ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดการปรับเพิ่มราคาน้ำตาลทราย ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อภาคครัวเรือน และผู้ประกอบการรายย่อยที่มีข้อจำกัดในการขึ้นราคาสินค้า พร้อมสนับสนุนมติภาครัฐที่เห็นชอบให้น้ำตาลทรายกลับเป็นสินค้าควบคุมราคา พร้อมเน้นสนับสนุนให้เกษตรกรไร่อ้อย และผู้ผลิตน้ำตาล เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดต้นทุน หรือมาตรการลดภาษีให้ผู้ผลิต มากกว่าการเพิ่มราคาที่จะส่งผลกระทบต่อภาคประชาชน

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ได้ออกประกาศเรื่อง ราคาน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักร เพื่อใช้ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ประจำฤดูการผลิตปี 2566/2567 โดยมีผลทำให้ราคาน้ำตาลทรายขาวเพิ่มขึ้นจาก 19 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23 บาทต่อกิโลกรัม และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์จากเดิมกิโลกรัมละ 20 บาทเพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 24 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกที่ประชาชนต้องใช้จ่ายเพื่อการบริโภคหรือเพื่อเป็นวัตถุดิบปรับเพิ่มขึ้นสูงจาก 24-25 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มเป็น 28-29 บาทต่อกิโลกรัม หรือคิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 17%

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำตาลทรายย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่มีการใช้น้ำตาลทรายเป็นวัตถุดิบทางตรง เช่น อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม และ อุตสาหกรรมของหวานและเบเกอรี รวมถึงกลุ่มที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นวัตถุดิบทางอ้อมในลักษณะเครื่องปรุงรส เช่น ผู้ประกอบการร้านอาหาร โดย ttb analytics ได้ประเมินว่าการที่น้ำตาลทรายขึ้นราคาส่งผลกระทบค่อนข้างจำกัด โดยกำไรขั้นต้น (กำไรที่ยังไม่หักต้นทุนการขาย การดำเนินการ และต้นทุนทางการเงินอื่น) ของกลุ่มเครื่องดื่ม เช่น ผลิตภัณฑ์นม และน้ำอัดลม อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลง 1.2% และ 2.6% ตามลำดับ ในส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมหวาน กำไรขั้นต้นลดลง 0.5%-3% ขึ้นอยู่กับสัดส่วนการใช้น้ำตาลทรายในขนมหวานแต่ละประเภท ในขณะที่ผู้ขายอาหารตามสั่ง พบพื้นที่กำไรขั้นต้นลดลง 0.4%-0.6% อย่างไรก็ตาม พื้นที่กำไรที่ลดจากผลกระทบของราคาน้ำตาลทรายที่ปรับเพิ่มขึ้นไม่ได้เกิดจากกลไกของราคาแต่มาจากนโยบายภาครัฐ จึงอาจไม่เป็นธรรมกับฝั่งของผู้ประกอบการที่กำไรลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางส่วนอาจมีการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นผ่านการขึ้นราคาสินค้าซึ่งอาจกระทบกับภาคประชาชนและผู้ประกอบการที่มีข้อจำกัดในการขึ้นราคา ttb analytics ได้แบ่งผลกระทบจากการขึ้นราคาน้ำตาลทรายโดยมีรายละเอียดดังนี้

1) ประชาชนและภาคครัวเรือน อาจต้องรับภาระที่ค่าครองชีพปรับเพิ่มสูงขึ้น สืบเนื่องจากการขึ้นราคาน้ำตาลทรายครั้งนี้กระทบต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการ และด้วยสาเหตุหลักไม่ได้เกิดจากกลไกราคาแต่เกิดจากที่มีประกาศให้ขึ้นราคาตามตลาดโลก จึงมีความเป็นไปได้ที่กลุ่มผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มที่ผู้ประกอบการรายใหญ่มีบทบาทสูงสะท้อนผ่านสัดส่วนรายได้สูงถึง 98% ของมูลค่าตลาด รวมถึงช่องทางจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งนี้ ราคาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมักขึ้นราคาเป็น บาท/หน่วย และ การที่ราคาเครื่องดื่มตามร้านสะดวก

ซื้อทั่วไปมีการปรับเพิ่มขึ้น 1 บาท หมายถึงรายรับของผู้ประกอบการจะเพิ่มขึ้นที่ 5-10% ส่งผลให้ในกลุ่มผู้ประกอบการที่ส่งผ่านราคาได้ มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นประมาณ 3.4% - 6.5% จากราคาที่ปรับเพิ่ม รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดเล็กที่มีความได้เปรียบในทำเลอาจส่งผ่านราคา โดยตามธรรมชาติการเพิ่มราคาของผู้ประกอบการกลุ่มนี้จะเพิ่มราคาต่อเมนูขั้นต่ำที่ 5 บาท ส่งผลต่อรายรับที่อาจสูงขึ้นราว 10 % ส่งผลให้ร้านอาหารที่ขึ้นราคาได้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นราว 5.6% รวมถึงโดยธรรมชาติของสินค้าบริโภคขั้นสุดท้ายราคาจะมีความหนืด (Price Rigidity) ในการปรับราคาลง

2) ธุรกิจ SMEs รายย่อย เช่น ผู้ประกอบการอาหาร และขนมหวานรายย่อย แม้พื้นที่กำไรอาจไม่ส่งผลกระทบมากแต่ด้วยปริมาณการขายที่ไม่สูงมากนักส่ง ผลให้มีความกังวลว่าถ้าขึ้นราคาอาจส่งผลต่อยอดขาย ตัวอย่างเช่น กลุ่มผู้ประกอบการที่มีรายได้ประมาณ 2,000 บาทต่อวัน กำไรขั้นต้นของร้านอาหาร และ ผู้ผลิตของหวานจะอยู่ที่ราว 800 – 830 บาท ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายอื่น เช่น ค่าแรงงาน ค่าเช่า พื้นที่กำไรที่เหลืออาจค่อนข้างจำกัดเพื่อใช้ยังชีพและเลี้ยงดูครอบครัว แต่เมื่อมีปัจจัยเรื่องต้นทุนจากราคาน้ำตาลทรายที่เพิ่มขึ้น กดดันให้กำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการกลุ่มนี้ลดลงเหลือ 790 – 810 บาทต่อวัน และด้วยรายได้ที่แต่เดิมจำกัดในการยังชีพ เมื่อประสบภาวะต้นทุนที่ปรับเพิ่มจากราคาน้ำตาลทรายที่แม้ไม่สูงมาก แต่อาจส่งผลให้รายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพและเลี้ยงดูครอบครัวได้

โดยสรุป การประกาศขึ้นราคาน้ำตาลทรายอาจส่งผลดีต่อผู้ผลิตน้ำตาลทราย เกษตรกรชาวไร่อ้อย และ ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการส่งผ่านราคา แต่ผลดีดังกล่าวถูกดึงมาจากภาคครัวเรือน และ ผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่สามารถส่งผ่านราคาได้ ประกอบกับเหตุผลของการขึ้นราคาน้ำตาลทรายในครั้งนี้ตามที่ สอน. ให้เหตุผลว่าปรับตามราคาตลาดโลก ก็ต้องมองย้อนกลับไปที่สาเหตุว่าเพิ่มขึ้นจากการที่อินเดียระงับการส่งออกน้ำตาลทรายจากผลผลิตที่ลดลง เพื่อใช้บริโภคในประเทศและไม่ให้กระทบความเป็นอยู่ของภาคประชาชน แต่ในทางกลับกัน การปรับเพิ่มราคาขายในประเทศจะกลายมาเป็นภาระต้นทุนให้กับภาคประชาชนมากกว่ากรณีของอินเดียที่ประกาศขยายการควบคุมการส่งออกน้ำตาลทรายเพื่อควบคุมราคาภายในประเทศ ด้วยเหตุนี้ทาง ttb analytics จึงสนับสนุนมติ ครม. ที่เห็นชอบให้น้ำตาลทรายกลับเป็นสินค้าควบคุม และเสนอเรื่องการช่วยเหลือผู้ผลิตน้ำตาลทราย เกษตรกรชาวไร่อ้อย อาจใช้เรื่องของการให้เงินสนับสนุน เพื่อลดต้นทุนให้กับเกษตรกรไร่อ้อยหรือมาตรการลดภาษีให้กับผู้ผลิตน้ำตาลทราย แทนที่จะขึ้นราคาสินค้าที่อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำผู้นำคะแนนน้อยแลกได้ จับมือ บริษัทเคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ผู้ให้บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการที่ 7-Eleven ทุกสาขา ออกแคมเปญ “ใช้คะแนน KTC FOREVER แทนเงินสด ด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่ 7-Eleven”

ครั้งแรกกับการเปิดให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถใช้คะแนน KTC FOREVER เริ่มต้นเพียง 10 คะแนน แลกแทนเงินสดได้ 1 บาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าที่ 7-Eleven 14,500 สาขาทั่วไทย เพิ่มความสะดวกสบายและความคุ้มค่าให้แก่สมาชิก คาดสมาชิกแลกใช้คะแนนทั้งแคมเปญ 20 ล้านคะแนน

นางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส กลุ่มงานการตลาดและสื่อสารองค์กร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดตัวแคมเปญ “ใช้คะแนน KTC FOREVER แทนเงินสด ด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่ 7-Eleven” ในครั้งนี้ เพื่อตอกย้ำกลยุทธ์การตลาดของเคทีซีที่ต้องการมอบความคุ้มค่าให้กับสมาชิกบัตรเครดิตผ่านคะแนน KTC FOREVER ซึ่งเคทีซีเป็นผู้ริเริ่มและมุ่งเน้นมาตลอด โดยเฉพาะการใช้คะแนนน้อยที่สามารถแลกความคุ้มค่าได้

“การได้ร่วมมือกับทางเคาน์เตอร์เซอร์วิส เปิดให้ใช้คะแนนทุก 10 คะแนน แลกแทนเงินสด 1 บาทในการซื้อสินค้าที่ 7-Eleven นับเป็นครั้งแรกในตลาดที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพื่อมอบความคุ้มค่าและอำนวยความสะดวกให้สมาชิกเคทีซีใช้คะแนนแทนเงินสด โดยไม่มียอดขั้นต่ำ และไม่จำกัดจำนวนครั้งในการแลกคะแนน ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2567”

“เราหวังว่าแคมเปญนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยตอบโจทย์สมาชิกในหมวดใช้จ่ายสำหรับชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันเคทีซีมีสมาชิกบัครเครดิต 2.62 ล้านใบ และคาดว่าสมาชิกจะนำคะแนนมาแลกซื้อสินค้าตลอดทั้งแคมเปญ 20 ล้านคะแนน”

 นายวีรเดช อัครผลพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด กล่าวว่า “เคาน์เตอร์เซอร์วิสตระหนักถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเสมอมา เราเปิดให้บริการความร่วมมือกับพันธมิตรโดยใช้แนวคิด Open Ecosystem เพื่อนำเสนอ PAAS (Platform As A Service) แพลตฟอร์มที่พร้อมส่งมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ในครั้งนี้บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ร่วมมือกับ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นครั้งแรกของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่สามารถใช้คะแนน KTC FOREVER ในบัตรเครดิตเคทีซี แตะหรือรูดจ่ายค่าสินค้าได้เลย โดยเราร่วมพัฒนาการเชื่อมต่อข้อมูลแบบ Real-time และส่งมอบ เอกสิทธิ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเฉพาะบุคคลมากที่สุดและสะดวกที่สุด

“การใช้คะแนนบัตรเครดิต KTC FOREVER แทนเงินสดที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นสำหรับแลกรับสินค้า เลือกได้ตามความต้องการของลูกค้า ไม่ต้องแลกเป็นคูปอง เปรียบเสมือนเงินสดที่สามารถรับชำระสินค้าตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมส่งมอบสิทธิพิเศษและความสะดวกสบายนี้ให้กับลูกค้าแบบครบวงจร ผ่านจุดให้บริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้าน 7-Eleven ทุกสาขากว่า 14,500 สาขาทั่วประเทศ

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดงานแนะนำเส้นทางบินใหม่ สู่นครอิสตันบูล สาธารณรัฐทูร์เคีย เสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายเส้นทางบินของบริษัทฯ

โดย นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ เป็นประธานในงาน พร้อมด้วยนางแซรัป แอร์ซอย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐทูร์เคียประจำประเทศไทย นายอสิ ม้ามณี อธิบดีกรมยุโรป นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายพรชัย ฐีระเวช ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้บริหาร ร่วมในงาน

การบินไทยพร้อมนำทุกผู้โดยสารเดินทางไปสัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมในเส้นทางบินใหม่ไปยังอิสตันบูล เมืองที่มีบทบาทสำคัญยาวนานในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐทูร์เคีย จุดศูนย์กลางการเดินทางระหว่างทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา ที่สามารถเชื่อมต่อเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ของประเทศที่มีอาณาเขตเชื่อมโยงกับสาธารณรัฐทูร์เคียและกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออก ผ่านเครือข่ายสายการบินพันธมิตร สตาร์ อัลไลแอนซ์ โดยให้บริการเที่ยวบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-อิสตันบูล ทำการบิน 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป ด้วยตารางการบินที่สะดวกสบาย ดังนี้

เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-อิสตันบูล ทำการบินทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน

- เที่ยวบินที่ TG900 ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เวลา 23.45 น. เดินทางถึงอิสตันบูล เวลา 06.05 น. ของวันถัดไป (เวลาท้องถิ่น)

- เที่ยวบินที่ TG901 ออกเดินทางจากอิสตันบูล เวลา 16.30 น. (เวลาท้องถิ่น) เดินทางถึงกรุงเทพฯ เวลา 05.35 น. ของวันถัดไป

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จัดเมนูอาหารว่างที่มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยและสาธารณรัฐทูร์เคียมาให้บริการในเส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-อิสตันบูล อีกด้วย

 ทั้งนี้ การเปิดเส้นทางบินใหม่ของการบินไทยสู่อิสตันบูล นอกจากจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัทฯอาทิ เพิ่มทางเลือกใหม่ในการเดินทาง การเชื่อมต่อเที่ยวบินและการขนส่งสินค้าแล้ว ยังยกระดับการเป็น สายการบินที่มีเครือข่ายเชื่อมต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและออสเตรเลีย สนับสนุนนโยบายภาครัฐในการสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับสาธารณรัฐทูร์เคียและประเทศอื่นๆ ในกลุ่มยุโรปตะวันออก ส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้าและการลงทุนของทั้งสองประเทศ รวมทั้งการกระจายฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากสาธารณรัฐทูร์เคีย เป็นตลาดที่มีประชากรกว่า 85.3 ล้านคน และมีขนาดมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 906 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ในโอกาสแนะนำเส้นทางบินใหม่สู่อิสตันบูล การบินไทยร่วมกับบัตร Mastercard มอบส่วนลดพิเศษ โดยชำระค่าบัตรโดยสารด้วยบัตร Mastercard เมื่อสำรองที่นั่งผ่านเว็บไซต์ thaiairways.com ในเส้นทาง กรุงเทพฯ-อิสตันบูล รับส่วนลด 2,000 บาท เมื่อใส่ Discount code "TGMCBKKIST" และในเส้นทาง อิสตันบูล-กรุงเทพฯ รับส่วนลด 50 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อใส่ Discount code "TGMCISTBKK" ตั้งแต่วันนี้-30 พฤศจิกายน 2566 เดินทางระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2566-31 มีนาคม 2567

ปัจจุบันองค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงประชาชนทั่วไปต่างเป็นส่วนหนึ่งของโลกไซเบอร์ เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลมีส่วนช่วยให้เราสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและใช้งานได้อย่างสะดวกสบายขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์ ที่ทำให้เราไม่ต้องเดินทางไปที่ธนาคารเอง หรือการส่งเอกสารผ่านอีเมล ทำให้ข้อมูลสำคัญจำนวนมากถูกส่งถึงกันได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายเกินไปก็อาจกลายเป็นดาบสองคม เพราะมันทำให้บางครั้งหลายฝ่ายอาจไม่ได้นึกถึงประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวหรือความปลอดภัย จนเกิดเป็นปัญหาลุกลามด้านการฉ้อโกง การขโมยข้อมูลสำคัญ หรือแม้แต่การเรียกค่าไถ่ทางไซเบอร์กับองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งทั่วโลก ประเด็นเรื่อง “ความปลอดภัยทางไซเบอร์” จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องหันมาร่วมมือกันพัฒนาความปลอดภัยของระบบ รวมถึงเร่งพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านดิจิทัลที่ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการดูแลความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ของระบบโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เสี่ยงจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างทันท่วงที และพร้อมรับกับทั้งโอกาสและความท้าทายที่กำลังจะมาถึง

หน่วยงานภาครัฐอย่างสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เล็งเห็นความสำคัญของทรัพยากรบุคคลด้านดิจิทัลและด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่จะต้องถูกป้อนเข้าตลาดแรงงานไทยให้เพียงพอ จึงได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในภาคเอกชนอย่าง บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด จัดการแข่งขัน Thailand Cyber Top Talent 2023 ขึ้น โดยมุ่งหวังพัฒนาทักษะให้กลุ่มคนรุ่นใหม่มีความรู้ความสามารถด้านดิจิทัลที่เหมาะสม จนสามารถเป็นบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยเฉพาะ และเป็นผลงานคุณภาพจากภาคการศึกษาไทยที่จะเดินทางเข้าสู่หน่วยงานหรือองค์กรไทยทุกแห่งในอนาคต

 การแข่งขัน Thailand Cyber Top Talent 2023 แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับมัธยมศึกษา ระดับอุดมศึกษา และระดับประชาชนทั่วไป โดยล่าสุดทีม Rebooster แชมป์เก่าตัวแทนจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ คว้ารางวัลชนะเลิศกลายเป็นแชมป์สมัยที่ 2 ติดต่อกัน หลังเอาชนะทีมจำนวน 354 ทีมจากทั่วประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขัน ถือเป็นครั้งแรกที่สถาบันในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทยสามารถทำได้ ส่งให้สมาชิกของทีมประกอบด้วย นรต.วรรณกร นุ่นประดิษฐ์ นรต.ทัศไนย มานิตย์ และ นรต.สุดฤทธิ์ วงษ์สุวรรณ จะได้รับสิทธิเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในรายการ Cyber SEA Game 2023 ที่มีผู้ชนะจากทั่วภูมิภาคมาร่วมประชันฝีมือ

 Image preview

นรต.สุดฤทธิ์ วงษ์สุวรรณ ตัวแทนจากทีม Rebooster ผู้ชนะการแข่งขันได้กล่าวถึงประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากการแข่งขัน Thailand Cyber Top Talent 2023 ว่า “การเข้าร่วมการแข่งขันทำให้ผมได้เจอกับเพื่อน ๆ หลายคน และยังได้แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนคนอื่น ๆ ในวงการ Cyber Security ของประเทศไทย ระหว่างการแข่งผมได้เรียนรู้เทคนิคในการเจาะระบบเพิ่มขึ้นมาก ทีมงานจะให้เรามาแข่งแฮกระบบและเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยมีโจทย์มาให้เราทำ ฝั่งหนึ่งเป็นคนเจาะระบบและอีกฝั่งเป็นคนป้องกัน ซึ่งทีมผมก็ทำทั้งสองฝั่งและมีการวิเคราะห์ไฟล์ต่าง ๆ ซึ่งทีมเรามีคะแนนรวมสูงที่สุดจากผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 831 ทีม จึงได้รางวัลชนะเลิศ ก่อนการแข่งขันผมได้เรียนรู้เรื่องไซเบอร์จากโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่ได้ทำ MOU กับหัวเว่ย ให้ใช้เทคโนโลยีหัวเว่ย คลาวด์ จึงได้เรียนรู้ค่อนข้างมาก ซึ่งในอนาคตผมสนใจไปทำงานที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่มักจะรับคนที่มีความรู้ทักษะเกี่ยวกับด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์มาทำงาน ไปเป็นตำรวจที่ทำหน้าที่จับผู้ร้ายที่เปิดเว็บไซต์ผิดกฎหมาย เช่น เว็บพนัน หรือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ต้องตามหาต้นตอให้เจอ บางคนในทีมของเราอาจจะไปทำงานด้านพิสูจน์หลักฐาน เช่น การจัดการกับหลักฐานที่ถูกทำลายอย่างฮาร์ดดิสก์ ทุกครั้งที่มีการจัดการแข่งขันเกี่ยวกับด้านไซเบอร์ ผมรู้สึกดีใจมากที่คนไทยให้ความสนใจอยากรู้ว่ามันเกี่ยวกับอะไร ตัวผมเองก็ได้มีโอกาสไปหาความรู้ในด้านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเชื่อว่าคนไทยหลายคนทั้งที่ร่วมแข่งและไม่ได้เข้าร่วมก็อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องไซเบอร์ซีเคียวริตี้มากขึ้นด้วยเช่นกัน”

เขายังมองว่าการจะทำให้ประเทศไทยมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจจะเริ่มจากการให้องค์กรต่าง ๆ ในไทยให้ข้อมูลที่สอดแทรกความรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์แก่คนไทยมากขึ้น เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การเจาะระบบในรูปแบบฟิชชิง (Phishing) หรือการสร้างเว็บไซต์อย่างไรให้ว่าไม่มีช่องโหว่หรือมีช่องให้แฮกน้อย ซึ่งข้อมูลจากหลายปีที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าเว็บไซต์ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยมีช่องโหว่ที่ตรวจพบได้เยอะมาก เนื่องจากเจ้าของเว็บไซต์เขียนโค้ดได้ไม่ปลอดภัย หรืออาจจะใช้บริการที่มีช่องโหว่ ทำให้แฮกเกอร์สามารถเจาะระบบเข้าไปได้ง่าย ๆ

 

ด้านนรต.วรรณกร นุ่นประดิษฐ์ ยังให้ข้อมูลเสริมว่าเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่สามารถช่วยป้องกันภัยคุกคามได้ แต่ก็ยังมีความแม่นยำต่ำและสามารถช่วยได้ในระดับพื้นฐานเท่านั้น จึงต้องรอการพัฒนาต่อยอดต่อไปในอนาคต ซึ่งปัจจุบันระบบ Cyber Security ของหัวเว่ยและผู้พัฒนาอีกหลายราย ๆ ก็ได้รับการออกแบบมาป้องกันภัยคุกคาม ได้ดี โดยผลิตภัณฑ์จะมีการอัปเดตอยู่เสมอเพื่อป้องกันช่องโหว่ใหม่ ๆ เพราะทุกระบบจะมีช่องโหว่อยู่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะถูกตรวจพบเมื่อไหร่ ซึ่งเทคโนโลยีของหัวเว่ยมีคุณภาพที่ดีเยี่ยม เพราะมีระบบการตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และทำได้ง่าย

ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในความคืบหน้าสำคัญของโครงการฝึกอบรมบุคลากรด้านดิจิทัลในประเทศไทยของทาง สวทช. ที่มุ่งสร้างบุคลากรดิจิทัลในหน่วยงานรัฐของประเทศไทยที่ปัจจุบันมีเพียง 0.5% จากบุคลากรทั้งหมด 460,000 คน โดยการแข่งขัน Thailand Cyber Top Talent เป็นการร่วมมือกับ บริษัท

หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ที่จัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 ปี เพื่อพัฒนาบุคลากรไทยในด้านดิจิทัล ผ่านการจัดกิจกรรม การแข่งขัน การฝึกอบรม การเขียนโค้ดให้มีความรัดกุมปลอดภัย และยังสนับสนุนไปถึงเรื่องการสอบใบรับรองด้านวิศวกรเครือข่ายในรูปแบบต่าง ๆ อีกด้วย

ทั้งนี้บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด มีความตั้งใจที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยมีความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เช่นเดียวกับทาง สกมช. โดยได้นำเทคโนโลยีชั้นนำเข้ามาช่วยสนับสนุนทางด้านการศึกษาให้กับหลาย ภาคส่วนของประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้ร่วมสนับสนุนโครงการแข่งขันทักษะทางไซเบอร์กับ สกมช. และหน่วยงานอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านดิจิทัลของประเทศไทยผ่านการบ่มเพาะบุคลากร ตามพันธกิจของหัวเว่ยที่ว่า 'เติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย และร่วมสนับสนุนประเทศไทย' เพื่อการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาคต่อไปในอนาคต

 อิเกีย ประเทศไทย นำโดย คุณวรันธร เตชะคุณากร ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารและดีไซน์ อิเกีย ประเทศไทย (ที่ 3 จากซ้าย) จัดงานเปิดตัวคอลเล็คชั่น AFTONSPARV/ อัฟตอนสปาร์ฟ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งเสริมและสร้างรากฐานพัฒนาการของเด็กๆ จากการเล่นเริ่มต้นได้ง่ายๆ ที่บ้าน โดยคอลเล็คชั่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากความรู้และความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอวกาศของเด็กๆ จนกลายมาเป็นสินค้าคอลเล็คชั่นพิเศษที่ส่งเสริมให้เด็กๆ ได้ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์อย่างไร้ขีดจำกัดกับของเล่น เครื่องนอน เกม และอื่นๆ อีกมากมายในธีมนักอวกาศตัวน้อย พร้อมด้วยเสวนาในหัวข้อ ‘ความสำคัญของการเล่นกับพัฒนาการเด็ก’ โดยมี คุณพรินทร์ สุวรรณัง ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์สื่อความหมาย (ที่ 4 จากซ้าย) มาร่วมให้ความรู้และเคล็ดลับสำหรับคุณพ่อคุณแม่เกี่ยวกับความสำคัญของการเล่นเสริมพัฒนาการและการมีส่วนร่วมของคนในครอบครัวซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นการเรียนรู้ ณ สโตร์อิเกีย บางนา เมื่อวันก่อน

จากซ้ายไปขวา

1. คุณกมลพร อภินรเศรษฐ์ ผู้จัดการแผนกการสื่อสารภายนอกองค์กร อิเกีย ประเทศไทย

2. คุณยุนนา ชอย ผู้อำนวยการด้านการตลาด อิเกีย ประเทศไทย

3. คุณวรันธร เตชะคุณากร ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารและดีไซน์ อิเกีย ประเทศไทย

4. คุณพรินทร์ สุวรรณัง ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์สื่อความหมาย

5. คุณอมตบุญ ศาสตราสุข รองผู้จัดการสโตร์อิเกีย บางนา

6. คุณมนตรี มีสุข ผู้จัดการแผนกการตลาด อิเกีย บางนา

7. คุณบริท เกลดอฟ ผู้จัดการแผนกอาหาร อิเกีย บางนา

สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย นายเอกกมล แพทยานันท์ (ที่ 2 จากซ้าย) นายกสมาคมฯ จัดงานแถลงข่าว เชิญคนไทยทั้งประเทศร่วมเป็นเจ้าภาพ การประชุมสมัชชาสหภาพคนตาบอดโลกภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 26-29 พฤศจิกายน 2566 ณ จังหวัดภูเก็ต โดยการประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมระดับนานาชาติของผู้แทนคนตาบอดจากองค์กรสมาชิกของสหภาพคนตาบอดโลกภาคพื้นเอเชียและ แปซิฟิกจำนวน 21 ประเทศ ผู้นำคนตาบอดจากองค์กรเครือข่าย รวมถึงผู้แทนจากหน่วยงานที่ทำงานด้านคนตาบอดและคนพิการในระดับประเทศ รวมทั้งสิ้น 350 คน โดยได้รับเกียรติจาก นายพิสิฐ พูลพิพัฒน์ (ที่ 3 จากซ้าย) รองอธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ นายมณเฑียร บุญตัน (ยืนกลาง) สมาชิกวุฒิสภา และดร.นันทนุช สุวรรนาวุธ(ที่ 3 จากขวา) เลขานุการสมาคมฯ ในฐานะดูแลงานด้านต่างประเทศ ร่วมให้รายละเอียด ณ ห้องคริสตัล โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพมหานคร

นายสัณฐาน อยู่ศิริ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มยุทธศาสตร์ ร่วมงานแถลงข่าวการประกาศผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจำปี 2562 ซึ่งธนาคารออมสินได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านการปฏิบัติการ (Thailand Quality Class Plus: Operation) ซึ่งสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติจัดขึ้น โดยมีนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการแถลงข่าว ณ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้

ทั้งนี้ ปี 2560 ธนาคารออมสินได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class)  และ ปี 2561 ได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น ด้านลูกค้า (Thailand Quality Class Plus: Customer) ดังนั้น จึงถือว่าธนาคารออมสินได้รับรางวัล TQC Plus ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งแสดงถึงความเป็นเลิศในการบริหารจัดการองค์กร สามารถนำพาองค์กรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ทัดเทียมมาตรฐานโลก
  

 

รองศาสตราจารย์นายแพทย์นริศ กิจณรงค์ (กลางขวา) รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล รับมอบเงินบริจาคจำนวน 16,336,546 บาท จากนางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช (กลางซ้าย) ผู้อำนวยการ - ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งสมาชิกบัตรเคทีซีได้ร่วมกันบริจาคผ่านช่องทางต่างๆ ของเคทีซี เพื่อสมทบทุนเข้าศิริราชมูลนิธิในการนำไปช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยโรงพยาบาลศิริราชต่อไป ณ ตึกอำนวยการ ชั้น 1 โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเร็วๆ นี้

 

ทั้งนี้ สมาชิกบัตรเคทีซีที่มีคะแนน KTC FOREVER สามารถร่วมบริจาคเข้าศิริราชมูลนิธิได้ โดยทุกๆ 1,000 คะแนน จะแทนเงินบริจาค 100 บาท และเคทีซีจะร่วมสมทบทุนเพิ่มอีก 100 บาท ทุกๆ การบริจาค 1,000 คะแนน ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2563

EXIM BANK ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate สำหรับลูกค้าทั่วไปและ SMEs (เทียบเท่า MRR ของธนาคารพาณิชย์) จากเดิมที่อยู่ในระดับต่ำสุดในระบบ SFIs อยู่แล้ว เหลือเพียง 5.985% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป พร้อมเสนอโปรแกรมสินเชื่อพิเศษช่วยสนับสนุนให้มีเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจหรือนำเข้าเครื่องจักร เทคโนโลยีการผลิต เพื่อขยายกำลังการผลิตหรือปรับปรุงโรงงาน ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพียง 2% ต่อปี

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน EXIM BANK มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ Prime Rate สำหรับลูกค้าทั่วไปและ SMEs (เทียบเท่า MRR ของธนาคารพาณิชย์) อยู่ที่ 6.00% ต่อปี ซึ่งต่ำที่สุดในระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) เนื่องจาก EXIM BANK นำร่องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 อย่างไรก็ตาม เพื่อขานรับนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจและตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีจำนวนมากและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย EXIM BANK ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 5.985% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป

นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ภายใต้ภาวะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องมาอยู่ในระดับ 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่าขึ้นถึงราว 15% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่เงินบาทเคยอยู่ที่ราว 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จึงถือเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทยในการนำเข้าเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพการผลิต อันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว EXIM BANK จึงได้พัฒนาบริการหลากหลายรูปแบบเพื่อกระตุ้นการนำเข้าและการลงทุน ควบคู่กับมาตรการเสริมสภาพคล่องเพื่อกระตุ้นการส่งออก โดยสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจของไทยและตลาดโลก ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษต่ำกว่า Prime Rate สำหรับผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและทุกขนาด ดังนี้

• มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เป็นสินเชื่อระยะยาวเพื่อให้ผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรมใช้ซื้อหรือปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ หรือต่อเติมปรับปรุงโรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้าส่งออก อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 2% ต่อปี
• มาตรการ EXIM เสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นผู้ส่งออก ผู้นำเข้าเพื่อผู้ผลิตในการส่งออก และผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออก สามารถเลือกใช้วงเงินกู้ระยะยาวหรือวงเงินกู้ระยะสั้น สำหรับนำไปลดภาระการชำระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องกิจการให้มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินธุรกิจส่งออก หรือปรับปรุงเครื่องจักร โรงงาน เทคโนโลยีการผลิต เป็นต้น อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 3.99% ต่อปี
• สินเชื่อส่งออกเพิ่มสุข อัตราดอกเบี้ยปีแรก 5.50% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นส่งออก
• สินเชื่อส่งออกเพิ่มค่า อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก Prime Rate -1.25% ต่อปี สำหรับกลุ่ม SMEs โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร
• สินเชื่อเอ็กซิมเชื่อม SMEs ไทยสู่ CLMV สำหรับผู้ส่งออก SMEs ไปตลาด CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) อัตราดอกเบี้ย Prime Rate -1.75% ตลอดอายุโครงการ
• สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อธุรกิจขนาดกลาง สินเชื่อรับซื้อตั๋วเพื่อธุรกิจขนาดกลาง และสินเชื่อเอ็กซิมเพื่อโซนพิเศษ อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ Prime Rate -2.00% สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมีบริการหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการไทยในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า อาทิ มาตรการพักชำระหนี้ ลดภาระผู้ส่งออก สู้ภัยไวรัสโคโรนา พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน ลดภาระลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อระยะยาวและระยะสั้นที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 พร้อมขยายความคุ้มครองผู้ส่งออกที่มีการส่งออกแล้วหรืออยู่ระหว่างเตรียมส่งออกไปจีน สินเชื่อเพื่อวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม และบริการประกันการส่งออกสำหรับผู้ส่งออกทั่วไปและผู้ส่งออก SMEs ซึ่งมีขั้นตอนการขอรับบริการที่สะดวกรวดเร็วขึ้น เป็นต้น

“EXIM BANK เชื่อมั่นว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไปได้ตามความคาดหวังของทุกฝ่าย ท่ามกลางปัจจัยท้าทายรอบด้านที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย โดยธนาคารจะทำหน้าที่สนับสนุนเครื่องมือทางการเงินให้ผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมีสภาพคล่อง ลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจในระยะสั้น ควบคู่กับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดการค้ายุคใหม่ในระยะยาว” นายพิศิษฐ์กล่าว

ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ พร้อมรับรางวัลสูงสุดระดับโกลด์ (Gold Award)

สำหรับทีวีเดอะ เซโร (The Sero) และตู้เย็นบีสโปก (Bespoke) ที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ

 

 

กรุงเทพ (7 กุมภาพันธ์ 2563) – ซัมซุง คว้า 61 รางวัล จากงานประกวดการออกแบบระดับโลก International Forum (iF) Design Award 2020 โดยได้รับรางวัลสูงสุดระดับโกลด์ (Gold Award) 2 รางวัล รางวัล ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ 34 รางวัล รางวัล professional concepts design 8 รางวัล รางวัล communication design 17 รางวัล และรางวัลการออกแบบบรรจุภัณฑ์อีก 2 รางวัล

 

ผลิตภัณฑ์ของซัมซุงที่ได้รับรางวัลระดับโกลด์ ได้แก่ ทีวีเดอะ เซโร (The Sero) และตู้เย็นบีสโปก (Bespoke) ที่ปรับแต่งดีไซน์ได้ตามต้องการ โดย ‘เซโร’ ในภาษาเกาหลีมีความหมายว่า ‘แนวตั้ง’ ซึ่งสอดคล้องกับความสามารถของทีวีรุ่นนี้ ในการสลับปรับเปลี่ยนให้แสดงภาพได้ทั้งแนวนอนและแนวตั้ง เพื่อสะท้อนความทันสมัยและหรูหราสร้าง ความโดดเด่นในทุกพื้นที่ที่นำไปจัดวาง ในขณะที่ตู้เย็นบีสโปกนั้น ได้รับการออกแบบเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน ด้วยดีไซน์ที่มีให้เลือกหลากหลายถึง 8 รูปแบบ ทั้งแบบบานเดี่ยว (single-door) ไปจนถึงแบบ 4 บาน (four-door) โดยหน้าบานประตูยังสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อเลือกสรรและผสมผสานวัสดุและสีสันที่แตกต่างกันได้เพื่อสะท้อนความชื่นชอบตามสไตล์ของแต่ละบุคคล อีกทั้งประตู Kitchen Fit ยังถูกออกแบบให้เหมือนการบิลท์อินเพื่อสร้างความกลมกลืนในห้องครัวทุกรูปแบบอีกด้วย

 

“ซัมซุง สร้างสรรค์นวัตกรรมแนวไลฟ์ไตล์โดยมีพื้นฐานจากการเล็งเห็นเทรนด์ในปัจจุบันรวมถึงการหาข้อมูลเชิงลึกด้านความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต โดยเรามุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีตามที่ลูกค้าต้องการ ผ่านทางแนวคิดการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ การผสมผสานเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ และการตอบโจทย์ความท้าทายอย่างสร้างสรรค์ของ ซัมซุง” ดองเต ลี รองประธานกรรมการบริหารและผู้อำนวยการศูนย์การออกแบบ บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าว

 

นอกจาก 2 รางวัลระดับโกลด์ ซัมซุงได้รับรางวัลในประเภทการออกแบบผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 34 รางวัลจาก iF Design Awards อาทิ:

· กาแลคซี่ โฟลด์ สมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้นวัตกรรมระดับพรีเมี่ยมที่มอบประสบการณ์การชมคอนเทนท์เต็มตาเมื่อกางหน้าจอออกและความสะดวกในการพกพาเมื่อพับหน้าจอ

· กาแลคซี่ วอทช์ แอคทีฟ 2 สมาร์ทวอทช์ที่มาพร้อมกับดีไซน์เรียบหรูลงตัว อีกทั้งยังลดขนาดขอบนาฬิกาเพื่อขยายประสบการณ์การใช้งาน

· Space Monitor จอมอนิเตอร์พร้อมขาตั้งแบบหนีบซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่บนโต๊ะและทำให้ผู้ใช้มีพื้นที่ทำงานกว้างขวางมากขึ้น

· AirDresser เครื่องทำสะอาดผ้าที่มาพร้อมกระจกแบบเต็มตัว พร้อมลวดลายแนวตั้งและการไล่เฉดสีเพื่อ ขับเน้นความสวยงามได้ในทุกพื้นที่ด้วยรูปลักษณ์ระดับพรีเมียม

· Samsung Induction Plate เตาไฟฟ้า 2 หัวขนาดบางแบบพกพาที่เหมาะสำหรับการทำอาหารหลายเมนูในเวลาเดียวกัน โดดเด่นด้วยการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว ทำให้เป็นไอเท็มที่นำสายตาเมื่อวางบนครัวหรือโต๊ะ

 

2 รางวัล ในประเภทการออกแบบบรรจุภัณฑ์:

· บรรจุภัณฑ์กาแลคซี่ โฟลด์ สะดุดตาด้วยกราฟฟิกรูปแบบใหม่ แสดงมิติใหม่ของโลโก้กาแลคซี่ดั้งเดิมในเวอร์ชั่นพับได้

· บรรจุภัณฑ์กาแลคซี่ โน้ต 10 และโน้ต 10 พลัส นำเสนอแนวทางการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปราศจากส่วนประกอบที่ไม่จำเป็นและใช้เยื่อกระดาษขึ้นรูป

 

17 รางวัล ในประเภท Communication design อาทิ:

· UX แบบพับได้ของกาแลคซี่ โฟลด์ มอบประสบการณ์ที่ราบรื่นไร้รอยต่อระหว่างหน้าจอบนฝาพับและหน้าจอหลัก

· UX ที่เร้าอารมณ์ของเครื่องปรับอากาศ เน้นย้ำการแสดงข้อมูลสำคัญอย่างนุ่มนวลผสานแสงไฟ Ambient Lighting ที่ตระการตา

· UX ของซัมซุง ฟลิป มาพร้อมหน้าจออิเลคโทรนิคส์ที่ไหลลื่นด้วยการใส่ระบบดิจิทัลไว้กับประสบการณ์แบบอนาล็อกเพื่อการใช้งานที่ง่ายดาย

· นิทรรศการ Resonance ของซัมซุงในงาน Milan Design Week 2019 ซึ่งเป็นการนำเสนอแคมเปญการสื่อสารแบรนด์แบบครบวงจรเพื่อถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งปรัชญาการออกแบบของซัมซุง

 

8 รางวัล ในประเภท Professional concepts design อาทิ:

· GEMS (Gait Enhancing & Motivating System) ชุดโครงหุ่นยนต์ที่ช่วยแก้ไขท่าทางของร่างกายให้ถูกต้อง และช่วยดูแลจัดการด้านสุขภาพบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

· Device Sync ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ความสะดวกง่ายดายในการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์อินเตอร์เน็ตออฟธิงส์ผ่านเทคโนโลยี Vision Recognition และ Generative Visualization แบบเรียลไทม์

 

การประกวดรางวัล iF Design Award จัดโดยบริษัท iF International Forum Design เริ่มขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2496 โดยผลงานการออกแบบที่ถูกส่งเข้าประกวดจะถูกพิจารณาอย่างครอบคลุมทั้งในด้านการออกแบบ ความสามารถทางนวัตกรรม ศักยภาพทางการใช้งาน และอีก 7 ประเภท อย่างผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ การสื่อสาร และแนวคิดระดับมืออาชีพ

รางวัล iF Design Award 2020 ประกาศผลผู้ชนะเลิศผ่านทางออนไลน์บนเว็บไซต์ iF Design Award และแอป iF Design ซึ่งผลงานการออกแบบที่ชนะเลิศจะถูกจัดแสดงที่ iF Design Exhibition ภายในงาน Berlin Design Week 2020 ระหว่างวันที่ 2 – 10 พฤษภาคมนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเข้าชมที่ https://ifworlddesignguide.com

Page 1 of 5
X

Right Click

No right click