บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ บอร์ดมีมติแต่งตั้ง นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer: CEO) แทนนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ เนื่องจากเกษียณอายุ ซึ่งมีผลวันที่ 31 มกราคม 2567 โดยนายอภิชาติ เข้ามารับตำแหน่ง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป ตามที่ได้มีการแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ เป็นผู้บริหารที่เปี่ยมประสบการณ์และความรอบรู้ในหลากหลายธุรกิจ มีความเฉียบคม  ทางความคิด และมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในด้านการบริหารการเงิน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับสถาบันชั้นนำหลายแห่ง อาทิ กรรมการบริหาร และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สาย Treasury and Banking Operations Group ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน), กรรมการบริษัท บริษัทหลักทรัพย์ สินเอเชีย จำกัด และบริษัท ลีซซิ่งไอซีบีซี (ไทย) จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน   บริษัท สามารถ ไอ–โมบาย จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ นายอภิชาติ เข้าร่วมงานกับ LPN ตั้งแต่ปี 2561 โดยดำรงตำแหน่ง กรรมการบริษัท กรรมการบริหาร กรรมการบริหารความเสี่ยง และหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรในช่วงที่ผ่านมา โดยการเข้ารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ LPN จึงเป็นโอกาสและความท้าทายที่จะได้ผลักดัน และขับเคลื่อนองค์กรให้มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น พันธมิตร และนักลงทุน พร้อมทั้งการดูแลลูกค้าด้วยการพัฒนาความ “น่าอยู่” ในทุกมิติเพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นเจตนารมณ์และความภาคภูมิใจของ LPN ตลอดระยะการดำเนินธุรกิจมากว่า 3 ทศวรรษ

ภายใต้การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้สะท้อนภาพความมุ่งมั่นว่า LPN ในฐานะผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ มาตลอด 35 ปี ยังคงยึดมั่นในแนวทางการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในเมือง ที่บูรณาการอย่างครบถ้วนและครบวงจร ด้วยความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการคุณภาพในราคาที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นความท้าทาย และก้าวย่างสำคัญของ LPN กับผู้นำทัพคนใหม่ ซึ่งการปรับโครงสร้างครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกลยุทธ์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนธุรกิจที่ได้วางไว้

สจล. หนุนแสดงศักยภาพงานวิจัย และนวัตกรรมของไทย สู่เวทีระดับโลก ผ่านมหกรรมการแสดง สุดยอดนวัตกรรม เปิดโลกเรียนรู้นวัตกรรมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน “KMITL INNOVATION EXPO 2024 SustainED Innovation” ตอกย้ำแนวคิดของการเป็นสถาบันการศึกษาที่การมุ่งพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสร้างสรรค์งานวิจัย และนวัตกรรมสู่สังคมโลก เชื่อมั่นศักยภาพผลงานวิจัย นวัตกรรมจากอาจารย์ นักศึกษา นักวิจัยไทย มีคุณค่าครบทุกมิติประยุกต์พัฒนาในเชิงอุตสาหกรรม สร้างประโยชน์แก่เศรษฐกิจ และสังคมยุคโลกาภิวัตน์ได้จริง

“งานวิจัย นวัตกรรม ของไทย ดี ๆ มีคุณภาพ มีเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่ถูกเก็บ ไม่ได้นำมาใช้สร้างประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็น” ซึ่งนี่ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของ สจล. ที่ตอนนี้ทุกฝ่ายพยายามร่วมมือกัน ผลิต ผลักดัน เปลี่ยนจากงานวิจัย “ขึ้นหิ้ง” มาเป็น “ขึ้นห้าง” ผศ. ดร.รัชนี กุลยานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญในการพัฒนางานวิจัยนวัตกรรมของเหล่าคณะอาจารย์ และนักศึกษา ที่วันนี้แม้จะอยู่ต่างคณะ ต่างบทบาท แต่ทาง สจล. ส่วนกลางก็พร้อมประสานให้เกิดความร่วมมือด้วยกัน เพื่อให้งานวิจัย นวัตกรรม ที่พัฒนาขึ้นมาสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ ช่วยแก้ปัญหาคนในสังคม หรือ ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจที่มองว่าสามารถนำมาต่อยอดได้ คุ้มกับการลงทุนจริง

ทั้งนี้ “ผศ. ดร.รัชนี” ฉายภาพให้เห็นถึงกระบวนการพัฒนางานวิจัยนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ต้องร่วมกันหลายฝ่าย เพื่อให้ตอบโจทย์ธุรกิจจริง ๆ อาทิ ในโครงการ From Farm to Table ซึ่งทุกวันนี้คนอยากทานอาหารที่ปลอดสารพิษ งานวิจัยส่วนใหญ่ก็จะไปที่เกษตรอินทรีย์ แต่ในความเป็นจริงคนเราไม่ได้ต้องการแค่อาหารที่ดี แต่ต้องการน่ากินและอร่อยมีประโยชน์ด้วย เช่น คนสูงอายุอยากทานอาหารแต่มีปัญหาเรื่องของระบบฟัน การย่อย ดังนั้นนักวิจัยนวัตกรรมต้องมองว่าทำอย่างไร จะตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ให้ได้ ไม่ใช่แค่กรอบของอาหารปลอดสารพิษ ไม่ใช่แค่การทำงานของภาคเกษตรอินทรีย์เท่านั้น แต่อาจต้องร่วมมือกับภาคคณะอื่น ๆ เพื่อพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น หรือ อย่างทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ผลิตเครื่องมือนวัตกรรมขึ้นมา มีคุณภาพจริงแต่ภาพลักษณ์ภายนอกดูไม่น่าใช้แบบนี้ ก็อาจจะต้องมาร่วมมือกับทางคณะสถาปัตย์ร่วมกันพัฒนาออกแบบภายนอกตัวเครื่องให้ดูสวยงามทันสมัยน่าใช้ แบบนี้ถึงจะตอบโจทย์ธุรกิจ หรือแม้กระทั่ง Soft Power โดยเฉพาะเรื่องของอาหาร ที่ทางภาครัฐกำลังพูดถึงกันมาก ก็ต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่ายทั้งองค์ความรู้จากภาคเกษตรอินทรีย์ ภาควิศวกรรมอาหาร มาร่วมกันพัฒนาสร้างนวัตกรรมที่จะทำให้เกิด Soft Power ที่ยั่งยืนได้จริงจนแข็งขันกับนานาชาติ และเป็นจุดขายของประเทศได้ เหล่านี้เป็นต้น

งานวิจัยนวัตกรรมที่ดี ที่สามารถนำมาใช้ได้จริง ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรู้ของภาควิชาใดวิชาหนึ่ง แต่เกิดจากความร่วมมือกัน และที่สำคัญคือ การร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ และ ภาคการศึกษาที่เชี่ยวชาญด้านงานวิจัย นวัตกรรม ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา และค้นหาวิธีการนำเทคโนโลยีมาช่วยสร้างสรรค์สิ่งใหม่ช่วยให้การดำเนินชีวิต การทำธุรกิจ สังคมโดยรวมดีขึ้น”

เปลี่ยนงานวิจัยนวัตกรรมไทย ให้เป็นที่ต้องการของตลาดโลก

“จุดแข็งของ สจล. ที่ทำให้ได้รับการยอมรับในวงการนวัตกรรม และธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ “ผศ. ดร.รัชนี” เชื่อว่ามาจากการที่ นักศึกษาจากสถาบันแห่งนี้รู้งานเพราะลงมือปฏิบัติจริง ในขณะเดียวกันคณะอาจารย์ที่ร่วมทำงานกับทางภาคอุตสาหกรรมในแขนงต่าง ๆ ทำให้เข้าใจความต้องการของตลาด ภาคธุรกิจ คณาจารย์ของสถาบันแห่งนี้จึงไม่ใช่รู้แค่ในเชิงของทฤษฎี แต่รู้ว่าตลาดต้องการอะไร สามารถนำมาถ่ายทอดให้นักศึกษาได้อย่างถ่องแท้ ร่วมถึงพัฒนาทำงานวิจัยนวัตกรรมที่ช่วยภาคธุรกิจได้มากกว่าแค่ดีแต่นำมาใช้ไม่ได้ต้องอยู่บนหิ้งเหมือนที่ผ่านมาๆ แต่วันนี้งานวิจัยนวัตกรรมเหล่านี้สามารถนำมาสารตั้งต้น พัฒนาก่อประโยชน์ให้แก่ภาคธุรกิจได้

ผลลัพธ์จากการตั้งเป้าหมายในการพัฒนางานวิจัย นวัตกรรมให้ตอบโจทย์ของตลาดภาคธุรกิจ ทำให้ช่วงที่ผ่านมาทาง สจล. มีผลงานวิจัย นวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างมากมาย ล่าสุดเตรียมนำ ยกทัพนวัตกรรม และผลงานวิจัยนับ 1,000 ชิ้นงาน จากอาจารย์ นักศึกษา นักวิจัย พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และหน่วยงานชั้นนำ โชว์ศักยภาพสู่สายตานักพัฒนา นักธุรกิจชั้นนำในไทยและระดับโลก ในงาน "KMITL INNOVATION EXPO 2024 SustainED Innovation" ที่กำลังจะจัดขึ้นในวันที่ 1-3 มีนาคม นี้ ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

ภาพกิจกรรม KMITL Innovation Expo 2023

“KMITL INNOVATION EXPO 2024” ที่กำลังจะเกิดขึ้นนับเป็นครั้งที่สอง ที่ทาง สจล. จัดขึ้น โดยคอนเซ็ปต์ของงานนี้ไม่เพียงโชว์งานวิจัย นวัตกรรม ต่างๆ แต่ทางสถาบันฯ หวังว่าผลงานเหล่านี้จะสร้างอิมแพคให้กับประเทศในหลายมิติ ตั้งแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการให้เด็กไทยสนใจเห็นถึงความสำคัญของการนวัตกรรม ได้เข้ามาเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ทางด้านนวัตกรรม ไปจนถึงกระตุ้นให้ภาครัฐหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนางานวิจัยนวัตกรรม และนำสิ่งเหล่านี้ไปร่วมพัฒนาประเทศ รวมถึงภาคธุรกิจไทยมองเห็นโอกาสของการนำผลงานวิจัยนวัตกรรมเหล่านี้ไปใช้ต่อยอดสร้างโอกาสความได้เปรียบในเชิงธุรกิจ ไปจนถึงแสดงให้ต่างชาติได้เห็นศักยภาพของนักศึกษานักวิจัยไทย ที่มีองค์ความรู้ไม่เป็นรองประเทศใด และให้ความสนใจในการดึงบุคลากรเหล่านี้ไปร่วมทำงานในระดับโลกต่อไปในอนาคต”

ตลอด 3 วันที่จัดงาน “ผศ. ดร.รัชนี” เผยว่าผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสกับงานวิจัยที่ไม่ใช่แค่ข้อมูลในกระดาษ แต่เป็นงานนวัตกรรมที่มีการทำโมเดลออกมาเป็นรูปเป็นร่างเพื่อให้ทุกคนได้เห็น สัมผัส เรียนรู้กันอย่างกันอย่างใกล้ชิด โดยมีธีมนวัตกรรมใหญ่ๆ อย่าง นวัตกรรมเกษตรในอนาคต (Future Farming), นวัตกรรมพลังงานสมัยใหม่และสิ่งแวดล้อม (New energy and environment), นวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ (Smart City), นวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 (industry 4.0), นวัตกรรมการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power หรือ Creative Economy), นวัตกรรมทางการสุขภาพ (Health and Wellness) และยังมีประเด็นงานวิจัยนวัตกรรมปลีกย่อยอีกมากมาย

ภาพกิจกรรม KMITL Innovation Expo 2023

“KMITL INNOVATION EXPO 2024” จะเป็นการพลิกโฉมการนำเสนองานวิจัย นวัตกรรม ครั้งสำคัญอีกเวทีหนึ่งของประเทศไทย เพราะทุกงานวิจัย นวัตกรรม สามารถดึงมาใช้ในการต่อยอด และตอบโจทย์ตรงกับความต้องการของผู้คนจริง ๆ ไม่ใช่แค่แนวทาง แต่ปฏิบัติจริงได้ “ผศ. ดร.รัชนี” ย้ำพร้อมยกตัวอย่าง

เรื่องของ Future Farming, Smart Farming ที่ส่วนใหญ่ก็จะโฟกัสไปที่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงต้องลงทุนมาก ๆ แบบนี้โอกาสที่เกษตรกรไทยจะทำได้มีน้อยมาก สิ่งที่ทางนักศึกษา คณะอาจารย์ นักวิจัย สจล. ทำคือร่วมกับพันธมิตร หน่วยงานอื่น ๆ รวมถึงภาคธุรกิจ ชุมชนที่เกี่ยวข้อง มองแนวทางของการพัฒนาใหม่ โดยหันไปให้ความสำคัญที่วัตถุประสงค์ของการทำสมาร์ทฟาร์มของคนแต่ละกลุ่มแตกต่างกันออกไป การประยุกต์ใช้นวัตกรรมพัฒนาก็ต่างกันออกไป ถ้าเป็นนักธุรกิจที่ทำส่งออกผลผลิตไปนอก ก็ต้องลงทุนแบบหนึ่ง แต่ถ้าเป็นกลุ่มชุมชนเกษตรกรไทย ก็ต้องโฟกัสการพัฒนาไปอีกแบบ โดยนำปัญหาที่คนแต่ละกลุ่มเจอแล้วมาคิดพัฒนาสร้างสิ่งใหม่ ๆ เช่น ที่ผ่านมาชาวเกษตรกรบอกผลผลิตขายไม่ได้ราคา ยอมทิ้งให้เน่าเสียไปดีกว่า ขายไม่คุ้ม แบบนี้ ทาง สจล. ก็พยายามวิจัยนวัตกรรม โดยมีโจทย์ว่า สามารถนำสินค้าการเกษตรเหล่านี้มาแปรรูป เพิ่มมูลค่าได้อย่างไร ทำให้ขายคนไทยประเทศ และส่งออกไปได้ด้วย หรือ มองไปไกลกว่านั้นอีกว่า จะทำอย่างไรให้สินค้าการเกษตรเหล่านี้ กลายเป็น Soft Power ที่สร้างรายได้ สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย

คือ วันนี้การทำงานวิจัย นวัตกรรม ให้เปลี่ยนจาก ขึ้นหิ้ง มาเป็น ขึ้นห้าง ต้องคิด วางแผนตั้งแต่ต้นน้ำ ปลายน้ำ ไม่ใช่แค่แก้ปัญหา แต่ต้องเพิ่มมูลค่า ไปจนถึงช่วยให้การทำตลาดต่าง ๆ ในเชิงธุรกิจง่ายขึ้น ซึ่งผลงานวิจัย นวัตกรรมเหล่านี้ก็จะนำเสนอภายในงาน KMITL INNOVATION EXPO ครั้งนี้ด้วย ดังนั้นงานวิจัย นวัตกรรม ในแต่ละธีมก็จะมีความหลากหลายให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสเรียนรู้มากมาย

ภาพกิจกรรม KMITL Innovation Expo 2023

นอกจากแสดงผลงานวิจัยนวัตกรรมแล้ว ในแต่ละธีมก็จะหยิบยกประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาร่วมหาทางพัฒนาไทยในอนาคตด้วยเช่น พลังงานทดแทน (Renewable energy), สิ่งแวดล้อม (environment) ก็เป็นประเด็นใหญ่ที่ทั้งทางภาคธุรกิจ และรัฐบาลต้องสนใจ ยกตัวอย่างเช่น มีการพูดถึงการ ปลูกต้นไม้ขายคาร์บอนเครดิต คือ ทำอย่างไร ทำแล้วขายใคร นวัตกรรมจะเข้าไปช่วยได้อย่างไร ภาครัฐต้องส่งเสริมแบบไหนไปจนถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างๆ เรื่องราวพวกนี้จะถูกหยิบยกมาคุยกันเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย หรือ อุตสาหกรรม 4.0 (industry 4.0) ที่ในไทยพูดกันมานานแต่ยังไม่เห็นการพัฒนาอย่างครบวงจร ในขณะที่หลายประเทศไป industry 5.0 รวมถึงการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งวันนี้ก็จะลงทุนอะไรไป ควรต้องค้นหาตัวตนของประเทศก่อน ต้องพัฒนาสร้างแบรนด์ดิ้งอย่างไร หรือกรณีของ สุขภาพทางไกล (Telehealth/Telemedicine) ก็จะหยิบยกปัญหา ข้อจำกัดในการเข้าถึงการแพทย์ของคนไทย โดยเฉพาะคนต่างจังหวัด และชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยี นวัตกรรม ถ้ารู้จักนำมาใช้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้คนไทย คนไทยมีสุขภาพที่ดีที่สุด หรือ การไปหาหมอ เข้ารับคำปรึกษาต่าง ๆ ทำได้สะดวกรวดเร็ว ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดของประเทศก็ตาม เหล่านี้เป็นต้น

ภาพกิจกรรม KMITL Innovation Expo 2023

ภายในงานนี้ยังรวมผลงานนวัตกรรมระดับนานาชาติไว้ด้วย โดย “ผศ. ดร.รัชนี” กล่าวว่า หนึ่งในความพิเศษของกิจกรรมครั้งนี้คือ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานต่างประเทศ ที่เป็นพันธมิตรกับ สจล. ได้เตรียมนำงานวิจัยในระดับโลกมาร่วมแสดงที่ สจล. ด้วย ทำให้คนไทยที่มางานนี้จะได้เห็นถึงเรียนรู้นวัตกรรมระดับโลกไปพร้อมกัน

“อย่าง ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก็เตรียมนำเทคโนโลยีนวัตกรรม Future Farming มาร่วมด้วย หรือ ประเทศเยอรมนี ก็มาร่วมในประเด็น industry 4.0 และ Renewable energy อย่างการพลังงานไฮโดรเจน หรือทางประเทศออสเตรีย และสหรัฐอเมริกา ก็จะมาโชว์เรื่องของ พลังงานนิวเคลียร์ ส่วนทางประเทศฟินแลนด์ก็มาร่วมด้วยในเรื่องของนวัตกรรม Environment รวมถึงยังมีบริษัทสตาร์ตอัปจำนวนมากทั้งของไทยและต่างประเทศมาร่วมโชว์ผลงานในธีมต่าง ๆ ด้วย”

รวมถึงภายในงานยังมีกิจกรรมมากมาย อาทิ โซนเวิร์กชอปต่าง ๆ ซึ่งเด็ก ๆ นักเรียน นักศึกษาทั้งในและนอกสถาบัน สจล. ที่เข้ามาในงานก็จะได้ลงมือปฏิบัติทดลองด้วยตัวเอง มีการประกวดผลงานทางนวัตกรรมต่าง ๆ เรียกว่าเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กไทยสนใจและอยากพัฒนานวัตกรรมให้ดียิ่งขึ้นไป พร้อมมีการจัดโซนเวทีเสวนามากมาย โดยได้รับเกียรติจากสปีกเกอร์ที่เชี่ยวชาญทางด้านวิจัยนวัตกรรมต่าง ๆ จากต่างประเทศ มาพูดคุยถึงอัปเดตแนวคิด การพัฒนาต่าง ๆ ในระดับโลก ซึ่งถือเป็นประโยชน์สำหรับนักวิจัย นวัตกรรมไทย อย่างมากที่จะได้รับทราบข้อมูลเทคโนโลยีระดับโลกก้าวไปไกลแค่ไหน เบื้องลึกของการพัฒนางานวิจัย นวัตกรรมอย่างละเอียด เพื่อนำมาพัฒนาเทคโนโลยีในบ้านเราต่อยอดไปได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

ภาพกิจกรรม KMITL Innovation Expo 2023

ไฮไลท์ใหญ่ที่จะเกิดขึ้นภายในงาน KMITL INNOVATION EXPO 2024 SustainED Innovation อีกเรื่องคือ Business Matching คือ การเปิดโอกาสให้เจ้าของธุรกิจ ได้ร่วมมือพูดคุยกับเจ้าของงานวิจัย นวัตกรรมต่างๆ และนำมาซึ่งความร่วมมือในเชิงธุรกิจในอนาคต ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าสำคัญมาก ถึงเวลาแล้วที่ต้องลบแนวคิดเดิมที่ มองว่างานวิจัยนวัตกรรมไทยต้องใช้ในไทยเท่านั้น เพราะต้องยอมรับว่าเทคโนโลยี นวัตกรรมบางอย่างถ้านำมาใช้ในตลาดไทยอาจยังไม่พร้อม แต่ตลาดต่างประเทศพร้อมมาก โดย ผศ. ดร.รัชนี ที่คลุกคลีในวงการนวัตกรรมมานาน เผยว่าที่ผ่านมางานวิจัย นวัตกรรมของไทยจำนวนมากที่เจ้าของธุรกิจในไทยยังไม่กล้าลงทุนซื้อไปพัฒนาทำต่อ แต่ในนักลงทุนจากต่างชาติมาเจอผลงานแล้วสนใจ ตกลงซื้อลิขสิทธิ์ไปต่อยอดกับธุรกิจเขาก็มีไม่น้อย ดังนั้นงานวิจัยนวัตกรรมบางอย่างจะโตได้อาจจะต้องผลักดันไปที่ต่างประเทศก่อน จนได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งแล้วค่อยมาพัฒนาต่อในไทย

“ทาง สจล. อยากให้งานนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่คนไทยได้เห็นว่าเทคโนโลยีต่างประเทศไปก้าวไปแค่ไหนกันแล้ว เพราะบางครั้งหากมองแต่ภายในประเทศตัวเอง สิ่งที่นักวิจัยนวัตกรรมไทยมองว่าดีแล้ว แต่ในมุมต่างประเทศอาจเป็นอีกเรื่องไปเลย การรู้เทรนด์ รู้แนวคิดงานวิจัยนวัตกรรมของต่างประเทศ ก็จะช่วยให้คนไทยพัฒนาเท่าทันกับนานาชาติด้วย”

ถึงเวลาดึงศักยภาพงานวิจัยนวัตกรรม พัฒนาธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคมไทย

ทั้งนี้ ผศ. ดร.รัชนี เชื่อว่างานวิจัย นวัตกรรม จะเป็น Key Success Factors ที่ทำให้ประเทศไทยพัฒนาได้อย่างรุดหน้า โดยต้องเริ่มให้ความสำคัญตั้งแต่วันนี้ เพราะทุกอย่างล้วนต้องใช้เวลานาน และอย่าลืมว่าในขณะที่ไทยกำลังพัฒนา ชาติอื่น ๆ ก็พัฒนาไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าอยากแข่งขัน โตอย่างยั่งยืน ต้องปรับวิธีคิด และลงมือทำอย่างทันที ที่สำคัญภาครัฐต้องส่งเสริมอย่างจริงจัง

“ประเทศเกาหลี ประสบความสำเร็จอย่างมาในเรื่อง Soft Power ซึ่งถ้าย้อนไปดูความสำเร็จของ K-POP, K-Dramas มาจากการวาง Roadmap ของทางภาครัฐบาล ที่ทำมานานนับสิบปี ไม่มีแค่ทำในเชิงนโยบายเท่านั้นแต่กล้าลงทุนไปกับสิ่งนี้ใช้เงินไม่น้อยกว่า 300 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี สนับสนุนบริษัทภาคเอกชนที่ทำทางด้านนี้โดยเฉพาะ จนถึงวันนี้ K-POP, K-Dramas กลายเป็น Soft Power ที่ทรงอิทธิพลไปทั่วโลก สร้างเม็ดเงินให้กับเกาหลีใต้อย่างมหาศาล”

“ประเทศเอสโตเนีย มีประชากรเพียงล้านกว่าคน แต่รู้จักนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ยกระดับคุณภาพประชากรของตนได้อย่างน่าสนใจ ข้อมูลของหน่วยงานรัฐทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน ประชาชนใช้บัตรประชาชนใบเดียว สามารถเข้าถึงทุกบริการของรัฐได้หมด และรวดเร็ว อย่างในบ้านเราเวลาเสียภาษีประจำปี ต้องมีกรอกข้อมูล ส่งเอกสาร ผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ที่ เอสโตเนีย เพียงแค่เสียบบัตรประชาชน ระบบตรวจสอบจัดการให้ทุกอย่าง ใช้เวลาในการทำเรื่องภาษีเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น ได้รับเงินภาษีคืนเรียบร้อย นี่คือตัวอย่างเล็กน้อยที่สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมของทางภาครัฐ”

“ย้อนไป 10 กว่าปีที่แล้วประเทศจีน มีนโยบายดึงคนจีนเก่งๆ ที่อยู่ต่างประเทศให้กลับมาที่จีน ยอมซื้อตัวนักวิจัย นักพัฒนาเก่ง ๆ ที่ทำงานอยู่ในซิลิคอนวัลเลย์ กลับมาทำงานในประเทศตัวเอง วันนี้จีนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่เก่งด้านเทคโนโลยีระดับโลก”

“ไต้หวัน ประเทศเล็กมีพื้นที่น้อยมาก เป็นที่ตั้งของ ทีเอสเอ็มซี (TSMC) ที่ผลิตแต่เซมิคอนดักเตอร์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งวันนี้กลายเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลก เพราะเขารู้ว่าเซมิคอนดักเตอร์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ คือ หัวใจของเทคโนโลยีในอนาคตทั้งหมด ซึ่งถ้าย้อนไปดูจะพบว่า ทีเอสเอ็มซี คือ บริษัทที่ทางรัฐบาลส่งเสริมช่วยเหลือมาตลอดตั้งแต่ต้น เพราะการทำการผลิตแบบนี้ใช้งบลงทุนที่สูงมาก ทางรัฐก็สนับสนุน จนวันนี้ไต้หวันกลายเป็นประเทศที่มีจุดแข็งทางด้านเซมิคอนดักเตอร์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ไปแล้ว”

“ทุกวันนี้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับเรื่องของ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ มาก ถ้าประเทศไทยยังไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของพลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม ในอนาคตถ้าการทำการค้าในระดับโลก มีการกำหนดเรื่องของ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ขึ้นมาแล้วไทยไม่ผ่านเกณฑ์ ก็จะสูญเสียโอกาสอย่างมหาศาล”

เหล่านี้คือ ตัวอย่างที่ ผศ. ดร.รัชนี หยิบยกขึ้นมาเพื่อชี้ให้เห็นว่านวัตกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งเชิงนโยบาย เงินลงทุน การตลาดในระดับโลก จะช่วยพัฒนาประเทศได้ทุกมิติ และที่สำคัญคือ การร่วมมือระหว่าง สถาบันการศึกษา นักวิจัย ผู้พัฒนานวัตกรรมไปจนถึงภาคธุรกิจ จะช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องขับเคลื่อนทุกองคาพยพเพื่อก้าวสู่โลกนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ดีกว่า


เรื่อง / ภาพ : กองบรรณาธิการ

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ตอกย้ำเป้าหมายส่งเสริมให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ควบคู่เดินหน้าช่วยมนุษย์เงินเดือนหลุดพ้นจากกับดักภาระหนี้ต่อเนื่อง ประเดิมปี 2567 เปิดเวทีสัมมนาให้ความรู้ทางการเงินเพื่อช่วยเสริมศักยภาพองค์กรและบุคลากร โดยมี “โค้ชหนุ่ม” The Money Coach มาแชร์เคล็ดลับการเงิน การบริหารจัดการหนี้ พร้อมแนะนำโซลูชันผลิตภัณฑ์และสิทธิพิเศษจากทีทีบี ให้แก่บุคลากร และเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้ ตั้งเป้า 3 ปี จะช่วยคนไทยปลดหนี้ผ่านโซลูชันสินเชื่อรวบหนี้ต่าง ๆ เพิ่มอีก 2 หมื่นราย หรือ ลดภาระดอกเบี้ยได้กว่า 2 พันล้านบาท

นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ปัญหาหนี้เป็นหนึ่งปัญหาใหญ่ที่สะสมอยู่คู่กับคนไทยมานาน และลุกลามไปยังประชาชนทุกระดับชั้น โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน ซึ่งจากสถิติหนี้ครัวเรือนล่าสุดไตรมาส 3 ปี 2566 จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ตัวเลขหนี้พุ่งแตะ 16.19 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 90.9% ต่อจีดีพี ด้วยเหตุนี้ ทีทีบีได้เล็งเห็นถึงปัญหาหนี้ล้นระบบและมีพันธกิจที่มุ่งช่วยให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น (Financial Well-being) จึงเร่งขับเคลื่อนเดินหน้าช่วยมนุษย์เงินเดือนปลดหนี้ผ่านโซลูชันรวบหนี้และสินเชื่อสวัสดิการ เพื่อสามารถบริหารจัดการหนี้ได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืนอย่างแท้จริง

ในปี 2566 ที่ผ่านมา ทีทีบีได้ช่วยให้มนุษย์เงินเดือนปลดหนี้ได้จริง ผ่านโครงการรวบหนี้หนึ่งในโซลูชัน ซึ่งรวมถึงโครงการสินเชื่อสวัสดิการอเนกประสงค์ ทีทีบี แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อเป็นตัวช่วยคนเป็นหนี้ให้มีสภาพคล่องและลดภาระดอกเบี้ย และธนาคารยังให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending)  โดยธนาคารสามารถช่วยลูกค้ารวบหนี้ไปแล้วกว่า 1.7 หมื่นราย ทำให้ลูกค้าสามารถประหยัดดอกเบี้ยได้ราว 1.2 พันล้านบาท

สินเชื่อสวัสดิการอเนกประสงค์ ทีทีบี แบบไม่มีหลักทรัพยค้ำประกัน (ttb welfare loan) ที่ให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นที่ 7.99% ต่อปี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ให้สิทธิประโยชน์สำหรับพนักงานเงินเดือนที่สังกัดหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนที่มีการลงนามในสัญญาให้บริการสินเชื่อกับทีทีบี และในปีนี้ธนาคารได้เพิ่มโซลูชันผลิตภัณฑ์และสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าพนักงานเงินเดือน เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการลดภาระหนี้ เพิ่มสภาพคล่องทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ กับการรวบหนี้แบบใช้บ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ทีทีบี สินเชื่อบ้านแลกเงิน ทีทีบี เคลียร์หนี้ หรือรวบหนี้แบบใช้รถยนต์ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น สินเชื่อรถแลกเงิน ทีทีบีไดรฟ์

สำหรับพันธกิจส่งเสริมการมี Financial Well-being ที่ดีให้กับคนไทยโดยเฉพาะกลุ่มพนักงานเงินเดือน เปิดศักราชปี 2567 นี้ ทีทีบีได้นำร่องกับกลุ่มสถาบันการศึกษาซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของชีวิต ด้วยการจัดงานสัมมนาพิเศษเสริมความรู้ทางการเงินเพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีกว่าเดิม โดยมีนายจักรพงษ์ เมษพันธุ์ หรือโค้ชหนุ่ม โค้ชการเงินชื่อดังที่สร้างแรงบันดาลใจนำคนไทยไปสู่สุขภาพทางการเงินที่ดี เจ้าของเพจ Money Coach ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน รวมถึงมีผลงานพัฒนาหลักสูตรการเงินมากมาย ได้แชร์แนวทางการวางแผนและบริหารจัดการทางการเงินแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน การจัดการรายได้ให้เพียงพอกับรายจ่าย การลดภาระหนี้ รวมถึงการวางแผนการออมเพื่อให้มีชีวิตทางการเงินที่ดี และนางสาวสมสวาท ลิขิตปรีดา หัวหน้าบริหารกลุ่มลูกค้าเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ ทีเอ็มบีธนชาต นำเสนอโซลูชันทางการเงินเพื่อช่วยบริหารจัดการหนี้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ แก่บุคลากรและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ลงนามในข้อตกลงให้บริการสินเชื่อสวัสดิการอเนกประสงค์ทีทีบี แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 ที่ผ่านมา

“ทีทีบีตอกย้ำพันธกิจตั้งเป้าหมายช่วยคนไทยปลดหนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมรุกตลาดสินเชื่อสวัสดิการในการลงนามข้อตกลงการให้บริการสินเชื่อกับหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน โดยมุ่งเดินหน้าให้ความรู้ทางการเงินกับหน่วยงานที่มีเป้าหมายเดียวกันในการมุ่งส่งเสริมให้พนักงานเงินเดือนมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็นมากกว่าบัญชีเงินเดือนทั่วไป” นายฐากร กล่าวสรุป

หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน ที่สนใจโซลูชันผลิตภัณฑ์และสิทธิพิเศษสำหรับพนักงานเงินเดือน เพื่อเป็นสวัสดิการที่เสริมสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับพนักงานของตนเอง สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ทีทีบีทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ttbbank.com/drw-mahidol-pr 

วัน แบงค็อก (One Bangkok) โครงการอสังหาริมทรัพย์ต้นแบบกรีนสมาร์ทซิตี้ใจกลางกรุงเทพฯที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนครอบคลุมในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด The Heart of Bangkok เมืองที่ใช้ใจสร้าง โดยยึดเอา “หัวใจ” ของผู้คนเป็นศูนย์กลาง ร่วมสนับสนุนเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2567 (Bangkok Design Week 2024) จับมือกับศิลปินและนักออกแบบชื่อดังมากมาย รังสรรค์ “วัน แบงค็อก พาวิลเลียน (One Bangkok Pavilion)” ตอกย้ำความมุ่งมั่นของโครงการฯ ในการนำศิลปะและวัฒนธรรมมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ผ่านการจัดแสดงพื้นที่สร้างสรรค์และโปรแกรมศิลปะหลากหลายแขนง (Inspiring Urban Canvas)

จรินทร์ทิพย์ ชูหมื่นไวย หัวหน้าภัณฑารักษ์และผู้บริหารฝ่ายศิลปะและวัฒนธรรม และรองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการสื่อสารและประชาสัมพันธ์แบรนด์เชิงกลยุทธ์ โครงการ วัน แบงค็อก กล่าวว่า “วัน แบงค็อก ร่วมสนับสนุนเทศกาล Bangkok Design Week ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ด้วยความเชื่อว่าศิลปะและวัฒนธรรมจะพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ผู้คนและเมือง ช่วยสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับทุกคน เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การเข้ามามีบทบาทในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ ของ วัน แบงค็อก ในปีนี้จึงเป็นการตอกย้ำความตั้งใจและวิสัยทัศน์ของโครงการฯ ในฐานะผู้สนับสนุนอุตสาหกรรมด้านศิลปวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของไทย ให้เป็นที่ประจักษ์ยิ่งขึ้นในวงการศิลปะ การออกแบบสร้างสรรค์ และบุคคลทั่วไป โดยเราได้รังสรรค์ วัน แบงค็อก พาวิลเลียน ให้สอดคล้องกับแนวคิดของเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2567 ที่ว่า ‘Livable Scape คนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี’ โดยตีความแนวคิดเรื่องการร่วมมือระหว่างผู้คน (Collaboration) ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการพัฒนาพื้นที่ให้มีศักยภาพ อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อสื่อเรื่องราวและเชื่อมโยงกับการสร้างเมือง พร้อมเนรมิตพาวิลเลียนแห่งนี้ให้เป็นพื้นที่จำลองของเมืองน่าอยู่ โดยร่วมมือกับหลากหลายครีเอเตอร์และศิลปินเพื่อส่งต่อพลังของการมีส่วนร่วมและศิลปะไปสู่ทุกคน (Inspiring Urban Canvas)”

วัน แบงค็อก จุดประกายชีวิตให้ใกล้ชิดศิลปะ(Open Up Art to Life) โดยจับมือกับ Supermachine Studio สตูดิโอดีไซน์ชื่อดังเจ้าของรางวัลระดับโลก ในการออกแบบ “วัน แบงค็อก พาวิลเลียน” ให้สามารถเข้าถึงง่ายและสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับ Kids Bloom และ Yimsamer สองมัลติมีเดียเอเจนซีที่เชี่ยวชาญด้านงานอิมเมอร์ซีฟ จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ผ่านเกมกระโดดแบบร่วมสมัยบนจออินเทอร์แอคทีฟที่ได้แรงบันดาลใจมากจากเกม ‘ตั้งเต’ เชื้อเชิญให้ทุกคนเข้ามาร่วมสนุกในพื้นที่ของพาวิลเลียน

ด้าน ปิตุพงษ์ เชาวกุล สถาปนิกและผู้ก่อตั้งบริษัท Supermachine Studio กล่าวถึงการออกแบบ ‘วัน แบงค็อก พาวิลเลียน’ ว่า “จากแนวคิด ‘Inspiring Urban Canvas’ เราได้ตีความการออกแบบตัวพาวิลเลียนให้มีรูปทรงคล้ายกับปราสาทที่สร้างขึ้นมาจากบล็อกไม้ หรือ wooden block ซึ่งเปรียบเทียบรูปทรงเรขาคณิตที่มีความแตกต่างและหลากหลายกับการสร้างเมืองที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกคน โดยแต่ละคนช่วยกันคนละไม้ละมือ นำความฝัน และแรงบันดาลใจของตัวเองมาเรียงร้อยกันให้พาวิลเลียนนี้สมบูรณ์ พร้อมให้ทุกคนเข้ามาร่วมสนุกและมีปฏิสัมพันธ์ได้ตลอดเวลา ไม่ซับซ้อนเข้าถึงยากจนถูกมองว่าเป็นเพียงสถาปัตยกรรมที่ตั้งตระหง่าน หรือเป็นเพียงฉากหลังในรูปถ่าย และที่สำคัญคือจะต้องเป็นพื้นที่ที่ให้อิสระแก่ผู้ร่วมงานในการตีความการใช้งานในแบบของตนเอง จนเกิดเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับทุกคน”

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่เมืองให้เกิดศักยภาพ นำเสนอผ่านศิลปะ วัฒนธรรม และดนตรี ร่วมกับหลากหลายศิลปินที่มีชื่อเสียง อาทิ กิจกรรม Live Paint โดย BIGDEL และ MRKREME สองศิลปินสตรีทอาร์ตชื่อดังจาก Bridge Art Agency ที่จะมาวาดลวดลายระบายสีสันในแบบของตัวเอง บนตัวบล็อกของพาวิลเลียน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและพลังชีวิตตลอดเทศกาล, การแสดงดนตรีสดพร้อมกับเพ้นต์ภาพ บอกเล่าเรื่องราวของเมืองหลวงและเมืองในฝันผ่านท่วงทำนองดนตรีที่สอดประสานไปกับภาพวาด ของฝาแฝดมะเขือเทศ โดย S I R I เจ้าของลายผลงาน Tomato Twins และ รศ.ดร. ภาธร ศรีกรานนท์ นักดนตรี นักประพันธ์เพลงระดับนานาชาติ อดีตสมาชิกวง อส.วันศุกร์, กิจกรรม Urban Swing Dancing ที่จะเปิดฟลอร์แห่งความสนุกให้ทุกคนลุกขึ้นมาเต้นกับ Jelly Roll Dance Club และ The Stumbling Swingout, เสียงเพลงจากเหล่าดีเจ จาก Bangkok Community Radio ที่จะมาขับกล่อมบรรยากาศยามค่ำคืนให้ไม่เงียบเหงา, การแสดงเพอร์คัสชันจาก Tiger Drum Thailand, กิจกรรมเวิร์คช็อปศิลปะ History On Screen ที่คนรักงานคราฟต์ต้องลองกับคลาสการพิมพ์ซิลค์สกรีนด้วยลวดลายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ของพื้นที่บริเวณถนนวิทยุและพระราม 4 โดย TNT SCREEN x Tosmile28 เพิ่มความพิเศษด้วยน้ำโซดารสชาติที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาใหม่โดย Aircraft Cola, Performing Art ศิลปะการแสดงสำหรับเด็กและInteractive Movement Performance โดย BICT Fest เทศกาลละครนานาชาติสำหรับเด็กและเยาวชนและ BIPAM เทศกาลศิลปะการแสดงร่วมสมัยนานาชาติ รวมถึงอีกหลากหลายกิจกรรมที่จะมาสร้างสีสันตลอดงาน

พบกับ “วัน แบงค็อก พาวิลเลียน (One Bangkok Pavilion)” ในเทศกาลออกแบบกรุงเทพฯ 2567 ณ ลานหน้าไปรษณีย์กลาง บางรัก ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 11:00 – 22:00 น. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ติดตามตารางงานและรายละเอียดกิจกรรมทาง Instagram @onebangkokartandculture หรือ ทางเว็บไซต์ www.onebangkok.com 

นางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญและการเติบโตของตลาดกลุ่มโฮเรกา (HoReca) ว่า ตลาดโฮเรกาครอบคลุมธุรกิจกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร กาแฟ และธุรกิจจัดเลี้ยง เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวและบริการ โดยข้อมูลจาก ResearchAndMarkets คาดว่าการเติบโตของตลาดโฮเรกาทั่วโลกระหว่างปี 2567-2570 จะเติบโตถึง 349.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตัวเลขสำคัญของไทยคือ ตัวเลขจำนวนและรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า ปี 2566 ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 28,042,131 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 151% สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.2 ล้านล้านบาท ส่วนเป้าหมายในปี 2567 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยแตะ 35 ล้านคน สร้างรายได้อยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาท เป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 2.5 ล้านล้านบาท และรายได้จากตลาดในประเทศ 1 ล้านล้านบาท

ดังนั้นเพื่อเพิ่มความสามารถของธุรกิจให้รองรับกับการท่องเที่ยวที่ขยายตัว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีแผนการดำเนินงานและมีการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อเสริมศักยภาพ สร้างความประทับใจและดึงดูดลูกค้า พร้อมสร้างความสามารถทางการแข่งขันในธุรกิจได้ โดยงาน Food & Hospitality Thailand นับเป็นงานแสดงสินค้าของธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร บาร์ ค้าปลีก และธุรกิจบริการที่ครบวงจรและสำคัญงานหนึ่งของภูมิภาค เป็นศูนย์รวมของผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ประกอบการ และผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจตัวจริง โดยในปีนี้มีการขยายพื้นที่จัดงานจาก 3 เป็น 4 ฮอลล์ ของศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจัดร่วมกับ 2 พันธมิตรยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน คือ งาน Hotel & Shop Plus งานแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์สำหรับการออกแบบตกแต่งอาคาร โรงแรม และพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุด จากประเทศจีน และงาน Hotelex งานแสดงสินค้าด้านอาหารและอุปกรณ์สำหรับธุรกิจบริการชั้นนำระดับนานาชาติ จากประเทศจีน สำหรับงาน Food & Hospitality 2024 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงานนอกจากจะมีการจัดแสดงสินค้าแล้ว ยังเป็นแหล่งความรู้ นำเสนอเทรนด์ธุรกิจ กิจกรรมการประชุม สัมมนา และเวิร์กชอป ที่น่าสนใจอีกมากมายที่ผู้ประกอบการและผู้อยู่ในธุรกิจโฮเรกาไม่ควรพลาด

ด้าน นายวีรโชติ ตั้งกมลสุข กรรมการผู้บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เซเว่นไฟว์ ดิสทริบิวเตอร์ จำกัด หนึ่งในผู้นำตลาดเครื่องครัวเชิงพาณิชย์ของไทย ซึ่งดำเนินธุรกิจมามากกว่า 42 ปี กล่าวถึงแนวโน้มของตลาดเครื่องครัวเชิงพาณิชย์ในปี 2567 ว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวแม้จะยังไม่ 100% แต่ส่งผลให้เกิดการลงทุนมากขึ้นในธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม หรือศูนย์การค้า เพื่อรองรับการกลับมาของการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ ส่งผลให้ตลาดเครื่องครัวเชิงพาณิชย์กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยมูลค่ารวมของตลาดคาดว่าไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท/ปี นอกจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแล้ว ยังเป็นผลมาจากการที่ผู้ประกอบการมีการศึกษาหาข้อมูลถึงข้อดีของระบบครัวเชิงพาณิชย์ก่อนตัดสินใจลงทุน ตั้งแต่การวางแบบระบบ การจัดระบบ การพัฒนาบุคลากร การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ รวมถึงเลือกใช้อุปกรณ์ครัวที่มีเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การประกอบธุรกิจง่ายและสะดวกขึ้น ทำให้เกิดความคุ้มค่า เพิ่มผลผลิต และลดต้นทุนทางธุรกิจได้

ปัจจุบัน เซเว่นไฟว์ ดิสทริบิวเตอร์ เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องครัวคุณภาพชั้นนำจากทั่วโลกกว่า 40 แบรนด์ และมีสินค้ากว่า 25,000 รายการ ครอบคลุมธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม โรงเรียน โรงงาน และครัวเรือน ฯลฯ โดยมีการดูแลแบบครบวงจร (Solution Provider) ทั้งให้ คำปรึกษา ออกแบบ ผลิต ติดตั้ง ทดสอบ ส่งมอบ และดูแลลูกค้าหลังการขาย กับ ผู้เริ่มต้นทำธุรกิจและผู้ที่มีธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและโรงแรมอยู่แล้ว ซึ่งการได้ร่วมงานกับ Food & Hospitality Thailand ทำให้ได้พบกับลูกค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ได้เห็นถึงแนวโน้มของตลาดจากการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับลูกค้าและผู้อยู่ในธุรกิจตัวจริงในแต่ละปี นอกจากจะมีการจัดแสดงสินค้าแล้ว  ยังมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในทุกครั้งของการจัดงานฯ  สำหรับงาน Food & Hospitality Thailand  2024 นั้น ทางบริษัทฯ จะมีการจัดแสดงการออกแบบครัวและอุปกรณ์ที่สามารถใช้พื้นที่ภายในครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยลดต้นทุน ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่เยอะก็ประกอบอาหารได้หลายเมนู และยังยกโชว์รูมไปไว้ที่งานฯ เพื่อให้ลูกค้าเลือกอุปกรณ์ได้อย่างครบครัน

นายสมศักดิ ยงใจยุธ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอ-ครีม โซลูชั่น จำกัด หนึ่งในผู้นำและผู้เชี่ยวชาญธุรกิจไอศกรีม กล่าวถึง ทิศทางของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มว่า เติบโตขึ้นตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเมื่อนักท่องเที่ยวกลับมาผู้ประกอบการ โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหารก็มีความมั่นใจในการลงทุนเพื่อเริ่มและขยายธุรกิจมากขึ้น ส่วนธุรกิจไอศกรีมในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ยกเว้นในช่วงสถานการณ์โควิด โดยคาดว่าปี 2024 ธุรกิจไอศกรีมโตเพิ่มได้อีกจากการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นตามลำดับ ซึ่ง ไอ-ครีม โซลูชั่น เป็นหนึ่งในผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจไอศกรีมที่ครบวงจร มีการดำเนินธุรกิจมากกว่า 15 ปี  โดยนอกจากจะเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องทำไอศกรีมนำเข้าแบรนด์ชั้นนำจากอิตาลีมากถึง 95% แล้ว ยังมีอุปกรณ์ วัตถุดิบในการทำไอศกรีม การสอนการทำไอศกรีม และเป็นที่ปรึกษาให้แก่ทั้งผู้เริ่มทำธุรกิจและผู้ประกอบการเดิม ส่วนจุดเด่นของบริษัทฯ คือ การฟังความต้องการและแนวทางธุรกิจของลูกค้าก่อน เพื่อประเมินทางเลือกที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้ข้อมูลรายละเอียดข้อดีข้อเสียในการประเมินก่อนการตัดสินใจ มีบริการหลังการขาย การให้คำแนะนำ และเป็นที่ปรึกษากรณีเกิดปัญหาหรือต้องการขยายธุรกิจให้แก่ลูกค้าด้วย

ส่วนการร่วมงานกับ Food & Hospitality Thailand นั้น ไอ-ครีม โซลูชั่น เป็นพันธมิตรมานานถึง 11 ปี เริ่มจาก 1 บูธ จนล่าสุด Food & Hospitality 2024 เตรียมร่วมจัดงานมากถึง 12 บูธ สิ่งที่เราได้รับจากงานฯ ไม่ใช่แค่ความคุ้มค่าด้านยอดขายที่มาจากผู้ร่วมงาน หรือคู่ค้า ผู้ประกอบการที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่เป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจที่ได้พบกับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะลูกค้าจากมาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว และ เวียดนาม ที่ล้วนเป็นผลมาจากการร่วมจัดงานฯ อย่างชัดเจน จึงอยากเชิญชวนให้ผู้ประกอบการและผู้สนใจธุรกิจไอศกรีมแวะเยี่ยมชมบูธของ ไอ-ครีม โซลูชั่น และการจัดงาน Food & Hospitality 2024 ในครั้งนี้

งาน Food & Hospitality Thailand 2024 เป็นงานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และการบริการที่ครบวงจรที่สุดของภูมิภาค โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการจัดงานได้ที่เว็บไซต์ www.fhtevent.com  Facebook : Food & Hospitality Thailand

แนะลงทุนกลุ่ม Investment grade คาดหุ้นกู้ไทยออกใหม่อีก1ล้านล้านบาทในปีนี้

บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าภาพต้อนรับคณะผู้แทนจากมหาวิทยาลัยพันธมิตรทั้ง 7 แห่งของไทยในการประชุมโครงการมหาวิทยาลัยเดลต้าประจำปี 2567 ร่วมกับสมาคมมหาวิทยาลัย ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัทที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู โดยงานประจำปีนี้มุ่งหวังให้พันธมิตรทุกภาคส่วนได้รับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับความร่วมมือที่กำลังดำเนินอยู่ของโครงการห้องปฏิบัติการเดลต้า ออโตเมชัน (Delta Automation Lab) และห้องปฏิบัติการพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ (Delta Power Electronics Lab) ตลอดจนหารือเกี่ยวกับวิธีการยกระดับการฝึกอบรมและการวิจัยและพัฒนา เพื่อส่งเสริมความสามารถและการพัฒนานวัตกรรมในท้องถิ่น

นายวิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเดลต้า ประเทศไทย ได้กล่าวต้อนรับคณาจารย์และสรุปแผนงานปี 2567 สำหรับโครงการพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ว่า “ปีนี้ถือเป็นก้าวใหม่ของการเติบโตสำหรับเดลต้า ประเทศไทย โดยเรามีการขยายการผลิตอุปกรณ์พาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและการวิจัยและพัฒนาสำหรับลูกค้าทั่วโลก เพื่อสนับสนุนความคิดริเริ่มของรัฐบาลในการส่งเสริมเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Value-Based Economy) นอกจากนี้ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า เราจะเปิดตัวการแข่งขันเดลต้า คัพ (Delta Cup) ในประเทศไทยหลังจากประสบความสำเร็จในการร่วมแข่งขันมาหลายปี พร้อมกันนี้เรายังมีจุดมุ่งหมายที่จะขยายโครงการดังกล่าวไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผมรอคอยที่จะได้ร่วมหารือเกี่ยวกับการพัฒนาในอนาคตของทั้งโครงการเดลต้า ออโตเมชัน อะคาเดมี (Delta Automation Academy) และโครงการห้องปฏิบัติการพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย"

นายแจ็คกี้ จาง ประธานบริษัทเดลต้า ประเทศไทย กล่าวว่า “เดลต้า ประเทศไทยเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมซึ่งมอบโอกาสพิเศษให้กับชาวไทยที่มีความสามารถด้านวิศวกรรม โดยเราแตกต่างจากผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ในประเทศ เนื่องจากแผนกวิจัยและพัฒนาของเรามอบโอกาสและขอบเขตการทำงานที่กว้างขึ้นให้กับวิศวกรในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งหมด นอกจากนี้ในทุกปีเรารับยังนักศึกษาฝึกงานกว่า 100 คนสำหรับการฝึกอบรมที่โรงงานเดลต้าประเทศไทย รวมทั้งเรายังเป็นบริษัทเพียงแห่งเดียวที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยได้มีโอกาสศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของไต้หวัน และได้ทำงานที่โรงงานของเดลต้าในประเทศไต้หวันในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนหรือนักศึกษาฝึกงาน”

ผู้จัดการจากหน่วยงานภาครัฐและกิจการสาธารณะ (GPA) พร้อมทั้งฝ่ายวิจัยและพัฒนา ฝ่ายระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม (IA) ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และฝ่ายสื่อสารองค์กรของเดลต้า ได้นำเสนอข้อมูลอัปเดตล่าสุดและการดำเนินงานของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับด้านนวัตกรรม ธุรกิจ บุคลากรศักยภาพสูง และการสร้างแบรนด์ในประเทศไทย นอกจากนี้ทางคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยบูรพา ยังได้นำเสนอเกี่ยวกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัย ห้องปฏิบัติการเดลต้า และกิจกรรมที่ทำร่วมกัน

ตั้งแต่ปี 2559 เดลต้าได้ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยพันธมิตร 7 แห่งในประเทศไทย ในโครงการเดลต้า ออโตเมชัน อะคาเดมี (Delta Automation Academy) ซึ่งมีบุคลากรศักยภาพสูงในระดับแนวหน้าเข้าร่วมแข่งขันในรายการการแข่งขัน Advance Automation ระดับนานาชาติ หรือเดลต้า คัพ (Delta Cup) ซึ่งในปีนี้เดลต้า ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยพันธมิตรยังได้มีการหารือเกี่ยวกับการการเปิดตัวการแข่งขันระดับภูมิภาคด้านอุตสาหกรรมอัตโนมัติ และโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย เพื่อแทนที่การแข่งขันเดลต้า คัพ (Delta Cup) ระดับนานาชาติที่จัดขึ้นในประเทศจีน การพัฒนานี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในด้านการผลิตในระดับโลก และการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน  

ในปี 2565 เดลต้า ประเทศไทย ได้เปิดตัวห้องปฏิบัติการพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ (Power Electronics Lab) แห่งแรก ที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยห้องปฏิบัติการแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มจพ. ทั้งนี้ในปี 2566 เดลต้ายังได้เปิดตัวห้องปฏิบัติการพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ (Power Electronics Lab) แห่งที่สองที่สจล. ซึ่งบริษัทยังมีแผนที่จะเปิดห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมในมหาวิทยาลัยพันธมิตร โดยห้องปฏิบัติการเดลต้าพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ (Delta Power Electronics Labs) มีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบห้องปฏิบัติการในการทดลองที่ได้มาตรฐานระดับโลกให้แก่นักศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ของไทยให้สามารถพัฒนาทักษะขั้นสูงได้ อีกทั้งยังส่งเสริมการวิจัยด้านพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ในท้องถิ่นด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์พาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของเดลต้า 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เดลต้าได้ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยพันธมิตรในพื้นที่ เพื่อฝึกอบรมนักศึกษาวิศวกรรมไทยประมาณ 3,000 คนและคณะอาจารย์กว่า 30 คนในโครงการเดลต้า ออโตเมชัน อะคาเดมี (Delta Automation Academy) นอกจากนี้เดลต้ายังได้มอบอุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกมูลค่า 5.3 ล้านบาท ให้กับห้องปฏิบัติการเดลต้าพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ (Delta Power Electronics Labs) ทั้ง 2 แห่ง ซึ่งมีนักศึกษากว่า 60 คนเข้าร่วมกับห้องปฏิบัติการเดลต้าพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ (Delta Power Electronics Labs) แห่งแรกที่มจพ. ในปีแรกที่เปิดตัว

LUXRIVA RESIDENCES (ลักซ์ริว่า เรสซิเดนซ์เซส) นครศรีธรรมราช แบรนด์โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่โครงการแรก ของบริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND ภายใต้แนวคิด Modern-Tropical Luxury  Living นิยามใหม่ เหนือระดับแห่งการใช้ชีวิต’ โดยชูจุดเห็นที่สุดคือ ทำให้ผู้พักอาศัยผ่อนคลายสัมผัสความรู้สึกร่มเย็น ความสุขในการอยู่บ้าน ด้วยชูดีไซน์การออกแบบโมเดิร์นแบบที่หลายคนรู้จักกัน ผสมผสานเอกลักษณ์ระหว่างศิลปวัฒนธรรมไทย และ วัฒนธรรมท้องถิ่นของภาคใต้ โดยศิลปินนักออกแบบระดับประเทศ ร่วมนำเสนอภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้เข้ากับความร่วมสมัย พร้อมประยุกต์ดีไซน์ในส่วนต่าง ๆ ให้เข้ากับสภาพอากาศในประเทศเขตร้อนชื้น ทำให้ผู้พักอาศัยมีสภาวะความเป็นอยู่ที่สบายที่สุด เริ่มตั้งแต่การออกแบบที่คำนึงถึงทิศทางของแดด ลม ฝน ความปลอดโปร่ง ส่งผลให้กระแสลมพัดผ่านง่าย ทำให้ความร้อนในอากาศถูกระบายออกได้ดี ปักธงหรูที่สุดในจังหวัด ราคาเริ่มต้น 12 - 20 ล้านบาท*

LUXRIVA RESIDENCES นครศรีธรรมราช พร้อมแล้วสำหรับการเปิดให้ชมบ้านตัวอย่างอย่างเป็นทางการครั้งแรก ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมกิจกรรมภายในงานต้อนรับลูกค้าคนพิเศษ รอบ VVIP สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ในวันที่ 17 – 18 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00 – 18.00 น.* ณ โครงการ LUXRIVA RESIDENCES  นครศรีธรรมราช

ลงทะเบียนเข้าชมบ้านตัวอย่างก่อนใครได้ที่ https://bit.ly/3UkPRks

  • ชมบ้านตัวอย่างสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ครบทุกประเภท*
  • อิ่มเอมกับอาหารและเครื่องดื่มสุดพิเศษ Cocktail Table รังสรรค์จากเชฟชื่อดัง*
  • รับสิทธิพิเศษโปรโมชั่นและของที่ระลึกที่จัดให้ลูกค้าคนสำคัญในรอบ VVIP โดยเฉพาะ*

***สงวนสิทธิ์สำหรับผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าเท่านั้น***

สำหรับ LUXRIVA RESIDENCES ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพรายล้อมด้วย Mixed-Use Community บน ถ.พัฒนาการคูขวาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช  มีเนื้อที่รวม 44 ไร่ จำนวน 115 ยูนิต โดยมีประเภทของบ้าน 3 แบบ ได้แก่

  • Type A: Ashley - แอชลี่ย์ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 285 ตร.ม. เนื้อที่ดินเริ่มต้น 82 ตร.ว.
  • Type B: Berkley - เบิร์กลี่ย์ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 360 ตร.ม. เนื้อที่ดินเริ่มต้น 100 ตร.ว
  • Type C: Clara - คลาร่า ขนาดพื้นที่ใช้สอย 465 ตร.ม. เนื้อที่ดินเริ่มต้น128 ตร.ว

การออกแบบดีไซน์แสดงออกถึงความเป็นธรรมชาติ ความร่มเย็นของโครงการที่มีจุดเด่น คือ เพดานบ้านสูง (Double Volume) บริเวณ Living Area ทุกหลัง อากาศหมุนเวียน ถ่ายเทสะดวก ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง โล่งสบาย กว้างขวาง สว่าง สง่างาม และโดดเด่น โถสุขภัณฑ์แบบ Smart Toilet ที่จอดรถกว้างสามารถจอดได้สะดวก รับประกันโครงสร้างบ้าน 10 ปี*

นอกจากนี้พื้นที่ส่วนกลางอย่าง Clubhouse มี THE COMMON ที่เป็น Co-Kitchen ลูกบ้านสามารถมาใช้พื้นที่สำหรับทำอาหาร จัดงานเลี้ยงปาร์ตี้สังสรรค์มีห้อง RIVA LOUNGE ที่เป็น Co-Working Space หรือ Living Area ใช้สำหรับนั่งเล่น นั่งทำงาน ประชุมงาน มีห้อง ACTIVE SPACE ที่เป็น Gym และ Yoga Studio สระว่ายนํ้ากลางแจ้ง กว้างถึง 5 เมตร ยาว 25 เมตร พร้อม Sunbathe และพื้นที่ Outdoor Lounge สวนขนาดใหญ่ มีพื้นที่สีเขียวเยอะ พร้อม Sunken Seat, Amphitheater, Children’s Playground Zone และ Jogging Area

ราคาพิเศษเหลือเพียง 13,990 บาท จากราคาปกติ 17,990 บาท พร้อมของสมนาคุณเพียบ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ถึง 5 กุมภาพันธ์ 2567

แพลตฟอร์มที่สร้างโอกาสให้ครีเอเตอร์ไทย ธุรกิจไทย และคอมมูนิตี้ไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

X

Right Click

No right click