กรุงเทพประกันชีวิต ออกประกันสะสมทรัพย์ใหม่ ซื้อ 1 ได้ถึง 2 “กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์” สนับสนุนทุกครอบครัวออมเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาลูก กับ 3 แบบประกัน ให้เลือกตามระยะเวลาคุ้มครองที่ต้องการ 15 ปี, 18 ปี และ 21 ปี ครบสัญญาจะได้รับเงินคืน 115%, 118% หรือ 121% ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมตามจริง พร้อมอุ่นใจกับความคุ้มครองพิเศษด้านอุบัติเหตุ และ 4 โรคร้ายแรงในเด็ก รวมทั้งคุ้มครองไปถึงคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัย หากเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ลูกจะได้ยกเว้นการชำระเบี้ยประกันภัยและรับเงินก้อนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายยามฉุกเฉิน พร้อมมั่นใจได้ว่าลูกจะมีเงินทุนเรียนต่อจนจบการศึกษาเพราะครบกำหนดสัญญามีเงินก้อนคืนให้

นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันการเลี้ยงดูบุตรตั้งแต่แรกเกิด จนเข้าสู่วัยเรียนและจบการศึกษาเป็นสิ่งที่ทุกครอบครัวตระหนักถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ไปจนถึงการคลอดบุตร และการเลี้ยงดูในแต่ละช่วงวัย ซึ่งค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนมีการปรับตัวสูงขึ้นตามยุคสมัย โดยพบว่า *ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาชั้นอนุบาล อายุ 4 – 6 ปี จะอยู่ระหว่าง 24,000 – 530,000 บาท/ ปี, ชั้นประถม อายุ 7 – 12 ปี จะอยู่ระหว่าง 26,000 – 668,000 บาท/ ปี , ชั้นมัธยม อายุ 13 – 18 ปี จะอยู่ระหว่าง 30,000 – 765,000 บาท/ ปี และระดับชั้นปริญญา อายุ 19– 22 ปี จะอยู่ระหว่าง 26,000 – 1,000,000 บาท/ ปี (*ข้อมูลค่าเทอมจากเว็บไซต์ของโรงเรียนต่าง ๆ ในประเทศไทย ปี 2566)

“จากตัวเลขดังกล่าว เราตระหนักได้ว่า หากทุกครอบครัวเริ่มต้นวางแผนทางการเงินที่ดีให้กับลูกตั้งแต่อายุน้อย จะช่วยสร้างความอุ่นใจทั้งในเรื่องทุนการศึกษาไม่ว่าจะเติบโตในช่วงวัยไหน โดยกรุงเทพประกันชีวิตได้ออกแบบประกันสะสมทรัพย์ใหม่เพื่อสนับสนุนให้ทุกครอบครัวได้สร้างวินัยในการออมเงินเพื่อเป้าหมายลูกน้อยในอนาคตกับ “กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์” แบบประกันที่ตอบโจทย์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ในการวางแผนเก็บเงินให้ลูกเพื่อเป็นทุนการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นชั้นมัธยมปลาย ปริญญาตรี หรือปริญญาโท”

“กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์”  มีแบบประกันให้เลือกถึง 3 แบบ ตามระยะเวลาความคุ้มครองที่เหมาะสม  ประกอบด้วย กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์ 15/9 ชำระเบี้ยประกันภัย 9 ปี คุ้มครอง 15 ปี เมื่ออยู่จนครบสัญญาจะได้รับเงินคืน 115% ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมตามจริง, กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์ 18/12  ชำระเบี้ยประกันภัย 12 ปี  คุ้มครอง 18 ปี เมื่ออยู่จนครบสัญญาจะได้รับเงินคืน 118% ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมตามจริง และ กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์ 21/15  ชำระเบี้ยประกันภัย 15 ปี คุ้มครอง 21 ปี เมื่ออยู่จนครบสัญญาจะได้รับเงินคืน  121%  ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมตามจริง สามารถสมัครได้ตั้งแต่แรกเกิด – อายุ 14 ปี และชำระเบี้ยประกันภัยคงที่เริ่มต้นเพียง 200 บาทต่อเดือน

“กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์”  นอกจากช่วยสร้างวินัยการออมเงินแล้ว ยังได้รับความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติมที่หลากหลายและยังครอบคลุมสุขภาพของลูก อาทิ ความคุ้มครองด้านอุบัติเหตุด้วยวงเงินค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุสูงสุด 5 เท่าของเบี้ยรายเดือนต่อครั้งที่เข้ารักษา ความคุ้มครอง 4 โรคร้ายแรงในเด็ก ได้แก่ โรคไข้รูห์มาติก ที่ทำให้หัวใจผิดปกติ  โรคคาวาซากิ ที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนของหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคน้ำไขสันหลังในสมองมาก ซึ่งเกิดภายหลังและต้องใส่ท่อระบาย รับเงิน 50% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการรักษาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และยังเพิ่มความคุ้มครองให้กรณีพ่อหรือแม่ผู้ชำระเบี้ยประกันภัยเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รับเงินทันที 50% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย โดยลูกจะยังคงได้รับความคุ้มครองของกรมธรรม์ต่อไปจนสิ้นสุดสัญญา

“จุดเด่นของแบบประกัน“กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์” เป็นการซื้อ 1 ได้ถึง 2 คือ ได้ออมเงินให้ลูกได้มีกองทุนเพื่อการศึกษาตามที่ตั้งใจ ทั้งยังคุ้มครองผู้ชำระเบี้ยประกันภัย กรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน คุณพ่อคุณแม่ผู้ชำระเบี้ยประกันภัยเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ลูกจะได้ยกเว้นการชำระเบี้ยประกันภัย รวมทั้งยังจะได้รับเงินก้อนสำหรับเป็นค่าใช้จ่าย มั่นใจได้ว่าลูกจะมีเงินทุนเรียนต่อจนจบการศึกษา เพราะครบกำหนดสัญญามีเงินก้อนคืนให้ และสำหรับตัวลูกเอง คุณพ่อคุณแม่จะหมดกังวลกับค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเล็กๆน้อยๆ เช่น หกล้ม มีดบาด หรือเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรง ตลอดจนยังมอบความคุ้มครองกรณีลูกเสียชีวิตทุกกรณี นอกจากนี้หากเสียชีวิตหรือสูญเสียอวัยวะและสายตาจากอุบัติเหตุ รับเพิ่มอีก 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย” นายโชนกล่าว

พร้อมตั้งเป้าหมื่นล้านภายในปีนี้ ตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่งพูลวิลล่าหรูแห่งภูเก็ต

ม.ศรีปทุม เผยประเทศไทยกำลังขาดกำลังคนสมรรถนะสูง 4 สาขาอาชีพ ได้แก่ วิศวกรระบบราง โลจิสติกส์ซัพพลายเชน การบินและคมนาคม การท่องเที่ยวและบริการ  หลังรัฐบาลเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์ เชื่อมโยงระบบ โลจิสติกส์ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ ของประเทศ รับเทรนด์เชื่อมระบบคมนาคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอนาคตอันใกล้ จะมีความต้องการกำลังคนสมรรถนะสูง สนับสนุนเมกะโปรเจกต์กว่า 200,000 อัตรา ดัน 4 สาขาอาชีพ ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์ระบบราง โลจิสติกส์และซัพพลายเชน การบินและคมนาคม การท่องเที่ยวและบริการ เร่งปั้นบัณฑิตป้อนตลาดแรงงาน เป็นสายงานที่ไม่มีโอกาสตกงาน รับค่าตัวสูง หลังจบการศึกษามีบริษัทรอรับเข้าทำงานทันที หรือเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจ และอาชีพอิสระที่หลากหลายสาขา

ดร. รัชนีพร พุคยาภรณ์ พุกกะมาน อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า จากการมุ่งหน้าขับเคลื่อนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่(เมกะโปรเจกต์ ) ของรัฐบาล  ซึ่งครอบคลุม ทางบก ราง น้ำ อากาศ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศรวมถึงการเชื่อมโยงออกไปยังภูมิภาคตะวันออกและตะวันตก อาทิ โครงการพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เริ่มพัฒนาไปก่อนหน้านั้น โครงการพัฒนาระบบรางเชื่อมโยงการขนส่งสาธารณะภายในประเทศและเชื่อมโยงออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง โครงการพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ และการผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศของภูมิภาค (Aviation Hub) โดยการปรับปรุงสนามบินหลักทั่วประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยมีความต้องการกำลังคนสมรรถสูงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ ด้านวิศวกรรมระบบราง ขนส่งและโลจิสติกส์ และการบิน เพิ่มสูงขึ้นราว 200,000 อัตรา ในอนาคตอันใกล้ จึงถือเป็นความสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องเร่งผลิตออกสู่ตลาด ซึ่งบัณฑิตที่จบการศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้องมีโอกาสได้งานและได้รับค่าตอบแทนสูง โดยการผลิตกำลังคนสมรรถสูง หรือแรงงานทักษะสูง  ให้ทันและเพียงพอต่อความต้องการของตลาด จะเป็นการเพิ่มประชากรรายได้สูงในประเทศ ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจและสังคม ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยศรีปทุมเดินหน้าผลักดันให้ 4 คณะ ที่เกี่ยวข้องได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ โลจิสติกส์และซัพพลายเชน การบินและคมนาคม การท่องเที่ยวและบริการ เร่งพัฒนาบัณฑิตให้มีทักษะการทำงานพร้อมทำงานออกสู่ตลาดงาน

วิศวกรระบบรางเป็นที่ต้องการกว่า 20,000 อัตรา

ผศ.ดร.ชลธิศ เอี่ยมวรวุฒิกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสายงานระบบรางมีความต้องการแรงงานมากขึ้น เนื่องจากในช่วง 10 ปี การเดินทางได้พัฒนาเปลี่ยนผ่านจากรถไฟระบบเดิมเป็นระบบใหม่ รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูงและรถไฟฟ้า  สายงานในระบบราง มีความต้องการบุคลากรมากกว่า 20,000 อัตรา ในตำแหน่งงานเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการทำงานด้านระบบราง การก่อสร้าง ติดตั้งระบบราง อาณัติสัญญาณ สถานี การควบคุมรถ บริการสถานี ซ่อมบำรุง และงานที่ใช้หลักการจัดการวิศวกรรม แม้เทคโนโลยีระบบรางมาแรง แต่เป็นสาขาใหม่สำหรับสถาบันการศึกษาของประเทศ ยังไม่มีมหาวิทยาลัยในประเทศ ที่ครอบคลุมเทคโนโลยีการเรียนการสอนครบทุกด้าน คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ศรีปทุม จึงออกแบบการเรียนการสอน เชื่อมโยงเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และสถาบันต่างประเทศเกี่ยวข้อง ให้นักศึกษาได้ออกไปเรียนรู้ประสบการณ์จริงในสนามจริง อาทิ การไปเรียนรู้ปฏิบัติงาน กับเอกชนผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS MRT และ Airport rail link กับบริษัทเอกชนผู้รับเหมาระบบราง และส่งนักศึกษาไปเรียนเพิ่มเติมกับเจ้าของเทคโนโลยีที่ สถาบันระบบรางขนาดใหญ่ ณ เมืองหูหนาน ประเทศจีน เพื่อเก็บประสบการณ์จริงจากเจ้าของเทคโนโลยี โดยปัจจุบันทางคณะได้มีเปิดสอนสาขาระบบรางโดยตรง และยังเปิดเป็นวิชาเลือกให้นักศึกษาที่เรียน ในสาขาวิศวกรรม เครื่องกล ไฟฟ้า โยธา ได้เสริมวิชาชีพด้านระบบราง สำหรับนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ศรีปทุม ไม่จำเป็นต้องจบสายวิทย์-คณิต ด้วยมหาวิทยาลัยมองว่า การเรียนรู้ไม่ควรจำกัดสาขา ทุกคนสามารถเรียนรู้ข้ามศาสตร์ได้

ธุรกิจโลจิสติกส์แนวโน้มเติบโต 200 เท่า ดันค่าตัวสูง

ผศ.ดร.ธรินี  มณีศรี คณบดีวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เปิดเผยว่า  วิทยาลัยได้เตรียมพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับ Mega Project ของภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มเติบโต 200 เท่า ส่งผลให้บุคลากรในสายอาชีพนี้มีค่าตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะการเปิดหลักสูตร “นักจัดการโลจิสติกส์มืออาชีพด้านสินค้าเกษตรและอาหารที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain)” ให้มีทักษะด้านการจัดการโลจิสติกส์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อลดความสูญเสียของอาหาร (Food Loss) และลดขยะอาหาร (Food Wast) ที่เกิดจากการเก็บรักษา การขนส่งและการกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ และเมื่อประเทศไทยเป็น “Aviation Hub” ความต้องการกำลังคนด้าน Cold Chain จะเพิ่มมากขึ้น เพราะเกิดการขนส่งสินค้าประเภทอาหารและสินค้าเกษตรจำนวนมหาศาลออกไปยังประเทศ ปัจจุบันมหาวิทยาลัย เปิดสอน ตั้งแต่ระดับ ปริญญาตรี โท และเอก ในสาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน มีการบูรณาการข้ามศาสตร์ร่วมกับคณะบริหารธุรกิจ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาลัยการท่องเที่ยวและบริการ เป็นต้น  นอกจากนี้ ยังเปิดหลักสูตรระยะสั้น (Non Degree) เพื่อเปิดโอกาสให้คนทำงานแล้วกลับมา Reskill/ Upskill  ในสายงานโลจิสติกส์ ที่ครอบคลุมตั้งแต่อาชีพนักจัดซื้อจัดหา นักควบคุมคลังสินค้าห้องเย็น นักวางแผนและจัดเส้นทางการขนส่ง ตัวแทนออกของ นักจัดการการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น พร้อมทำงานกับบริษัทโลจิสติกส์นำเข้าส่งออกชั้นนำ มากกว่า 200 แห่ง นอกจากนี้หลักสูตรยังสามารถบูรณาการการเรียนร่วมกับคณะการเป็นเจ้าของธุรกิจเพื่อให้ก้าวไปสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ได้ด้วย  ในสายงานโลจิสติกส์นี้มีความต้องการบุคลากร ราว 120,000 คน ในระหว่างปี 2564-2568  จึงเป็นโอกาสของนักศึกษาที่เรียนทางด้านนี้ จะได้ทำงานระหว่างเรียน และจบแล้วได้งานทันที

สายงานด้านการบินได้งานทันทีหลังสำเร็จการศึกษา

พลอากาศเอกพิธพร กลิ่นเฟื่อง คณบดีวิทยาลัยการบินและคมนาคม เปิดเผยว่า บุคลากรในสายวิชาชีพการบินเป็นที่ต้องการของตลาดกำลังคนสมรรถสูง อย่างมากทั้งในปัจจุบันและอนาคตด้วยปัจจัยเร่ง 2 ประการได้แก่ 1.เกิดความต้องการกำลังคนเร่งด่วนหลังจากลดช่วงโควิด การโดยสารและขนส่งเครื่องบินกับมาเดินเครื่องปกติทุกสายการบินมีแผนเพิ่มเที่ยวบิน โดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย อนุมัติให้ 8 สายการบินเพิ่มเที่ยวบิน 60 ลำตลอดปี 2567 2. รัฐบาลเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะแผนผลักดันเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางวิทยาลัยฯได้เตรียมความพร้อมสร้างกำลังคนใน 6 สาขาอาชีพ คือ 1.การจัดการความปลอดภัยการคมนาคม 2.การจัดการสนามบินและสินค้าทางอากาศ 3.นักบินพาณิชย์ จบภายใน 4 ปี ได้รับใบรับรองและใบอนุญาตนักบินจากสำนักงานการบินพลเรือน เป็นนักบินได้ทันที  4. พนักงานอำนวยการเครื่องบิน วางแผนเส้นทางบิน (Fight Planning) 5.ผู้ควบคุมจราจรทางอากาศ โดยทุกหลักสูตรการเรียน 4 ปี พร้อมทำงานทันที ซึ่งปัจจุบันทุกสาขาบัณฑิตที่จบได้งานทำทันทีที่จบ  

ธุรกิจการบินและการท่องเที่ยวเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ผศ.ดร. อนุพงศ์ อวิรุทธา คณบดีวิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ กล่าวว่า  หลังจากสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลายลง หลายประเทศได้ตระเตรียมมาตรการและการกระตุ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างงานใหม่ในอุตสาหกรรม อาทิ นโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว การลดค่าธรรมเนียมหรือภาษีท่องเที่ยว รวมไปถึงการลงทุนจากภาครัฐ ในโครงการ Mega Project ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง เชื่อมโยงทั้งทางอากาศ ทางบก ทางราง ทางน้ำ แบบไร้รอยต่อ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการเดินทางสู่แหล่งท่องเที่ยว ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทยที่ถูกจัดอันดับให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่น่าเดินทางไปเยือนมากที่สุดในโลก ที่ผ่านมาได้ผลิตบุคลากรคุณภาพเข้าสู่อุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ในสายการบินชั้นนำ โรงแรมระดับสากล และสายการเดินเรือสำราญขนาดใหญ่ระดับโลกที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เช่น Princess, Dream Cruise และ Leisure American Line ก็มีศิษย์เก่าที่สำเร็จการศึกษาโดยตรงจากสาขาการบริการเรือสำราญทำงานอยู่ในเรือสำราญระดับโลก เหล่านี้อีกกว่า 100 คน

ทั้งนี้เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ และโครงการ Mega Project ของทางภาครัฐ และแผนผลักดันเป็น Aviation Hub ของภูมิภาค วิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ ได้พัฒนาหลักสูตรเสริมสร้างและพัฒนาให้นักศึกษามีความรอบรู้ทางด้านในอุตสาหกรรม โดยเชื่อมโยงการผลิตบัณฑิตร่วมกับภาคอุตสาหกรรมทั้งสายการบิน โรงแรม และเรือสำราญ ให้นักศึกษาได้เรียนกับตัวจริงและฝึกงานผ่านประสบการณ์จริงทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้นักศึกษามีความพร้อมในการทำงานและได้ทำงานทันทีที่เรียนจบ ด้วยค่าตอบแทนแรกเริ่มในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป นอกจากนี้ยังได้เปิดหลักสูตรระยะสั้นที่ช่วยเพิ่มและพัฒนาทักษะที่สำคัญอื่น ๆ แก่ศิษย์เก่า และบุคลากรที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ เพื่อเป็นการพัฒนาบุคลากรให้กับประเทศและตอกย้ำความเป็นผู้นำในการผลิตบุคลากรทางด้านการท่องเที่ยวและการบริการ

ระดมผู้บริหารระดับสูงเป็นโค้ช ร่วมกันสร้างสังคม “อยู่ดี มีสุข”  

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังและคณะ พร้อมด้วย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และผู้บริหาร EXIM BANK เข้าร่วมประชุมหารือกับสถาบันการเงินชั้นนำของฮ่องกง ในโอกาสเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อสานสัมพันธไมตรีและหารือแนวทางการขยายความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่าง ๆ อาทิ การร่วมลงทุน (Co-financing) การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) การระดมทุน (Debt Capital Market) การรับประกันสำหรับผู้ส่งออก (Export Insurance Business) บริการการค้าต่างประเทศ (Trade Finance) โอกาสในการใช้เงินหยวนเป็นเงินสกุลเงินกลางในการทำธุรกรรมในตลาดโลก (Yuan Settlement) การออกพันธบัตรสกุลเงินหยวน (Yuan Bond) พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) โดยมีนายซุน ยู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารแห่งประเทศจีน (ฮ่องกง)

 

นายหลิว ย่ากัน ประธานกรรมการและกรรมการบริหาร อินดัสเตรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า (เอเชีย) ลิมิเต็ด หรือ ICBC (Asia)

 

และนาย เจฟฟี่ ไบ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารไชน่า ซีติก แบงก์ อินเตอร์เนชั่นแนล ให้การต้อนรับ ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเร็ว ๆ นี้

พญ.นันทนัช เดี่ยวสมบูรณ์ ผู้บริหาร CLASSY เปิดเผยว่า ธุรกิจด้านความงามในประเทศไทยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีการเติบโตสูงลำดับต้นๆ โดยมีอัตราการเติบโตประมาณ 20% ต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยตลาดเสริมความงามรวมในปี 2566 มีมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท CLASSY คลินิกดูแลความงามและสุขภาพ มองเห็นโอกาสทางธุรกิจปักหมุดนั่งแท่นเบอร์หนึ่งย่านราชพฤกษ์ เมืองใหม่กำลังซื้อสูง เปิดโลเคชั่นใหม่อย่างยิ่งใหญ่รองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น ตอกย้ำความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ด้านการปรับรูปหน้าและรูปร่าง พร้อมด้วยนวัตกรรมเพื่อความงาม จัดเต็มโปรโมชั่น โฟกัสขยายฐานลูกค้าสร้างการรับรู้ผ่านทุกช่องทางการสื่อสาร พร้อมทำกิจกรรมทางการตลาด ควบคู่การสร้าง Brand Loyalty อย่างเหนียวแน่นในกลุ่มลูกค้าเดิม

CLASSY คลินิกดูแลความงามและสุขภาพในคอนเซ็ปต์ “เป็นตัวคุณ...ที่รักตัวเองมากกว่าที่เคย” (Reflect love through the new genuine you) เข้าใจลึกซึ้งถึงเทรนด์การสร้างสรรค์ความงามอย่างเป็นธรรมชาติที่เป็นเทรนด์ที่นิยมไปทั่วโลกนับจากนี้ ซึ่งเรามีความชำนาญและเป็นผู้นำทางด้านนี้มาตลอด ที่สำคัญด้วยโปรแกรมการดูแลแบบเฉพาะบุคคล (Personalize) ควบคู่กับเทส (Taste) และทักษะของแพทย์ ทำให้คลาสซี่ เอสเธททิค แอนด์ เวลเนส มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ในช่วงแกรนด์โอเพนนิ่งได้เปิดตัว Member Card เป็นครั้งแรก มอบความคุ้มค่าด้วยวงเงินในบัตรที่เพิ่มขึ้น และสิทธิพิเศษมากมาย

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ CLASSY ผู้ดูแลความงามและสุขภาพแบบครบวงจรบนถนนราชพฤกษ์ ได้ที่ https://classyclinic.com/ หรือ Facebook: Classy Clinic หรือโทร. 091-1524266 หรือแอด Line OA: @classyclinic

ไฮเออร์ (ประเทศไทย) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลกและแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 15 ปีซ้อน เดินหน้าตอกย้ำกลยุทธ์ ‘สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง’ (Sport Marketing) ส่งต่อพลังใจและแรงเชียร์ให้กับโปรกอล์ฟระดับโลก พร้อมด้วยโปรไทยทั้ง 72 คน ในฐานะผู้สนับสนุนการแข่งขัน “ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2024” กอล์ฟหญิงอาชีพรายการใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อชิงเงินรางวัลรวม 1.7 ล้านเหรียญฯ ซึ่งจัดขึ้นภายในวันที่ 22 – 25 กุมภาพันธ์ 2567 ณ สยามคันทรีคลับ โอลด์คอร์ส พัทยา จ.ชลบุรี

มร. ต่ง เจี้ยนผิง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไฮเออร์ ได้มีโอกาสร่วมสนับสนุนด้านวงการกีฬาที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2562 ทั้งโครงการวิ่งมินิมาราธอน การสนับสนุนทีมฟุตบอลในประเทศไทย การแข่งขันแบดมินตันเยาวชน และทัวร์นาเมนต์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ซึ่งจากการเข้าไปมีส่วนร่วมหลักในกีฬายอดนิยมหลายชนิดที่มีฐานผู้ติดตามสูงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการยกระดับวงการกีฬาให้ครอบคลุม และเปี่ยมประสิทธิภาพ ในปี 2567 รวมถึงการนำเสนอกลยุทธ์ทางด้านการสื่อสารอย่างแข็งแกร่งของไฮเออร์ โดยการร่วมสนับสนุนการแข่งขัน “ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2024” ซึ่งเป็นรายการใหญ่ที่รวบรวมสุดยอดโปรกอล์ฟชั้นนำระดับโลก นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการร่วมผลักดัน พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมถึงประชาชนให้สนใจในกีฬากอล์ฟมากยิ่งขึ้น”

พร้อมกันนี้ บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังมีความพร้อมในการสนับสนุนสินค้าทีวีคุณภาพสูง สำหรับใช้ถ่ายทอดภาพการแข่งขัน รวมมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น อาทิ ตู้แช่ไวน์ สำหรับแช่เครื่องดื่มให้กับนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีจากสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าทรงประสิทธิภาพของไฮเออร์ พร้อมอำนวยความสะดวกและเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมส่งแรงใจและแรงเชียร์ตลอดการแข่งขันครั้งนี้

สำหรับการแข่งขันฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2024 ปีที่ 17 จะมีนักกอล์ฟชั้นนำระดับโลก ทั้งไทยและต่างชาติ รวม 72 คน เข้าร่วมแข่งขัน 72 หลุม แบบไม่มีการตัดตัว เพื่อชิงเงินรางวัลรวม 1.7 ล้านดอลลาร์ หรือราว 62 ล้านบาท ซึ่งการแข่งขันครั้งที่ผ่านมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีผู้ชมในสนามเกือบ 50,000 คน  และมีการถ่ายทอดการแข่งขันถึง 540 ล้านครัวเรือนทั่วโลก

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร โปรโมชัน และกิจกรรมต่าง ๆ จากไฮเออร์ได้ที่ Facebook: Haier Thailand, Instagram: @haierthailand_official, X (Twitter): @ThailandHaier และ TikTok: @haier_thailand หรือดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม ได้ที่ https://www.haier.com/th

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี โดย นายปิติ ตัณฑเกษม (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นางประภาศิริ โฆษิตธนากร (ขวาสุด) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านทรัพยากรบุคคล มอบรายได้จากการจำหน่ายสลากกาชาดทีทีบี ประจำปี 2566 จำนวน 9,152,586.08 บาท ให้แก่สภากาชาดไทย โดยมีนายขรรค์ ประจวบเหมาะ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย เป็นผู้รับมอบ ณ  ทีเอ็มบีธนชาต สำนักงานใหญ่ โดยรายได้ดังกล่าวจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เพื่อนำไปช่วยเหลือสังคมและสาธารณกุศลต่อไป

เมื่อเร็วๆ นี้ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้จัดคอร์สปันความรู้ในหัวข้อ Generative AI” ให้กับบุคลากรเคทีซี เพื่อตอกย้ำความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล โดยได้เชิญนายวิฑูรย์  ช่วงพงศ์พันธ์  ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นพ่อมด AI มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ความรู้เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้ทำความรู้จักกับ Generative AI การใช้ CHAT GPT กับการทำงาน การใช้ Prompt และเครื่องมือ AI โดยมีพนักงานเคทีซีเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกว่า 100 คน ณ ห้องประชุมใหญ่ “เคทีซี“ ชั้น 11 อาคารสมัชชาวาณิช 2

เคทีซีมุ่งพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ให้กับบุคลากรในองค์กร ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ด้วยการพัฒนาทักษะแบบ Soft Skills ที่ช่วยให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ และ Hard Skills ทักษะความรู้ความสามารถที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ด้วยความเชื่อมั่นว่าการพัฒนาคนในองค์กรให้มีคุณภาพ จะสามารถส่งต่อผลิตภัณฑ์และบริการที่มีประสิทธิภาพให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลนี้ การเสริมสร้างความรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นการช่วยเปิดมุมมองในการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มศักยภาพขององค์กร  และพัฒนากระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับสมาชิก

X

Right Click

No right click