข้ากับเทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มดิจิทัล และการขยายโครงการ   SME EnterPRIZE ในภูมิภาคเอเชีย ต่อยอดจากความสำเร็จที่ได้ร่วมกับ SMEs หลายพันรายในยุโรปตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาในการส่งเสริมและปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งความยั่งยืน

พร้อมกันนี้เจนเนอราลี่ และ UNDP ได้เปิดตัว “คู่มือป้องกันความสูญเสียสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม”  (SME Loss Prevention Framework) ซึ่งเป็นเครื่องมือดิจิทัลที่ใช้ประโยชน์ช่วยยกระดับความพร้อมและสร้างการรับรู้ด้านความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ รวมถึงแนวทางการรับมือ

ทางด้าน นาย แจน เคลเลตต์ (Jan Kellett) Global and Corporate Lead on Insurance and Risk Finance, Head of the Insurance and Risk Finance Facility, UNDP กล่าวว่า “สำหรับในภูมิภาคอาเซียน วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) คิดเป็นร้อยละ 45 ของ GDP รวมของภูมิภาค โดยความเปราะบางของวิสาหกิจเหล่านี้ ที่อาจต้องเผชิญภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด หรือการหยุดชะงักในห่วงโซ่การผลิตและระบบโลจิสติกส์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นต้องเร่งสร้างความยืดหยุ่นและเพิ่มศักยภาพการอยู่รอด สามารถรับมือได้กับความเสี่ยงทุกรูปแบบที่สามารถคาดการณ์ได้ ด้วยเครื่องมือและโซลูชันที่เป็นนวัตกรรม รวมถึงประกันภัยจะเป็นหนึ่งในตาข่ายนิรภัย เครื่องมือลดความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกอบการ”

นอกจากนี้ภายในงานยังได้รับฟังแนวทางการส่งเสริมกลุ่มผู้ประกอบการ MSMEs จากตัวแทนผู้บริหารระดับสูงจากเจนเนอราลี่ กรุ๊ป และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ อาทิ นายร็อบ ลีโอนาร์ดี Regional Officer International – Asia, Generali Group นางสาวลูเซีย ซิลวา Generali Group Chief Sustainability Officer พร้อมด้วย นายนิลอย บาเนอร์จี Resident Representative, UNDP Malaysia โดยมีตัวแทนจาก ภาครัฐบาล ภาคธุรกิจ รวมถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจนเนอราลี่ทั่วภูมิภาคเอเชีย ผู้ประกอบการ พาร์ทเนอร์ ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน เมื่อเร็วๆ นี้ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

‘ไมนิ่งโปร’ ผู้นำด้านธุรกิจคริปโตไมนิ่งในประเทศไทย ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2022 รายแรกของไทย การันตีการให้บริการที่ปลอดภัยและมีมาตรฐานสูงสุดในทุกมิติ พร้อมผสานความร่วมมือกับโรงไฟฟ้าเอกชนหนุนการใช้พลังงานทางเลือก-ต่อยอดธุรกิจร่วมกัน

นายจตุรภุช ตรีเพ็ชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมนิ่งโปร จำกัด กล่าวว่า บริษัทไมนิ่งโปร ผู้นำด้านธุรกิจคริปโตไมนิ่งในประเทศไทย มีความภาคภูมิใจที่จะประกาศว่าเราได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2022 รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ถือเป็นการยกระดับในการบริหารจัดการความมั่นคงและความปลอดภัยของการดูแลรักษาข้อมูลในอุตสาหกรรมเหมืองขุดคริปโตให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราในการให้บริการที่ปลอดภัยและมีมาตรฐานสูงสุดในทุกมิติ โดยเฉพาะบริการดูแลเครื่องขุดบิตคอยน์และแพลตฟอร์มคราวด์ไมนิ่งของเรา

“ด้วยประสบการณ์กว่า 2 ปี ในอุตสาหกรรมคริปโตไมนิ่ง จึงทำให้เราเป็นผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการที่ครบวงจรและเป็น Total Solution สำหรับการลงทุนในคริปโตไมนิ่ง โดยนำเข้าเครื่องขุดคริปโตกว่า 10 รุ่น ที่มีผลตอบแทนเป็นสกุลเงินดิจิทัลหลัก เช่น Bitcoin , Litecoin , Dogecoin และบริการซ่อมบำรุงที่ได้มาตรฐานจากบริษัท Bitmain ผู้ผลิตเครื่องขุดคริปโตชั้นนำของประเทศจีน ซึ่งมียอดขายแล้วกว่า 2,000 เครื่องและให้บริการดูแลเครื่องขุดให้กับนักลงทุนกว่า 1,000 เครื่อง โดยบริหารจัดการผ่านระบบคราวด์ 100% ด้วยมาตรฐานเทียบเท่าศูนย์รักษาข้อมูล (Data Center) ให้ความคุ้มครองทุกเครื่องด้วยประกันภัยจาก บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)

นายจตุรภุช กล่าวต่อว่า ล่าสุดได้มีการนำเข้าเครื่องขุด Bitcoin รุ่น Antminer S21 เครื่องรุ่นใหม่ที่มีความทันสมัย ที่ให้กำลังขุดเพิ่มเป็น 2 เท่า จำหน่ายในราคา 195,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายไม่น้อยกว่า 500 เครื่องในปีนี้ นอกจากนี้ เรายังมีบริการ Hash Power หรือ เช่ากำลังขุดคริปโตเป็นรายวัน ผ่านระบบคราวด์แพลตฟอร์ม เพื่อให้นักลงทุนที่มีความสนใจในการทำคริปโตไมนิ่ง ได้เห็นภาพก่อนตัดสินใจลงทุนซื้อเครื่องขุดด้วยราคาเริ่มต้นไม่เกิน 500 บาทต่อวัน โดยรับผลตอบแทนของกำลังขุดเป็นเหรียญ Bitcoin, Litecoin, Dogecoin

“ในปีนี้เรายังเดินหน้าเปิดรับความร่วมมือกับโรงไฟฟ้าเอกชนที่มีต้นทุนพลังงานและปริมาณไฟฟ้าที่เหมาะสมกับการทำคริปโตไมนิ่ง เพื่อใช้พลังงานไฟฟ้าส่วนที่เหลืออย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสร้างผลกำไรสูงสุดทั้งสองฝ่ายอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาเราได้ทำการติดตั้งตู้คอนเทนเนอร์เหมืองขุดคริปโตให้กับโรงไฟฟ้าเอกชนแล้ว 2 แห่ง รองรับเครื่องขุดจำนวน 324 เครื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ พร้อมสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในการทำเหมืองขุดคริปโต โดยได้ย้ายเครื่องขุดบางส่วนไปอยู่โรงไฟฟ้าที่เป็นพลังงานทางเลือกจากไบโอแมส นอกจากนี้ ยังมีแผนความร่วมมือกับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย เพื่อให้บริการกับนักลงทุนที่ต้องการขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้จากการทำคริปโตไมนิ่งอีกด้วย”

นายแทนไท ณรงค์กูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในฐานะประธานบริษัท ไมนิ่งโปร จำกัด กล่าวว่า ไมนิ่งโปรเป็นเหมืองขุดคริปโทเคอร์เรนซีที่ถูกกฎหมายและใหญ่ที่สุดในไทยเพียงรายเดียว ในขณะที่เหมืองขุดรายอื่นทยอยปิดตัวลงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จึงทำให้เรากลายเป็นศูนย์กลางของการทำคริปโตไมนิ่งในประเทศไทยอย่างเต็มตัว โดยเราพร้อมตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาค ด้วยการเปิด “ศูนย์เรียนรู้ด้านการทำคริปโตไมนิ่ง” ที่มุ่งเน้นให้ความรู้กับนักลงทุนกลุ่มใหม่ที่มีความสนใจในการทำคริปโตไมนิ่งได้เข้าใจถึงระบบบล็อกเชนและประโยชน์ของคริปโทเคอร์เรนซี พร้อมเปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมเหมืองขุดของบริษัทฯ เพื่อสะท้อนภาพการลงทุนในรูปแบบใหม่ที่พร้อมก้าวสู่การเป็น “Crypto Mining Hub” ของภูมิภาคอาเซียน

“ปัจจุบันตลาดคริปโทเคอร์เรนซี มีการฟื้นตัวเข้าสู่รอบกระทิง ภายหลังจากการอนุมัติกองทุน Spot Bitcoin ETF เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้ Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์กระแสหลักของโลก ซึ่งคาดว่าหลังจาก Bitcoin Halving ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายนนี้ จะทำให้ราคา Bitcoin มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมของตลาดคริปโตค่อนข้างสดใส ประกอบกับการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนและพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการออกมาตรการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ถือเป็นการส่งเสริมให้เกิดการทำธุรกรรมและการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น จากปัจจัยดังกล่าวล้วนส่งผลดีต่อผู้ประกอบการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและธุรกิจเหมืองขุดคริปโตของไมนิ่งโปรด้วยเช่นกัน”

ภายหลังจบทัวร์นาเมนท์ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ ครั้งที่ 17 ซึ่งจัดขึ้นที่สนามสยามคันทรีคลับ โอลด์คอร์ส พัทยา บริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ผู้นำด้านเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์และโปรเจคเตอร์ของโลก ได้ประกาศกระชับความร่วมมือกับสมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพสตรี หรือ LPGA เพื่อขับเคลื่อนอุดมการณ์ขององค์กรในการสร้างสังคมที่ยอมรับในเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียมกัน รวมถึงเป้าหมายในด้านความยั่งยืน ผ่านการเป็น Global Partner ของรายการฮอนด้า แอลพีจีเอ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

เอปสันยังให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ของเอปสันในการปฏิบัติงาน โดยบริษัทฯ หวังว่าการสนับสนุนทัวร์นาเมนท์นี้จะสามารถมอบโอกาสให้นักกอล์ฟหญิงที่มีศักยภาพจำนวนมากในการไล่ตามความฝันที่จะได้ลงแข่งและชนะในทัวร์นาเมนท์ระดับโลกของ LPGA และได้พัฒนาวงการกอล์ฟหญิงทั่วโลกต่อไป

X

Right Click

No right click