นายพีระพงศ์  พิตรพิบูลพาทิศ ผู้บริหารสูงสุดสายงานสำนักกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม บริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL)  และบริษัท วินเพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด จะจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดี วันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2567 ระหว่างเวลา 09.00 น. – 15.00 น. ณ ห้องประชุมวิวัฒนไชย ชั้น 8 อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ เพื่อเปิดเวทีให้ลูกหนี้เคทีซีและ KTBL ได้มีโอกาสเจรจาชำระหนี้ โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยจากกรมบังคับคดีเป็นคนกลางในการหาแนวทางยุติคดี โดยลูกหนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพียงเตรียมเอกสารประกอบการเจรจาในวันงาน ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชนพร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง หรือหากมอบอำนาจไกล่เกลี่ยแทน ขอให้จัดเตรียมสำเนาบัตรประชาชนผู้ใช้บัตรและผู้รับมอบอำนาจพร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง และหนังสือมอบอำนาจ

 

ผู้สนใจสามารถสมัครลงทะเบียนเข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยกรุงเทพฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2566 -วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567  หรือติดต่อแผนกประนอมหนี้ โทร. 02-631-3399 , 02-631-3668

จากข่าวคลิปดัง พาสิงโตนั่งรถชมวิว องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก World Animal Protection เห็นถึงกระแสโซเชียลมีเดียที่พร้อมจับตาและตรวจสอบการเลี้ยงสัตว์ป่า สะท้อนถึงความตระหนักของสังคมที่ร่วมต่อต้านการเลี้ยงสัตว์ป่าซึ่งสอดคล้องกับการทำงานขององค์กรฯ ที่เชื่อมั่นว่า “สัตว์ป่าควรมีชีวิตอยู่ในป่า และไม่ควรถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง” สัตว์ป่าเกิดมาพร้อมสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่รักอิสระจึงไม่เหมาะที่จะถูกเอามาเลี้ยงไว้ที่บ้านหรือสถานที่จำกัด ซึ่งส่งผลให้สัตว์ป่าเหล่านี้ถูกจำกัดไม่ให้สามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้ ทำให้สัตว์ป่าเหล่านี้เกิดความเครียด และส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งยังต้องเผชิญความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจากโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonoses) ดังที่เคยเกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019

นิค สจ๊วร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายแคมเปญสัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก กล่าวว่า “เหตุการณ์ทารุณกรรมสัตว์ป่าครั้งนี้ สร้างโอกาสให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายไทยได้อย่างเต็มที่ เพราะสัตว์ป่าไม่ใช่สิ่งของ สิงโตและสัตว์ป่าก็ต่างมีความรู้สึก ปัจจุบันนี้สัตว์ป่าถูกเพาะพันธุ์และขายเพื่อหากำไร ทั้งเพื่อนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงรวมถึงเพื่อกิจกรรมล่าสัตว์ป่า การนำสัตว์ป่ามาเป็นส่วนประกอบของยาแผนโบราณ นำซากสัตว์ป่ามาโชว์ ฯลฯ องค์กรฯ กำลังเรียกร้องให้ยุติการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อหากำไร และเหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลทั่วโลกจะต้องเร่งดำเนินการและปกป้องสัตว์ป่าจากการแสวงหาผลกำไรที่โหดร้าย”

“องค์กรฯ และผู้สนับสนุนของเราไม่สนับสนุนการผสมพันธุ์สัตว์ป่าเชิงพาณิชย์ ตลอดจนการนำสัตว์ป่าเหล่านั้นมาใช้งานอย่างโหดร้ายทารุณ ผิดธรรมชาติของสัตว์ป่า ที่เห็นได้ชัดคือการแสดงโชว์สัตว์ป่าตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวต่างชาติรวมไปถึงคนไทยต่างตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดกระแสต่อต้านการเลี้ยงสัตว์ป่าที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง”

องค์กรฯ เห็นถึงความใส่ใจ และการทำงานอย่างรวดเร็วของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อตรวจยึดสิงโตสองตัวที่ปรากฎในข่าว อย่างไรก็ตามองค์กรฯ ยังคาดหวังที่จะได้เห็น กรมอุทยานแห่งชาติฯ เร่งเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อให้สาธารณชนได้ตระหนักถึงบทลงโทษของการครอบครองสัตว์ป่าโดยผิดกฎหมาย เข้าใจขั้นตอนการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนได้เห็นสภาพความเป็นอยู่และสวัสดิภาพสัตว์ป่าที่ถูกยึดตามขั้นตอนทางกฎหมาย ที่เหมาะสมกับสัญชาตญาณของสัตว์ป่า

ชูเส้นทางเดินเที่ยวย้อนรอยวันวานย่านสุดคูลกับทริป “ทรงวาด...ที่วาดไว้ในความทรงจำ”

การเลี้ยงลูก Gen Alpha” หรือเด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟาไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเด็กเจนนี้เติบโตมาในโลกที่รายล้อมไปด้วยเทคโนโลยี และความรู้ต่าง ๆ มากมาย ทำให้มีความเป็นตัวเองสูง มีความคิดสร้างสรรค์กว่าเด็กรุ่นก่อน และต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านการศึกษาที่สูงขึ้น เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่รับมือได้ทัน วันนี้ GEN HEALTHY LIFE  มีเคล็ดลับการวางแผนการศึกษาให้ลูก Gen Alpha ตั้งแต่ก้าวแรกให้เติบโตอย่างมั่นคง มีความสุข และพร้อมก้าวสู่วัยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ      

ข้อแรก “กำหนดเป้าหมาย” มองหาสถานศึกษาให้ลูกตั้งแต่ชั้นอนุบาล ว่าอยากให้ลูกเรียนหลักสูตรไหน ซึ่งในประเทศไทยตอนนี้ มีโรงเรียนรัฐบาล และโรงเรียนเอกชน ที่มีหลักสูตรไทย หลักสูตรสองภาษา และหลักสูตรนานาชาติ ให้เลือกเรียน ซึ่งนอกจากหลักสูตรการเรียนที่ไม่เหมือนกัน ยังมีเรื่องของแนวทางการสอน สังคม รวมถึงค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วย      

เมื่อคุณพ่อคุณแม่กำหนดโรงเรียนให้ลูกได้แล้ว ลำดับต่อมาเข้าสู่ขั้นตอนการ “ประมาณค่าใช้จ่าย” นำค่าเทอมทั้งหมดที่ลูกจะเรียนมารวมกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เช่น ค่าสันทนาการ เรียนพิเศษ กิจกรรมพิเศษ หนังสือ อุปกรณ์การศึกษา เป็นต้น ซึ่งให้ลองตั้งไว้ที่ 20-30% ของค่าเทอมต่อปี    

จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนที่สำคัญ คือ “วางแผนการออม-การลงทุน” คุณพ่อคุณแม่ที่มีรายได้ประจำ สามารถนำรายได้มาออมให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาลูกได้ทันที แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่บางรายที่พิจารณาแล้วรายได้อาจไม่เพียงพอ ต้องนำเงินบางส่วนมาลงทุนเพื่อให้มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นอาจจะออมเงินในลักษณะกองทุนหรือหุ้น นอกจากเพื่อการศึกษาของลูกแล้วยังสามารถเก็บสำรองไว้ในยามฉุกเฉินได้อีกด้วย    

สุดท้าย “ประเมินความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา” เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จะกระทบกับการเงินของครอบครัวสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงอยู่เสมอ และควรวางแผนด้านการเงินให้เพียงพอเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน นอกจากการออมและการลงทุนแล้ว ซึ่งอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจคือการสร้างความมั่นคงด้วยการเพิ่มทุนในประกันชีวิต เป็นต้น

เทคนิคดังกล่าวข้างต้นนอกจากจะช่วยวางแผนด้านการศึกษาให้ลูกน้อยได้แล้ว ยังสามารถนำไปปรับใช้ในการวางแผนการออมเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงได้อีกด้วยเช่นกัน สำหรับใครที่ต้องการข้อมูลด้านการออมและการลงทุนผ่านประกันชีวิตสามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่  Gen Healthy Life   

จับความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของการตลาด

LEARN Corporation ผู้นำด้าน Lifelong Learning EdTech ตระหนักถึงแนวทางการเรียนรู้ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงส่ง OnDemand และ Learn Education บริษัทในเครือฯ ร่วมมือกับภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนางานด้านวิชาการให้มีคุณภาพทัดเทียมนานาชาติ และเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้เรียน

นายนนทกร ช่อสีดำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายวิชาการ บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารงานด้านวิชาการและเป็นตัวแทนจาก บริษัท ออนดีมานด์ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด และบริษัท เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ร่วมกับรองศาสตราจารย์ ดร.ศิริเดช สุชีวะ คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกความเข้าใจ “ความร่วมมือทางวิชาการ” เพื่อร่วมกันพัฒนาและยกระดับองค์ความรู้ทางวิชาการระหว่างองค์กร สร้างพื้นที่ฝึกประสบการณ์การเรียนรู้แก่นิสิตนักศึกษา และเกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของอาจารย์ผู้สอน ตลอดจนสนับสนุนให้นักวิชาการได้พัฒนางานวิจัยหลักสูตรการศึกษาให้เทียบเท่าสากล โดยแบ่งเป็นความร่วมมือ 3 ด้าน ได้แก่

  1. ด้านวิชาการ - สนับสนุนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ อัปเดตเทคโนโลยีการเรียนรู้และข้อมูลวิชาการ พร้อมกับเป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการเพื่อพัฒนาศักยภาพองค์กรและงานวิชาการร่วมกัน
  2. ด้านการส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนและนิสิตนักศึกษา - สนับสนุนการศึกษาดูงานระหว่างองค์กร การฝึกงานของนิสิตนักศึกษา หรือการแลกเปลี่ยนวิทยากรระดับองค์กร เพื่อสร้างการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ผลักดันให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการวิเคราะห์และต่อยอดได้
  3. ด้านการวิจัยและการพัฒนาองค์ความรู้ - ร่วมพัฒนางานวิจัยทางวิชาการหรือนวัตกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เครื่องมือ ฐานข้อมูล และพื้นที่ปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อผลลัพธ์งานวิจัยที่มีคุณภาพตรงกับแนวทางการเรียนรู้ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ในช่วงต้นโครงการ OnDemand ยังได้ร่วมมือกับ ศูนย์ทดสอบและประเมินเพื่อพัฒนาการศึกษาและวิชาชีพ ที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มทำโครงการวิจัยในหัวข้อ “การวิเคราะห์คุณภาพข้อสอบและแบบทดสอบรายวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย” เพื่อประเมินคุณภาพข้อสอบที่จะนำไปใช้กับผู้เรียนของ OnDemand ทั้งแบบภาพรวมและแบบรายข้อ ตลอดจนนำข้อมูลที่ได้มาใช้จัดชุดข้อสอบ เพื่อให้ได้ข้อสอบที่สามารถวัดผลผู้เรียนได้ตรงกับวัตถุประสงค์ มีคุณภาพตามหลักวิชาการ สอดคล้องกับแนวทางการเรียนรู้แบบสากล

นายนนทกร ช่อสีดำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายวิชาการ บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันการพัฒนาการศึกษาให้ตอบโจทย์ผู้เรียนและมีคุณภาพทัดเทียมนานาชาติ ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง LEARN Corporation จึงผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐฯ และเอกชนเพื่อให้เกิดการพัฒนาร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม การพัฒนางานวิชาการในครั้งนี้ เราได้รับความร่วมมือจากภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านงานวิชาการระดับประเทศ ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางการศึกษา ที่จะช่วยต่อยอดการเรียนรู้ทั้งในระดับองค์กร ส่งต่อถึงระดับบุคคลและสังคม อีกทั้งยังเป็นการร่วมกันพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยให้ทัดเทียมสากลต่อไป” ติดตามเทคโนโลยีการเรียนรู้และหลักสูตรวิชาการคุณภาพจาก LEARN Corporation และบริษัทในเครือได้ที่ www.learn.co.th

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ชวนคนไทยบริหารเงิน พร้อมวางแผนลดหย่อนภาษีภายใต้แคมเปญ “ใช้ชีวิตไหลลื่น ยื่นภาษีได้เต็มสิทธิ” ที่ช่วยให้คนไทยได้เตรียมพร้อมในการลดหย่อนภาษีและสนับสนุนการวางแผนทางการเงิน ที่ช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างใจ ไหลลื่นไม่สะดุดผ่านแบบประกันที่ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท* ได้แก่

  1. บำนาญ เรดดี้ (BumnanReady) พร้อมเกษียณ แบบชิวๆ วางแผนเกษียณวันนี้ รับเงินบำนาญตั้งแต่อายุ 60 ยาวจนถึงอายุ 88 สูงสุดปีละ 25% ของทุนประกัน
  2. ไลฟ์ ซุปเปอร์ เซฟ 14/5 (Life Super Save 14/5) พร้อมรับเงินคืนทุกปี วางแผนภาษีง่าย รับเงินคืนทุกปีสูงสุด 10% ครบสัญญารับเงินก้อนโต 548% ของทุนประกันอย่างง่ายๆ รับเงินจ่ายคืนตั้งแต่ปีแรกและให้ความคุ้มครองชีวิต
  3. ไลฟ์เรดดี้ (LifeReady) พร้อมคุ้มครองยาวให้ความคุ้มครองชีวิตสูง นานถึงอายุ 99 ปี เลือกจ่ายเบี้ยสั้น-ยาวได้ตามใจ ทั้ง 6 ปี 12 ปี 18 ปีหรือตลอดสัญญา

โดยแคมเปญดังกล่าวเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2567 สำหรับลูกค้าที่สนใจแบบประกันลดหย่อนภาษี สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้แล้ววันนี้ ที่ตัวแทนของบริษัทฯ สำนักงานตัวแทนทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://ktaxa.live/Bonus_Campaign_Pr หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ที่ดูแลคนไทยมาอย่างยาวนานเข้าสู่ปีที่ 86 คว้ารางวัล TOP50 Companies in Thailand 2024 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุดแห่งปี จาก WorkVenture โดยเอไอเอ ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 44 ซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ในงานประกาศรางวัล ได้มี นางศรัณยา เทียนถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล พร้อมคณะผู้บริหาร ขึ้นรับรางวัลจาก นายเย็นส์ โพลด์ CEO ของ WorkVenture ซึ่งรางวัลดังกล่าวมาจากการสำรวจทั้งทาง Online และ Offline กับผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุ 22-35 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวนกว่า 11,452 คน จึงนับเป็นรางวัลอันน่าภาคภูมิใจ และตอกย้ำถึงการเป็นบริษัทที่พร้อมเปิดโอกาสให้บุคลากรทุกระดับได้เรียนรู้ และพัฒนาตัวเองอย่างรอบด้าน ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่ปลูกฝังถึงความเชื่อมั่น “Believe in Better” เพื่อความสุขในการทำงาน และผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในทุกวัน สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยงานประกาศรางวัล TOP50 Companies in Thailand 2024 จัดขึ้น ณ โรงแรม Nikko Bangkok เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา

สำหรับที่เอไอเอ ประเทศไทย ได้มีการพัฒนาโปรแกรมที่โดดเด่นและแตกต่าง อย่าง “WorkWell with AIA” เพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตเพื่อการมีสุขภาพที่ดีของพนักงานในองค์กรซึ่งมีจำนวนกว่า 2,500 คน ภายใต้ 4 มิติหลัก ประกอบด้วย สุขภาพกาย (Live Well) สุขภาพใจ (Think Well) สุขภาพทางการเงิน (Plan Well) และการมีส่วนร่วมทางสังคม (Feel Well) ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้จัดขึ้นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของเพื่อนพนักงาน พร้อมกับมอบสวัสดิการที่ดี เพื่อช่วยสร้างความมั่นคงให้กับทุกชีวิตที่อยู่ในครอบครัวเอไอเอ ประเทศไทย  

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ประกาศแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ (Medium-Term Business Plan: MTBP) ครอบคลุมปี 2567-2569 พร้อมมุ่งเป้ายืนหนึ่งการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน โดยตั้งอยู่บนหลักสำคัญสามประการ คือ ขับเคลื่อนสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน เชื่อมโยงอาเซียนผ่านศักยภาพอันแข็งแกร่งของกรุงศรี และ MUFG เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในระดับประเทศและระดับสากล และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจหลักของธนาคาร

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมาถือเป็นวาระสำคัญครบรอบ 10 ปีของความร่วมมือระหว่างกรุงศรี และ MUFG และเป็นปีสุดท้ายของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับที่สาม กรุงศรีให้ความสำคัญกับการยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-centric Approach) มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการผ่านการพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัลและนวัตกรรม ซึ่งได้บรรลุความสำเร็จมากมายตลอดการเดินทางของเรา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างธุรกิจและเครือข่ายที่แข็งแกร่งในอาเซียน การขยายศักยภาพการในด้าน ESG มากขึ้น ตลอดจนเป็นผู้บุกเบิกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนของประเทศไทย รวมทั้งการก่อตั้งบริษัทร่วมทุนที่แข็งแกร่งอย่างกรุงศรี ฟินโนเวต ที่ให้การสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มสตาร์ทอัพและบริษัทด้านเทคโนโลยีอีกด้วย ความสำเร็จต่าง ๆ ของกรุงศรีที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมานั้นสะท้อนผ่านตัวเลขผลการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี โดยกรุงศรีสามารถทำรายได้สุทธิกว่า 30,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสามเท่าในเวลาหนึ่งทศวรรษ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ครองตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรม ทั้งยังคงความเป็นผู้นำด้านคุณภาพสินทรัพย์มาโดยตลอดอีกด้วย”

“กรุงศรีก้าวเข้าสู่แผนธุรกิจระยะกลางฉบับที่สี่ โดยมุ่งเป้ายืนหนึ่งการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน แผนธุรกิจระยะกลางฉบับนี้สะท้อนถึงความตั้งใจอย่างแน่วแน่ของกรุงศรีเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนเชิงเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาลสู่อนาคตที่มั่นคง ทำให้กรุงศรีเป็นธนาคารแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืนระดับแถวหน้า แนวทางการดำเนินงานนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของ MUFG ที่ต้องการมุ่งสร้างอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายร่วมกันทั้งในด้านความยั่งยืน การเป็นธนาคารที่มีความรับผิดชอบ และการพัฒนาชุมชน” นายเคนอิจิ กล่าวเสริม

ปีแห่งความท้าทาย

ข้อมูลจากวิจัยกรุงศรีระบุว่า ประเทศไทยกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายสาธารณะ นโยบายสนับสนุนต่าง ๆ ของภาครัฐ ตลอดจนกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีขณะที่แรงส่งภายนอกสร้างความท้าทายต่อโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน ภาวะทางการเงินที่ตึงตัวขึ้น และภัยแล้งที่เพิ่มความซับซ้อนขึ้นทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง

เป้าหมายและทิศทางทางธุรกิจ

แผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ประจำปี 2567-2569 เป็นมากกว่าแผนงาน โดยแก่นหลักของแผนฉบับนี้คือความมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็น “ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน” ที่สะท้อนถึงคำมั่นสัญญาขององค์กรสู่อนาคตที่ความยั่งยืนและการสร้างแข็งแกร่งในระดับภูมิภาคเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวแผนธุรกิจฉบับนี้จะมุ่งเป้าไปยังสามประการหลัก ได้แก่ การเป็นธนาคารชั้นนำเพื่อความยั่งยืน  การขับเคลื่อนความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค  และการรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจหลักของธนาคาร

จากเป้าหมายด้าน ESG สู่ความสำเร็จทางการเงิน

กรุงศรีในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืน เราได้วางเป้าหมายในการเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืนที่ 100,000 ล้านบาทภายในปี 2573 และให้การสนับสนุนลูกค้าในการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา กรุงศรีมียอดสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนเพิ่มขึ้น  71,000 ล้านบาทจากฐานปี 2564 โดยแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่นี้ กรุงศรีจะมุ่งขยายบริการทางการเงินเพื่อความยั่งยืนเพื่อเข้าถึงฐานลูกค้า SME และลูกค้ารายย่อยที่หลากหลายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการจัดหาเงินทุนเพื่อช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าธุรกิจ และ SME ในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนในเรื่องกติกาด้านการเงินและภาษี (Taxonomy) ที่จำแนกประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับความเข้มของค่าคาร์บอนโดยใช้ระบบสัญญาณไฟจราจรเป็นเกณฑ์

การสร้างคุณค่าให้กลุ่มลูกค้า

เครือข่ายของกรุงศรี และ MUFG ในปัจจุบันครอบคลุม 9 ใน 10 ประเทศในอาเซียน โดยกรุงศรีมีบริษัทในเครือ กระจายอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา และ สปป.ลาว ที่ให้บริการลูกค้าแล้วกว่า 17 ล้านราย การดำเนินงานในอาเซียนของกรุงศรีส่งเสริมขีดความสามารถของธนาคารในหลายแง่มุม ตั้งแต่โมเดลธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ ไปจนถึงการระดมทุน การบริหารความเสี่ยง โซลูชันดิจิทัล และนวัตกรรมที่หลากหลาย

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งให้กับกรุงศรีในการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาค และกรุงศรีมุ่งมั่นเดินหน้าใช้ประโยชน์จากเครือข่าย MUFG เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตและเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาค ผ่านการนำเสนอโซลูชันการจับคู่ธุรกิจแบบครบวงจรด้วยแพลตฟอร์ม Krungsri Business Link และบริการ Krungsri ASEAN Link ที่จะช่วยเชื่อมโยงลูกค้าธุรกิจชาวไทยกับพันธมิตรทางธุรกิจที่เชื่อถือได้เข้าด้วยกันผ่านเครือข่ายของธนาคารที่มีอยู่ในอาเซียนและญี่ปุ่น

ตอกย้ำจุดแข็งของกรุงศรี

กรุงศรีมุ่งมั่นที่จะสร้างความแข็งแกร่งและรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจหลักของธนาคาร เพื่อให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยจะเน้นเรื่องดิจิทัล ดาต้า ระบบนิเวศและการสร้างพันธมิตรเป็นแกนสำคัญในการดำเนินงาน สำหรับกลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคล กรุงศรียังคงเดินหน้ากลยุทธ์ One Retail โดยการใช้ดาต้าเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเป็นหลัก สำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ กรุงศรีจะขยายขีดความสามารถด้านธุรกรรมการเงินทั้งในและต่างประเทศในรูปแบบ Banking as a Service โดยพัฒนาร่วมกับพันธมิตรจากทั้งในไทยและต่างประเทศ และสำหรับในด้าน IT และดิจิทัล กรุงศรีจะเดินหน้าลงทุนในดิจิทัลแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีที่ยึดความต้องการลูกค้าเป็นหลัก รวมถึงการใช้ AI และ Machine Learning เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์และการให้บริการกับลูกค้าในทุกกลุ่ม ผ่านทุก Touchpoint ทั้งสาขา ออนไลน์ โมบายแอป และ Call Center

กรุงศรีคาดว่าในปี 2567 เงินให้สินเชื่อจะเติบโตที่ 3-5% และตั้งเป้าหมายของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ  (NIM) อยู่ที่ 3.8-4.1% ธนาคารคาดว่าอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ราว 2.50-2.75% ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (cost-to-income ratio) จะอยู่ในระดับ mid-40%

บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสยอดนิยม ภายใต้ชื่อแบรนด์ เด็กสมบูรณ์ และไอ-เชฟ ตอกย้ำการเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดเครื่องปรุงรสในประเทศไทย พร้อมส่งความสุขแก่ผู้บริโภคทั่วประเทศ เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 80 ปี หยั่น หว่อ หยุ่น ผ่านกิจกรรมทางการตลาดแบบครบวงจรและโปรโมชั่นส่งเสริมการขายต่อเนื่องตลอดปี 2567 ชูวิสัยทัศน์ “ที่ไหนมีครัวที่นั่นต้องมีเรา” และสโลแกน “เด็กสมบูรณ์ทำรับรองว่าดี” เพื่อสร้างภาพจำของการเป็นเครื่องปรุงรสคู่ครัวอย่างแท้จริง หวังครองใจผู้บริโภคผ่านผลิตภัณฑ์คุณภาพมาตรฐานระดับโลก โดยประเดิมกิจกรรมแรกด้วยงาน DEKSOMBOON THE HAPPINESS BRAND LAUNCH 2024 เปิดตัวพรีเซนเตอร์ครอบครัวล่าสุดของผลิตภัณฑ์เด็กสมบูรณ์ บีม กวี, ออย อฏิพรณ์ และพี่ธีร์ ธีร์ทองธรรม - น้องพีร์ พีร์ทองธรรม ตันจรารักษ์ คู่แฝดซุปตาร์รุ่นจิ๋วขวัญใจแม่ทิพย์ทั่วประเทศที่มาส่งต่อความอร่อยมัดใจทุกรุ่น ย้ำภาพลักษณ์รุ่นไหนๆ ก็ใช้เด็กสมบูรณ์ ณ บิ๊กซี เพลส รัชดา เมื่อวันก่อน

นายสมหวัง ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 80 ปีที่ผ่านมา เราดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า ‘ที่ไหนมีครัวที่นั่นต้องมีเรา’ และมีความมุ่งมั่นที่จะปรับสูตรผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับทุกกลุ่มลูกค้าในทุกช่วงอายุ ตลอดจนมีการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภาพจำของความอร่อยมัดใจทุกรุ่นอย่างยั่งยืน ซึ่งผลิตภัณฑ์ตราเด็กสมบูรณ์ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในเครือฯ ของหยั่น หว่อ หยุ่น ผ่านกระบวนการผลิตแบบหมักธรรมชาติที่ได้มาตรฐานและใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยระดับ World Class Standard ทำให้เราสามารถรักษาคุณภาพของสินค้า ทั้งรสชาติ สีสัน กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ และความอร่อยกลมกล่อมในทุกขวดที่ออกสู่ตลาดได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกครอบครัวได้อย่างตรงใจ ดังความคาดหวังที่ว่า ‘เด็กสมบูรณ์ครองใจทุกบ้าน ถูกใจทุกครัว ถูกปากทุกคน’ ซึ่งเราหวังว่าจะสามารถส่งต่อความอร่อยไปยังทุกคนในครอบครัวได้อย่างเต็มที่ และได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคสืบไป”

ทั้งนี้ภาพรวมของตลาดเครื่องปรุงรสประเทศไทยในปี 2566 ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 3.8% และยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่กำลังได้รับความนิยม และการปรับลดการประมาณการณ์อัตราเงินเฟ้อของภาครัฐ ซึ่งเป็นแรงหนุนให้เกิดการเติบโตของตลาดในวงกว้าง โดยปี 2566 ที่ผ่านมา หยั่น หว่อ หยุ่น มีส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 31% หรือมูลค่าราว 1,700 ล้านบาท และเติบโตขึ้น 3% ซึ่งถือว่ามีการเติบโตมากกว่าตลาดโดยรวม นับเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดในประเทศ โดยปัจจุบัน หยั่น หว่อ หยุ่น มีการส่งออกไปกว่า 78 ประเทศทั่วโลก ด้านกลยุทธ์ทางการตลาดในปี 2567 จะเน้นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำผ่านกิจกรรมทางการตลาดแบบครบวงจรและโปรโมชั่นส่งเสริมการขายรูปแบบต่างๆ ทั่วประเทศตลอดทั้งปี เพื่อชูความสำเร็จของแบรนด์ที่อยู่คู่ครัวไทยมายาวนานกว่า 80 ปี รวมถึงรุกตลาดน้ำปลาเต็มสูบ พร้อมออกไลน์สินค้าใหม่ๆ ที่เป็นกลุ่มสินค้าเครื่องปรุงรสเพิ่มเติม รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มสินค้ารักสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์สินค้าเพื่อสุขภาพที่ยังคงมาแรงในประเทศไทย ส่วนในตลาดต่างประเทศ มีการวางแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มเครื่องจิ้มในรูปแบบขวดบีบ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในต่างประเทศ

“เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 80 ปี หยั่น หว่อ หยุ่น เราจึงคว้าพี่ธีร์ - น้องพีร์ คู่แฝดรุ่นจิ๋วเจ้าของฉายาลูกชายแห่งชาติ พร้อมครอบครัวมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ตราเด็กสมบูรณ์ รวมถึงนำภาพของทั้งคู่ไปใส่เป็นโลโก้ใหม่บริเวณคอขวดของผลิตภัณฑ์ซีอิ๊วขาว น้ำปลาแท้ ซีอิ๊วดำ และซอสหอยนางรมตราเด็กสมบูรณ์ตั้งแต่เมื่อช่วงปลายปี 2566 ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เราได้รับกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด ทั้งในแง่ของการรับรู้ การจดจำแบรนด์เด็กสมบูรณ์ ตลอดจนได้รับการยอมรับในคุณภาพของสินค้า รวมถึงช่วยสร้างสีสันและความคึกคักให้กับตลาดเครื่องปรุงรสในประเทศได้อีกทางหนึ่ง” นายสมหวัง ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ภายในงาน DEKSOMBOON THE HAPPINESS BRAND LAUNCH 2024 มีการออกบูธแสดงสินค้าในเครือฯ หยั่น หว่อ หยุ่น พร้อมด้วยกิจกรรมเพื่อผู้บริโภคและโปรโมชั่นร่วมกับพันธมิตรอีกมากมาย เพื่อฉลองการครบรอบ 80 ปีอย่างยิ่งใหญ่ อาทิ กิจกรรม Cooking Show โดยเชฟภู ภูรินท์ พัฒนวิริยะวาณิช ที่มาสาธิตเมนูพิเศษที่ใช้เครื่องปรุงรสตราเด็กสมบูรณ์ให้แฟนๆ ที่มาร่วมกิจกรรมได้ชิมความอร่อยกันอย่างใกล้ชิด ต่อด้วยการเปิดตัวครอบครัวตันจรารักษ์ ในฐานะพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์ตราเด็กสมบูรณ์อย่างเป็นทางการ ตลอดจนเปิดตัว 2 ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ล่าสุด ซึ่งบอกเล่าถึงความตั้งใจในการส่งมอบความสุขและความอร่อยผ่านทุกหยดและทุกเหยาะมาตลอด 80 ปีจากรุ่นสู่รุ่น เพราะรุ่นไหนๆ ก็ใช้เด็กสมบูรณ์ และมินิคอนเสิร์ตจากบีม กวี ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ อย่างล้มหลาม

X

Right Click

No right click