นายวิทิต สัจจพงษ์ (แถวนั่งที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการบริษัท/กรรมการอิสระ นายสรรเพชญ ศลิษฏ์อรรถกร (แถวนั่งที่ 1 จากซ้าย) กรรมการบริษัท/ประธานกรรมการบริหาร/กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคณะกรรมการ บริษัท ยงคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ YONG จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติทุกวาระตามที่คณะกรรมการเสนอ พร้อมทั้งการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2566 (มกราคม-ธันวาคม 2566) ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 พฤษภาคม นี้ โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 ณ บริษัท ยงคอนกรีต จำกัด (มหาชน) สาขาบางเลน จ.นครปฐม

โดย YONG สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น และทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2567 บริษัทฯ มั่นใจในศักยภาพกำลังการผลิต ที่สามารถส่งมอบงานดีมีคุณภาพได้ตรงตามกำหนด พร้อมรับรู้รายได้ต่อเนื่อง อีกทั้งยังเดินหน้าก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ ที่จังหวัดระยอง เพื่อเปิดโอกาสในการเติบโต เพิ่มยอดขาย ขยายฐานลูกค้าในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปัจจุบัน YONG มีมูลค่างานรอส่งมอบ (Backlog) อยู่ที่ 524 ล้านบาท ประกอบด้วยงานผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีต 361 ล้านบาท และงานรับเหมาติดตั้งโครงสร้างสำเร็จรูป 163 ล้านบาท โดยตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน

“บมจ.สโตนวัน หรือ STX” เคาะราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 3.00 บาท เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 18,19 และ 22 เมษายนนี้ มั่นใจนักลงทุนตอบรับดี จากปัจจัยพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ชูจุดเด่นหินเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยโครงการเหมืองของบริษัทอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่มีการลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมกะโปรเจ็กต์ EEC เงินระดมทุนครั้งนี้ ใช้ลงทุนในธุรกิจเหมืองหินและแร่ รวมทั้ง ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นผู้ประกอบการเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาด mai ปักธงเทรด 26 เมษายน 2567 หมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 65 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 21.16% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 ราย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด

นายพงศ์ภัค สุทธิพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ของ STX ที่หุ้นละ 3.00 บาท จะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 18,19 และ 22 เม.ย. นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 26 เมษายน 2567 ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 3.00 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) เท่ากับ 19.10 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ทั้งนี้ STX พิจารณานำ P/E ของ คู่เทียบในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระยะเวลา 12 เดือนย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 มาเป็นข้อมูลประกอบการเปรียบเทียบ

ชู STX เป็นบริษัทชั้นนำ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 27 ปี ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง และยังมีจุดเด่นที่สำคัญ คือ มีฐานะการเงินที่มั่นคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.18 เท่า และมีส่วนของทุนสูงถึงกว่า 600 ล้านบาท จึงมีศักยภาพสูงในการขยายธุรกิจ โดยภายหลังจากการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นที่ยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

นายทรงวุธ เวชชานุเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 172.30 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายธุรกิจเหมืองหินและแร่ ในการเข้าซื้อเหมืองใหม่

และลงทุนในเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จำนวนเงินที่ใช้โดยประมาณ 150 ล้านบาท

นอกจากนี้ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ จำนวนเงินที่ใช้โดยประมาณ 22.30 ล้านบาท เพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต และมั่นใจว่าหลังจากระดมทุนครั้งนี้ จะสนับสนุนฐานทุนบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับขยายไปยังโอกาสใหม่ๆ ให้ผู้ถือหุ้นทุกท่านร่วมเติบโตไปกับเรา

โดย STX วางเป้าหมายที่จะขยายแหล่งวัตถุดิบและการผลิตในอนาคต ต่อยอดธุรกิจหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยการเข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองหินที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว หรือการพัฒนาเหมืองหินใหม่ ซึ่งอยู่ในที่ตั้งที่เหมาะสม พร้อมด้วยเจตนารมณ์การทำเหมืองอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้น ด้วยหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยบริษัทได้รับรางวัลมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแร่ (CSR-DPIM) รางวัลเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining) มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2556 และรางวัล Green Industry อุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ มีการติดตามประเมินผล และทบทวนเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ มีกําไรสุทธิ 38.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.48 ล้านบาท หรือ 76.5% สาเหตุหลักจากการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นในปี 2566 มีรายได้รวม 371.29 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 32.8% โดยปัจจัยที่ช่วยผลักดันการเติบโตดังกล่าวมาจากรายได้การขายหินแกรนิต 20 มม. ของเหมืองหนองข่าสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง กลับมาทําการผลิตดังเดิม รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทที่เหมืองจอมบึงที่เป็นโดโลไมต์ผง โดยมีการจําหน่ายให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมกระจกและอุตสาหกรรมซีเมนต์ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (Valued added) และเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าไปยังอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น สนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 31.26% อัตรากำไรสุทธิ 10.24%

ทั้งนี้ ปัจจุบัน STX ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง และแร่โดโลไมต์ รวมทั้ง การให้บริการขนส่ง ให้บริการด้านขนส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าที่ไซต์งานอย่างครบวงจร ปัจจุบัน บริษัทและบริษัทย่อย มีเหมืองหิน 2 แห่ง ประกอบด้วย เหมืองหนองข่า (ผลิตและจำหน่ายหินแกรนิต) ตั้งอยู่ที่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และเหมืองจอมบึง (ผลิตและจำหน่ายหินปูนและแร่โดโลไมต์) ตั้งอยู่ที่ อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี โดยเหมือนหินทั้ง 2 ที่ของบริษัท ระยะทางห่างกันเกินกว่า 150 กิโลเมตร ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ทางด้านการขายของบริษัท โดยเหมืองหินแกรนิตซึ่งตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกของประเทศ จะสามารถจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าแถบจังหวัดชลบุรี ซึ่งรวมถึงพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC และพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียง ในส่วนของเหมืองหินจอมบึงซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศ ถือได้ว่าเป็นเหมืองหินขนาดใหญ่ในพื้นที่ สามารถจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าแถบจังหวัดราชบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง รองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง

เปิดกลยุทธ์การลงทุนเดือนเมษายน จับทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทองคำ ที่อาจมีย่อตัวลงหลังไตรมาสแรกราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก นักลงทุนรุ่นใหม่มองเป็นโอกาสเข้าลงทุนระยะยาว เพราะแนวโน้มยังเป็นขาขึ้น แนะรอจังหวะสะสมเมื่อราคาปรับตัวลง ส่วนบิทคอยน์มีโอกาสดีดตัวขึ้นรับ Bitcoin Halving ที่จะเกิดขึ้นในเดือนนี้ หนุนราคาเหรียญทางเลือก (Altcoin) ปรับตัวขึ้นตาม

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ ให้มุมมองว่า เดือนเมษายนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกามีโอกาสจะเข้าสู่รอบปรับฐาน หลังจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทุกดัชนีมีการปรับตัวขึ้นได้ในระดับเกือบเลขสองหลักและสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ ทั้งนี้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของดัชนีจากการที่หุ้นขนาดใหญ่บางตัว เช่น APPLE และ TESLA ถูกเทขาย เพราะมีความกังวลเรื่องผลประกอบการ และตลาดเริ่มกลับมากังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะไม่ลดดอกเบี้ยรวม 3 ครั้งในปีนี้ ตามที่ประกาศไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจยังเติบโตต่อเนื่อง และเงินเฟ้อยังไม่ลงมาถึงเป้าหมายระดับ 2% ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง

สำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ และมีกำไรแล้วระดับหนึ่งสามารถที่จะขายทำกำไร และรอให้ราคาปรับฐานลงก่อนเข้าไปลงทุนใหม่อีกครั้งได้ เพราะภาพใหญ่ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นขาขึ้น รวมถึงผลประกอบการของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ยังได้กระแสของเอไอหนุน แต่ราคาหุ้นในปัจจุบันค่อนข้างที่จะพรีเมียมแล้ว การที่ราคาปรับฐานลงในระดับ 10% ถือเป็นจังหวะดีที่จะเข้าลงทุน

ขณะที่ “ทองคำ” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนโดดเด่นในเดือนที่ผ่านมาจนราคาสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งค่า น่าจะมีเหตุผลมาจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ประกอบกับมีแรงซื้อจากประเทศจีนที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่การที่ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเร็วและใกล้จะถึงเป้าหมายแนวต้านแล้วทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น

“แนวโน้มหลักของทองคำยังคงเป็นขาขึ้น และมีโอกาสจะแตะแนวต้านระยะยาวที่ระดับ 2,800 ดอลลาร์ ได้ แต่ระยะสั้นในระดับราคาที่เริ่มจะชนแนวต้านแรกที่ 2,360 ดอลลาร์ มองเป็นโอกาสขายทำกำไรระยะกลาง สำหรับผู้ที่ถือมาตั้งแต่ต้นทางและรอจังหวะที่จะเข้าไปซื้อใหม่อีกครั้งที่แนวรับ 2,150 ดอลลาร์ และ 2,076 ดอลลาร์”

ทางด้าน “บิทคอยน์” ที่เคยร้อนแรงในช่วงไตรมาสแรกเริ่มที่จะมีการพักฐาน และเคลื่อนไหวแบบออกข้างมาได้ระยะหนึ่ง ในเชิงพื้นฐานยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อโดยมีเหตุการณ์ที่มาช่วยหนุนนั่น คือการเกิด Bitcoin Halving ในช่วงวันที่ 20 เมษายนนี้ แม้ว่าราคาบิทคอยน์จะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ก่อนที่จะมี Halving ซึ่งแปลกไปจากรอบขาขึ้นครั้งก่อน ๆ แต่การที่มี Bitcoin Spot ETF จะเป็นตัวเร่งทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในบิทคอยน์เพิ่มมากขึ้น

“ต้นทุนเฉลี่ยของนักลงทุนที่ซื้อบิทคอยน์ผ่าน Spot ETF อยู่แถวราคา 50,000 ดอลลาร์ เทียบกับราคาตลาดปัจจุบันยังถือว่าไม่สูงมากนักที่จะมีแรงเทขายหนัก ๆ เข้ามา ประกอบกับแรงขายบิทคอยน์ใน Grayscale Bitcoin ETF เริ่มลดลง และแรงซื้อผ่านกองทุนของ Blackrock เริ่มกลับเข้ามา จึงเป็นโอกาสที่จะทยอยเข้าสะสมบิทคอยน์ในช่วงที่ราคายังนิ่ง โดยหากสามารถผ่านจุดสูงสุดเดิมที่ 74,000 ดอลลาร์ ไปได้ มีโอกาสที่จะขึ้นทดสอบแนวต้าน 82,000 ดอลลาร์ ขึ้นไปได้เป็นอย่างน้อย”

ขณะที่ “อีธีเรียม” ซึ่งเป็นเหรียญใหญ่อันดับสองที่กำลังมีข่าวกำลังถูกพิจารณาจัดตั้งกองทุน Spot Ethereum ETF มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะยังไม่ได้รับการอนุมัติตามที่คาดหวังไว้ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ถึงอย่างไรพื้นฐานของอีธีเรียมยังคงเติบโตได้ดี และมีโอกาสจะเป็นผู้นำตลาดเหรียญทางเลือก หรือ Altcoin อื่น ๆ ที่จะปรับตัวขึ้นในช่วงหลังจากนี้ ถ้าหากบิทคอยน์เริ่มประคองตัวอยู่ในโซนราคาที่สูงแล้ว โดยระยะสั้นจับตาแนวรับของบิทคอยน์ที่ 60,000 ดอลลาร์ ถ้าสามารถยืนระดับนี้ได้จะสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้

นายณพวีร์ กล่าวปิดท้ายว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ (10 เม.ย.) จะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ถ้าหากออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 3.4% อาจเป็นตัวเร่งกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่เริ่มมีความรุนแรงกลับเข้ามา แต่ภาพรวมไม่ถือว่าจะเกิดปัจจัยลบแรง ๆ ที่ทำให้ตลาดมีความผันผวนมากนัก การย่อตัวลงมาของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทองคำ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล คือโอกาสที่จะเข้าลงทุนได้

 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืนด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปจำนวน 5 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 1 ปี 3 เดือน ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [2.95 -4.50]% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ยังคงระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นทั้งด้านโทรคมนาคมและด้านเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 23 - 24 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 โดยมีธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “การดำเนินงานของทรู คอร์ปอเรชั่น ในปี 2566 ภายหลังการควบรวมเป็นบริษัทใหม่นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี รายได้เติบโตต่อเนื่องและความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น โดย EBITDA เติบโตขึ้นติดต่อกัน 4 ไตรมาส ในขณะที่สามารถรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) ได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 นี้ บริษัทมุ่งเน้นการเติบโตและการสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน อีกทั้งเรายังเป็นบริษัทไทยที่ได้คะแนนดัชนีความยั่งยืน DJSI สูงสุดอันดับหนึ่ง ในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)

ในปีนี้คาดว่ารายได้จากการให้บริการจะเติบโตประมาณ 3-4% สอดคล้องกับประมาณการณ์การเติบโตของ GDP ประเทศไทยและการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว รวมถึงแนวโน้มรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและรายได้จากกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทคาดการณ์ว่า EBITDA จะเติบโตขึ้น 9-11% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) การควบคุมต้นทุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และด้วยความสำเร็จที่พิสูจน์แล้วผ่านผลการดำเนินงานปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในปีนี้ได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพและการสร้างวัฒนธรรมและแนวทางการทำงานที่เป็นหนึ่งเดียว”

ทั้งนี้ ในไตรมาส 4 ปี 2566 ทรู คอร์ปอเรชั่น มียอดผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 5 แสนเลขหมายหรือคิดเป็น 1% จากไตรมาสก่อน ทำให้มียอดรวมผู้ใช้งานเป็น 51.9 ล้านเลขหมาย ณ สิ้นปี 2566 นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ โดยครอบคลุมประชากร 90% ทั่วประเทศพร้อมด้วยฐานผู้ใช้บริการ 5G ที่มากสุดถึง 10.5 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสที่ผ่านมา พร้อมทั้งทรูยังได้ครองแชมป์ประสิทธิภาพอินเทอร์เน็ตมือถือที่ดีที่สุดในประเทศไทย 8 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2559-2566 จากสถาบันทดสอบคุณภาพระดับโลกอย่าง nPerf ประเทศฝรั่งเศส นอกจากนี้ บริษัทยังได้วางเป้าเพิ่มรายได้และยกระดับบริการ 5G โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้บริการ 5G มากกว่า 16 ล้านรายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ต่อลูกค้า หรือ ARPU

บริษัทและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 ซึ่งตอกย้ำสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เสริมทัพด้วยโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศพร้อมด้วยชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการควบรวม (Synergies) รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต

หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 1 ปี 3 เดือน ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกระดับ นักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นยังคงสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 1 ปี 3 เดือน 2 ปี 6 เดือน หรือ 3 ปี 3 เดือน นักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี 3 เดือน หรือนักลงทุนท่านใดที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการดอกเบี้ยเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกจะลงทุนในรุ่น 10 ปี เพราะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหรือ Yield Curve ที่ปรับตัวลดลงหลังจากที่ธนาคารกลางประเทศหลักๆ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษ เริ่มส่งสัญญาณหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และบางประเทศเริ่มมีการพูดถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 หลังจากเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง ทำให้การลงทุนในหุ้นกู้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในช่วงที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ยังไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงๆ และ TRUE ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” ทั้งยังเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ด้วย

วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ในการชำระคืนหนี้คงค้าง และ/หรือ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการเติบโตของบริษัท โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 23 - 24 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป เสนอขายจำนวน 5 ชุด ดังนี้

1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.95 - 3.00]% ต่อปี

2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.45 - 3.55]% ต่อปี

3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 3 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.70 – 3.85]% ต่อปี

4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 5 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [4.00 – 4.20]% ต่อปี

5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [4.30 – 4.50 ]% ต่อปี ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่

• ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bualuang mBanking

• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 819 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

• ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai Digital Banking

• ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555

• บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004

 

สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

 “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เตรียมเสนอขายหุ้นกู้มีประกัน อายุ 2 ปี 6 เดือน ให้แก่นักลงทุนสถาบันและหรือนักลงทุนรายใหญ่ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.10% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยมีหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.30 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้ที่เสนอขาย อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทและหุ้นกู้ที่ระดับ “BB” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” โดยทริสเรทติ้ง คาดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 22-24 เมษายนนี้ นำทุนรุกแผนธุรกิจปี 2567 เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท และชำระคืนหุ้นกู้และเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ตั้งเป้ายอดขายกว่า 9,000 ล้านบาท และยอดโอนมากกว่า 3,000 ล้านบาทในปีนี้

ดร. สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “MJD” เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2567 เพื่อรองรับการเติบโตตามแผนธุรกิจปี 2567 โดยนำศักยภาพและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับลักชัวรี มาต่อยอดธุรกิจและพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในภาวะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมมีความท้าทายอย่างมาก โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์มิวนีค (MUNIQ) 2 โครงการ ใจกลางกรุงเทพฯ มียอดพรีเซล (Pre-sale) แล้วกว่า 4,400 ล้านบาท

 

หุ้นกู้ที่จะเสนอขายในครั้งนี้ เป็นหุ้นกู้มีประกัน ประเภทไม่ด้อยสิทธิ และมีหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.30 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้ที่เสนอขาย ซึ่งเป็นการเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบันและหรือนักลงทุนรายใหญ่ อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.10% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 โดยบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “BB” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่ (Stable)” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 และคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 22 – 24 เมษายน 2567 โดยจำนวนหุ้นกู้ที่เสนอขายไม่เกิน 1,000,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 1,000,000,000 บาท โดยมีหุ้นกู้สำรองอีก 250,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 250,000,000 บาท จำนวนหุ้นกู้ที่เสนอขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,250,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,250,000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท

โดยในปี 2567 นี้ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เดินหน้าต่อตามแผนธุรกิจ โดยได้เปิดตัวโครงการใหม่แล้ว มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดมีเนียมระดับลักชัวรี 2 โครงการ คือ โครงการมิวนีค พร้อมพงษ์ (MUNIQ Phrom Phong) และโครงการมิวนีค เจริญกรุง (MUNIQ Charoen Krung) และโครงการอื่นๆที่กำลังจะเปิดตัวภายในปีนี้อีกหลายโครงการ ตั้งเป้ายอดขายกว่า 9,000 ล้านบาทและเป้าหมายยอดโอนมากกว่า 3,000 ล้านบาทในปี 2567 ภายใต้กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กรให้เปลี่ยนสถานะจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สู่การเป็นผู้พัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกมิติ

นักลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้มีประกัน สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่าน 7บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ได้แก่

· บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด โทรศัพท์ 02-249-2999

· บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทรศัพท์ 02-680-4004

· บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทรศัพท์ 02-695-5000

· บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 02-658-5050

· บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 02-660-6624

· บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด โทรศัพท์ 02-687-7543

· บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 02-659-5272-73

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

หมายเหตุ : บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ การจัดสรรเป็นไปตามที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายกำหนด รายละเอียดเป็นไปตามเงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน

Page 1 of 8
X

Right Click

No right click