×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 802

บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ SYNEX ดิสทริบิวเตอร์ผู้นำด้านไอทีอีโคซิสเต็ม เดินหน้าสร้างการเติบโตด้วยสินค้าและบริการครบวงจร ชูการบริหารจัดการ Product Mix ปรับสัดส่วนพอร์ตสินค้าที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ด้านผลงานปี 66 มีรายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่เกือบ 36,554 ล้านบาท กำไร 513 ล้านบาท ซึ่งเติบโตในกลุ่มสินค้าคอมเมอร์เชียล มือถือ และเกมมิ่ง ขณะที่กลุ่มคอนซูเมอร์ได้รับผลกระทบจากปัจจัยสภาวะตลาด แต่เชื่อมั่นว่าปีนี้จะกลับมาดีขึ้น ด้านบอร์ดไฟเขียว อนุมัติการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.26 บาท กำหนดจ่ายวันที่ 8 พ.ค.นี้ หนุนทั้งปี 66 จ่ายเงินปันผลรวมในอัตราหุ้นละ 0.36 บาท ตอบแทนผู้ถือหุ้นที่เชื่อมั่น

นางสาวสุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2566 ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี บริษัทเน้นบริหารจัดการกลุ่มสินค้าให้มีประสิทธิภาพ โดยโฟกัสสินค้ากลุ่มคอมเมอร์เชียลที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งมีสัดส่วนรายได้เป็น 22% จาก 20% ในปี 2565 และกลุ่มอุปกรณ์และเครื่องมือสื่อสารที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 40% จากปีก่อนอยู่ที่ 36% ขณะที่ สินค้ากลุ่มคอนซูเมอร์คาดสัดส่วนรายได้จะปรับลดลงอยู่ที่ 37% จากเดิม 42% เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงกลุ่มสินค้าคอนซูเมอร์ที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง

สำหรับภาพรวมปี 2566 ซินเน็คฯ รายงานผลการดำเนินงาน มีรายได้จากการขายและให้บริการ 36,553.57 ล้านบาท ลดลง 6.47% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยสามารถรักษาการเติบโตที่ดีของสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์และเครื่องมือสื่อสารที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากยอดขายสินค้าแบรนด์ Apple และการเติบโตอย่างมากของสมาร์ทโฟนแบรนด์ HONOR ที่บริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว ที่มียอดขายมากกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับสินค้ากลุ่มคอมเมอร์เชียล ยังเติบโตจากกลุ่มสินค้าเน็ตเวิร์ค ทั้ง CISCO และ HUAWEI รวมถึงอุปกรณ์ IoT ในกลุ่มกล้องวงจรปิดทั้งในแบรนด์ HIKVISION และ DAHUA อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ได้รับปัจจัยกระทบจากสภาวะโดยรวมของตลาดที่ส่งผลถึงกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะสินค้าคอนซูเมอร์ ประเภทคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์ประเภทอุปกรณ์ชิ้นส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เป็นผลให้รายได้สินค้ากลุ่มนี้ลดลง 16.29% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ด้านกำไรขั้นต้น อยู่ที่ 1,470.20 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 4.02% ลดลงจากปีก่อน 4.60% ซึ่งสาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงในเกือบทุกกลุ่มสินค้า ทำให้ผู้จัดจำหน่ายมีข้อจำกัดในการกำหนดราคาขายของสินค้า อย่างไรก็ดีบริษัท ได้ปรับแผนกลยุทธ์ในการมุ่งเน้นและเพิ่มกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น เช่น สินค้ากลุ่มเกมมิ่ง เป็นต้น เพื่อให้สามารถดำรงอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและแข่งขันได้

 สำหรับกำไรสุทธิ อยู่ที่ 513.3 ล้านบาท ลดลง 302.77 ล้านบาท หรือ 37.10% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุจาก ยอดขายและกำไรที่ลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย เนื่องจากการขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นตามไปด้วย รวมถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงจากความผันผวนอย่างมากของค่าเงินบาท ซึ่งบริษัทฯ ยังคงประเมินความเสี่ยงและติดตามสถานการณ์ดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด และใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆในการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบจากดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน

อย่างไรก็ดี ทิศทางภาพรวมกลุ่มสมาร์ทโฟนยังคงเติบโตเป็นไฮไลท์ที่น่าจับตามอง หลังจากในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 แบรนด์ชั้นนำต่างๆ มีการเปิดตัวสินค้ารุ่นเรือธงที่นำมาซึ่งนวัตกรรมใหม่ๆ และเทรนด์ AI Phone ที่เขย่าตลาดสมาร์ทโฟนได้อย่างน่าสนใจ และกลุ่มสินค้าคอมเมอร์เชียล (Commercial) ที่มองว่า จะยังรักษาการเติบโตที่ดี ส่วนสินค้ากลุ่มคอนซูเมอร์ (Consumer) แม้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในปี 2566 กำลังซื้อลดลง แต่มองว่า ยังคงเป็นสินค้าจำเป็นและมีความต้องการเข้ามาตามยุคสมัยและความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จึงมองว่า ในปี 2567 สินค้ากลุ่มนี้มีโอกาสที่จะกลับมาฟื้นตัว โดยโค้งแรกของปีได้รับอานิสงส์จากโครงการกระตุ้นของภาครัฐต่างๆ อาทิ โครงการลดหย่อนภาษี (Easy E-receipt) ในไตรมาส 1/2567 และโครงการอื่นๆในอนาคตที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคให้เติบโตได้ และด้วยรากฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งของซินเน็คฯ และความเชื่อมั่นภายใต้ตราสัญลักษณ์ “Trusted By Synnex” ที่รับประกันสินค้าไอทีกว่า 70 แบรนด์ชั้นนำระดับโลก ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยศูนย์บริการทั่วประเทศที่ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า เมื่อซื้อสินค้าของซินเน็คฯ จะอุ่นใจได้ตลอดการใช้งานอย่างแน่นอน

“ในปี 2567 นี้ ซินเน็คฯ มองว่าเป็นอีกปีที่ท้าทายในการบริหารงานในช่วงการฟื้นตัวของเศษฐกิจและภาพรวมของอัตรากำไรขั้นต้นของสินค้าไอที แต่เราก็คาดว่าน่าจะเห็นทิศทางที่ดีขึ้น จากการปรับกลยุทธ์การบริหาร Product Mix เพื่อปิดความเสี่ยง อีกทั้งการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไอทีของผู้บริโภคตามอายุการใช้งานตั้งแต่ช่วงของโควิด-19 และอัพเดตสินค้าตามเทรนด์ต่างๆ ซึ่งเราพร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าของเรา และนำมาซึ่งการเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้” นางสาวสุธิดา กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.36 บาท คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 305.05 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 ไปแล้วเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.1 บาท โดยจะจ่ายปันผลส่วนที่เหลือ ในอัตราหุ้นละ 0.26 บาท ซึ่งกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 20 มีนาคม 2567 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 19 มีนาคม 2567 และจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อน ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 23 เมษายน 2567

“สุพันธุ์ มงคลสุธี” เปิดเผยกับนิตยสาร MBA หลังเข้ารับตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จากบทบาทเดิม ที่นั่งแท่นประธานกรรมการ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และสร้างความสำเร็จให้ธุรกิจด้วยวิธีคิดปรับตัวรับเทคโนโลยีมาโดยตลอด

เช่นเดียวกับวิสัยทัศน์ เพื่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม Thailand 4.0 นี้ เขามองถึงการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม ที่ต้องเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งมีปัจจัยหลากหลาย ทั้งการแข่งขันในต่างประเทศ และกระแสดิจิทัลที่รุกเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง นอกจากนั้นการที่มีระบบไอทีเข้ามาเกี่ยวข้องยังทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคในทุกสายอุตสาหกรรมเปลี่ยนไป ระบบที่รวดเร็วของโซเชียลเน็ตเวิร์ก การซื้อขายสินค้าออนไลน์ การออกสินค้าใหม่จึงต้องทำให้ผู้คนสนใจ และสร้างความนิยมอย่างรวดเร็ว

สุพันธุ์ ยกตัวอย่างให้เห็นถึงความสำเร็จที่ผ่านพร้อมเผยถึงแนวคิดต่อไปว่า

“เรามองมานานแล้ว มอง Technology Trend เป็นหลัก เพราะการที่เราอยู่ในวงการที่ใกล้เทคโนโลยีมากที่สุด ทำให้เห็นทิศทางของเทคโนโลยีว่าจะไปทางใด เราจึงปรับตามได้อย่างทันเวลา มองว่าเทรนด์จะมาแบบไหน ตั้งแต่เรื่องโทรศัพท์มือถือ จนเมื่อ 4.0 เข้ามาเราก็มีบริษัทที่รองรับ Hardware ทางด้าน 4.0 หรือกระทั่ง
เรื่องของโดรนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการเกษตร การผลิต Entertainment เป็นต้น ยังมีเรื่องของ Database ก็มีอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งหลาย ตั้งแต่การเก็บรักษาข้อมูล อุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์เชื่อมต่อ ไปจนถึงอุปกรณ์ที่ตอบสนองเรื่องของ Smart home Solution ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังมาในอนาคต เรียกว่าเราสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมในทุกอุตสาหกรรม”

สิ่งที่สำคัญ คือ ยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรมไทยจะต้องเตรียมตัวรับมือกับการบริโภคและการผลิต ซึ่งมีเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเริ่มตั้งแต่เปลี่ยนรูปแบบการผลิต (Production) ต่างๆ ให้สอดคล้องกับแนวโน้ม ที่สถานการณ์ความต้องการแรงงานของภาคการผลิตลดลง และมีการใช้เครื่องจักรเข้ามาทดแทน รวมทั้งการเสริมศักยภาพให้กับสินค้าในทุกอุตสาหกรรมเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรม นั่นเพราะการขาดนวัตกรรม คงไว้แต่สินค้าเดิมถือเป็นจุดอ่อนทำให้
เดินหน้าต่อไปได้ยาก

ระบบการผลิตจึงต้องสอดคล้องกับนวัตกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งมีการประเมินกันว่าภายใน 3 ปีข้างหน้าเราจะเห็น Production line ในโรงงานทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และด้วยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบไอที และระบบเซนเซอร์ของเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต มีราคาลดลงเกินกว่าครึ่งจากในอดีต จึงทำให้ผู้ประกอบการหันมาลงทุนเพิ่ม
ในเทคโนโลยีทางการผลิตที่มีแนวโน้มราคาถูก ซึ่งสวนทางกับค่าแรงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตแล้ว ต้นทุน (Costing) และคุณภาพ (Quality) เป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นการใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วย จะทำได้ง่ายกว่าการใช้แมนพาวเวอร์ในหลายๆ เรื่อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้
เป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมขนาดเล็กต้องเตรียมตัว หันไปมองว่าจุดแข็ง (Strength) ของเราคืออะไร ขณะที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่นั้นมีการนำร่องไปในทิศทางนี้อย่างแน่นอนแล้ว

ตัวอย่างประเทศของเรานั้นมีจุดแข็งที่การเกษตร สิ่งที่ทั่วโลกมองเข้ามาที่ประเทศเรานั้นเป็นเรื่องของอาหาร ซึ่งวิธีการปรับตัวที่ง่ายที่สุดของคนในอุตสาหกรรมอาหาร คือ การพยายามหาเทคโนโลยีและวิธีการเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทางด้านอาหารขึ้นมา จะสังเกตได้จากงาน Food ทั้งหลายผลิตภัณฑ์ของไทยใกล้จะถึงระดับ World Class แล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ในระดับอาเซียนอีกต่อไป ทั่วโลกให้ความสนใจในอาหารของไทย มีการตอบรับที่ดี ถือว่ามีข้อได้เปรียบตั้งแต่วัตถุดิบ แต่ต้องไม่จำกัดการทำแต่เพียงต้นน้ำ คือ การจำหน่ายแค่เพียงวัตถุดิบคือสินค้าการเกษตร แต่ต้องพยายามทำการแปรรูปไปจนถึงกลางน้ำและปลายน้ำให้ได้

รับมือกับ Technology Disruption อย่างไร

ในบทบาทของประธานสภาอุตสาห-กรรมแห่งประเทศไทย ยังมองเห็นว่า การต่อยอดจากจุดแข็งเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับ Disruption ของเทคโนโลยีนั้น รัฐบาลต้องเข้ามาสนับสนุนเรื่องของ R&D (การวิจัยและพัฒนา) อย่างเต็มรูปแบบ โดยทำร่วมกับภาคการศึกษา เพื่อการวิจัยและพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการ SME มีโอกาสนำไปใช้เสริมศักยภาพให้ธุรกิจเดินหน้าไปอย่างมั่นคงและมีความยั่งยืน

“เพราะลำพัง SME เอง จะไม่มีกำลังที่เพียงพอในการลงทุนพัฒนา เพียงแต่อาจจะมีไอเดีย ดังนั้นรัฐบาล ภาคการศึกษา และภาคเอกชนต้องทำงานร่วมกัน เพื่อการพัฒนาสินค้า สำหรับในส่วนของภาคการผลิต รัฐบาลก็ต้องสนับสนุน Financing Knowhow เพื่อให้ SME ตามให้ทัน ให้มีความเข้าใจเครื่องมือต่างๆ ทางด้าน Production ของ Industry 4.0 เมื่อมีความเข้าใจในเทคโนโลยี ตระหนักถึงการลงทุนทางเครื่องจักร ก็จะต้องมีความเข้าใจทาง Financing”

เรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนา SME คือเรื่องของผลิตภัณฑ์ ที่ต้องมี
นวัตกรรมเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อดึงดูดผู้ซื้อให้ได้ จากนั้นคือเรื่องของการผลิต เรื่อง Finance และการทำ R&D ซึ่งต่างเป็นเรื่องที่สำคัญและสอดคล้องกัน การใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพื่อควบคุมต้นทุน และควบคุมคุณภาพ เพื่อให้ได้คุณภาพเป็นมาตรฐาน ในกรณีที่มีการขยายจำนวนการผลิต

เพราะจากการศึกษาหาข้อมูลถึงปัญหาส่วนใหญ่ของ SME ในอดีต คือ ไม่สามารถควบคุมคุณภาพให้คงที่ได้ เมื่อมีจำนวนการผลิตมากขึ้น ซึ่งความพร้อมในวันนี้ ทุกคนมีความตื่นตัวตั้งแต่เรื่องของการลดค่าใช้จ่าย (Cost saving) การผลิต (Production) และการหาเครื่องมือและอุปกรณ์ (Equipment) ใหม่ๆ เข้ามาเสริมสร้างศักยภาพทำให้ผลผลิตที่ออกมามีคุณภาพและมีความโดดเด่นเป็นที่ต้องการของตลาด

อุตสาหกรรมดาวรุ่งและเข้มแข็งของไทย

โดยเฉพาะการโฟกัสไปที่ อุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งถือว่าเป็นดาวรุ่งของอุตสาหกรรมไทย และแม้ว่าดาวรุ่งใน GDP หลักของประเทศจะอยู่ในส่วนของยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ก็ตาม แต่จำนวนผู้ประกอบการยังคงมีไม่มากนัก และตามที่ทราบกันดีว่า เทคโนโลยีกำลังอยู่ในระหว่าง Disruption เช่น ยานยนต์ที่จะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เช่นระบบไฟฟ้า หรือยานยนต์ไร้คนขับ

ในขณะที่ “อุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่ SME ไปได้ง่ายที่สุด” ไม่ต้องมีการลงทุนที่สูงมาก การขยายสามารถค่อยเป็นค่อยไปได้

อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและสุขภาพ เป็นอีกอุตสาหกรรมที่เป็นดาวรุ่งและมีโอกาสเติบโต นั่นเพราะวันนี้กระแสการก้าวสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) กำลังเข้ามาอย่างชัดเจน เรามีวัตถุดิบในประเทศที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อีกมาก โดยเฉพาะวันนี้ตลาดเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรของเราก็ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ทั้งในด้านมาตรฐาน และความปลอดภัย จึงมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับอาเซียน รวมไปถึงสินค้าประเภทไลฟ์สไตล์ต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ Aroma Therapy ศาสตร์ที่ใช้น้ำมันหอมระเหยบำบัดเป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมเข้มแข็งเป็นส่วนของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตามที่กล่าวว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก รวมไปถึงอุตสาหกรรมเกษตร ที่เป็นพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรักษาไว้ให้ได้ โดยวันนี้รัฐบาลก็มีนโยบาย EEC: Eastern Economic Corridor หรือ โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ที่เป็นแผนยุทธศาสตร์ต่างประเทศภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ที่ต่อยอดความสำเร็จมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Seaboard เข้ามานั้น มีเรื่องของ 10 อุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก S Curve ที่เป็นอุตสาหกรรมเก่า 5 และใหม่ 5 ถือว่ามาถูกทาง แต่ที่สำคัญคือจะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมในประเทศมีส่วนร่วมอย่างไร

ปัจจัยในความสำเร็จของอุตสาหกรรมเข้มแข็ง

สุพันธุ์ มองว่านอกจากเรื่องของผลิตภัณฑ์ เป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของ "คนที่มีอยู่ต้องเรียนรู้ว่าเทคโนโลยีนั้นเปลี่ยนไป" Skill set ต้องเปลี่ยน วันนี้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยเพราะเราพร้อมทุกอย่าง ขาดแต่เพียงเรื่องของคน

“ที่น่าเป็นห่วงคือเราขาดแคลน Engineer การสนับสนุนเรื่องนี้ต้องทำตั้งแต่การปรับปรุงด้านพื้นฐานการศึกษา ไม่ใช่ส่งเสริมให้จบแค่ปริญญาตรี เรื่องสาขานั้นเป็นสิ่งสำคัญ หรือหากไปต่อถึงปริญญาตรีไม่ไหวก็ต้องสนับสนุนไปในสายอาชีวะแทน ยกตัวอย่างวันนี้มีเด็กที่จบสาขาสังคมเป็นจำนวนมากเกินกว่าดีมานด์ในตลาด ในขณะที่เมกะเทรนด์ของวันนี้คือ engineer และไอที ซึ่งมีดีมานด์เป็นจำนวนมากและต่อเนื่อง เพราะดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้องในทุกอุตสาหกรรม”

การที่เทคโนโลยีมีผลให้อุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงเร็วนั้น เราต้องตามเทคโนโลยีให้ทัน เพราะวิวัฒนาการที่ทำให้สินค้าใหม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ไลฟ์ไทม์ของผลิตภัณฑ์นั้นสั้นลง

ซึ่งในอีกแง่มุมหนึ่งก็ต้องพร้อมรับความเสี่ยง (Take risk) ภาคอุตสาหกรรมวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ ต้องมีการปรับตัว สร้างโอกาสในการออกไปดูงาน ศึกษาผลิตภัณฑ์ งาน R&D ต้องทำอย่างหนักและต่อเนื่อง

ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่ดำเนินการเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว องค์กรขนาดเล็กจำเป็นต้องพึ่งภาครัฐ เช่นกระทรวงวิทยาศาสตร์ และภาคการศึกษาเข้ามาช่วยในเรื่องของงานวิจัยอย่างเหมาะสม ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับภาคเอกชนทั้งขนาดใหญ่และสตาร์ตอัพ

“เชื่อว่าการเตรียมการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมียุทธศาสตร์ที่มีความชัดเจนตามที่กล่าวมานั้น จะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่สำคัญทำให้ผู้ประกอบการ SME ไทยมีความสำเร็จในธุรกิจ และมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งตาม GDP ในวันนี้สัดส่วนของ SME ไทยมีเพียง 30% จากภาพอุตสาหกรรมรวม ซึ่งที่เหมาะสมนั้นควรจะอยู่ที่ 40% ขึ้นไป” 

X

Right Click

No right click