บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ชวนคนไทยบริหารเงิน พร้อมวางแผนลดหย่อนภาษีภายใต้แคมเปญ “ใช้ชีวิตไหลลื่น ยื่นภาษีได้เต็มสิทธิ” ที่ช่วยให้คนไทยได้เตรียมพร้อมในการลดหย่อนภาษีและสนับสนุนการวางแผนทางการเงิน ที่ช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างใจ ไหลลื่นไม่สะดุดผ่านแบบประกันที่ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท* ได้แก่

  1. บำนาญ เรดดี้ (BumnanReady) พร้อมเกษียณ แบบชิวๆ วางแผนเกษียณวันนี้ รับเงินบำนาญตั้งแต่อายุ 60 ยาวจนถึงอายุ 88 สูงสุดปีละ 25% ของทุนประกัน
  2. ไลฟ์ ซุปเปอร์ เซฟ 14/5 (Life Super Save 14/5) พร้อมรับเงินคืนทุกปี วางแผนภาษีง่าย รับเงินคืนทุกปีสูงสุด 10% ครบสัญญารับเงินก้อนโต 548% ของทุนประกันอย่างง่ายๆ รับเงินจ่ายคืนตั้งแต่ปีแรกและให้ความคุ้มครองชีวิต
  3. ไลฟ์เรดดี้ (LifeReady) พร้อมคุ้มครองยาวให้ความคุ้มครองชีวิตสูง นานถึงอายุ 99 ปี เลือกจ่ายเบี้ยสั้น-ยาวได้ตามใจ ทั้ง 6 ปี 12 ปี 18 ปีหรือตลอดสัญญา

โดยแคมเปญดังกล่าวเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2567 สำหรับลูกค้าที่สนใจแบบประกันลดหย่อนภาษี สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้แล้ววันนี้ ที่ตัวแทนของบริษัทฯ สำนักงานตัวแทนทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://ktaxa.live/Bonus_Campaign_Pr หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ที่ดูแลคนไทยมาอย่างยาวนานเข้าสู่ปีที่ 86 คว้ารางวัล TOP50 Companies in Thailand 2024 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุดแห่งปี จาก WorkVenture โดยเอไอเอ ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 44 ซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ในงานประกาศรางวัล ได้มี นางศรัณยา เทียนถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล พร้อมคณะผู้บริหาร ขึ้นรับรางวัลจาก นายเย็นส์ โพลด์ CEO ของ WorkVenture ซึ่งรางวัลดังกล่าวมาจากการสำรวจทั้งทาง Online และ Offline กับผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุ 22-35 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวนกว่า 11,452 คน จึงนับเป็นรางวัลอันน่าภาคภูมิใจ และตอกย้ำถึงการเป็นบริษัทที่พร้อมเปิดโอกาสให้บุคลากรทุกระดับได้เรียนรู้ และพัฒนาตัวเองอย่างรอบด้าน ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่ปลูกฝังถึงความเชื่อมั่น “Believe in Better” เพื่อความสุขในการทำงาน และผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในทุกวัน สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยงานประกาศรางวัล TOP50 Companies in Thailand 2024 จัดขึ้น ณ โรงแรม Nikko Bangkok เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา

สำหรับที่เอไอเอ ประเทศไทย ได้มีการพัฒนาโปรแกรมที่โดดเด่นและแตกต่าง อย่าง “WorkWell with AIA” เพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตเพื่อการมีสุขภาพที่ดีของพนักงานในองค์กรซึ่งมีจำนวนกว่า 2,500 คน ภายใต้ 4 มิติหลัก ประกอบด้วย สุขภาพกาย (Live Well) สุขภาพใจ (Think Well) สุขภาพทางการเงิน (Plan Well) และการมีส่วนร่วมทางสังคม (Feel Well) ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของเพื่อนพนักงาน พร้อมกับมอบสวัสดิการที่ดี เพื่อช่วยสร้างความมั่นคงให้กับทุกชีวิตที่อยู่ในครอบครัวเอไอเอ ประเทศไทย  

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ประกาศแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ (Medium-Term Business Plan: MTBP) ครอบคลุมปี 2567-2569 พร้อมมุ่งเป้ายืนหนึ่งการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน โดยตั้งอยู่บนหลักสำคัญสามประการ คือ ขับเคลื่อนสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน เชื่อมโยงอาเซียนผ่านศักยภาพอันแข็งแกร่งของกรุงศรี และ MUFG เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในระดับประเทศและระดับสากล และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจหลักของธนาคาร

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมาถือเป็นวาระสำคัญครบรอบ 10 ปีของความร่วมมือระหว่างกรุงศรี และ MUFG และเป็นปีสุดท้ายของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับที่สาม กรุงศรีให้ความสำคัญกับการยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-centric Approach) มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการผ่านการพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัลและนวัตกรรม ซึ่งได้บรรลุความสำเร็จมากมายตลอดการเดินทางของเรา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างธุรกิจและเครือข่ายที่แข็งแกร่งในอาเซียน การขยายศักยภาพการในด้าน ESG มากขึ้น ตลอดจนเป็นผู้บุกเบิกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนของประเทศไทย รวมทั้งการก่อตั้งบริษัทร่วมทุนที่แข็งแกร่งอย่างกรุงศรี ฟินโนเวต ที่ให้การสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มสตาร์ทอัพและบริษัทด้านเทคโนโลยีอีกด้วย ความสำเร็จต่าง ๆ ของกรุงศรีที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมานั้นสะท้อนผ่านตัวเลขผลการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี โดยกรุงศรีสามารถทำรายได้สุทธิกว่า 30,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสามเท่าในเวลาหนึ่งทศวรรษ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ครองตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรม ทั้งยังคงความเป็นผู้นำด้านคุณภาพสินทรัพย์มาโดยตลอดอีกด้วย”

“กรุงศรีก้าวเข้าสู่แผนธุรกิจระยะกลางฉบับที่สี่ โดยมุ่งเป้ายืนหนึ่งการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน แผนธุรกิจระยะกลางฉบับนี้สะท้อนถึงความตั้งใจอย่างแน่วแน่ของกรุงศรีเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนเชิงเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาลสู่อนาคตที่มั่นคง ทำให้กรุงศรีเป็นธนาคารแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืนระดับแถวหน้า แนวทางการดำเนินงานนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของ MUFG ที่ต้องการมุ่งสร้างอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายร่วมกันทั้งในด้านความยั่งยืน การเป็นธนาคารที่มีความรับผิดชอบ และการพัฒนาชุมชน” นายเคนอิจิ กล่าวเสริม

ปีแห่งความท้าทาย

ข้อมูลจากวิจัยกรุงศรีระบุว่า ประเทศไทยกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายสาธารณะ นโยบายสนับสนุนต่าง ๆ ของภาครัฐ ตลอดจนกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีขณะที่แรงส่งภายนอกสร้างความท้าทายต่อโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน ภาวะทางการเงินที่ตึงตัวขึ้น และภัยแล้งที่เพิ่มความซับซ้อนขึ้นทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง

เป้าหมายและทิศทางทางธุรกิจ

แผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ประจำปี 2567-2569 เป็นมากกว่าแผนงาน โดยแก่นหลักของแผนฉบับนี้คือความมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็น “ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน” ที่สะท้อนถึงคำมั่นสัญญาขององค์กรสู่อนาคตที่ความยั่งยืนและการสร้างแข็งแกร่งในระดับภูมิภาคเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวแผนธุรกิจฉบับนี้จะมุ่งเป้าไปยังสามประการหลัก ได้แก่ การเป็นธนาคารชั้นนำเพื่อความยั่งยืน  การขับเคลื่อนความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค  และการรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจหลักของธนาคาร

จากเป้าหมายด้าน ESG สู่ความสำเร็จทางการเงิน

กรุงศรีในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืน เราได้วางเป้าหมายในการเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืนที่ 100,000 ล้านบาทภายในปี 2573 และให้การสนับสนุนลูกค้าในการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา กรุงศรีมียอดสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนเพิ่มขึ้น  71,000 ล้านบาทจากฐานปี 2564 โดยแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่นี้ กรุงศรีจะมุ่งขยายบริการทางการเงินเพื่อความยั่งยืนเพื่อเข้าถึงฐานลูกค้า SME และลูกค้ารายย่อยที่หลากหลายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการจัดหาเงินทุนเพื่อช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าธุรกิจ และ SME ในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนในเรื่องกติกาด้านการเงินและภาษี (Taxonomy) ที่จำแนกประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับความเข้มของค่าคาร์บอนโดยใช้ระบบสัญญาณไฟจราจรเป็นเกณฑ์

การสร้างคุณค่าให้กลุ่มลูกค้า

เครือข่ายของกรุงศรี และ MUFG ในปัจจุบันครอบคลุม 9 ใน 10 ประเทศในอาเซียน โดยกรุงศรีมีบริษัทในเครือ กระจายอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา และ สปป.ลาว ที่ให้บริการลูกค้าแล้วกว่า 17 ล้านราย การดำเนินงานในอาเซียนของกรุงศรีส่งเสริมขีดความสามารถของธนาคารในหลายแง่มุม ตั้งแต่โมเดลธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ ไปจนถึงการระดมทุน การบริหารความเสี่ยง โซลูชันดิจิทัล และนวัตกรรมที่หลากหลาย

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งให้กับกรุงศรีในการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาค และกรุงศรีมุ่งมั่นเดินหน้าใช้ประโยชน์จากเครือข่าย MUFG เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตและเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาค ผ่านการนำเสนอโซลูชันการจับคู่ธุรกิจแบบครบวงจรด้วยแพลตฟอร์ม Krungsri Business Link และบริการ Krungsri ASEAN Link ที่จะช่วยเชื่อมโยงลูกค้าธุรกิจชาวไทยกับพันธมิตรทางธุรกิจที่เชื่อถือได้เข้าด้วยกันผ่านเครือข่ายของธนาคารที่มีอยู่ในอาเซียนและญี่ปุ่น

ตอกย้ำจุดแข็งของกรุงศรี

กรุงศรีมุ่งมั่นที่จะสร้างความแข็งแกร่งและรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจหลักของธนาคาร เพื่อให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยจะเน้นเรื่องดิจิทัล ดาต้า ระบบนิเวศและการสร้างพันธมิตรเป็นแกนสำคัญในการดำเนินงาน สำหรับกลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคล กรุงศรียังคงเดินหน้ากลยุทธ์ One Retail โดยการใช้ดาต้าเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเป็นหลัก สำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ กรุงศรีจะขยายขีดความสามารถด้านธุรกรรมการเงินทั้งในและต่างประเทศในรูปแบบ Banking as a Service โดยพัฒนาร่วมกับพันธมิตรจากทั้งในไทยและต่างประเทศ และสำหรับในด้าน IT และดิจิทัล กรุงศรีจะเดินหน้าลงทุนในดิจิทัลแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีที่ยึดความต้องการลูกค้าเป็นหลัก รวมถึงการใช้ AI และ Machine Learning เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์และการให้บริการกับลูกค้าในทุกกลุ่ม ผ่านทุก Touchpoint ทั้งสาขา ออนไลน์ โมบายแอป และ Call Center

กรุงศรีคาดว่าในปี 2567 เงินให้สินเชื่อจะเติบโตที่ 3-5% และตั้งเป้าหมายของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ  (NIM) อยู่ที่ 3.8-4.1% ธนาคารคาดว่าอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ราว 2.50-2.75% ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (cost-to-income ratio) จะอยู่ในระดับ mid-40%

บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสยอดนิยม ภายใต้ชื่อแบรนด์ เด็กสมบูรณ์ และไอ-เชฟ ตอกย้ำการเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดเครื่องปรุงรสในประเทศไทย พร้อมส่งความสุขแก่ผู้บริโภคทั่วประเทศ เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 80 ปี หยั่น หว่อ หยุ่น ผ่านกิจกรรมทางการตลาดแบบครบวงจรและโปรโมชั่นส่งเสริมการขายต่อเนื่องตลอดปี 2567 ชูวิสัยทัศน์ “ที่ไหนมีครัวที่นั่นต้องมีเรา” และสโลแกน “เด็กสมบูรณ์ทำรับรองว่าดี” เพื่อสร้างภาพจำของการเป็นเครื่องปรุงรสคู่ครัวอย่างแท้จริง หวังครองใจผู้บริโภคผ่านผลิตภัณฑ์คุณภาพมาตรฐานระดับโลก โดยประเดิมกิจกรรมแรกด้วยงาน DEKSOMBOON THE HAPPINESS BRAND LAUNCH 2024 เปิดตัวพรีเซนเตอร์ครอบครัวล่าสุดของผลิตภัณฑ์เด็กสมบูรณ์ บีม กวี, ออย อฏิพรณ์ และพี่ธีร์ ธีร์ทองธรรม - น้องพีร์ พีร์ทองธรรม ตันจรารักษ์ คู่แฝดซุปตาร์รุ่นจิ๋วขวัญใจแม่ทิพย์ทั่วประเทศที่มาส่งต่อความอร่อยมัดใจทุกรุ่น ย้ำภาพลักษณ์รุ่นไหนๆ ก็ใช้เด็กสมบูรณ์ ณ บิ๊กซี เพลส รัชดา เมื่อวันก่อน

นายสมหวัง ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 80 ปีที่ผ่านมา เราดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า ‘ที่ไหนมีครัวที่นั่นต้องมีเรา’ และมีความมุ่งมั่นที่จะปรับสูตรผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับทุกกลุ่มลูกค้าในทุกช่วงอายุ ตลอดจนมีการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภาพจำของความอร่อยมัดใจทุกรุ่นอย่างยั่งยืน ซึ่งผลิตภัณฑ์ตราเด็กสมบูรณ์ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในเครือฯ ของหยั่น หว่อ หยุ่น ผ่านกระบวนการผลิตแบบหมักธรรมชาติที่ได้มาตรฐานและใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยระดับ World Class Standard ทำให้เราสามารถรักษาคุณภาพของสินค้า ทั้งรสชาติ สีสัน กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ และความอร่อยกลมกล่อมในทุกขวดที่ออกสู่ตลาดได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกครอบครัวได้อย่างตรงใจ ดังความคาดหวังที่ว่า ‘เด็กสมบูรณ์ครองใจทุกบ้าน ถูกใจทุกครัว ถูกปากทุกคน’ ซึ่งเราหวังว่าจะสามารถส่งต่อความอร่อยไปยังทุกคนในครอบครัวได้อย่างเต็มที่ และได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคสืบไป”

ทั้งนี้ภาพรวมของตลาดเครื่องปรุงรสประเทศไทยในปี 2566 ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 3.8% และยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่กำลังได้รับความนิยม และการปรับลดการประมาณการณ์อัตราเงินเฟ้อของภาครัฐ ซึ่งเป็นแรงหนุนให้เกิดการเติบโตของตลาดในวงกว้าง โดยปี 2566 ที่ผ่านมา หยั่น หว่อ หยุ่น มีส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 31% หรือมูลค่าราว 1,700 ล้านบาท และเติบโตขึ้น 3% ซึ่งถือว่ามีการเติบโตมากกว่าตลาดโดยรวม นับเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดในประเทศ โดยปัจจุบัน หยั่น หว่อ หยุ่น มีการส่งออกไปกว่า 78 ประเทศทั่วโลก ด้านกลยุทธ์ทางการตลาดในปี 2567 จะเน้นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำผ่านกิจกรรมทางการตลาดแบบครบวงจรและโปรโมชั่นส่งเสริมการขายรูปแบบต่างๆ ทั่วประเทศตลอดทั้งปี เพื่อชูความสำเร็จของแบรนด์ที่อยู่คู่ครัวไทยมายาวนานกว่า 80 ปี รวมถึงรุกตลาดน้ำปลาเต็มสูบ พร้อมออกไลน์สินค้าใหม่ๆ ที่เป็นกลุ่มสินค้าเครื่องปรุงรสเพิ่มเติม รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มสินค้ารักสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์สินค้าเพื่อสุขภาพที่ยังคงมาแรงในประเทศไทย ส่วนในตลาดต่างประเทศ มีการวางแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มเครื่องจิ้มในรูปแบบขวดบีบ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในต่างประเทศ

“เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 80 ปี หยั่น หว่อ หยุ่น เราจึงคว้าพี่ธีร์ - น้องพีร์ คู่แฝดรุ่นจิ๋วเจ้าของฉายาลูกชายแห่งชาติ พร้อมครอบครัวมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ตราเด็กสมบูรณ์ รวมถึงนำภาพของทั้งคู่ไปใส่เป็นโลโก้ใหม่บริเวณคอขวดของผลิตภัณฑ์ซีอิ๊วขาว น้ำปลาแท้ ซีอิ๊วดำ และซอสหอยนางรมตราเด็กสมบูรณ์ตั้งแต่เมื่อช่วงปลายปี 2566 ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เราได้รับกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด ทั้งในแง่ของการรับรู้ การจดจำแบรนด์เด็กสมบูรณ์ ตลอดจนได้รับการยอมรับในคุณภาพของสินค้า รวมถึงช่วยสร้างสีสันและความคึกคักให้กับตลาดเครื่องปรุงรสในประเทศได้อีกทางหนึ่ง” นายสมหวัง ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ภายในงาน DEKSOMBOON THE HAPPINESS BRAND LAUNCH 2024 มีการออกบูธแสดงสินค้าในเครือฯ หยั่น หว่อ หยุ่น พร้อมด้วยกิจกรรมเพื่อผู้บริโภคและโปรโมชั่นร่วมกับพันธมิตรอีกมากมาย เพื่อฉลองการครบรอบ 80 ปีอย่างยิ่งใหญ่ อาทิ กิจกรรม Cooking Show โดยเชฟภู ภูรินท์ พัฒนวิริยะวาณิช ที่มาสาธิตเมนูพิเศษที่ใช้เครื่องปรุงรสตราเด็กสมบูรณ์ให้แฟนๆ ที่มาร่วมกิจกรรมได้ชิมความอร่อยกันอย่างใกล้ชิด ต่อด้วยการเปิดตัวครอบครัวตันจรารักษ์ ในฐานะพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์ตราเด็กสมบูรณ์อย่างเป็นทางการ ตลอดจนเปิดตัว 2 ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ล่าสุด ซึ่งบอกเล่าถึงความตั้งใจในการส่งมอบความสุขและความอร่อยผ่านทุกหยดและทุกเหยาะมาตลอด 80 ปีจากรุ่นสู่รุ่น เพราะรุ่นไหนๆ ก็ใช้เด็กสมบูรณ์ และมินิคอนเสิร์ตจากบีม กวี ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ อย่างล้มหลาม

DGA หรือ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น 13 แห่ง และมหาวิทยาลัยบูรพา ลงนาม MOU “โครงการศูนย์สนับสนุนท้องถิ่นดิจิทัลเพื่อบริหารงานและให้บริการประชาชน” เพื่อช่วยขยายฐานความรู้ในการนำแพลตฟอร์ม ‘ระบบท้องถิ่นดิจิทัล’ เป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่เพื่อยกระดับการให้บริการประชาชน ลดระยะเวลาการเดินทาง อำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้รับบริการภาครัฐได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีความพร้อมเป็นต้นแบบเผยแพร่ความรู้ให้อปท.ทั่วประเทศเพื่อร่วมก้าวสู่ ‘ท้องถิ่นดิจิทัล’ ไปพร้อมกัน เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ณ ห้องประชุมใหญ่สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย

นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ และรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กล่าวว่า DGA มียินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้ได้มีโอกาสร่วมมือกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 13 แห่ง และมหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อร่วมสร้างจิ๊กซอว์ภาพใหญ่มุ่งสู่องค์กรท้องถิ่นดิจิทัลไปพร้อมๆ กัน ซึ่ง DGA ในฐานะหน่วยงานกลางรัฐบาลดิจิทัลที่มีหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมการขับเคลื่อนหน่วยงานของรัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพให้แก่ อปท. ให้กว้างขวางมากขึ้น จึงได้เดินหน้าโครงการนี้เพื่อสนับสนุนให้ อปท.นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ตรงใจประชาชนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

สำหรับการลงนาม MOU โครงการศูนย์สนับสนุนท้องถิ่นดิจิทัลเพื่อบริหารงานและให้บริการประชาชนในครั้งนี้ ประกอบด้วยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น 13 แห่ง ได้แก่ เทศบาลนครลำปาง จังหวัดลำปาง / เทศบาลเมืองบ้านพรุ จังหวัดสงขลา / เทศบาลเมืองศิลา จังหวัดขอนแก่น / เทศบาลเมืองสนั่นรักษ์ จังหวัดปทุมธานี / เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี / เทศบาลตำบลเกาะแต้ว จังหวัดสงขลา /เทศบาลตำบลเชียงคาน จังหวัดเลย / เทศบาลตำบลเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ / เทศบาลตำบลนางแล จังหวัดเชียงราย / เทศบาลตำบลนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง / เทศบาลตำบลบางเสร่ จังหวัดชลบุรี /เทศบาลตำบลบ้านกลาง จังหวัดลำพูน และองค์การบริหารส่วนตำบลป่าสะแก จังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วยมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งทุกหน่วยงานยินดีเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำ รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้บุคลากรของหน่วยงานอปท.อื่นๆ ทั้งผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นพลังสำคัญในการร่วมกันผลักดันอปท.สู่ความเป็น “ท้องถิ่นดิจิทัล” ต่อไป

บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (SET: SHR) ผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทระดับนานาชาติ ในเครือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (SET: S) ประกาศกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อยกระดับความสามารถในการสร้างกำไรต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 รวมมูลค่า 12,000 ล้านบาท รุกผลักดัน EBITDA Margin เติบโตร้อยละ 3 – 5 โดยมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนผลกำไร ยกระดับพอร์ตโฟลิโอผ่านการปรับปรุงและเพิ่มมูลค่าโรงแรมในจุดหมายปลายทางสำคัญ ยกระดับแบรนด์ ทราย (SAii) เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้เข้าพัก ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนโมเดล Asset-Light และขยายธุรกิจผ่านการซื้อและควบรวมกิจการ พร้อมสานต่อความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน เดินหน้าเติมเต็มประสบการณ์การเข้าพัก ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ และศาสตร์แห่งอาหารที่ผูกพันกับท้องถิ่น

นายไมเคิล มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดปี 2566 ที่ผ่านมา รวมถึงข้อได้เปรียบจากสถานที่ตั้งโรงแรมของเราซึ่งอยู่ในจุดหมายปลายทางสำคัญ เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท สามารถบรรลุเป้าหมายในการสร้างรายได้รวมทะลุ 10,000 ล้านบาท และรักษาตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทย โดยการปรับปรุงโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์หลักของบริษัทฯ ถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการเพิ่มอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ในปี 2566 สำหรับโรงแรมในไทยและฟิจิให้สูงขึ้นร้อยละ 20 นอกจากนี้ การเปิดตัว โซ/ มัลดีฟส์ (SO/ Maldives) รีสอร์ทระดับ 5 ดาว ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งของโครงการ ‘ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์’ (CROSSROADS Maldives) ในการตอบรับความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มนักท่องเที่ยวนานาชาติ และเติมเต็มให้ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ เป็นผู้นำจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนและไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจรที่สุดในหมู่เกาะมัลดีฟส์”

นอกจากนี้ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ยังได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มนักลงทุน จากการออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี ที่มียอดจองซื้อสูงเกินกว่าเป้าหมาย ปิดการขายด้วยมูลค่า 1,300 ล้านบาท ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯ ในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนและรองรับกลยุทธ์การลงทุนในอนาคต

สำหรับในปี 2567 เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จะมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไร โดยตั้งเป้ารายได้รวมมูลค่า 12,000 ล้านบาท ด้วย 4 กลยุทธ์ ดังนี้

  • ขับเคลื่อนประสิทธิภาพ มุ่งสร้างการเติบโต (Drive efficiency, ignite growth): บริษัทฯ มีแผนที่จะยกระดับศักยภาพในการสร้างอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 – 5 ผ่านปัจจัยการเติบโต 3 ด้าน ได้แก่ อัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ซึ่งตั้งเป้าว่าจะเติบโตร้อยละ 25 จากยอดการจองห้องพักในมัลดีฟส์ในไตรมาสแรกที่ขยายตัวได้ดี และค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 20 จากการปรับปรุงห้องพักของโรงแรมในฟิจิและไทย และการเปิดตัวของโซ/ มัลดีฟส์ นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าการเติบโตของรายได้อื่นนอกเหนือจากการเข้าพัก (Non-room Revenue) ที่ร้อยละ 15 โดยบริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการนำเสนอ ประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของแบรนด์ พร้อมแผนเปิดตัวบีชคลับในทุกรีสอร์ทในเครือแบรนด์ทราย (SAii) และตอบรับความต้องการในตลาดไมซ์ (MICE) ผ่านบริการด้านอีเวนต์ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงานและการประชุมธุรกิจ ในส่วนของกระบวนการดำเนินธุรกิจ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จะยกระดับระบบการจัดซื้อแบบรวมศูนย์ และควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยไม่กระทบต่อคุณภาพของบริการ ซึ่งคาดว่า จะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น (Gross Profit) เพิ่มขึ้นร้อยละ 20
  • ปลดล็อคศักยภาพของพอร์ตโฟลิโอ (Unleash the power of the portfolio): ด้วยเป้าหมายในการยกระดับพอร์ตโฟลิโอและหมุนเวียนสินทรัพย์ (Portfolio Enhancement) เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จะสานต่อความสำเร็จจากปี 2566 ในการยกระดับมูลค่าของสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง พร้อมตั้งเป้าอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Return Rate: IRR) ไว้ที่ร้อยละ 12 – 15 โดยจะต่อยอดแผนการปรับปรุงโรงแรมในประเทศไทยที่ ทราย ลากูน่า ภูเก็ต และ ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ สำหรับตลาดสหราชอาณาจักร บริษัทฯ จะดำเนินกลยุทธ์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่และรีแบรนด์โรงแรมในพื้นที่ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยว อาทิ แมนเชสเตอร์ เอดินเบอระ เลสเตอร์ และกลาสโกว์
  • เติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด (Scale Without Limits): เพื่อตอบรับการเติบโตของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ บริษัทฯ มีแผนที่จะยกระดับแบรนด์ (Brand Enhancement) โดยสร้างการจดจำแบรนด์ ทราย (SAii) ในฐานะจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวแบบลักชูรีอย่างยั่งยืน ผ่านการยกระดับประสบการณ์ของแขกผู้เข้าพักให้ตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ในระดับโลก สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวว่าการเข้าพักจะสร้างผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยที่สุด นำเสนอเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่น่าตื่นตาตื่นใจ และกิจกรรมด้านสุขภาพที่โดดเด่น อีกทั้งยังผนึกพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการของแบรนด์ อาทิ แพ็คเกจพิเศษ และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ จะนำความแข็งแกร่งของแบรนด์มาต่อยอดในการสร้างการเติบโตที่ยืดหยุ่นขึ้นและมีข้อจำกัดที่ลดลง โดยตั้งเป้าว่าจะเพิ่มจำนวนโรงแรม ในพอร์ตโฟลิโอทั้งหมดจำนวนไม่น้อยกว่า 50 แห่ง ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะอยู่ภายใต้โมเดลธุรกิจแบบ Asset-Light อาทิ สัญญาบริหารโรงแรม (Hotel Management Agreement: HMA) หรือภายใต้การเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ และการร่วมลงทุน (Joint Venture) อันจะนำไปสู่การเพิ่มขนาดพอร์ตโฟลิโอและรายได้รวมของบริษัทฯ เป็น 2 เท่าตัว ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว บริษัทฯ มีแผนจะยกระดับแบรนด์ ทราย (SAii) ให้เป็นที่จดจำในระดับสากล โดยผ่านการดำเนินงานในหลากหลายด้าน เช่น กระบวนการทำงานที่เชื่อมกันในแต่ละพื้นที่อย่างไร้รอยต่อ การลงทุนในนวัตกรรมที่ล้ำสมัยเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น (personalised experiences) แผนการตลาดเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายทั่วโลก และกลยุทธ์ด้านดิจิทัลที่โดดเด่น พร้อมด้วยการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ที่มีประสิทธิภาพ
  • ปักหมุดรุกตลาดใหม่ (Beyond Borders): เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ได้จัดสรรงบในการลงทุนมูลค่า 15,000 ล้านบาทเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) ตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า โดยยังคงพุ่งเป้าไปที่จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวในภาคพื้นทวีปยุโรปในแถบเมดิเตอร์เรเนียน สหราชอาณาจักร แถบมหาสมุทรอินเดีย เอเชียแปซิฟิค และฟิจิ เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนในด้านรายได้ รวมถึงลดความผันผวนทางฤดูกาล (Seasonal Effect) ของโรงแรมในเครืออีกด้วย

การดำเนินงานอย่างยั่งยืนยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคม โดยในปี 2567 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 5 ต่อปี ตามแผนของประเทศไทยในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 40 โดยคาดว่าการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในกลุ่มโรงแรมในไทยและมัลดีฟส์ รวมถึง โซ/ มัลดีฟส์ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึงร้อยละ 20 ในขณะที่การดำเนินโครงการอนุรักษ์พันธุ์สิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ของบริษัทฯ ยังทำให้พบสิ่งมีชีวิต 21 สายพันธุ์ในกลุ่มสีแดงขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) อยู่บ่อยครั้งในพื้นที่โครงการ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับกระทรวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และพลังงาน ของรัฐบาลมัลดีฟส์ เพื่อสนับสนุนพื้นที่อนุรักษ์นอกพื้นที่คุ้มครอง (Other Effective Area-Based Conservation Measures: OECMs) ภายในโครงการครอสโร้ดส์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 3.1 ล้านตารางเมตร หรือกว่าร้อยละ 31 ของพื้นที่โครงการ โดยพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรอินเดีย

ยิ่งไปกว่านั้น เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ยังเดินหน้ายกระดับประสบการณ์การเข้าพัก ผ่านการนำเสนอโครงการด้านความยั่งยืนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ศูนย์การเรียนรู้ทางทะเล เกาะพีพี และมัลดีฟส์ ที่ตั้งเป้าต้อนรับผู้เข้าชมกว่า 50,000 คนในปี 2567 นี้ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมของชุมชน ไปจนถึงการใช้ผลผลิตและวัตถุดิบที่ปลูกและจัดหาจากท้องถิ่น เพื่อนำเสนอเมนูจากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร (Farm to Table) และอาหารทะเลสดใหม่แก่แขกที่เข้าพักอีกด้วย

“ความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท สามารถเดินตามแผนในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และเพิ่มพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพร้อยละ 30 ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายความยั่งยืนระยะยาวของกลุ่มบริษัทสิงห์ เอสเตท ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า โครงการที่มีเอกลักษณ์และพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้เราสามารถตอบรับความต้องการใหม่ๆ และต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต” นายไมเคิล กล่าวสรุป

ชาลา เรสเตอรองท์ แอนด์ บาร์ (Cha La Restaurant and Bar) ร้านอาหารคอนเซ็ปต์ Craft Dining โดย โฮเทลมิส เขาใหญ่ (Hotel MYS Khao Yai) โรงแรม 5 ดาวสุดหรูสไตล์โมเดิร์นสแกนดิเนเวียนในบรรยากาศโคซีลักชูรี ท่ามกลางวิวทิวทัศน์ของเขาใหญ่แบบพาโนรามา จัดกิจกรรม “MYSTIQUE Palatable Dining Experience” ดินเนอร์มื้อค่ำสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยเหล่าเซเลบริตี้เชฟมากความสามารถหลากหลายสาขาที่จะหมุนเวียนกันมารังสรรค์เมนูสุดพิเศษจากวัตถุดิบท้องถิ่นเขาใหญ่ เพื่อให้ได้สัมผัสตัวตนและรสมือของเชฟแต่ละคนกันอย่างใกล้ชิด

ประเดิมซีซั่นแรก ในวันเสาร์ที่ 2 และอาทิตย์ที่ 3 มีนาคมศกนี้ กับ “สํารับไทย” โดย เชฟป้อม หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล เชฟผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารไทยระดับแถวหน้าของประเทศ ที่จะมารังสรรค์ทุกเมนูอย่างพิถีพิถันจากวัตถุดิบท้องถิ่น เสิร์ฟพร้อมเมนูของหวานสุดพิเศษโดย เชฟตะวัน มุนินทร์ ฐิติชัยรัตน์, Executive Chef จาก ชาลา เรสเตอรองท์ แอนด์ บาร์ เพื่อให้คุณได้อิ่มเอมไปกับมื้อพิเศษในครั้งนี้

นอกจากจะได้พบปะเชฟอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังมีบริการ Free Flow Drink แบบจัดเต็มตลอด 1 ชั่วโมง  เพื่อให้ได้ดื่มด่ำกับทัศนียภาพยามเย็นของเขาใหญ่ ก่อนที่จะเริ่มดินเนอร์ บริเวณใต้ Skylight Pool สระว่ายน้ำลอยฟ้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของโฮเทลมิสที่หลายคนชื่นชอบอีกด้วย

สำหรับเมนูในครั้งนี้ เชฟจะนำวัตถุดิบท้องถิ่นบางชนิดมานำเสนออาหารไทยในรูปแบบใหม่ แต่ยังคงไว้ซึ่งรสชาติตามแบบฉบับของเชฟป้อม อาทิ ปลาหมึกสะเออะ กุ้งแม่น้ำทอดซอสสามเกลอ สลัดลาว แกงจืดลูกรอก เป็นต้น  ปิดท้าย “สำรับไทย” ด้วย  “สำรับขนมหวานเพชรปากช่อง” เมนูของหวานสุดสร้างสรรค์แบบไทย ๆ โดยเชฟตะวัน พร้อมวงดนตรีสดที่จะบรรเลงเพิ่มอรรถรสในการรับประทานมื้อพิเศษตลอดค่ำคืน

ดินเนอร์คอร์ส MYSTIQUE Palatable Dining Experience ราคา 5,000 บาท ต่อ 1 ท่าน ต่อคืน Early Bird Promotion รับส่วนลดทันที 10%  ที่นั่งมีจำนวนจำกัด เพียง 10 ท่านต่อคืนเท่านั้น

พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่จองห้องพักของโฮเทลมิส เขาใหญ่ ระหว่างวันที่ 2 - 3 มีนาคม 2567 จะได้รับสิทธิประโยชน์แบบท็อปอัพเป็นดินเนอร์คอร์ส MYSTIQUE Palatable Dining Experience สำหรับ 2 ท่านทันที (สูงสุดสำหรับ 6 ท่าน) และพิเศษต่อที่สามด้วย Early Bird Promotion รับส่วนลดทันที 10% สำหรับห้องพักเมื่อทำการจองภายในวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้เท่านั้น โดยราคาห้องพักเริ่มต้นที่ ห้องพักประเภท Deluxe 14,900 บาท พร้อมอาหารเช้า ชุด afternoon tea และมินิบาร์ภายในห้องพัก

สำหรับผู้สนใจสามารถจองห้องพัก หรือสำรองที่นั่งเข้าร่วมกิจกรรมดินเนอร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของชาลา เรสเตอรองท์ แอนด์ บาร์ ได้แล้ววันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก www.facebook.com/MYSkhaoyai หรือเว็บไซต์ www.hotelmys.com หรือ LINE Official: @myskhaoyai หรือ E-mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือโทร. 044 049 069

บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต นำโดย อาสาสมัครพนักงาน ร่วมกับมูลนิธิจูเนียร์อะชีฟเม้นท์ ประเทศไทย หรือ JA Thailand ในฐานะครูพี่เลี้ยง ลงพื้นที่จัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านการเงินในโครงการ JA SparktheDream แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 5 จำนวน 243 คน ณ โรงเรียนชุมชนบึงบา ถนนเลียบคลองสิบ บ้านบึงบาพัฒนา ตำบลบึงบา อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เพื่อส่งต่อความรู้ทางการเงิน ทักษะทางสังคม และทักษะการใช้ชีวิตที่จำเป็นพื้นฐานให้แก่น้องๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการเงินได้อย่างรอบคอบ ตลอดจนสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ตัวเองและครอบครัว    

โครงการ JA SparktheDream นำเสนอความรู้ทางการเงินใน 3 บทเรียนหลัก ได้แก่ บทเรียนที่ 1) การหารายได้ การเก็บออม และการใช้จ่าย บทเรียนที่ 2) การวางแผนทางการเงิน บันทึกรายรับ รายจ่าย และบทเรียนที่ 3) แรงบันดาลใจและความมั่นคงทางการเงิน ผ่านการเรียนรู้ในรูปแบบของเกมจำลองสถานการณ์ แบบทดสอบ และกิจกรรมประเภทต่างๆ โดยใช้เนื้อหาที่เข้าใจง่าย และออกแบบให้สามารถปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปีของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร KKP Year Ahead 2024  เวที “เจาะลึกการลงทุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ ฝ่าความท้าทายปี 2567” ผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) นางจิราภรณ์ ลินมณีโชติ อดีตนักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และ นายลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ KKP Research บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าตลาดอสังริมทรัพย์ท้าทายผู้ประกอบการได้รับแรงกดดันจากทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น การยกเลิกการผ่อนผันมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย และต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อในช่วงก่อนหน้า

 

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้เล็กน้อยจากปีก่อน ซึ่งคาดว่าคอนโดน่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้นตามการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากขึ้นและสัญญาณการฟื้นตัวของอุปสงค์ ในขณะที่บ้านแนวราบน่าจะมีทิศทางทรงตัว และไม่สามารถขยายตัวได้มากนักจากสต็อกคงค้างที่ยังมีอยู่บางส่วน โดยประเมินว่าบ้านที่มีระดับราคาสูงกว่าน่าจะขยายตัวได้ดีกว่าบ้านราคาถูก เนื่องจากธนาคารมีการปฏิเสธการให้สินเชื่อในกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทเพิ่มมากขึ้นตามความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินเชื่อ อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาลูกค้าในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับในช่วงการระบาดของโควิด-19 ในขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มจังหวัดนิคมอุตสาหกรรมฟื้นตัวได้บ้างเล็กน้อย

ในขณะที่นางจิราภรณ์ ลินมณีโชติ อดีตนักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บล.เกียรตินาคินภัทร กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาวะปัจจุบันนับเป็นปีที่ความท้าทายอย่างมาก โดยมองว่ามี 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ คือ (1) การเติบโตของ GDP ที่ส่งผลสำคัญต่อยอดขายอสังหาริมทรัพย์ (2) การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่มักจะทำให้ตลาดชะลอตัวลง (3) หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดยมองว่าหากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ตามคาดและอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญของตลาด นอกจากนั้น ยังเห็นร่วมกันกับคุณไตรเตชะว่าผู้ประกอบการรายเล็กในตลาดอสังหาริมทรัพย์จะแข่งขันได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ในภาวะที่ตลาดชะลอตัว โดยเฉพาะจากปัญหาอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการรายเล็ก โดยจะเห็นว่าต้นทุนในการออกหุ้นกู้ของผู้ประกอบการรายเล็กในช่วงนี้สูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ และการออกหุ้นกู้ใหม่จะทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังสามารถออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนในการเปิดโครงการได้ ซึ่งจะทำให้อุปทานใหม่ของอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้มีแนวโน้มมาจากผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่า

ในด้านการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่ามีการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากกว่าในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้านและคอนโดในโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการรายเล็ก ส่งผลให้แนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยมีโอกาสที่จะเกิด market consolidation มากขึ้น หรือส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนในปี 2024 และจะเห็นชัดเจนขึ้นในช่วง 5–10 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ นายไตรเตชะให้ความเห็นเรื่องความเสี่ยงปัญหาเรื่องอุปทานล้นตลาดในประเทศไทยว่ายังมีค่อนข้างจำกัด โดยการเปิดตัวโครงการที่เร่งตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพียงผลจากการชะลอการเปิดตัวมาจากช่วงโควิด-19 และคาดการณ์ว่าการเปิดตัวโครงการในปี 2024 จะไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก โดยประเมินตัวเลขการเปิดตัวโครงการใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กจะมีแนวโน้มลดลงตามการหาแหล่งเงินทุนที่ยากขึ้น

ในฝั่งของตลาดหุ้นกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ นางจิราภรณ์กล่าวว่าในภาพรวมการออกหุ้นกู้ของผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กในปี 2567 จะทำได้ยากขึ้นตามภาวะตลาดหุ้นกู้ที่มีความตึงตัวมากขึ้น และน่าจะทำให้ความต้องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินมีมากขึ้นในปีนี้

สำหรับมุมมองระยะยาวของตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยเชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโตได้ เมื่อเทียบกับอสังหาริมทรัพย์กลุ่มอื่น ๆ คือ ออฟฟิศและค้าปลีก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงอายุบ้าง ซึ่งจะส่งผลให้การเจาะกลุ่มตลาดลูกค้าคนไทยมีความท้าทายมากขึ้น และเชื่อว่าในระยะยาวตลาดอสังหาริมทรัพย์ไนยังต้องการแรงหนุนจากลูกค้าต่างชาติ โดยเห็นควรให้มีการปรับแก้ไขกฎหมายใหม่ทั้งการแก้สิทธิ์การเช่าระยะยาวจาก 30 ปีเป็น 50 ปีเพื่อดึงดูดลูกค้าต่างชาติให้สนใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ภาครัฐควรมีการสนับสนุนและการกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน เช่น ให้ต่างชาติซื้อบ้านเฉพาะในโครงการจัดสรรเท่านั้นและกำหนดโควตาการซื้อให้ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ภาครัฐสามารถกำหนดระดับภาษีที่แตกต่างกันระหว่างคนไทยและคนต่างชาติได้และเพิ่มรายได้เข้าสู่ประเทศ  

นายไตรเตชะกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการมีความจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มความต้องการอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็น (1) ความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มคนสูงอายุ ซึ่งแนวโน้มตลาดผู้สูงอายุจะสนใจคอนโดมีเนียมขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น (2) กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มเช่าบ้านแทนการซื้อบ้าน ไม่น่าจะกระทบผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มากนัก เพราะยังจำเป็นที่ต้องมีคนซื้ออสังหาฯ เพื่อไปปล่อยเช่า (3) การพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่เหมาะสม เช่น ระดับราคา 7–8 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ซึ่งมีปริมาณน้อยเนื่องจากต้นทุนที่สูง ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่กำหนดราคามากกว่า 1 แสนบาทต่อตารางเมตร โดยผู้ประกอบการสามารถปรับแผนธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้”

หัวเว่ยหนุนภาคการศึกษายกระดับโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมเผยโฉม “AirEngine Wi-Fi 7” โซลูชันเน็ตเวิร์คไร้สายมาตรฐานล่าสุดสำหรับองค์กรที่ให้ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุด พร้อมแบนด์วิธที่กว้างขึ้น ตอบโจทย์การเรียนการสอนยุคอัจฉริยะ เช่น เมตาเวิร์ส และการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีเออาร์/วีอาร์

นายเชลดอน หวัง รองประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เผยในโอกาสร่วมงานประชุมวิชาการระหว่างประเทศของกลุ่มสมาชิกเครือข่าย Asia-Pacific Advance Network (57th APAN Meeting) ว่า แนวโน้มของเทคโนโลยีในภาคการศึกษากำลังเปลี่ยนแปลงจากการนำดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้งานเฉพาะบางส่วนสู่การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดให้รองรับการทำงานแบบอัจฉริยะ ซึ่งหัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์เทคโนโลยีไอซีทีที่หลอมรวมไอซีทีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเชื่อมต่อ การประมวลผลบนคลาวด์ บิ๊กดาต้า และปัญญาประดิษฐ์เข้ากับกระบวนการการศึกษาทั้งหมด เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมในการเรียนการสอน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การจัดการ และบริการ

นอกจากนี้เทคโนโลยีของหัวเว่ยได้ผนวกรวมเครือข่ายแบบใช้สาย ไร้สาย สํานักงาน และเครือข่าย IoT เข้ากับเทคโนโลยีต่างๆ เช่น เครือข่ายออพติคและไว-ไฟ 7 เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายในสถานศึกษาและการวิจัย และอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะที่ปลอดภัย เสถียร และมั่นคง ซึ่งช่วยปรับปรุงความสามารถในการรองรับระบบบริการตลอดจนประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการสอนและการเรียนรู้ได้เปลี่ยนจากการใช้กระดานดําแบบเดิมๆ มาเป็นเครื่องมือมัลติมีเดีย จากการเรียนรู้ในสถานที่ตายตัวเป็นปัจจุบันทุกที่ทุกเวลา และจากการบรรยายเพียงอย่างเดียวเป็นการเรียนรู้ที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น

การวิจัยทางวิทยาศาสตร์จําเป็นต้องแก้ปัญหางานด้านการประมวลผลและการวิเคราะห์ที่ซับซ้อน และต้องอาศัยเทคโนโลยี เช่น การประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) การวิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพสูง (HPDA) บิ๊กดาต้า และปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น

พร้อมเผยว่า หัวเว่ยได้เตรียมพร้อมนำเสนอความรู้และความเชี่ยวชาญจากการทำงานในอุตสาหกรรมระดับโลกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีซึ่งบริษัทมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลของภาคการศึกษา พร้อมด้วยโซลูชันสำคัญอย่าง “อินเทลลิเจนท์ เอ็ดดูเคชัน” ที่จะช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การสร้างสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาและห้องเรียนให้มีความอัจฉริยะสามารถเรียนรู้ได้แบบสมจริง และส่งเสริมการพัฒนาทักษะได้ดียิ่งขึ้น

รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง “ไว-ไฟ 7” เข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถของการศึกษาด้วยมาตรฐานของเทคโนโลยีไร้สายใหม่ที่มีช่องสัญญาณกว้างขึ้น อัตราการดีเลย์ต่ำ

ในโอกาสนี้ หัวเว่ยยังได้จัดเวทีพิเศษ "Thailand Medical Research HPDA Infrastructure Innovation Panel" เชิญผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานนำทางการด้านการแพทย์และการวิจัยทั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลศิริราช ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติและโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ แนวทางการเตรียมพร้อมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ โดยโซลูชัน HPDA การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของหัวเว่ยนําการออกแบบที่รองรับการทำงานขั้นสูงมาใช้ ทั้งในแง่ของความจุและประสิทธิภาพการทํางาน เพื่อประหยัดพื้นที่ห้องอุปกรณ์ได้อย่างมาก ส่งผลให้ต้นทุนรวม (TCO) ลดลง

เวทีเสวนาพิเศษนำโดยคุณประยุทธ ตั้งสงบ หัวหน้าคณะผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยีกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ หัวเว่ย ประเทศไทย ผู้บริหารและบุคลากรสำคัญจากหน่วยงานชั้นนำทางการด้านการแพทย์และการวิจัยทั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลศิริราช ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติและโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร

ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยว่า เทคโนโลยีบางอย่างเกิดขึ้นมาช่วงที่มี โควิด ซึ่งเราไม่ได้มีการเตรียมตั้งรับมาก่อนทำให้เกิดเป็นนวัตกรรม เช่น การใช้หูฟังตรวจคนไข้ผ่านบลูทูธเพื่อลดความเสี่ยงในการใกล้ชิดกับคนไข้ ซึ่งหลายๆอย่างก็ค่อยเริ่มพัฒนาและสร้างความร่วมมือกัน

ขณะที่ ผศ.อนุพล พาณิชย์โชติ ผู้จัดการโครงการปัญญาประดิษฐ์ด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ดาต้าที่ดีจะนำไปสู่การทำเอไอ และบิ๊กดาต้าที่ดี ดังนั้นข้อมูลที่ได้มาต้องเก็บแบบที่สามารถนำไปใช้ในเชิงปฏิบัติได้ ซึ่งตอนนี้เราเก็บ EMR ทั้งรูปภาพและวิดีโอ แผนการในปีนี้คือ นำข้อมูลรูปภาพทางการแพทย์ที่เก็บแบบกระจัดกระจายตอนนี้มาจัดเก็บให้ดีขึ้น ซึ่งเรามุ่งหวังว่าข้อมูลที่มีระดับการเก็บที่ดีขึ้นก็น่าจะนำไปสู่การวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ดีขึ้น

ศาสตราจารย์นายแพทย์มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นว่า จุดแข็งของไทยในอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร คือการให้บริการการแพทย์ ดูแลรักษาและป้องกัน ถ้าเราต่อยอดจุดแข็งของการเป็นผู้นำในด้านบริการ คือทำอย่างไรให้บริการของเราทำได้ดียิ่งขึ้น ใช้เทคโนโลยีเพื่อดูแลรักษาโรคซับซ้อน เราต้องหาความโดดเด่นของไทยให้เจอ อย่างน้อยในด้านการแพทย์แม่นยำคือ เรามีฐานข้อมูลพันธุกรรมของคนไทยขนาดใหญ่ ซึ่งมีความจำเพาะกับคนในภูมิภาคนี้ ข้อมูลนี้นอกจากใช้ได้กับคนไทย ยังสามารถต่อยอดกับประชากรในเขต CLMV ได้ด้วย และการบูรณาการเพื่อเชื่อมข้อมูลพันธุกรรมเข้ากับข้อมูลสุขภาพจะยิ่งสร้างความแตกต่างของการบริการทางการแพทย์เราได้มากยิ่งขึ้น

รศ.นพ.ประเสริฐ ตรีวิจิตรศิลป์ รองอธิการบดีฝ่ายการแพทย์และเทคโนโลยีสุขภาพ โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร เสริมว่า ความท้าทายสำคัญขณะนี้คือการผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันของคณะแพทย์หรือแม้แต่คณะต่างๆ เอง เพื่อเกิดเป็นฐานข้อมูลสำคัญในอนาคต ซึ่งโรงพยาบาลของเรากำลังทำเรื่องของ Aging และ Telehealth ที่มีการนำอุปกรณ์ Wearable รวมถึงเอไอเข้ามาปรับใช้ แต่สิ่งสำคัญคือการร่วมมือกันของหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์และนำไปสู่เทคโนโลยีเพื่ออนาคตได้

พร้อมกันนี้ หัวเว่ยยังได้เข้าร่วมนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการศึกษาภายในงาน APAN 57 ซึ่งจัดขึ้นในช่วงวันที่ 29 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2567 ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพมหานคร ภายใต้แนวคิด “Leading Infrastructure to Accelerate Education Intelligence” เพื่อมุ่งเน้นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่จะช่วยสนับสนุนการศึกษายุคใหม่ โดยได้นำเสนอโซลูชันไฮไลต์เพื่อสนับสนุนการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานเครือข่ายไร้สายล่าสุด ซึ่ง Huawei Air-Engine Wi-Fi 7 ที่ให้แบนด์วิธสูง พร้อมรองรับการทำ e-classroom ที่สามารถใช้ภาพและเสียงได้อย่างคมชัดระดับเอชดีและการเรียนการสอนออนไลน์ที่สมจริงและสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ดีกว่าเดิม รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อรากฐานที่แข็งแกร่งพร้อมรองรับการเรียนการสอนยุคใหม่อย่าง Converged Campus Network และ Scientific Research HPDA ซึ่งมีจุดเด่นของขีดความสามารถในการประมวลผลขั้นสุด ประหยัดพลังงานและยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงแผนการส่งเสริมอุตสาหกรรมแบบองค์รวมภายใต้ Digital Talent Ecosystem ซึ่งมีเป้าหมายในการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะด้านไอซีทีให้เพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมให้ได้ 50,000 คน ภายในปี 2570

X

Right Click

No right click