บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นายโชน โสภณพนิช (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายจักรพงศ์ แสงแก้ว (ขวาสุด) ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงิน และ นายปรัชญ์ สิงหเสนี (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงิน พร้อมผู้บริหารฝ่ายขาย ร่วมแสดงความยินดีกับ นายนนทรัฐ จริงจิตร (กลาง) ผู้จัดการภาค ในโอกาสเปิดสำนักงานตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงินแห่งใหม่ในอำเภอเมือง จังหวัดเลย ซึ่งถือเป็นสำนักงานตัวแทนแห่งที่ 2 เพื่อรองรับการขยายฐานตลาดของฝ่ายขายที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้น และเพิ่มการบริการลูกค้าในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ตามแนวทางการดำเนินงานด้วยความ “ใส่ใจ” ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือ Customer Centric เพื่อสร้างความมั่นใจและพึงพอใจในระยะยาวให้กับลูกค้าในจังหวัดเลย และพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้ารับการบริการของ กรุงเทพประกันชีวิต ได้อย่างเต็มรูปแบบได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
กรุงเทพประกันชีวิตให้ความสำคัญการสร้างรากฐานความมั่นคงในระยะยาวให้กับตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงิน มุ่งเน้นการพัฒนาผู้บริหารตัวแทนให้มีความเป็นมืออาชีพและสนับสนุนความพร้อมในทุกๆด้าน ทั้งการสร้างทีมงานที่มีคุณภาพ และการสร้างผลงานเบี้ยประกัน ตลอดจนสนับสนุนให้ผู้บริหารฝ่ายขายสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจ ด้วยการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงินในฐานะคู่ค้าของบริษัท เพื่อสร้างความยั่งยืนในอาชีพต่อไป
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ตอกย้ำความสำเร็จเส้นทางสู่ “การธนาคารเพื่อความยั่งยืน” (Sustainable Banking) ครองอันดับหนึ่งด้วยคะแนนสูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ในการประเมินนโยบายด้าน ESG ของธนาคาร จากการประเมินโดย Fair Finance Thailand ประจำปี 2566 ซึ่งมีความโดดเด่นในหมวดการคุ้มครองผู้บริโภคที่ธนาคารมีนโยบายจัดการข้อร้องเรียนของลูกค้าอย่างเป็นขั้นตอน และหมวดการขยายบริการทางการเงินที่ครอบคลุมเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและเพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น โดยมีนายนริศ อารักษ์สกุลวงศ์ ประธานกลุ่มกลยุทธ์องค์กรและดิจิทัล ทีเอ็มบีธนชาต เป็นผู้รับมอบรางวัลจากนางสาวสฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าคณะวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย และถือเป็นอีกหนึ่งรางวัลแห่งความภาคภูมิใจของธนาคารในการผลักดันให้ทุกภาคส่วนในองค์กรร่วมกันมุ่งมั่นสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างสมดุลในทุกมิติ ตามกรอบ B+ESG ผสานธุรกิจและความยั่งยืนเป็นเนื้อเดียวกัน ณ โรงแรม S31 Sukhumvit Hotel เมื่อเร็ว ๆ นี้
Grand Seiko (แกรนด์ ไซโก) แบรนด์นาฬิกาลักชัวรีชั้นนำระดับโลก สัญชาติญี่ปุ่น มีประวัติยาวนานกว่า 60 ปี เปิดเกมส์รุกหนักตลาดนาฬิกาหรูเมืองไทย วางกลยุทธ์ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์นาฬิกาไฮเอนด์หนึ่งเดียวจากเอเชียในระดับโลก ที่ไปจัดแสดงในงาน Watches and Wonders ซึ่งเป็นงานจัดแสดงนาฬิกาชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมสร้างกระแสความภูมิใจในแบรนด์ผ่านการสร้างประสบการณ์ร่วมในกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีอายุ 30-45 ปี ควบคู่กับการสร้าง Brand Engagement และ Brand Loyalty ในกลุ่มลูกค้าเดิม ประเดิมต้นปีจัดงานเปิดตัวแคมเปญ My Grand Seiko My Pride พร้อมฉลองความสำเร็จของนาฬิการุ่นไอคอนิก Sakura ระหว่างวันที่ 7-11 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 10.00-22.00 น. ณ แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน
นายอากิระ ซากาอิริ กรรมการผู้จัดการ แกรนด์ ไซโก ประเทศไทย เปิดเผยว่า สำหรับในปี 2024 ภาพรวมตลาดนาฬิกาลักชัวรีมีแนวโน้มทรงตัวและค่อยๆ ฟื้นตัว หลังจากที่ชะลอตัวในช่วงการระบาดของโควิด 19 ที่ผ่านมา ซึ่งต้องดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบ เช่น ภาวะสงคราม ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดขึ้นทั่วโลก จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่ประเทศไทย และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็น 1 ใน ตลาดสำคัญของแกรนด์ ไซโก ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ในปีที่ผ่านมายอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายปวริศร์ เอี่ยมเอกพัฒนา Luxury Group Director แกรนด์ ไซโก ประเทศไทย กล่าวว่า ในปีนี้แกรนด์ ไซโก วางกลยุทธ์ตอกย้ำภาพลักษณ์สร้างการจดจำแบรนด์นาฬิกาลักชัวรีหนึ่งเดียวจากเอเชียในระดับโลกในใจกลุ่มลูกค้า ตามคอนเซ็ปต์ Nature of Time ที่สะท้อนถึงแก่นแท้และ DNA ของแบรนด์ รวมทั้งเป็นผู้นำด้านความเที่ยงตรงสูงสุดและความประณีตของงานคราฟส์แมนชิพทุกดีเทลตามแบบฉบับญี่ปุ่น โดยเฉพาะการขัดเงาแบบซารัตสึ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ถูกพัฒนาขึ้นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ พร้อมๆ กับการโฟกัสขยายฐานกลุ่มลูกค้าในช่วงอายุ 30-45 ปี ผ่านการสร้าง Emotional Attachment เน้นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้าใหม่เข้ามามีประสบการณ์ร่วม ได้ใกล้ชิดและทำความรู้จักแบรนด์มากยิ่งขึ้น ควบคู่กับการสร้าง Brand Loyalty ในกลุ่มลูกค้าเดิมที่รู้จักแบรนด์ดีอยู่แล้ว
เพื่อให้สอดรับกับกลยุทธ์การตลาดและการโฟกัสกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ผ่านการสร้างประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ จึงจัดแคมเปญ My Grand Seiko My Pride นำเสนอความภาคภูมิใจและเอกลักษณ์ในทุกมิติของแบรนด์ ผ่านนิทรรศการของนักสะสมนาฬิกา 10 ท่าน และแคมเปญที่บอกเล่าเรื่องราวความภาคภูมิใจในความสำเร็จของเซเลบริตี้คนดัง 8 ท่าน พร้อมฉลองความสำเร็จของนาฬิการุ่นไอคอนิก “Sakura”
จากชื่อแคมเปญ My Grand Seiko แสดงถึงความผูกพันกับแบรนด์ที่นำเสนอผ่านการจัดแสดงนาฬิกาจากนักสะสมนาฬิกาแถวหน้าของเมืองไทย 10 ท่าน อาทิ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์, ปราสาท วิทยาภัทร์, ธนสาร วิจิตรกาญจน์ ฯลฯ ส่วน My Pride บอกเล่าเรื่องราวความภาคภูมิใจกับความสำเร็จของตัวเองในวันนี้ของเซเลบริตี้ทั้ง 8 ท่าน ได้แก่ เจย์ สเปนเซอร์, จุลจักร จักรพงษ์, ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล, กรุณ ซอโสตถิกุล, อภินรา ศรีกาญจนา, สรีนา ธีระวิทยภิญโญ, วฤธ หงสนันทน์ และ ชวัล เจียรวนนท์ เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ ต่อไป สอดคล้องกับแกรนด์ ไซโกที่เป็นความภาคภูมิใจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพราะเป็นแบรนด์นาฬิกาลักชัวรีหนึ่งเดียวที่ได้ไปร่วมงาน Watches and Wonders ซึ่งเป็นงานจัดแสดงนาฬิกาชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมทั้งการได้รับรางวัล GPHG ซึ่งถือว่าเป็นรางวัลออสการ์ในวงการนาฬิกาลักซัวรี และ Grand Seiko Standard นั้นยังมีมาตรฐานความเที่ยงตรงที่สูงกว่ามาตรฐานจากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเครื่องการันตีคุณภาพและมาตรฐานในระดับโลกอีกด้วย
อีกหนึ่งไฮไลต์ของงาน คือ นิทรรศการฉลองความสำเร็จของนาฬิการุ่นไอคอนิก Sakura ขนาด 40 มิลลิเมตร ราคาเรือนละ 227,000 บาท กลไก Spring Drive ความเที่ยงตรงที่ +1-1 วินาทีต่อวัน สวมใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดดเด่นด้วยดีไซน์หน้าปัดที่นำความงามอันแสนละมุนของสีชมพูอ่อน ๆ จากแพดอกไม้ Hana-Ikada (ฮานา-อิคาดะ) ที่ปรากฏขึ้นในช่วงเวลา Shunbun (ชุนบุน) ช่วงเวลาที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากันในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเกิดจากกลีบซากุระปลิวไปตามสายลมแล้วร่วงหล่นปกคลุมพื้นผิวของแม่น้ำ สะท้อนสัจธรรมแห่งธรรมชาติของเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเมื่อเวลาผันเปลี่ยนไป
นอกจากนี้ภายในงานยังมี Grand Seiko Pop Up Café ที่มีเมนูพิเศษที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติรอบๆ สตูดิโอที่นำมาสร้างสรรค์เป็นหน้าปัดนาฬิกาแกรนด์ ไซโกรุ่นต่างๆ ซึ่งนับเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ที่สนใจได้เข้ามาใกล้ชิดกับแบรนด์ในบรรยากาศเป็นกันเอง
ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.grandseikoboutiquethailand.com, Facebook: Grand Seiko Thailand official, Instagram: grandseikothailand, และ Line Official : Grand Seiko Thailand
วันตรุษจีน ถือเป็นเทศกาลที่สำคัญเทศกาลหนึ่งของชาวจีน รวมถึงชาวไทยเชื้อสายจีน และเป็นวันแห่งสิริมงคล ดังนั้น เพื่อเอาฤกษ์เอาชัยให้ปีมังกรนี้รุ่งโรจน์ทั้งเรื่องเงิน เรื่องงาน และความรัก Roddonjai.com เว็บไซต์ซื้อ-ขายรถมือสองที่ได้มาตรฐานทั้งคุณภาพและราคา จึงคัดเลือก 4 เส้นทาง ขับรถโดนใจไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สุดฮิต เพื่อเป็นการเสริมมงคลและเพิ่มโชคลาภให้ชีวิตเฮง ๆ ปัง ๆ
เส้นทางแรก เริ่มที่กรุงเทพฯ แนะนำไหว้พระ ไหว้เทพ ที่ผสมผสานทั้งพุทธ พราหมณ์ และเทพเจ้าตามความเชื่อของชาวจีน
เส้นทางที่สอง หากเบื่อฝุ่น ควันพิษ และรถติดในกรุงเทพฯ Roddonjai แนะนำขับรถคู่ใจไปขอพรรับอากาศดี ๆ เริ่มที่ พระนครศรีอยุธยา
เส้นทางที่สาม สำหรับผู้ศรัทธาพระแม่กวนอิม Roddonjai ขอแนะนำให้ขับรถไปสักการะองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ที่ วิหาร อี่ ทง เทียน ไท้
ปิดท้ายเส้นทางที่ 4 ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ
ไม่ว่าจะเลือกเดินทางขอพร หรือไปเที่ยวที่ไหนในช่วงตรุษจีน Roddonjai ก็ขอให้ทุกท่านขับรถด้วยความปลอดภัย โดยสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้คือ ต้องตรวจเช็คสภาพรถ และความพร้อมของรถก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ส่วนท่านใดที่เพิ่งได้รับโบนัสก้อนโตหรือมีแผนที่จะซื้อรถในฝันมาเติมเต็มทริปมหามงคล ในราคาที่จับต้องได้ และยังมีเงินเหลือไว้ช้อป ชิมระหว่างเดินทาง หรือตกแต่งรถเพิ่มเติม การเลือกซื้อรถมือสองจากแพลตฟอร์มที่ได้มาตรฐานเชื่อถือได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะที่ Roddonjai.com ที่ปัจจุบันมีรถมือสองในระบบให้เลือกมากกว่า 14,000 คัน จากพันธมิตรดีลเลอร์เต็นท์รถชั้นนำกว่า 3,000 รายทั่วประเทศ การันตีการตรวจเช็คคุณภาพก่อนขึ้นขายจากคนกลางมาตรฐานสากลสูงสุด 274 จุด และหากอยากจัดสินเชื่อ รถทุกคันสามารถจัดสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วกับทีทีบีไดรฟ์ได้ด้วยโปรดอกเบี้ยพิเศษสำหรับ Roddonjai โดยเฉพาะ
เลือกขับรถมือสองที่ใช่จาก Roddonjai ท่องเที่ยวได้ทั้งทริปใกล้และไกลได้อย่างไม่ต้องกังวล มาทำความรู้จักกับเว็บไซต์ Roddonjai และเลือกเป็นเจ้าของรถคุณภาพโดนๆ กันได้แล้ววันนี้ ที่ https://www.roddonjai.com
เจนเนอราลี่ กรุ๊ป เผยภาพรวมธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ "Lifetime Partner 24: Driving Growth" เตรียมเดินหน้าซื้อคืนหุ้น 500 ล้านยูโร เมษายนนี้ พร้อมเผยความสำเร็จจากการเข้าซื้อบริษัท LIBERTY SEGUROS และ CONNING ช่วยสร้างผลกำไรกลุ่มประกันภัยทรัพย์สินและเบ็ดเตล็ดในประเทศสเปน โปรตุเกส และไอร์แลนด์ รวมถึงความสำเร็จด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพและศักยภาพ
มร. ฟิลลิป ดอนเนท ประธานกรรมการบริหารกลุ่มเจนเนอราลี่ กล่าวว่า “นับตั้งแต่การเปิดตัวกลยุทธ์ 'Lifetime Partner 24: Driving Growth' เจนเนอราลี่พึงพอใจกับผลการดำเนินงานที่เติบโตพร้อมผลกำไรรวมถึงการสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด และจากการเข้าซื้อกิจการเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับเจนเนอราลี่ กรุ๊ป ในฐานะบริษัทประกันภัยชั้นนำของยุโรป อีกทั้งยังเป็นการขยายธุรกิจด้านการจัดการสินทรัพย์ไปทั่วโลก พร้อมกันนี้ด้วยความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน เจนเนอราลี่ กรุ๊ป จึงได้เตรียมเสนอซื้อหุ้นคืนคิดเป็นมูลค่า 500 ล้านยูโร ในการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี ครั้งถัดไปในช่วงเดือนเมษายน 2024 เพื่อแสดงถึงการให้ความสำคัญต่อการจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นขององค์กร”
ธุรกิจด้านประกันสุขภาพ และอุบัติเหตุ (Protection, Health & Accident) ได้กลายเป็นส่วนสำคัญต่อความสามารถในการทำกำไรของกลุ่ม โดยคิดเป็น 22% ของเบี้ยประกันภัยรับรวมรวมในปี 2022 ซึ่ง Generali Group คาดว่าธุรกิจด้านประกันสุขภาพ และอุบัติเหตุ จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพความเป็นผู้นำของกลุ่มประกันภัยส่วนบุคคลในยุโรป การปรับปรุงและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์อยู่เสมอ รวมถึงเครือข่ายการจัดจำหน่ายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบริษัท
โดยในช่วงปี 2023 ที่ผ่านมา เจนเนอราลี่ กรุ๊ป ได้เข้าซื้อ 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ลิเบอร์ตี้ เซกูรอส (LIBERTY SEGUROS) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการตลาดให้กับเจนเนอราลี่ในประเทศสเปนและโปรตุเกส และยังนับเป็นการเติมเต็มการดำเนินงานให้กับเจนเนอราลี่ในคาบสมุทรไอบีเรีย ทั้งในแง่ของการนำเสนอผลิตภัณฑ์และการจัดจำหน่าย ซึ่งการซื้อกิจการครั้งนี้ทำให้เจนเนอราลี่ กรุ๊ป สามารถสร้างผลกำไรในกลุ่มธุรกิจประกันภัยทรัพย์สินและเบ็ดเตล็ด (P&C) ในประเทศไอร์แลนด์ และช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการแข่งขัน โดยคาดว่าจะสามารถทำกำไรก่อนหักภาษีได้กว่า 250 ล้านยูโรต่อปี ภายในปี 2029
นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการ บริษัท คอนนิง (CONNING) เพื่อช่วยเร่งการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ของเจนเนอราลี่ กรุ๊ป และยังช่วยขยายตลาดเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงภูมิภาคเอเชียได้อีกด้วย พร้อมกันนี้ด้านความร่วมมือระยะยาวที่ CONNING มีกับ CATHAY LIFE จะช่วยสร้างความมั่นใจต่อเสถียรภาพของสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของคอนนิง ซึ่งคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะสามารถสร้างกำไรจากการดำเนินธุรกรรมได้อีกกว่า 70 ถึง 80 ล้านยูโร
ปัจจุบันเจนเนอราลี่ กรุ๊ป มีความมั่นคงทางด้านการเงิน โดยยืนยันได้จากกระแสเงินสด และสถานะอันแข็งแกร่งตามกรอบกำกับความมั่นคงทางสภาพคล่องของกิจการ (Solvency 2) ด้วยกลยุทธ์การจัดการหนี้เชิงรุก และมั่นใจว่าในอนาคตธุรกิจในกลุ่มประกันชีวิตจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อันมีผลมาจากการเสริมอัตราค่าธรรมเนียมและมาตรการทางเทคนิคที่นำมาใช้ตั้งแต่ปี 2022
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เร่งดำเนินการตามวิสัยทัศน์สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ประสานความร่วมมือกับ Zeroboard สตาร์ทอัพสัญชาติญี่ปุ่น ในการยกระดับการบริหารจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจก และวัดคาร์บอนฟุตพรินท์ขององค์กรผ่านคลาวด์เทคโนโลยี ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการทางธุรกิจของธนาคารภายในปี 2573
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรีมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมแก้ไขปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยเราได้ตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนจากกระบวนการทางธุรกิจของธนาคารภายในปี 2573 และได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่วางไว้ โดยที่ผ่านมา เราได้คำนวณพร้อมจัดทำรายงานคาร์บอนฟุตพรินท์ขององค์กรและรายงานต่อองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) มาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2560 อย่างไรก็ตาม การวัดค่าการปล่อยหรือการลดก๊าซเรือนกระจกจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นที่มาของความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Zeroboard ในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริหารจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจก และวัดคาร์บอนฟรุตพริ้นท์ขององค์กร โดยหวังว่าการร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้กรุงศรีสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนได้สะดวกและราบรื่นยิ่งขึ้น”
นายมิชิทากะ โทเคอิจิ CEO ของ Zeroboard Inc. กล่าวว่า “Zeroboard มีการพัฒนาโซลูชันของเราให้ทันสมัยอยู่เสมอ อีกทั้งยังได้ขยายพื้นที่การให้บริการไปยังภูมิภาคอื่นๆ ด้วย เพื่อสนับสนุนลูกค้าของเรา ให้แต่ละองค์กรสามารถเติบโตไปพร้อมกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตในห่วงโซ่อุปทานโลก ทั้งยังเป็นประเทศที่ภาครัฐให้ความสำคัญกับการส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับกรุงศรีและบริษัทในเครือในการวัดคาร์บอนฟุตพรินท์เพื่อเป็นแนวทางสู่การวางแผนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสังคมปลอดคาร์บอนในภูมิภาคนี้”
ทั้งนี้ Zeroboard เป็นแพลตฟอร์มการคำนวณและแสดงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ผ่านคลาวด์เทคโนโลยี โดยกรุงศรีจะนำระบบดังกล่าวเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลคาร์บอนที่เกิดขึ้นภายในองค์กร ทั้งในส่วนของสำนักงาน และสาขาของธนาคารกรุงศรี รวมถึงบริษัทในเครืออีกกว่า 15 บริษัททั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยคำนวณค่าปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ค่า Emission Factor จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก และชุดข้อมูลจากมาตรฐานสากล และยังสามารถคำนวณคาร์บอนฟุตปรินท์ในกรณีที่บริษัทในเครือที่อยู่ในประเทศอื่นในอาเซียน พร้อมแสดงผลลัพธ์ที่หน้าแดชบอร์ดเพื่อการวิเคราะห์ผล ทั้งยังสามารถส่งข้อมูลออกเป็นเอกสารรายงานทั้งในรูปแบบสรุปผลและรายงานตามมาตรฐานขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกได้อีกด้วย