กรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง (KRUNGSRI PRIVATE BANKING) นำโดย นางสาวกนกวรรณ ศุภนันตฤกษ์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านเครือข่ายการขาย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา Unlocking Value: Navigating World of Private Equity สำหรับลูกค้ากรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง พร้อมรังสรรค์ความอร่อยส่งตรงถึงลูกค้าคนพิเศษโดยเฉพาะ ภายในงานเสิร์ฟอาหารจีนสไตล์ฝรั่งเศสจากร้านดัง Cross BKK ที่สร้างปรากฎการณ์จองเต็มข้ามปี โดยเชฟไอซ์ ศิวพล ปลื้มธีรวงศ์ ทายาทรุ่นที่ 3 ของห้องอาหารจีนแต้จิ๋วเก่าแก่อย่าง 'รื่นรสภัตตาคาร' พร้อมอัปเดตการลงทุนในกองทุนกรุงศรีโกลบอลไพรเวทอิควิตี้ (KFGPE-UI) สำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ

ความพิเศษเหนือระดับครั้งนี้ยกให้ เชฟไอซ์ ศิวพล ปลื้มธีรวงศ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งและเชฟหลักจาก Cross BKK ที่มารังสรรค์เซทอาหารจีนสไตล์ Fine Dining ให้กับลูกค้ากรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง ได้ลิ้มรส เริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยอย่างเปาะเปี๊ยะรื่นรส และขนมจีบหอยเชลล์และเป๋าฮื้อฟูเจี้ยน เสิร์ฟพร้อมซุปไก่กระเพาะปลาสด เมนูซิกเนเจอร์ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ตัวซุปไก่สูตรเฉพาะเคี่ยวจากไก่แก่และกังป๋วยจนได้เป็นน้ำซุปสีขาว รสเข้มข้น มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ทานคู่กับกระเพาะปลาสดอย่างดีที่ใช้เวลาในการทำนานถึง 4 วันกว่าจะได้ซุปที่ได้ลิ้มลองกัน นอกจากกระเพาะปลาที่ถูกตุ๋นจนนุ่มแต่ไม่เหนียวแล้ว ยังตัดเลี่ยนด้วยหอยเชลล์แห้งและส่วนผสมของยาจีนอย่างฮ่วยซัวและเก๋ากี้ ที่ทำให้ซุปชามนี้กลมกล่อม ซดคล่องคอ

ปิดท้ายด้วยของหวาน พุดดิ้งชาอู่หลงรังนก และเครื่องดื่มสุดพิเศษ ชาเก็กฮวยหิมะจากเทือกเขาคุนหลุน

เรียกว่างานสัมมนาครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสุดพิเศษที่สร้างความประทับใจในรสชาติสุดพิเศษแบบไม่ต้องแข่งจองกับใคร พร้อมอัปเดตข้อมูลข่าวสารด้านการลงทุนก่อนใคร ซึ่งกรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง ตั้งใจรังสรรค์ขึ้นเพื่อมอบให้กับลูกค้าคนพิเศษอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

SCB WEALTH เปิด 3 สินทรัพย์ผลงานโดดเด่นในไตรมาสแรก ได้แก่ น้ำมัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทองคำ พร้อมแนะกลยุทธ์ลงทุนไตรมาส2  จัดพอร์ตระยะยาว มองตราสารหนี้ Investment grade  อายุ 2-3 ปี  เพื่อเก็บผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยจ่ายที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าตราสารหนี้ระยะยาวไว้ และเมื่อ Fed ลดดอกเบี้ยแล้ว ยังมีโอกาสรับ Capital gain จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้น  ด้านหุ้นสหรัฐ  อินเดีย และไทย รอจังหวะปรับตัวลดลง ค่อยเข้าลงทุน  ส่วนการลงทุนระยะสั้น แนะนำตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และเวียดนาม จากอานิสงส์ ผลประกอบการแนวโน้มดี มูลค่าหุ้นถูก เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้า

SCB WEATLH เดินหน้าจัดสัมมนาตลอดปี ตอบรับการตื่นตัวในการอัพเดทข้อมูลการลงทุนของกลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคารที่ต้องการรับคำปรึกษาการลงทุน จากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน โดยตรงแบบตัวต่อตัว  โดยเริ่มที่งานแรกExclusive Investment Talk  ในหัวข้อ “ส่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทย ปรับกลยุทธ์ลงทุนไตรมาส 2” โดยมี 2 ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน จาก SCB CIO  ได้แก่ น.ส.เกษรี อายุตตะกะ CFP® ผู้อำนวยการกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office (SCB CIO)  และนายธนกฤต ศรันกิตติภัทร CFP® ผู้อำนวยการที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์  เป็นวิทยากร เพื่อเปิดมุมมองวิเคราะห์เจาะลึกสถานการณ์เศรษฐกิจ การลงทุน พร้อมแนะนำกลยุทธ์ และผลิตภัณฑ์ลงทุนที่เหมาะสำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในไตรมาส 2 ให้กับกลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคาร  เมื่อเร็วๆ นี้  ณ  SCB  Investment  Center เซ็นทรัลเวิลด์

น.ส.เกษรี อายุตตะกะ CFP® ผู้อำนวยการกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา พบว่า น้ำมัน เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนรวม (Total Return) สูงสุด โดย 3 เดือนแรกของปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้น 16.5% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 สาเหตุหลักมาจากอุปทานน้ำมันตึงตัว ท่ามกลางการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมัน ประกอบกับมีความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่มีการโจมตีโรงกลั่นในบริเวณที่ผลิตน้ำมัน 

รองลงมาได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทน ประมาณ 10.6% ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากกระแสปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ที่ทำให้บริษัทหลายแห่ง เช่น NVIDIA มีผลประกอบการเติบโตค่อนข้างโดดเด่น ประกอบกับนักลงทุนคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ออกมาดี   และ ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนรวม เป็นอันดับ 3 อยู่ที่ 9.8% ส่วนหนึ่งมาจากประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ทำให้นักลงทุนต้องการถือครองทองคำมากขึ้น เนื่องจากมองว่า เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ ธนาคารกลางต่างๆ ก็สะสมทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นด้วย      

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุน ได้แก่ เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นว่า จะชะลอตัวแบบจัดการได้ (Soft Landing) ทำให้นักลงทุนมองว่า เศรษฐกิจโลกไม่น่าจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรง แต่ก็ทำให้ ความหวังที่ Fed จะลดดอกเบี้ยรวดเร็วและรุนแรง มีน้อยลง  ด้านความน่าจะเป็นที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 1 ปีข้างหน้า ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Developed Market) มีแนวโน้มลดลงเกือบทุกประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ ที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลายรายการปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ Fed ก็มีการปรับคาดการณ์ตัวเลขต่างๆ ดีขึ้น ส่วนโอกาสการเกิดเศรษฐกิจถดถอยใน 1 ปีข้างหน้า ของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market) ในเอเชีย อยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้ว โดยประเทศไทย แม้มีความน่าจะเป็นสูงที่สุดในกลุ่ม Emerging Market ในเอเชีย แต่ก็ยังอยู่ในระดับ 30% เท่านั้น และเมื่อพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจไทยแล้ว ก็ยังเติบโตล่าช้ากว่าเมื่อเทียบกับ Emerging Market ในเอเชียอื่นๆ

ส่วนของนโยบายการเงิน SCB CIO มองว่า Fed ไม่จำเป็นต้องรีบลดดอกเบี้ย โดยอาจเริ่มลดในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ช้ากว่าที่ตลาดมอง เพราะข้อมูล Fed Dot Plot สะท้อนว่า แม้ปีนี้ Fed จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง จนไปอยู่ที่ 4.625% แต่ Fed ได้ปรับคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยในปี 2568-2569 และในระยะยาว น้อยลงจากคาดการณ์ครั้งก่อน จากการที่เงินเฟ้ออาจไม่ได้ลดลงเร็ว ขณะที่ สภาพคล่องในระบบยังมีค่อนข้างมาก ส่วนตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง สนับสนุนให้ Fed ไม่ต้องรีบลดดอกเบี้ย  

สำหรับ ธนาคารกลางอื่นๆ ได้แก่ ธนาคารกลางญี่ปุ่นนำร่องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสวนทางธนาคารกลางอื่นๆ ไปเรียบร้อยแล้ว ในไตรมาสแรก เนื่องจากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่ธนาคารกลางอื่นๆ ในโลกส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ทั้งสิ้น โดยมีธนาคารกลางหลักที่คาดว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 2 นี้ ได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. ประมาณ 25 bps และ ธนาคารกลางจีน ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 เช่นกัน

SCB CIO  มองว่า กลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนไตรมาส 2  ช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวแบบจัดการได้ ส่วนดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง และลดลงช้า ในพอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) ควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น การลงทุนในตราสารหนี้ ให้เน้นในกลุ่มพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนที่มีคุณภาพดี มีอันดับเครดิตอยู่ในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) โดยเน้นเลือกตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุคงเหลือ (Duration) เฉลี่ย 2-3 ปี เพื่อเก็บอัตราผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยจ่าย (Carry Yield) ที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าตราสารหนี้ระยะยาวไว้ ก่อนที่ Fed จะตัดสินใจลดดอกเบี้ย และเมื่อ Fed ลดดอกเบี้ยแล้ว ผู้ถือตราสารหนี้กลุ่มนี้ก็จะมีโอกาสได้รับ Capital gain จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้นด้วย

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น สำหรับพอร์ตระยะยาว แนะนำลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อินเดีย และไทย โดยในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ผ่านมาดัชนีปรับขึ้นมามากตั้งแต่ปี 2566 และจากข้อมูลของ Bloomberg ณ วันที่ 29 มี.ค. 2567 การปรับขึ้นกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มหุ้น 7 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Tesla และ Nvidia อีกทั้งสถิติหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นเกิน 10% ติดต่อกัน 2 ไตรมาสแล้ว ใน 1 เดือนถัดมาดัชนีมักจะปรับลดลง และหลังจากนั้น 3 เดือน ดัชนีจะปรับขึ้นได้ไม่มาก จึงแนะนำให้รอจังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลง แล้วทยอยเข้าไปลงทุน เน้นคัดเลือกหุ้นกลุ่มคุณภาพ หรือ Quality Growth เป็นหลัก

ขณะที่ ตลาดหุ้นอินเดีย กำลังจะมีการเลือกตั้ง คาดว่านายนเรนทรา โมดี น่าจะยังได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และนโยบายรัฐบาลก็คงเป็นการสานต่อนโยบายเดิม เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ปฏิรูประบบแรงงาน เน้นสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเข้าไปลงทุนโดยตรงในอินเดียมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จากสถิติในอดีต 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นอินเดียมักจะปรับขึ้น แต่ในช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้งตลาดหุ้นมักจะพักฐาน เพราะนักลงทุนรอให้การเลือกตั้งผ่านพ้นไปก่อน แล้วหลังจากนั้นจึงขานรับนโยบายรัฐบาลใหม่ แล้วจึงปรับขึ้นต่อ อีกทั้งตลาดหุ้นอินเดียปรับขึ้นมามาก ทำให้มูลค่าค่อนข้างแพงแล้ว จึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวมากกว่าระยะสั้น ส่วนตลาดหุ้นไทย ยังปรับขึ้นล่าช้ากว่าตลาดหุ้น Emerging Market ในเอเชีย แต่มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การท่องเที่ยวฟื้นตัว งบประมาณภาครัฐที่เบิกจ่ายเร็วขึ้น และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปีนี้ จึงลงทุนในพอร์ตระยะยาวได้

ส่วนการลงทุนในพอร์ตลงทุนเพื่อโอกาสระยะสั้น (Opportunistic Portfolio) ซึ่งผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง ควรลงทุนไม่เกิน 10-20% ของเงินลงทุนโดยรวม เรามองว่า ตลาดหุ้น Emerging Market ในเอเชีย มีความน่าสนใจมากกว่า ตลาดหุ้น Developed Market ที่ปรับขึ้นมาค่อนข้างมาก และเป็นการปรับขึ้นกระจุกตัวในหุ้นมาร์เก็ตแคปสูงในตลาดไม่กี่ตัว เนื่องจากตลาด Emerging Market ในเอเชีย มีการกระจุกตัวของหุ้นที่ปรับขึ้นน้อยกว่า ราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก ทำให้มูลค่าหุ้นยังถูกกว่า Developed Market ยกเว้นตลาดหุ้นอินเดีย ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ตลาดคาดการณ์ 12 เดือนข้างหน้า มีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างมาก อีกทั้งเงินลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดหุ้นที่โดดเด่น คือ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) อย่างเช่น ตลาดหุ้นเวียดนาม

“ช่วงที่ผ่านมา เงินลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้น Emerging Market เอเชียต่อเนื่อง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2563-2565 และเพิ่งจะเริ่มไหลกลับเข้ามาในปี 2566 ต่อเนื่องถึง ไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 โดยเมื่อนำเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าและไหลออกหักลบกัน พบว่า ยอดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลออกสุทธิ อยู่ที่ 78,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้ง สัดส่วนเงินที่ไหลกลับมาลงทุนที่เป็นของนักลงทุนต่างชาติ นับตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ยังอยู่เพียง 38% ของยอดเงินที่ไหลออกทั้งหมด ดังนั้น จึงมีช่องว่างที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนใน Emerging Market เอเชียต่อ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่เงินไหลออกไปมากในช่วงที่ผ่านมา” น.ส.เกษรี กล่าว

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจเกาหลีใต้ที่ได้อานิสงส์การส่งออกที่ดี โดยเฉพาะสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ในวงจรต้นน้ำ เช่น DRAM ชิปหน่วยความจำในคอมพิวเตอร์ และ NAND ชิปประมวลผลในการ์ดความจำ ซึ่งจะไปสนับสนุนหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่มีสัดส่วน 39% ของมูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ให้เติบโตได้ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตขึ้นมาก อีกทั้งตลาดหุ้นเกาหลีใต้พยายามให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่มมูลค่าบริษัทโดยสมัครใจ ด้วยการเพิ่มการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น และการซื้อหุ้นคืน เพื่อให้ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ของบริษัทสูงขึ้น ซึ่งหุ้นที่มีราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ระดับต่ำ จะได้ประโยชน์จากปัจจัยนี้

ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม เรามองว่า เศรษฐกิจเวียดนาม ในปี 2567 ยังมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากภาคการส่งออก และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ การยกระดับสถานะตลาดหุ้นเวียดนาม จากตลาด Frontier Market ไปสู่ตลาด Emerging Market มีแนวโน้มส่งผลให้เงินทุนไหลเข้ามากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ หุ้นกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่จะครบกำหนดนัดชำระหนี้ในไตรมาสที่ 2-3 ปี 2567 นี้มีค่อนข้างมาก อาจส่งผลให้นักลงทุนกังวลและขายทำกำไรกลุ่มอสังหาฯ ในระยะสั้น ดังนั้นควรเน้นคัดเลือกกองทุนที่มีนโยบายการบริหารเชิงรุก มีผู้จัดการกองทุนคัดเลือกหุ้นรายตัว หลีกเลี่ยงหุ้นที่อ่อนไหวกับประเด็นในภาคอสังหาฯ

ด้านนายธนกฤต ศรันกิตติภัทร CFP® ผู้อำนวยการที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกล่าวว่า ในส่วนของการลงทุน นักลงทุนควรลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ โดยการลงทุนในพอร์ตหลักนั้น ตราสารหนี้ ยังเป็นคำตอบที่น่าสนใจในช่วงก่อนดอกเบี้ยปรับลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเราแนะนำให้เลือกพันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ ส่วนหุ้นกู้ให้หลีกเลี่ยงการเลือกหุ้นกู้ที่ มีความเสี่ยงจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจากระดับ Investment Grade ไปอยู่ในกลุ่มตราสารหนี้ความเสี่ยงสูง (High Yield) โดยควรเลือกลงทุนหุ้นกู้ Investment Grade ระดับ A ขึ้นไป ซึ่งกองทุนที่ตอบโจทย์ได้ค่อนข้างดีคือ SCBDBOND(A) ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ธปท.รัฐวิสาหกิจในไทยเป็นส่วนใหญ่ และลงทุนในตราสารหนี้เอกชนในประเทศ

กรณีที่รับความเสี่ยงได้สูงขึ้น ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายขึ้นในพอร์ตลงทุนหลัก แต่ยังเน้นลงทุนในประเทศเป็นหลัก แนะนำเลือกกองทุนผสม KFYENJAI-A ซึ่งมีการลงทุนในหุ้น ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และพันธบัตรรัฐบาล กรณีที่พร้อมรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน มีกองทุนผสมน่าสนใจ 2  กองทุน ได้แก่ SCBCIO(A) ซึ่งมุ่งเน้นการปรับสัดส่วนเงินลงทุนได้ยืดหยุ่น เพิ่มหรือลดสินทรัพย์เสี่ยงได้ 0-100% เพื่อรับมือทุกสภาวะตลาด ที่บริหารพอร์ตกองทุนโดย SCB CIO Office และ กองทุน SCBGA(A) ที่เงินลงทุนหลัก 70% บริหารโดยสะท้อนมุมมองการลงทุนจากจูเลียส แบร์ อีก 30% คัดเลือกลงทุนโดย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ โดยทั้ง 2 กองทุน มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และกรณีที่ต้องการเลือกลงทุนกองทุนหุ้นไทยในพอร์ตหลัก แนะนำกองทุน SCBDV(A) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี สามารถลงทุนได้ในระยะยาว  ขณะที่ กองทุนที่น่าสนใจสำหรับ Opportunistic Portfolio ได้แก่ SCBKEQTG ซึ่งลงทุนในตลาดหุ้นเกาหลีใต้  และกองทุน PRINCIPLE VNEQ-A ที่ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม

นอกจากนี้ หากผู้ลงทุนที่มีความมั่งคั่งสูง ประสบการณ์ลงทุนสูง รับความเสี่ยงได้สูง อาจเลือกลงทุนเพิ่มเติมในผลิตภัณฑ์หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Product) ที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์การป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนในภาวะตลาดผันผวน เพื่อลดโอกาสการสูญเสียเงินต้น เช่น Double Sharkfin ซึ่งการลงทุนส่วนใหญ่ลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้แบบมีกำหนดอายุและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนคงที่ อีกส่วนหนึ่งไปลงทุนในสัญญาวอแรนท์ ที่อ้างอิงกับดัชนีตลาดหุ้นต่างๆ โดยกำหนดเงื่อนไขว่า หากดัชนีเคลื่อนไหวปรับขึ้นหรือลดลงในกรอบที่กำหนด มีโอกาสได้ผลตอบแทนตามที่ระบุไว้ แต่กรณีดัชนีเคลื่อนไหวหลุดจากกรอบที่กำหนด จะได้รับผลตอบแทนน้อยลง หรือไม่ได้เลย แต่โอกาสขาดทุนก็น้อยลงเช่นกัน

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จับมือ วีซ่า จัดแคมเปญใหญ่ต้อนรับ Olympic Games Paris 2024 มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต ttb ร่วมสนุกกับการใช้จ่ายสะสมทีละติ๊ด พิชิตรางวัล ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มีนาคม  – 30 เมษายน 2567 ด้วยการมอบสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าใครให้ลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายสะสมผ่านบัตรเครดิต ttb ที่เป็นสกุลเงินบาท ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป รับเครดิตเงินคืน 200 บาท / บัตร ตลอดรายการส่งเสริมการขาย และรับของกำนัลสุดพิเศษเพิ่มเติมจากวีซ่า เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสมเพิ่มขึ้นตามขั้นที่กำหนด พิเศษ! ในช่วง 5 วันสุดท้ายของแคมเปญ ระหว่างวันที่ 26 - 30 เมษายน 2567 ผู้ถือบัตรที่มียอดใช้จ่ายสะสมครบ 100,000 บาท รับเพิ่มกระเป๋าเดินทางล้อลาก Trolley Luggage Bag with Reversible Cover มูลค่า 4,000 บาท จำกัดเพียง 250 ใบเท่านั้น

สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับ บัตรเครดิต ttb visa และบัตรเครดิต ttb Global House ยอดใช้จ่ายจากทั้งบัตรหลักและบัตรเสริม ทุก ๆ 1,000 บาท / เซลล์สลิป รับ 1 สิทธิ์ ลุ้นโชครางวัลใหญ่ เอ็กซ์คลูซีฟ ทริป ท่องเที่ยวปารีส 5 วัน 4 คืน พร้อมร่วมชมพิธีปิดงาน Olympic Games Paris 2024 จำนวน 1 รางวัล สำหรับ 2 ท่าน มูลค่ากว่า 1.59 ล้านบาท โดยธนาคารจะประกาศรายชื่อผู้โชคดีในวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ทางเว็บไซต์ www.ttbbank.com พร้อมส่ง SMS และโทรศัพท์แจ้งไปยังผู้ได้รับรางวัลภายใน 45 วัน นับจากวันจบรายการ ทริปพิเศษนี้กำหนดเดินทางระหว่างวันที่ 8-12 สิงหาคม 2567

ผู้สนใจร่วมแคมเปญ สามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ได้ทุกประเภทบัตร โดยลงทะเบียนครั้งเดียวใช้ได้ตลอดรายการส่งเสริมการขายนี้ ทางแอป ttb touch หรือส่ง SMS พิมพ์ PAR ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่หมายเลข 4806026 โดยทีทีบีมุ่งส่งเสริมให้ลูกค้าวางแผนใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น และผ่อนชำระคืนไหว เพื่อสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น

เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ คว้า 3 รางวัลใหญ่ จากงาน Employee Experience Awards 2024 จัดโดย Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ สะท้อนความสำเร็จและการันตีความเป็นเลิศด้านการบริหารองค์กรและทรัพยากรบุคคลระดับสากล ตอกย้ำการบริหารงานด้านความหลากหลายและเท่าเทียมภายในองค์กร พร้อมเดินหน้าพัฒนาพนักงานในทุกมิติเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต

โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก นางสาวสายฝน คงจิตต์งาม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและสนับสนุนองค์กร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ พร้อมด้วย นายไพสิฐ เจียมจรรยา หัวหน้าสำนักประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกลยุทธ์องค์กร เป็นตัวแทนรับรางวัล ได้แก่ รางวัลระดับ Gold Best Diversity and Inclusion Strategy” องค์กรที่ขับเคลื่อนการบริหารบุคลากรด้วยกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและสร้างคุณค่าให้กับทุกความแตกต่าง รวมถึงส่งเสริมความเท่าเทียมในทุกบริบท รางวัล ระดับ Gold Best Remote Work Strategy”  องค์กรที่ยกระดับการทำงาน อำนวยความสะดวกให้พนักงาน สามารถทำงานได้ทุกที่ในรูปแบบ Hybrid ทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน หรือที่อื่น ๆ และรางวัล ระดับ Silver Best ESG Programme” องค์กรที่นำแนวคิด ESG มาปรับใช้ในการบริหารธุรกิจ โดยคำนึงถึงการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนเป็นสำคัญ

สำหรับรางวัลทั้ง 3 สาขาเป็นรางวัลระดับนานาชาติ มอบให้แก่องค์กรชั้นนำที่มีแนวทางการบริหารพนักงานอย่างยอดเยี่ยม การให้ความสำคัญทั้งเรื่องของ สวัสดิการพนักงาน การพัฒนาความสามารถของพนักงานอย่างรอบด้าน และให้ความสำคัญในเรื่องของความเท่าเทียม เพื่อขับเคลื่อนบริษัทให้เกิดความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ

นางสาวพิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้บริหารสูงสุด – สายงานสินเชื่อบุคคล “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในเดือนเมษายนและพฤษภาคมเป็นช่วงของเทศกาลวันหยุดยาว และใกล้เปิดเทอม ผู้บริโภคส่วนใหญ่อาจมีความต้องการเงินสดเพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น เคทีซีจึงได้จัดกิจกรรมพิเศษสำหรับผู้สมัครขอสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” และได้รับการอนุมัติระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2567 – 31 สิงหาคม 2567 จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 19.99% ต่อปี สำหรับเงินกู้ก้อนแรกที่โอนเข้าบัญชี 50,000 บาทขึ้นไป และเลือกผ่อนชำระรายเดือน (ตั้งแต่ 12 เดือนถึง 60 เดือน) สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” จะต้องมีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และเป็นพนักงานประจำของบริษัทเอกชน หน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ที่มีรายได้ขั้นต่ำ 12,000 บาทต่อเดือน โดยสามารถสมัครสมาชิกสินเชื่อบัตรกดเงิน “เคทีซี พราว” ได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” และธนาคารกรุงไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิก https://ktc.today/KTC-PROUD  ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว”   

“บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” โดดเด่นด้วยฟังก์ชันครบทั้งรูด-โอน-กด-ผ่อน โดยสามารถช้อปออนไลน์ได้ทุกร้านค้า ทุกที่ ทุกเวลา รวมทั้งสามารถโอนเงินเรียลไทม์ผ่านแอปฯ “KTC Mobile” เข้าบัญชีธนาคารได้ถึง 13 ธนาคาร และกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มได้ตลอด 24 ชั่วโมง ฟรีค่าธรรมเนียมการกดเงิน  นอกจากนี้ยังใช้ผ่อนสินค้า 0% ได้นานสูงสุดถึง 24 เดือน ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ”

ทรู คอร์ปอเรชั่น ผู้นำบริษัทโทรคมนาคม - เทคโนโลยี ร่วมกับ กสทช. สนับสนุนนโยบายภาครัฐ ออกโปรเสริมพิเศษแบบเติมเงิน! สำหรับผู้พิการหรือผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แบ่งออกเป็น 2 แพ็กหลักตามการใช้งาน ดังนี้ 1. แพ็กเกจเน็ต - ความเร็วสูงสุด 10GB เมื่อใช้ครบตามปริมาณเน็ตที่กำหนด หลังจากนั้นใช้งานต่อเนื่องที่ความเร็ว 128Kbps ราคา 66 บาท (รวมภาษีแล้ว) ใช้ได้นาน 30 วัน (โปรเสริมนี้จะต่ออายุอัตโนมัติ หรือจนกว่าจะยกเลิก) 2. แพ็กเกจเน็ตและโทร - ความเร็วสูงสุด 8GB เมื่อใช้ครบตามปริมาณเน็ตที่กำหนด หลังจากนั้นใช้งานต่อเนื่องที่ความเร็ว 128Kbps โทรฟรีทุกเครือข่าย 100 นาที (ส่วนเกินคิดตามโปรโมชั่นหลัก) ราคา 66 บาท (รวมภาษีแล้ว) ใช้ได้นาน 30 วัน (โปรเสริมนี้จะต่ออายุอัตโนมัติ หรือจนกว่าจะยกเลิก)

ลูกค้าทรู ดีแทค สนใจสมัครโปรเสริมพิเศษ ได้ง่ายๆเพียงโชว์บัตรผู้พิการหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ที่ ทรูช้อป หรือดีแทคช้อปทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิ.ย.67

CITE DPU จัดอบรมฟรี ! CKAN ตอบโจทย์ความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการข้อมูลในทุกอุตสาหกรรม หวังปูทาง นศ.สู่ยุค Big Data พร้อมดึงผู้เชี่ยวชาญจาก BDI ร่วมให้ความรู้

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าด้านการออม ด้วยผลิตภัณฑ์เงินฝากที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการด้านการออม จัดแคมเปญพิเศษสำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีดิจิทัล ttb ME save ที่ให้ดอกเบี้ยสูงสุดถึง 2.2% ต่อปี รับเพิ่ม Grab Code มูลค่า 100 บาท เพียงฝากเงินตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป โปรโมชันตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 มิถุนายน 2567

ทีทีบี เดินหน้าส่งเสริมให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้าน โดยเฉพาะด้านการออมเงิน ที่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินทั้งวันนี้และอนาคต ด้วยการเลือกบัญชีเพื่อออม ttb ME save บัญชีเงินฝากดิจิทัล ให้ดอกเบี้ยสูงสุด 2.2% ต่อปี และเป็นที่ชื่นชอบของนักออมรุ่นใหม่ จัดแคมเปญพิเศษเปิดบัญชี ttb ME save เพียงฝากเงินตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไประหว่างวันที่ 15 เมษายน – 30 มิถุนายน 2567 และคงเงินไว้ไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเนื่อง 30 วันนับจากวันที่เปิดบัญชี รับทันที Grab Code มูลค่า 100 บาท โดยสามารถกดรับสิทธิ์ผ่านแอป ttb touch และใช้เป็นส่วนลดเมื่อสั่งอาหารขั้นต่ำ 300 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน Grab ได้ถึง 30 พฤศจิกายน 2567

บัญชี ttb ME save เป็นหนึ่งในบัญชีเงินฝากดิจิทัลที่ได้รับความนิยม ซึ่งโดดเด่นด้วยรูปแบบการออมที่ง่าย ให้ดอกเบี้ยในอัตราสูง ไม่ต้องฝากประจำ ฝากถอนเมื่อไรก็ได้ ไม่มีขั้นต่ำ และรับดอกเบี้ยพร้อมโบนัสรวมสูงสุดถึง 2.2% ต่อปี เพียงมียอดเงินฝากมากกว่าถอนในแต่ละเดือน สำหรับยอดเงินฝาก 1 แสนบาทแรกสามารถเช็คยอดดอกเบี้ยสะสมได้ทุกวัน และตั้งเป้าหมายการออมผ่าน Savings Goal ได้อีกด้วย จึงเหมาะเป็นบัญชีเพื่อออมเงินสำหรับนักออมรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

เคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส เปิดเผยข้อมูลช่วงเทศกาลสงกรานต์ คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะนครกว่างโจว และนครเซี่ยงไฮ้มากขึ้นหลังฟรีวีซ่าไทย – จีน ขณะที่ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดท่องเที่ยวไตรมาส 1 ปี 2567 โต 15% โดยหมวดตัวแทนท่องเที่ยว มียอดใช้จ่ายที่เติบโตเป็นอันดับหนึ่ง

นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดหมวดสายการบิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากมาตรการยกเว้นวีซ่าระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่งผลให้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 12 เมษายน 2567 – 16 เมษายน 2567 สมาชิกได้วางแผนเดินทางท่องเที่ยวในเส้นทางสาธารณรัฐประชาชนจีนผ่าน KTC World Travel Service มากขึ้น โดย 5 เส้นทางหลักที่สมาชิกเลือกสำรองตั๋วเครื่องบินและซื้อผลิตภัณฑ์บริการท่องเที่ยวอื่นๆ มากที่สุดได้แก่ ฮ่องกง / เมืองไทเป / เมืองกวางโจ่ว / นครเซี่ยงไฮ้ และฮานอย/โซล ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 ที่อันดับ 1 ได้แก่ เมืองไทเป อันดับ 2 เมืองฮอกไกโด และอันดับ3 เมืองฟูโกโอกะ

ขณะที่ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดท่องเที่ยวช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยหมวดท่องเที่ยวมียอดใช้จ่ายเป็นอันดับ 2 ของพอร์ตรวมยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต รองจากหมวดประกัน และหมวดที่มีสัดส่วนยอดการใช้จ่ายมากที่สุดคือ หมวดตัวแทนท่องเที่ยว หมวดสายการบิน และหมวดโรงแรม ตามลำดับ

สำหรับยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีที่ต่างประเทศช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยเส้นทางท่องเที่ยวที่มียอดการใช้จ่ายสูงสุดได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี ไต้หวัน และสิงคโปร์ ตามลำดับ โดยประเทศจีนหลังเปิดประเทศพบว่ามียอดการใช้จ่ายเติบโตสูงขึ้น และติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่มีการใช้จ่ายสูงสุด

ผู้สนใจสิทธิพิเศษด้านการเดินทางท่องเที่ยวสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC World Travel Service โทรศัพท์ 02 123 5050 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ https://www.ktc.co.th/ktcworld สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ


หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการแก้ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนที่เป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก จึงได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานภาคีเครือข่ายรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวมาอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2567 ได้ลงพื้นที่ ณ จุดตรวจเยี่ยมหน้าสถานีตำรวจภูธรกำแพงแสน ตำบลทุ่งกระพังโหม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยมี นางสาวอโรชา นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยนางจันทิมา มีโส ผู้อำนวยการภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 7 (นครปฐม) ผู้อำนวยการสำนักงาน คปภ. จังหวัดในสังกัด เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครประกันภัยจังหวัดนครปฐม และหัวหน้าส่วนราชการ ในการนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้มอบน้ำดื่ม และเครื่องอุปโภค-บริโภคสนับสนุนให้จุดตรวจเพื่อเป็นขวัญและกำลังให้กับเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ในจังหวัดนครปฐม

สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะช่วงระหว่างวันที่ 11 เมษายน 2567 - วันที่ 17 เมษายน 2567 ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาวที่จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาท่องเที่ยวและจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเป็นจำนวนมาก อาจจะมีความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุ   สูงกว่าช่วงปกติ โดยได้เปิดศูนย์บริการสายด่วน คปภ. 1186 และ LINE @OICConnect อย่างครบวงจร ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วันอันตรายในช่วงเทศกาลสงกรานต์

X

Right Click

No right click