ในหัวข้อ “A Financial Approach to Climate Risk” โดยศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอนเกิล เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2546

บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) ผู้นำด้านการบริหารนิติบุคคลเพื่อการอยู่อาศัย ลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ร่วมพัฒนาหลักสูตรเฉพาะทางในสาขาบริหารนิติบุคคลเพื่อการอยู่อาศัย หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต คณะ เทคโนโลยีอุตสาหกรรม เจ้าแรกและที่เดียวในประเทศ ส่งต่อความเชี่ยวชาญด้านการบริหารนิติบุคคลเพื่อการอยู่อาศัย ด้วยมาตรฐานระดับสากล ผ่านการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมของการทำงานจริง พร้อมสัมผัสประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับทีมงานมากประสบการณ์ เพิ่มโอกาสการันตีมีงานทำ 100%  

โอเลย์ (OLAY) แบรนด์ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ในเครือบริษัท พีแอนด์จี (P&G) ร่วมฉลองมหกรรมลดยิ่งใหญ่ครั้งแรกของปี จับมือ ช้อปปี้ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1[1] ครองใจนักช้อปชาวไทย ขนทัพไอเทมความงาม พร้อมดีลดีโดนใจการันตีความปังด้วยส่วนลดแบบไม่ยั้งกว่า 80% ในมหกรรม Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี ระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์5 มีนาคมนี้เท่านั้น

โอเลย์ เตรียมส่งมอบปรากฏการณ์ความคุ้มครั้งยิ่งใหญ่กับหลากไอเทมความงามกว่า 100 รายการ เอาใจนักช้อป ให้ช้อปได้อย่างเพลิดเพลินใน มหกรรม Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี ไฮไลท์ด้วยส่วนลดสูงสุด 50% ลดทุกไอเทมจัดเต็มกว่าครั้งไหนๆ 

  • คืนกำไรแบบไม่ยั้งด้วยโค้ดส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,333 บาท[2] และ โค้ดส่งฟรีขั้นต่ำ 200 บาท[3] 
  • กิจกรรม Flash Sale ในวันที่ 3 - 5 มีนาคม 2567
  • ร่วมสนุกลุ้นรับส่วนลดเพิ่มเติมกับกิจกรรม Shopee Live ช้อปสนุกแถมได้โค้ดลับเฉพาะบนไลฟ์ ในวันที่ 3 มีนาคม ตั้งแต่เวลา 0.00 น.

และเพื่อประสบการณ์การช้อปที่คุ้มค่าสูงสุด ก่อนชำระเงินลูกค้าสามารถกดเก็บโค้ดของ โอเลย์ (OLAY) ได้ที่หน้าร้าน และโค้ดส่วนลดของช้อปปี้จากหน้าแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็นโค้ดส่วนลด โค้ดส่งฟรี หรือโค้ดรับ Shopee Coins คืน นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถใช้ Shopee Coins เป็นส่วนลดเพิ่มเติม โดย 1 Shopee Coin จะมีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท พร้อมเพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์มากมายเมื่อชำระผ่าน ShopeePay

แฟนๆ โอเลย์ ห้ามพลาด! กับทัพผลิตภัณฑ์ความงามที่โอเลย์ขนขบวนเอาใจนักช้อป กว่า 100 รายการ พร้อมส่วนลดสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เตรียมมาให้คุณโดยเฉพาะใน Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี ตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2567

ห้ามพลาด!! ติดตามทุกข่าวสารและความเคลื่อนไหว พร้อมโปรดีที่การันตีความคุ้มแบบสุดๆ ตลอดทั้งปี จาก โอเลย์ (OLAY) บน Shopee Mall หรือที่ https://shopee.co.th/olay_official_shop 


[1] อ้างอิงจากรายงาน Ecommerce in Southeast Asia 2566 ของ Momentum Works

[2] อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติมในหน้าร้านค้า

[3] อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติมในหน้าร้านค้า

โฉมหน้าระบบนิเวศการชำระของเอเชียแปซิฟิกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลในตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีใหม่ ๆ ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนวิธีการชำระด้วยเงินสดเป็นระบบดิจิทัล และเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ และความสามารถของผู้บริโภคในการจ่ายและรับเงินไปอย่างสิ้นเชิง

ความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นตัวเร่งให้วิธีการชำระเงินแบบดิจิทัลมีความหลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้น อาทิ แพลตฟอร์มการสมัครสมาชิก การค้าออนไลน์และโซเชียลคอมเมิร์ซ และบริการด้านการเงินแบบ on-demand

ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ในปี 2567 นี้ จังหวะของการเปลี่ยนแปลงยังจะดำเนินอย่างต่อเนื่อง และขับเคลื่อนวิวัฒนาการของการชำระเงินในระบบดิจิทัลต่อไปเพราะทั้งผู้บริโภค และภาคธุรกิจต่างมองหาวิธีการชำระและรับชำระที่รวดเร็วกว่า ปลอดภัยกว่า และไร้รอยต่อ ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยียังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเราคาดหวังว่าโซลูชันใหม่ ๆ จะถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น”

  1. การชำระไม่ใช่แค่เรื่องของวิธีการ แต่สำคัญที่เมื่อไร

เมื่อผู้บริโภคมีความคุ้นเคยกับการชำระแบบดิจิทัล ความสำเร็จจึงไม่ใช่เพียงแค่หาโซลูชันที่ตรงตามที่ผู้บริโภคต้องการ แต่สำคัญที่การนำเสนอโซลูชันนั้น ๆ ให้กับลูกค้าต้องเกิดขึ้นในเวลาที่ใช่

สิ่งนี้เป็นเสน่ห์ของการเงินแบบฝังตัว (embedded finance) คือการผสานบริการด้านการเงินเข้ากับแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่สถาบันการเงินแบบดั้งเดิม ปัจจุบันแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสามารถเสนอขายประกันแก่ผู้ซื้อที่จุดชำระเงิน ขณะที่บริการ “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถแบ่งการชำระเป็นงวดได้โดยไม่ต้องออกจากหน้าเว็บ หรือแอปชอปปิง

คล้ายคลึงกับเรื่องราวของดิจิทัลวอลเล็ตที่ทำให้ชีวิตของผู้ถือบัตรชำระเงินต่าง ๆ ง่ายดายขึ้นผ่านการชำระแบบดิจิทัล และโซลูชัน Mobile-as-a-Service (MaaS) ที่ผนวกการชำระเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถวางแผน จองตั๋ว และจ่ายค่าโดยสารการเดินทางได้ในที่เดียว

โอกาสในลักษณะนี้ยังปรากฏให้เห็นในการชำระแบบ B2B โดยวีซ่าและบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจอย่าง BCG พบว่า ภายในปี 2568 การเงินแบบฝังตัวจะสร้างโอกาสทางการตลาดได้มากกว่า 242 พันล้านเหรียญสหรัฐแก่ผู้ให้บริการด้านการเงินทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB)

  1. โฉมหน้าการชำระเงินแบบ B2B จะถูกปรับให้เข้ากับผู้บริโภคยิ่งขึ้น

อีกไม่นานจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมโลกธุรกิจเมื่อคลื่นลูกใหม่ของผู้นำเจน Z และมิลเลนเนียลก้าวขึ้นมามีบทบาท พวกเขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการชำระเงินแบบดิจิทัลที่ใช้งานง่าย และความคาดหวังของพวกเขานั่นเองที่ช่วยผลักดันผลิตภัณฑ์และบริการการชำระเงิน B2B ให้มีโฉมหน้าและฟังก์ชั่นการใช้งานให้ง่ายต่อการใช้งานของผู้บริโภคยิ่งขึ้น ตรงกันข้ามกับก่อนหน้านี้ที่ออกแบบมาสำหรับองค์กรธุรกิจเท่านั่น

มีสองพลังสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ อย่างแรกคือการทำงานร่วมกัน ระบบที่ต่างกันจะสามารถทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อได้มากน้อยเพียงใด มันจำเป็นต้องมีนักพัฒนา ธุรกิจ และภาครัฐ มาร่วมมือกันและใช้งานการเชื่อมต่อโปรแกรมประยุกต์ APIs แบบเปิดที่สามารถรองรับวิธีการชำระแบบต่าง ๆ ได้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่นเดียวกับองค์กรในเอเชียแปซิฟิกที่อีกไม่นานจะสามารถชำระเงินอย่างไร้รอยต่อบนแพลตฟอร์ม SAP ด้วยบัตรวีซ่าเพื่อธุรกิจ โดยไม่ต้องยุ่งยากกับวิธีการชำระเงินหรือออกจากระบบอีกต่อไป

พลังอย่างที่สอง คือ ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นต่อโซลูชันการชำระเงินแบบ B2B ที่สามารถทำได้หลายอย่างในแพลตฟอร์มเดียว แพลตฟอร์มเหล่านี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กเพราะ รวบรวมบริการต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน อาทิ การชำระเงิน การกู้ยืม และการจัดการใบแจ้งหนี้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการงานด้านการเงินที่สำคัญให้จบได้ในอินเตอร์เฟซเดียว

  1. ความเสี่ยงมีให้เห็นบ่อยขึ้น แต่จับพิรุธได้ยากขึ้น

การชำระเงินแบบดิจิทัลที่เติบโตขึ้นในเอเชียแปซิฟิกส่งผลให้อาชญากรรมทางไซเบอร์มีเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ระบบ Generative AI ที่สร้างขึ้นบนโมเดลภาษาขนาดใหญ่เริ่มเลียนแบบการตอบสนองที่เหมือนมนุษย์ได้เนียนขึ้น และมิจฉาชีพสามารถใช้ความสามารถของมันไปสร้างอีเมลหลอกลวง และข้อความหลอกลวงแบบฟิชชิ่งโดยการใช้ภาษาที่ดีขึ้น ทำให้ผู้บริโภคจับพิรุธได้ยากขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของการฉ้อโกงระบุตัวตน การยึดครองบัญชี และรูปแบบการโกงแบบ “ได้คืบจะเอาศอก” ที่นักต้มตุ๋นมักใช้ล่อเหยื่อด้วยการจ่ายเงินจำนวนไม่มากนักเพื่อซื้อใจเหยื่อ นอกจากนี้ธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกมีความเชื่อมต่อกันมากขึ้น ความสุ่มเสี่ยงต่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย

ปัจจุบันวิธีการฉ้อโกงใหม่ ๆ มีหลายร้อยเล่มเกวียน ทำให้วิธีการเดิม ๆ ในการตรวจจับและป้องกันนั้นไม่เพียงพอ ข่าวดีก็คือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เร่งเครื่องเพื่อตามกลโกงเหล่านี้ให้ทัน เทคโนโลยี Machine learning (ML) และ โซลูชัน AI อย่าง Visa’s Advanced Authorisation (ViAA) ของวีซ่า สามารถขจัดความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้นก่อนการทำธุรกรรมได้โดยการตรวจจับความผิดปกติและภัยคุกคามอย่างรวดเร็วแบบเรียลไทม์ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจที่ไม่มีทรัพยากรในการจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง

ข่าวดีอีกเรื่องคือการยอมรับการชำระด้วยบัตรเวอร์ชวล (virtual card) ซึ่งเป็นบัตรที่ใช้งานได้เหมือนบัตรพลาสติกเพื่อการชำระเงินทั่ว ๆ ไปในกระเป๋าสตางค์ของคุณ แต่ใช้หมายเลขบัตรแบบใช้ครั้งเดียวและจํากัดเวลาในการชำระเงินแต่ละครั้ง ซึ่งสิ่งที่ทำให้บัตรเวอร์ชวลแตกต่างจากบัตรทั่วไปคือมันมาพร้อมกับ Dynamic CVV2 (dCVV2)

บนบัตรพลาสติกเพื่อการชำระแบบมาตรฐานทั่วไปจะมีตัวเลข CVV2 จำนวน 3 หลักพิมพ์ลงบนด้านหลังของบัตร หากตัวเลขดังกล่าวถูกมิจฉาชีพล่วงรู้ ก็จะสามารถใช้บัตรและนำเลขกลับมาใช้ใหม่เพื่อทำธุรกรรมที่ฉ้อโกงได้ แต่ด้วย Dynamic CVV2 ค่าตัวเลขจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยระหว่างการชำระเงินออนไลน์ผู้ถือบัตรจะกรอกเลข Dynamic CVV2 (dCVV2) ปัจจุบัน แล้วหลังจากนั้นระบบ VisaNet จะทำการตรวจสอบรหัสด้วยฟังก์ชันการตรวจสอบสิทธิ์ dCVV2 Authenticate เพื่อยืนยันตัวตน โดยเทคโนโลยี dCVV2 นอกจากจะช่วยป้องกันการใช้ซ้ำของบัตรที่ถูกมิจฉาชีพล้วงข้อมูลแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันการโจรกรรมและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องก้บการฉ้อโกงต่าง ๆ ได้อีกด้วย

  1. ธุรกิจ SMB มองไปยังอนาคต แต่ต้องการตัวช่วยสู่ความสำเร็จ

ในปี 2567 และปีต่อ ๆ ไป ภาคธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB) ในเอเชียแปซิฟิกจะยังประสบกับความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลได้สร้างการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจแบบเท่าเทียม ที่เจ้าของธุรกิจรายย่อยก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกได้

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจใหม่ และธุรกิจ SMB เหล่านี้ในภาคอื่น ๆ อาจต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องรับเอาเทคโนโลยีที่ฉลาดและคุ้มค่าต่อการลงทุนมากขึ้นมาใช้งานด้วยเช่นกัน

หมายความว่า SMB จะช่างเลือกมากขึ้นในการยอมรับโซลูชันการชำระเงินในปี 2567 นี้ พวกเขาต้องการการชำระเงินแบบดิจิทัลที่สะดวก เชื่อถือได้ และไร้รอยต่อ ควบคู่ไปกับการขยายการทำธุรกิจไปต่างประเทศเติบโตขึ้น ส่งผลให้ SMB จะให้ความสำคัญกับโซลูชันที่ช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงลูกค้าทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้นเป็นอันดับแรก

“โซลูชันการชำระเงินที่ใช้งานได้จริงและเหมาะกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ ธุรกิจ SME ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ คือ บัตรเวอร์ชวล ซึ่งบัตรเวอร์ชวลเพื่อธุรกิจไม่จำเป็นต้องผลิต ถือเป็นความคุ้มทุนเพราะผู้ประกอบการสามารถขอบัตรเวอร์ชวลได้มากตามที่ต้องการ และลูกจ้างไม่จำเป็นต้องรอให้บัตรพลาสติกจัดส่งมาให้ บัตรเวอร์ชวลยังสามารถตั้งค่าได้อย่างรวดเร็วและกำหนดวงเงินได้ตามต้องการ ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับธุรกิจ SME เพราะการชำระเงินไม่จำเป็นต้องรวมที่ศูนย์กลางและลูกจ้างสามารถทำการชำระได้อย่างอิสระ ขณะที่บริษัทยังคงควบคุมกระแสเงินสดได้อย่างครบถ้วนอีกด้วย” ปุณณมาศ กล่าวเสริม

นอกจากนี้เรายังจะเห็นธุรกิจ SMB หันไปหาแหล่งเงินทุนที่คล่องตัวและยืดหยุ่นกันมากขึ้น เช่น บัตรที่เหมาะกับความต้องการของธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่มีความยืดหยุ่น

เมื่อนวัตกรรมและการพัฒนาการชำระเงินยังคงขับเคลื่อนต่อไปในเอเชียแปซิฟิก สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือระบบนิเวศการชำระจะต้องอยู่ต้นแถว เพราะความรวดเร็ว สะดวกสบาย และปลอดภัย ถือเป็นเรื่องสำคัญ เราหวังจะได้ทำงานร่วมกันทั่วทั้งระบบนิเวศทางการเงินเพื่อสร้างโซลูชันใหม่ ๆ ที่จะช่วยพัฒนาภูมิทัศน์ของเอเชียแปซิฟิกไปด้วยกัน

เพิ่มความปลอดภัย อุ่นใจแก่ร้านค้าและผู้ใช้บริการอยู่เสมอ สำหรับค่าย 2C2P ผู้นำในการให้บริการระบบการชำระเงินออนไลน์ครบวงจรในประเทศไทยและอาเซียน โดยบอสใหญ่ พี่เต้ - ปิยชาติ รัตน์ประสาทพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ล่าสุด 2C2P เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริการชำระเงินออนไลน์ โดยได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูลการชำระเงินผ่านบัตร PCI DSS version 4.0 (เวอร์ชั่นล่าสุด Level 1 สูงสุด) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลกที่กำหนดขึ้นโดยบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายชำระเงินผ่านบัตรรายใหญ่ เวอร์ชั่นล่าสุด ระดับสูงสุด เน้นความเข้มข้นในควบคุมความเสี่ยงจากการฉ้อโกง รวมถึงป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนในการรับชำระเงินผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์

“ตลอด 20 ปีในวงการรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ทูซีทูพี ได้รับการรับรองมาตรฐาน PCI DSS (Level 1 สูงสุด) อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้านความปลอดภัย เช่น PCI-3DS, ISO27001, ISO27701, SOC2 Type2 and CSA STAR Level 2 Attestation สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์องค์กร 2C2P ที่ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยสูงสุดในการเก็บรักษาข้อมูล การป้องกันการเข้าถึงข้อมูล และการควบคุมความเสี่ยงจากการฉ้อโกงในการใช้บัตรเครดิต และบัตรเดบิตที่ลูกค้าทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านระบบของ 2C2P เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับร้านค้าผู้ใช้บริการ และลูกค้าจากทั่วโลก ว่าข้อมูลสำคัญจะถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัย มีการควบคุม และป้องกันไม่รั่วไหลอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้สำหรับพันธมิตรรวมทั้งลูกค้าผู้ใช้บริการต่างมั่นใจใน 2C2P มาอย่างยาวนาน” นายปิยชาติ กล่าว

อนึ่ง PCI DSS หรือ The Payment Card Industry Data Security Standard (PCI DSS) คือมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยที่ออกแบบมาสำหรับทุกองค์กรที่ รับ ประมวลผล จัดเก็บ และส่งต่อข้อมูลบัตรเครดิต เพื่อให้มั่นใจว่า หากได้ทำตามมาตรฐานแล้วจะทำให้ระบบขององค์กรมีความมั่นคงปลอดภัยและจะช่วยลดโอกาสในการรั่วไหลของข้อมูลบัตรเครดิต  

PCI DSS บริหารโดย PCI SSC หรือ สภามาตรฐานความปลอดภัยอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน PCI DSS Service Provider Level 1 ถือเป็นมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยสูงสุดของข้อมูลของอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน โดยมาตรฐาน PCI-DSS เวอร์ชั่น 4.0 ล่าสุด จะบังคับใช้ตั้งแต่ เดือนมีนาคม 2024 เป็นต้นไป 

หลายคนกำลังสนใจปัญหาสุขภาพที่เกิดจากฝุ่น PM2.5 แต่จะมีใครรู้ไหมว่าอันตรายจาก “ฝุ่นใยหิน” มีความรุนแรงที่มากกว่า และแฝงมาในการใช้ชีวิตประจำวันของเราอย่างคาดไม่ถึง

“ฝุ่นใยหิน” มาจากสิ่งต่าง ๆ รอบกาย ที่มีส่วนผสมจากแร่ใยหินในการผลิต โดยอุตสาหกรรมที่มีการใช้แร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องทนความร้อน ท่อซีเมนต์ใยหิน และท่อน้ำประปา, ผลิตภัณฑ์พลาสติก กระเบื้องปูพื้นไวนิล, พลาสติกขึ้นรูปต่าง ๆ และกล่องพลาสติกบรรจุแบตเตอรี่, กระดาษแร่ใยหิน และผลิตภัณฑ์เส้นใยอัดแน่น, ผ้าเบรค คลัทช์ สิ่งทอที่ทำด้วยแร่ใยหิน เช่น ชุดป้องกันไฟ, ฉนวนกันความร้อน เช่น ท่อน้ำร้อน หม้อไอน้ำ และฉนวนหุ้มคานเหล็ก ในอาคารสูง เพื่อป้องกันการขยายตัวของเหล็ก ในกรณีเกิดเพลิงไหม้, ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น สารยึดในยางมะตอย วัตถุดิบในการทำหินเจียร และปะเก็น

เราสัมผัสแร่ใยหินได้อย่างไร

โดยส่วนใหญ่ผู้คนมักได้รับสัมผัสแร่ใยหินจากการสูดดมที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศเข้าไปโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังอาจจะได้รับสารปนเปื้อนจากการสลายตัวของใยหินตามธรรมชาติ แหล่งทิ้งขยะใยหิน หรือท่อซีเมนต์ใยหินที่มีการเสื่อมสภาพ และที่น่ากังวลที่สุดก็คือ บุคคลที่ต้องทำงานในอุตสาหกรรมที่ใช้แร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ เช่น คนงานเหมืองแร่ใยหิน คนงานโรงงานผลิตใยหิน คนงานอุตสาหกรรมที่ใช้ใยหินเป็นวัตถุดิบ คนงานก่อสร้างที่ต้องตัดเจียรกระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องปูพื้น หรือรื้อถอนอาคารที่มีวัสดุที่มีใยหินเป็นส่วนประกอบ คนงานอุตสาหกรรมรถยนต์ ช่างยนต์ในขณะเปลี่ยนผ้าเบรคหรือคลัทช์ คนงานที่ทำหน้าที่จัดการขยะที่มีใยหินเป็นส่วนประกอบ เป็นต้น ที่สำคัญบุคคลเหล่านี้สามารถนำสารปนเปื้อนของแร่ใยหินกลับมาสู่ครอบครัวและบุคคลในบ้านได้อีกด้วย

ภัยมืดจากแร่ใยหิน

หากบอกว่าการสัมผัสแร่ใยหิน มีผลทำให้ผู้สัมผัสในระยะเวลานาน ๆ อาจกลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งปอดได้ คงทำให้หลาย ๆ คนเริ่มเกิดความตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกิดจากแร่ใยหิน

“ใยหินทุกประเภทเป็นสารก่อมะเร็งในคน” นี่คือ ข้อสรุปของสถาบันวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (The International Agency for Research on Cancer, IARC) จากการศึกษาทบทวนงานวิจัยของนักวิชาการจากทั่วโลก ทั้งการศึกษาทางระบาดวิทยาในคน และการศึกษาในสัตว์ทดลองสถาบันวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติจัดแร่ใยหินทุกกลุ่มย่อยเป็นสารก่อมะเร็ง เพื่อสรุปว่าใยหินทุกประเภทเป็นสารก่อมะเร็งในคน รวมถึงใยหินไครโซไทล์ที่ยังมีการใช้ในประเทศไทยในขณะนี้ด้วย

แร่ใยหินก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพหลากหลาย ได้แก่ โรคปอดอักเสบจากใยหินหรือแอสเบสโตซิส (asbestosis) โรคหรือความผิดปกติของเยื่อหุ้มปอด (pleural thickening, pleural plague) โรคมะเร็งปอด (lung cancer) และโรคมะเร็งของเยื่อหุ้มปอด (mesothelioma) เป็นจุดหรือก้อนในปอด และโรคมะเร็งกล่องเสียง

จากการศึกษาดังกล่าวพบว่าคนงานกลุ่มที่ทำงานสัมผัสใยหินไครโซไทล์ดังกล่าวเกิด/เสียชีวิตจากมะเร็งประเภทต่าง ๆ รวมถึง มะเร็งปอด และมะเร็งเยื่อหุ้มปอดมากกว่าคนทั่วไป ข้อมูลดังกล่าวทำให้สถาบันวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติสรุปว่าใยหินทุกประเภทเป็นสารก่อมะเร็งในคนในปี พ.ศ. 2555

จะเห็นได้ว่าฝุ่นใยหินวนเวียนอยู่ใกล้ตัวเราจนบางครั้งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องทำงานสัมผัสกับแร่ใยหินโดยตรง ยิ่งเสี่ยงอันตรายมากที่สุด ดังนั้นจึงควรเร่งดำเนินการให้ยกเลิกการนำเข้า ผลิต และจำหน่ายแร่ใยหินและผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบทุกชนิด โดยไม่ต้องรอให้เกิดการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากใยหินเพิ่มขึ้นมาอีก และนี่คือเหตุผลที่ทำไมทุกคนต้องหันมาป้องกันและรณรงค์ให้เกิดการยกเลิกการใช้แร่ใยหินในอุตสาหกรรมต่าง ๆ


ข้อมูลอ้างอิง 

  • บทความ ใยหินไครโซไทล์กับสุขภาพ, แร่ใยหินกับสุขภาพ โดย ศ.นพ.สุรศักดิ์ บูรณตรีเวทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • บทความ โรคปอดเหตุใยหิน โดย รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล

FWD ประกันชีวิต ต่อยอดแบรนด์แคมเปญ ใช้ข้อมูลความสนใจของผู้คน พร้อมชวนเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ ส่งต่อเรื่องราวความสุขและความสนุกในวัยเด็ก เป็นแรงบันดาลใจผ่านช่องทางออนไลน์ ชวนทุกคนไปใช้ชีวิตให้เหมือนที่เคยคิด เพราะชีวิตคิดแล้วต้องใช้

นางสาวปวริศา ชุมวิกรานต์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (“FWD ประกันชีวิต”) “FWD ประกันชีวิต เปิดตัวแบรนด์แคมเปญ FWD PlayGrown สนามผู้ใหญ่เล่น ไปเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อสร้างการจดจำแบรนด์ ซึ่งในครั้งนี้เราสื่อสารความหมายในแบรนด์ของเรา ผ่านการชวนให้ทุกคนก้าวข้ามความกังวล ออกไปเล่นกับสนามผู้ใหญ่เล่น หรือ PlayGrown ซึ่งส่งผลให้ brand awareness เพิ่มขึ้น 5% จากเดือนที่ผ่านมา”

จากผลตอบรับของการรับรู้แบรนด์ที่เพิ่มขึ้น และการทำงานสื่อสารแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้แบรนด์สามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้คน ในครั้งนี้เราได้หยิบผลสำรวจกิจกรรมที่คนไทยช่วงอายุ 20-59 ปี สนใจมากที่สุด มาเป็นเรื่องราวในการสื่อสารให้ตรงใจ ซึ่งพบว่า กิจกรรมที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ การกินบุฟเฟ่ต์ การวิ่งออกกำลังกาย การเต้นรำ และการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว เราจึงได้นำผลมาต่อยอดสร้างเป็นสื่อเพื่อใช้ในการสร้างการรับรู้และการจดจำแบรนด์แคมเปญในครั้งนี้

โดยนำเสนอเรื่องราวที่ช่วยสร้าง inspiration จากความสุขในวัยเด็กของเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ ทั้งสายกีฬา สายไลฟ์สไตล์ สายท่องเที่ยว และสายครอบครัว อาทิ แอม - ชีวิตนอกเส้นของ Ampossible.th (@ampossible.th) ที่มีความฝันอยากโตขึ้นเป็นเจ้าของกิจการจากการเล่นของเล่นที่ชอบ ธนายุทธ เติมประยูร (@pure_taichifit) หนุ่มมวยจีน กล้ามแน่น ที่ฝึกฝนตัวเองทำในสิ่งที่ชอบจากการดูหนังบู๊ และมิวกี้ (@milky_chay) เน็ตไอดอลสาวเมืองเชียงใหม่ ที่ชีวิตวัยเด็กฝันอยากจะออกไปท่องเที่ยว เปิดโลกกว้าง รวมทั้งอินฟลูเอ็นเซอร์คนอื่นๆ ที่จะมาร่วมแชร์สิ่งที่คิดอยากจะทำและความฝันในวัยเด็ก  และส่งต่อแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตเหมือนที่เคยคิด เพราะชีวิตคิดแล้วต้องใช้

เพราะ FWD ประกันชีวิต เป็นแบรนด์ที่แตกต่าง โดยเราเลือกเล่าเรื่องราวของประกันชีวิตในแง่บวก เพื่อให้เกิดการจดจำแบรนด์ สำหรับแบรนด์แคมเปญตัวใหม่ของปี 2567 จึงเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้ย้อนมองกลับไปในความตั้งใจในวัยเด็ก สนับสนุนให้ทุกคนได้ลองกลับไปใช้ชีวิตให้เหมือนที่เคยคิด เพราะชีวิตคิดแล้วต้องใช้”  นางสาวปวริศา กล่าวทิ้งท้าย

SCB CIO ประเมินมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุน หลังผลเลือกตั้งอินโดนีเซีย ที่นายปราโบโว ซูเบียนโต ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด เตรียมเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ในวันที่ 20 ต.ค. นี้  เดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม พร้อมสานต่อนโยบายรัฐบาลชุดเดิม สร้างเศรษฐกิจให้เติบโตด้วยกลไกตลาดเสรี  ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ และเน้นการพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ทั้ง ด้านพลังงาน อาหาร และน้ำ รวมทั้ง ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ   ตั้งเป้าเศรษฐกิจอินโดนีเซียเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี   SCB CIO ยังคงมุมมอง Neutral   แม้หุ้นกลุ่มธนาคารเติบโตดี    Valuationของตลาดหุ้น อยู่ในระดับต่ำ  และรายได้ (Earning) ของบริษัทจดทะเบียน คาดว่ามีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปีนี้ที่กว่า 12% และปี 2568 กว่า 9%  แต่ยังมีปัจจัยกังวลในเรื่องภาคการส่งออกที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง    การปรับลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และความเสี่ยงที่รัฐบาล อาจปรับเพิ่มเพดานขาดดุลการคลังต่อ GDP จาก 3% เป็น 6% ที่อาจจะกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังระยะกลางถึงยาวได้

ดร.กำพล  อดิเรกสมบัติ  ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO)  ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2567 ผลการนับคะแนนแบบไม่เป็นทางการ (Quick Count) ที่มีความแม่นยำค่อนข้างสูง ชี้ว่า นายปราโบโว  ซูเบียนโต (Prabowo Subianto)ได้คะแนนเฉลี่ย 58% ของคะแนนเสียงทั้งหมด ทำให้ นายปราโบโว คว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดี และเตรียมรอเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่  20 ต.ค.นี้ โดยไม่น่าจะต้องมีการเลือกตั้งรอบสอง เนื่องจากเป็นไปตามกฎการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียที่ระบุว่า กรณีผู้สมัครชนะการเลือกตั้ง ต้องได้คะแนนมากกว่า 50% และ ได้คะแนนอย่างน้อย 20% ในจังหวัดต่างๆ มากกว่าครึ่งหนึ่งของจังหวัดทั้งประเทศ หากไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงถึงเกณฑ์ที่กำหนด จึงจะจัดเลือกตั้งรอบสอง ให้ผู้สมัครที่มีคะแนนเสียงอันดับ 1 และ 2 ชิงชัยชนะกัน

เมื่อวิเคราะห์นโยบายหาเสียงของนายปราโบโว พบว่า โดยภาพรวมเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจ และด้านสวัสดิการสังคม นโยบายหลักๆ ได้แก่ ด้านสุขภาพ อสังหาริมทรัพย์ แรงงาน การคลัง และ สวัสดิการสังคม โดยตัวอย่างนโยบายเด่นๆ เช่น จัดตรวจสุขภาพฟรีให้ประชาชนทุกคนปีละ 1 ครั้ง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของหมู่บ้านและตำบลอย่างต่อเนื่อง เพิ่มเงินเดือนข้าราชการ จัดตั้งสำนักงานสรรพากรของรัฐ แยกออกมาจากกระทรวงการคลัง เพื่อเพิ่มอัตราส่วนรายได้ภาครัฐต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และเพิ่มโปรแกรมบัตรสวัสดิการสังคม เพื่อขจัดความยากจนอย่างแท้จริง เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังพร้อมสานต่อนโยบายรัฐบาลของนายโจโก วีโดโด (Joko Widodo) ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เช่น นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการสร้าง "นูซันตารา" เมืองหลวงแห่งใหม่ ทั้งยังต้องการมุ่งเน้นให้เศรษฐกิจเติบโตด้วยกลไกตลาดเสรี  ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ และเน้นการพึ่งพาตัวเองมากขึ้นด้านพลังงาน อาหาร และน้ำ รวมทั้ง ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศด้วย

สำหรับช่วง 5 ปีต่อจากนี้ที่ นายปราโบโว  จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ตั้งเป้าหมายเศรษฐกิจอินโดนีเซียเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี  ซึ่งสูงกว่าที่ IMF คาดอยู่ที่ 5% ระหว่างปี 2024-2025 นอกจากนี้ ยังต้องการลดจำนวนคนว่างงานลงประมาณ 2 ล้านคน ภายใน 5 ปี ผ่านการสืบสานและต่อยอดนโยบายประธานาธิบดี โจโก ซีโดโด โดยเราคาดว่า จะช่วยสนับสนุนภาคการลงทุน จากการที่ภาคเอกชนมีความมั่นใจมากขึ้น และการเพิ่มการใช้จ่ายงบลงทุน (CAPEX) ส่วนการบริโภค คาดว่าจะได้รับผลบวกจากการใช้จ่ายภาครัฐฯ ในด้านสังคม ที่มีแนวโน้มดำเนินต่อไป ตามที่ได้ผ่านงบประมาณรายจ่ายไว้แล้ว ขณะเดียวกัน  นายปราโบโว ประกาศไว้ว่าจะเริ่มต้นเดินหน้านโยบายที่หาเสียงไว้หลายประการทันทีที่เข้ามาบริหารประเทศเต็มตัว จึงเป็นแรงกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะต่อไป

ทั้งนี้ SCB CIO มีมุมมองเชิงบวกเพิ่มขึ้นต่อตลาดหุ้นอินโดนีเซีย โดยมองว่าตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนระยะสั้น จากปัจจัยดังนี้  1) การเลือกตั้งที่มีแนวโน้มสำเร็จในรอบแรก ส่งผลบวกต่อ sentiment บนตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 2) ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารยังมีแนวโน้มเติบโตดี 3) Valuation ของตลาดหุ้นอินโดนีเซีย อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเทรดอยู่บน ราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะข้างหน้า (forward PE) ที่ 13.7x หรือยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ประมาณ -1 s.d. และ 4) Earnings ของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2567 ที่ประมาณ +12.2%   และในปี 2568  คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ +9.4%

อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมอง Neutral (ถือ) บนตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่ เนื่องจากประเด็นความกังวลที่มีอยู่ ได้แก่ 1) ภาคการส่งออกที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง 2) การปรับลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออก ดุลบัญชีเดินสะพัด และรายได้ภาครัฐฯ ของอินโดนีเซีย 3) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลง อาจส่งผลกดดันต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลให้ปรับลดลง และ 4) ความเสี่ยงที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายปราโบโว อาจปรับเพิ่มเพดานขาดดุลการคลังต่อ GDP จากปัจจุบันที่ 3% เป็น 6% ซึ่งหากเกิดขึ้น จะกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังระยะกลางถึงยาว และส่งผลลบต่อค่าเงินรูเปี๊ยะให้อ่อนค่าลง และ Bond Yield อินโดนีเซีย อาจกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

สถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คาดการณ์ทิศทางความยั่งยืนของภาคธุรกิจไทย ปี 67 ตอกย้ำเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) ที่กลายเป็นเงื่อนไขทางธุรกิจสู่อนาคต เสมือนเป็น License to Earn หรือใบอนุญาตรับผลตอบแทนของธุรกิจที่จำเป็นต้องมีในระยะยาว

กระแสเรื่อง ESG ที่แต่เดิม ถูกขับเคลื่อนอยู่ภายในแวดวงตลาดทุน โดยเป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสถาบันใช้ผลักดันให้บริษัทที่ตนเข้าไปลงทุนมีการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคม เอาจริงเอาจังกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี มานับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 ได้ถูกหยิบมาใช้อย่างแพร่หลาย จนปัจจุบันได้กลายเป็นคำสามัญที่นำมาใช้สื่อสารกับผู้มีส่วนได้เสียในวงกว้าง นอกเหนือจากที่ใช้สื่อสารกับกลุ่มผู้ลงทุนแรกเริ่ม

จากมุมมองเดิมต่อเรื่อง ESG ที่กิจการส่วนใหญ่ เห็นว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้จัดการความเสี่ยง มาสู่การใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจสำหรับรองรับโอกาสที่เกิดขึ้นจากปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยที่หลายกิจการเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ทั้งการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และความสามารถในการทำกำไร (Profitability) จากการใช้ประโยชน์ในประเด็นด้าน ESG ที่สอดคล้องกับบริบทของกิจการ

ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ได้กล่าวในงานแถลงทิศทางความยั่งยืน ปี 2567 ที่จัดขึ้นวันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2567) ว่า “ทิศทาง ESG ในปีนี้ จะเป็นการเดินหน้าดำเนินงานในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สำหรับกิจการที่เห็นประโยชน์เป็นรูปธรรม ซึ่งเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดี ก็จะมีความเชื่อมั่น และผลักดันการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นผลกระทบที่ดีทั้งกับกิจการและผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักกับการลงทุนที่ยั่งยืน ในลักษณะ “Who cares earns” (ยิ่งใส่ใจ ยิ่งได้รับ)”

โดยกิจการที่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี ย่อมสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียในหลายระดับ คือ ในระดับแรก สังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม ‘ได้รับ’ ประโยชน์จากการที่ธุรกิจใส่ใจดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นหรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการประกอบการ ในระดับต่อมา กิจการจะมีโอกาส ‘ได้รับ’ รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น จากการใช้ประเด็น ESG สร้างการเติบโตและเพิ่มผลิตภาพ และในระดับท้ายสุด ผู้ลงทุนควรจะ ‘ได้รับ’ ผลตอบแทนทั้งกำไรจากส่วนต่างของราคาหลักทรัพย์ (Capital Gain) และเงินปันผลที่สูงขึ้นจากการลงทุนในกิจการที่ ‘ใส่ใจ’ เรื่อง ESG

ในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ได้ประมวล 3 กลยุทธ์ ESG เพื่อให้กิจการใช้เป็นแนวทางการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน ประกอบด้วย Chance: หาโอกาสในมิติเศรษฐกิจ Choice: สร้างทางเลือกในมิติสังคม Change: เปลี่ยนแปลงในมิติสิ่งแวดล้อม พร้อมกับการประเมินทิศทางความยั่งยืน ปี 2567 ใน 6 ทิศทางสำคัญ ได้แก่ 1) ESG -> License to Earn 2) One Report -> Double Materiality 3) Net Zero -> Scope 3 Emissions 4) Weaker Governance -> Greener Washing 5) Real Bottom Line -> Nature Profit 6) Sustainability Disclosure -> External Assurance สำหรับองค์กรที่ต้องการใช้ประเด็นด้าน ESG ในการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียในระดับต่าง ๆ ได้แนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้ตามบริบทของกิจการ เพื่อให้ทันกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิผล

ในงานแถลงทิศทางความยั่งยืนปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ยังได้จัดให้มีการเสวนาเรื่อง ESG Premium: Care to Earn แนะนำเครื่องมือวัดมูลค่าความยั่งยืนของกิจการ ที่ใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณเสริมการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ เพื่อเพิ่มมิติข้อมูลแก่ผู้ลงทุนที่ใช้ปัจจัยด้าน ESG สำหรับประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิม

นายวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “เครื่องมือ ESG Premium จะใช้ข้อมูล ESG Score ที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ มาดำเนินการทางคณิตศาสตร์กับข้อมูล ESG Portion ที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ เพื่อหาส่วนล้ำทางมูลค่า (Premium) ในผลตอบแทนจากการลงทุนของแต่ละหลักทรัพย์ ซึ่งนอกจากการใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในกระบวนการวิเคราะห์ตัดสินใจลงทุนแล้ว ยังใช้เป็นตัวช่วยในการติดตามตรวจสอบการลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนของกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืนสอดคล้องกับหลักการด้านความยั่งยืนตามที่สากลยอมรับ รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่ให้ภาพเชิงลึกกว่าการอ้างอิงดัชนีชี้วัดที่มีองค์ประกอบเป็นหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน”

นายฌานสิทธิ์ ยอดพฤติการณ์ กรรมการสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวเสริมว่า “การประเมินมูลค่าความยั่งยืนของกิจการด้วยเครื่องมือ ESG Premium มีส่วนสำคัญในการช่วยให้กิจการเข้าใจและทราบถึงช่องว่าง (Gap) เพื่อยกระดับการดำเนินงานด้าน ESG ขององค์กร ที่สะท้อนมูลค่าความยั่งยืนของกิจการผ่านสมรรถนะการดำเนินงาน (ESG Performance) สู่ส่วนล้ำทางมูลค่า (ESG Premium) ในผลตอบแทนจากการลงทุนของกิจการ”

บริษัทจดทะเบียนที่ต้องการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ ESG Premium สถาบันไทยพัฒน์ ได้เปิดรับองค์กรนำร่อง (Pilot Organizations) ที่ต้องการยกระดับสมรรถนะการดำเนินงานด้าน ESG ของกิจการ สู่การสร้างส่วนล้ำทางมูลค่าจากปัจจัย ESG โดยองค์กรที่สนใจสามารถแสดงความจำนงเข้าร่วมได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

หัวเว่ย เป็นเจ้าภาพจัดงาน “5G Beyond Growth Summit”  ในงาน โมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (Mobile World Congress 2024 - MWC) ณ กรุงบาร์เซโลนา ประเทศสเปนเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยนายหลี่ เผิง รองประธานอาวุโสฝ่ายองค์กร และประธานฝ่ายขายและบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของหัวเว่ย ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ถึงการที่เทคโนโลยี 5G จะช่วยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายประสบความสำเร็จ รวมถึงการที่ เทคโนโลยี 5.5G จะเข้ามาช่วยปลดล็อคศักยภาพที่เหนือกว่าของเครือข่ายและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต ให้กับผู้ให้บริการ

นายหลี่กล่าวว่า “เทคโนโลยี 5G กำลังไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ” ทั้งนี้ เทคโนโลยี 5G ถูกนำมาใช้งานใน เชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีผู้ใช้งานมากกว่า 1,500 ล้านคนทั่วโลก เมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยี 4G ที่ต้องใช้เวลาถึง 9 ปี ในการได้จำนวนผู้ใช้งานเท่ากัน โดยในปัจจุบัน ร้อยละ 20 ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ใช้งานบนเทคโนโลยี 5G ซึ่งนับเป็นร้อยละ 30 ของการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายทั้งหมด และสามารถสร้างรายได้ให้กับ ผู้ให้บริการถึงร้อยละ 40 เทคโนโลยี 5.5G จะเริ่มเข้ามามีบทบาทการใช้งานเชิงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2567 และด้วยความสามารถของเทคโนโลยี 5.5G นี้ ผนวกกับ AI และการใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีคลาวด์ จะทำให้ผู้ให้บริการสามารถปลดล็อค ศักยภาพของแอปพลิเคชันและความสามารถใหม่ ๆ ได้อีก”

เขากล่าวเสริมว่า ผู้ให้บริการเครือข่ายทั่วโลกควรให้ความสำคัญกับการให้บริการเครือข่ายคุณภาพสูง มองหาการสร้างรายได้ จากหลากหลายช่องทาง บริการใหม่ ๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ เข้ามาใช้งาน เพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจเอาไว้

เครือข่ายคุณภาพสูงยังคงเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจ

ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือนั้นยินดีที่จะอัปเกรดแพ็คเกจการใช้งานของตัวเองหากเครือข่ายนั้น ๆ สามารถมอบประสบการณ์ ที่เหนือกว่าได้ โดยการใช้งานดาต้าของผู้ใช้งานเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอีกสูงมาก ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ให้บริการสามารถสร้างมูลค่า จากการใช้งานเหล่านี้ได้อีก และจะทำให้เราได้เห็นผู้ให้บริการเครือข่ายจำนวนมากที่กำลังมีแผนงานและกลยุทธ์ที่จะ เพิ่มระบบเครือข่าย 5G ที่มีคุณภาพสูงเข้ามา

ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการเครือข่ายในทวีปตะวันออกกลางได้นำเทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบ Massive MIMO มาใช้งานแล้ว และด้วยประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าบนระบบนี้ทำให้สามารถนำเทคโนโลยีเทคโนโลยี 5G FWA เข้าสู่ตลาดได้สำเร็จ โดยในปัจจุบันเทคโนโลยี 5G FWA ได้เชื่อมต่อผู้คนจากกว่า 3 ล้านครัวเรือนเข้าด้วยกัน และถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือ ที่สร้างรายได้มหาศาลให้แก่ผู้ให้บริการ

สร้างมูลค่าเพิ่มจากหลากหลายช่องทาง และหลากหลายรูปแบบ

ปัจจุบัน ผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ทั่วโลกกว่าร้อยละ 20 มีการนำเสนอบริการในรูปแบบแพ็คเกจที่มีการจัดระดับความเร็ว เป็นขั้นตามความต้องการ เช่น ผู้ให้บริการเครือข่ายรายหนึ่งในประเทศไทยมีการนำเสนอแพ็คเกจลักษณะ Boost Mode ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกระดับความเร็วที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเองได้ โดยการออกแบบแพ็คเกจ ลักษณะนี้สามารถเพิ่มอัตรารายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งานหรือ ARPU ได้ประมาณร้อยละ 23 หรือผู้ให้บริการเครือข่ายรายหนึ่ง ในประเทศจีนได้มีการออกแบบแพ็คเกจที่รับประกันความเร็วอัปโหลดสำหรับผู้ใช้งานที่เน้นการใช้งานแบบ Livestream เพื่อการใช้งานที่ต้องการความละเอียดสูงและประสบการณ์ที่ลื่นไหล โดยแพ็คเกจดังกล่าวได้รับความนิยมและสามารถ เพิ่มอัตรารายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งานได้มากกว่าร้อยละ 70

บริการรูปแบบใหม่ๆ จะเข้ามาช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

บริการรูปแบบใหม่ ๆ เช่น New Calling, Cloud phones หรือบริการ 3D แบบที่ไม่ต้องสวมแว่น กำลังได้รับความนิยม มากขึ้นจากเหล่าผู้ใช้งาน เช่น ฟังก์ชันตัวละครเสมือนหรือ avatar ที่อยู่ในบริการ New Calling นั้นได้รับความนิยม เป็นอย่างมาก รวมถึงมีการแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งานยินดีที่จะจ่ายเพิ่มเพื่อประสบการณ์แบบเรียลไทม์ เช่น การเคลมประกันรถ แบบ one-stop จบในที่เดียว

นอกจากนี้ เทคโนโลยี 5G ยังถูกนำไปใช้งานจากหลากหลายอุตสาหกรรม โดยในประเทศจีนมีการใช้งานเครือข่าย 5G ในรูปแบบส่วนบุคคลในระดับอุตสาหกรรมกว่า 50,000 เครือข่าย ในกว่า 50 อุตสาหกรรม และด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้น ของเทคโนโลยี 5.5G เช่น อัตราความหน่วงที่สามารถกำหนดได้ ความแม่นยำในการส่งต่อข้อมูล และการใช้งาน IoT แบบ passive จะสามารถเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับผู้ให้บริการเครือข่ายในตลาด B2B ได้อีกมาก

Generative AI จะช่วยนำพาอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือเข้าสู่ยุคอัจฉริยะ

รายงานจาก IDC ระบุว่าในปี พ.ศ. 2567 จะมียอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยี AI ในตัว กว่า 170 ล้านเครื่อง ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 15 ของยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนทั้งหมด โดยสมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยี AI ในยุคใหม่นี้จะมาพร้อมกับ หน่วยความจำที่มากกว่า ความสามารถในการแสดงผลหน้าจอและภาพถ่ายที่เหนือกว่า และการทำงานที่ต้องใช้ เทคโนโลยีขั้นสูงจากแอปพลิเคชัน AIGC เหล่านี้จะก่อให้เกิดการใช้ข้อมูลอย่างมหาศาล และแน่นอนหมายถึงโอกาสทาง ธุรกิจใหม่ ๆ ของผู้ให้บริการเครือข่ายด้วย

นายหลี่ ได้กล่าวปิดท้ายงานด้วยคำมั่นว่า “เราและผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือจะร่วมกันปลดล็อคศักยภาพ ของเทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยี 5.5G และร่วมสร้างการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืนไปด้วยกัน"

X

Right Click

No right click