หลายคนคงเคยได้ยินว่าคนอ่านหนังสือน้อยลง และหนังสือกำลังจะหมดความนิยม แต่จากผลสำรวจการอ่านของประชากรไทย ประจำปี 2561 จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า คนไทยใช้เวลาอ่านในการอ่านเฉลี่ย 80 นาทีต่อวัน เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมาในปี 2558 อยู่ที่ 66 นาทีต่อวัน โดยหนังสือเล่มยังคงเป็นสื่อที่คนนิยมอ่านมากที่สุดตามมาด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั้งสื่อออนไลน์ เว็บไซต์ อีบุ๊ค เป็นต้น สอดคล้องกับพฤติกรรมการอ่านที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของเทคโนโลยีในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีที่คนไทยยังให้ความสำคัญกับ “การอ่าน” เพราะเป็นทักษะพื้นฐานที่จะช่วยพัฒนาความรู้ ความคิค ช่วยเปิดโลกทัศน์และกระตุ้นการสร้างแรงบันดาลใจโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่อยู่ในช่วงวัยแห่งการเรียนรู้

บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ อินทัช เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าวจึงส่งเสริมและสนับสนุนให้เยาวชนไทยเห็นคุณค่าของการอ่านผ่าน โครงการ จินตนาการ สืบสาน วรรณกรรมไทยกับอินทัช ที่ดำเนินโครงการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2550 ตลอดระยะเวลา 12  ปีที่ผ่านมา เยาวชนทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการกว่า 16,000 คนได้อ่านวรรณกรรมหลากหลายประเภททั้งพระราชนิพนธ์ วรรณกรรมพื้นบ้าน วรรณกรรมในชั้นเรียน วรรณกรรมร่วมสมัย รวมถึงวรรณกรรมที่ได้รับรางวัลต่างๆ มากมายรวมแล้วกว่า 2,000 เรื่อง จากเรื่องราวต่างๆ ที่ร้อยเรียงเป็นตัวหนังสือถูกถ่ายทอดและสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะที่มีสีสัน สะท้อนถึงจินตนาการของผู้รังสรรค์ผลงานในมิติที่หลากหลาย ดังเช่นผลงานของผู้ชนะเลิศจากการประกวดในปีที่ 12 ที่ได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี

ผลงานชิ้นแรกชื่อ “สุขสุดของปวงไทย” จากวรรณกรรมเรื่อง “ความสุข ความทรงจำในรัชกาลที่ 9” ของนางสาวพิสชา  พ่วงลาภ หรือ น้องพิม อายุ 19 ปี เยาวชนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ระดับอุดมศึกษา ถ่ายทอดความรู้สึกประทับใจที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทย ฝากถึงเพื่อนๆ ที่จะส่งผลงานเข้าประกวดว่า “ให้สร้างสรรค์ผลงานที่เป็นตัวของตัวเอง ใช้เทคนิคที่ตนเองถนัด ทำแล้วมีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงรางวัล แต่ทำผลงานให้สุดความสามารถแล้วจะได้ผลงานที่ทรงคุณค่า น่าสนใจ เพราะผู้ชมสามารถสัมผัสได้ถึงความสุขจากการชมผลงานของเรา

อีกหนึ่งผลงานชื่อ “อีสาน” จากวรรณกรรมเรื่อง “อีสานบ้านเฮา” ของนายธนาธิป นาฉลอง หรือ น้องติ๊ก อายุ 17  ปี ได้รับรางวัลชนะเลิศ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ถ่ายทอดกลิ่นอายของความเป็นชนบทบนผืนแผ่นดินอีสานในแง่มุมที่หลากหลาย กล่าวว่า “ผมรู้สึกดีใจ และภูมิใจที่ได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากพระองค์ท่าน ผมได้พัฒนาฝีมือ ได้สร้างสรรค์งานด้วยเทคนิควิธีการใหม่ๆ เพื่อถ่ายทอดผลงานให้ครอบคลุมเนื้อหาของวรรณกรรมให้ได้มากที่สุด และสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมอยากให้เกิดขึ้น คือ เมื่อคนดูภาพของผมแล้ว เขาอยากอ่านวรรณกรรมเรื่องที่นำมาถ่ายทอดเพื่อจะได้เข้าใจภาพได้ชัดเจนขึ้น สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจส่งผลงานเข้าประกวดอย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องรางวัล ให้คิดถึงโอกาสดีๆ ที่จะทำให้เราได้ฝึกฝน พัฒนาฝีมือ และทำให้หลงรักการอ่านมากขึ้น ”

สำหรับในปีนี้ อินทัช พร้อมเดินหน้าโครงการอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 โดยจัดการประกวดภาพวาดในหัวข้อ “บวร” ความสุข ความผูกพันของสังคมไทย เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนได้ตระหนักรู้ถึงบทบาท หน้าที่ และความสำคัญของ “บ้าน วัด โรงเรียน” (บวร) ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสามเสาหลักที่ยึดโยงความสัมพันธ์ของคนในสังคมไทยเข้าไว้ด้วยกัน เป็นกลไกให้คนในชุมชนร่วมกันคิด ร่วมกันพัฒนา และบริหารจัดการชุมชนของตนเองให้เข้มแข็ง  ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี และทุนการศึกษาสำหรับเยาวชน และสถาบันการศึกษาที่สนับสนุนให้เยาวชนส่งผลงาน รวมมูลค่ากว่า 1.4 ล้านบาท สำหรับคณะกรรมการตัดสินทางโครงการได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งด้านวรรณศิลป์ และทัศนศิลป์ นำทีมโดย ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ และอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พร้อมด้วยคณาจารย์อีกหลายท่าน ได้แก่ อาจารย์ปัญญา วิจินธนสาร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์, ดร.สังคม  ทองมี ผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร, อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิตไทย, คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ (ทมยันตี) ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และคุณธวัชชัย สมคง บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร Fineart

น้องๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงอุดมศึกษา สามารถศึกษารายละเอียด และติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.intouchcompany.com , FB : intouchstation หรือ Line ID : Jintanakarn.intouch เปิดรับผลงานตั้งแต่วันนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2562 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 082-796-1670-1 หรือ 02-118-6953 สแกน QR Code เพื่อดาวน์โหลดใบสมัคร หนังสือรับรองผลงาน และตัวอย่างวรรณกรรมแนะนำได้ตามด้านล่าง

บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ("พรูเด็นเชียล ประเทศไทย") เปิดตัวแบรนด์แคมเปญ “We DO” เพื่อเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงต่อลูกค้าภายใต้แนวคิด “เรารับฟัง เพื่อเข้าใจ และลงมือทำ”  ซึ่งเป็นแนว คิดใหม่ล่าสุดที่สะท้อนถึงความมีชีวิตชีวาและภาพลักษณ์ที่ทันสมัย

“We DO” นับเป็นแบรนด์แคมเปญที่เราขอร่วมชื่นชมยืนดีกับการที่ผู้คนมีแรงผลักดันและทัศนคติเชิงบวกในการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งพรูเด็นเชียล ประเทศไทย มีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านประกันชีวิตควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิตของคนไทย

มร. อามัน คาพัว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบริหารลูกค้าและการตลาด พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า “แบรนด์แคมเปญ “We DO” แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการดูแลชีวิตลูกค้า เราจึงยังเดินหน้าเติมเต็มคำสัญญาของเราอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด  “เรารับฟัง เพื่อเข้าใจ และลงมือทำ”  โดยมุ่งให้ความสำคัญด้านการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ความเรียบง่าย และการนำเสนอนวัตกรรมรูปแบบใหม่ อีกทั้งยังเป็นคู่คิดที่มั่นคงตลอดทุกช่วงการดำเนินชีวิตของลูกค้า

แนวคิด  “เรารับฟัง เพื่อเข้าใจ และลงมือทำ”  มีความหมายดังนี้

  • มุ่งให้ความสำคัญต่อลูกค้าอย่างสูงสุด โดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก รวมถึงการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในการเข้าถึงข้อมูลและบริการได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
  • นำเสนอทางเลือกที่ครอบคลุมสำหรับการให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพ การออม และแผนการเกษียณอายุ
  • ส่งมอบนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการที่แตกต่างของลูกค้า

นอกจากนี้ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังมีกิจกรรมสำหรับพนักงานที่สอดคล้องกับแคมเปญ “We DO” ที่มุ่งกระตุ้นและสนับสนุนให้พนักงานมีสุขภาพที่แข็งแรง

“We DO” นับเป็นแบรนด์แคมเปญที่มีการใช้สื่อแบบผสมผสานและครอบคลุมทุกช่องทางการสื่อสารใน 10 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรวมถึงประเทศไทย โดยแนวคิดหลักในการนำเสนอแคมเปญนี้ คือเรื่อง นวัตกรรม การเงิน และสุขภาพ ที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มครองแบบครบวงจรทั้งด้านสุขภาพและการวางแผนการลงทุน สำหรับภาพยนตร์โฆษณาสามารถรับชมได้ที่ https://youtu.be/uQK2JxRQbsQ

 

 

บริษัท เวิลด์ ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ “เอ็ม-จอย (M-Joy)” และ “เจ-มิกซ์ (j-mix)” ประกาศรุกตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวเต็มตัว ส่งข้าวเกรียบผสมผัก ตรา “เมจิโกะ(MAJIKO)” เป็นทางเลือกใหม่อาหารว่างของคนรักสุขภาพ ชูจุดเด่น “อร่อยฟิน ได้ประโยชน์” มีให้เลือก 2 รสชาติ คือ ข้าวเกรียบผสมแครอท รสมะเขือเทศ แบบซอง มี 2 ขนาด คือ ซองเล็ก ขนาด 28 กรัม พกพาสะดวก ราคา 20 บาท และซองใหญ่ ขนาด 55 กรัม พร้อมซิปล็อคสะดวกต่อการจัดเก็บ ราคา 35 บาท และแบบกระป๋อง ขนาด 55 กรัมราคา 49 บาท ข้าวเกรียบผสมผักเซเลอรี่ รสวาซาบิ แบบซองซิปล็อคขนาด 55 กรัม ราคา 35 บาท วางจำหน่ายทางโมเดิรน์เทรดที่ ฟู้ดแลนด์ ท๊อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้าน DAISO ทุกสาขา และจำหน่ายผ่านออนไลน์อย่าง LAZADA  สำหรับซองเล็กขนาด 28 กรัม จำหน่วยผ่าน เทรดดิชั่นนอลเทรด ร้านค้าทั่วไปทั่วประเทศ

เคทีซีแจงผลประกอบการไตรมาส 1/2562 กำไรสุทธิ 1,589 ล้านบาท เติบโต 31% การดำเนินธุรกิจโดยรวมเป็นไปตามคาด เดินหน้าปรับแผนการตลาดต่อเนื่องรับกับสภาพการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรบรรลุเป้าหมาย พัฒนาระบบออนไลน์ทุกฟังก์ชัน      ตอบโจทย์สมาชิก พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่เพื่อให้องค์กรเติบโตต่อเนื่องควบคู่สร้างสรรค์สังคมอย่างยั่งยืน

นายระเฑียร  ศรีมงคล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภาพรวมอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคมีการแข่งขันสูงขึ้น จากการเข้ามาทำธุรกิจสินเชื่อรายย่อยมากขึ้นของธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ทำให้ทุกบริษัทฯ ในธุรกิจนี้ต้องปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลง โดยในช่วง 3 เดือนแรก อุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคยังคงมีอัตราเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า”  

“สำหรับไตรมาสแรกของปี 2562 เคทีซีได้ปรับแผนการตลาดต่อเนื่องให้ทันต่อสภาพการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลง โดยสามารถขยายฐานบัตรได้ดีและควบคุมคุณภาพหนี้ให้อยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อน มีรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น มีการปรับกระบวนการทำงานสม่ำเสมอ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานเพิ่มไม่มากนัก คุณภาพพอร์ตลูกหนี้รวมดี รวมทั้งการตั้งสำรองและการตัดหนี้สูญลดลง จึงเป็นผลให้กำไรสุทธิดีเกินคาด โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 31% ด้วยกำไรสุทธิ 1,589 ล้านบาท หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของบริษัทฯ รวมอยู่ที่ 1.18% โดยรายได้ในไตรมาสแรกที่เติบโตมาจากการขยายฐานสมาชิกบัตรใหม่ทั้งกลุ่มลูกค้าระดับบน (Premium) และรักษาฐานสมาชิกระดับกลาง (Mass) อีกทั้งการออกโปรแกรมการตลาดและการใช้สื่อออนไลน์ที่เข้าถึงสมาชิกเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตร เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับสมาชิก”

ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 เคทีซีมีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 76,174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% โดยสินทรัพย์ที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทฯ อยู่ในรูปของลูกหนี้การค้าสุทธิ คิดเป็น 92% ของสินทรัพย์รวม โดยพอร์ตลูกหนี้การค้ารวมเท่ากับ 75,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ฐานสมาชิกรวม 3.3 ล้านบัญชี เติบโต 8.2% แบ่งเป็นพอร์ตสมาชิกบัตรเครดิต 2,348,990 บัตร ขยายตัว 6.4% ยอดลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 48,413 ล้านบาท สัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ที่ 12.5% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 12.2% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเท่ากับ 49,091 ล้านบาท เติบโต 10.4% (อุตสาหกรรมเติบโตที่ 8.6%) ส่วนแบ่งตลาดของการใช้จ่ายผ่านบัตรเท่ากับ 11.2% อยู่ในระดับเดียวกับสิ้นปี 2561 ที่มีค่า 11.2% NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.04% ลดลงจาก 1.14% (อุตสาหกรรม 2.02%)

 

“พอร์ตสมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซีเท่ากับ 967,059 บัญชี ขยายตัว 12.8% ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคล 26,483 ล้านบาท สัดส่วนลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเคทีซีเทียบกับอุตสาหกรรมเท่ากับ 5.4% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่สามารถเทียบเคียงกับในอดีตได้ เนื่องจากมีการรวมลูกหนี้สินเชื่อทะเบียนรถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเลขอุตสาหกรรมสินเชื่อบุคคล และ NPL ของสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 0.78% ลดลงจาก 0.82% (อุตสาหกรรม 3.49%) โดยสัดส่วน ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อ NPL ยังคงมูลค่าสูงที่ 605% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 591% สำหรับปริมาณการซื้อขายผ่านร้านค้ามีมูลค่า 22,282 ล้านบาท เติบโต 6% และจำนวนร้านค้าสมาชิกเท่ากับ 37,787 แห่ง เพิ่มขึ้น 13% จากโครงการขยายร้านค้าออนไลน์และโครงการขยายร้านค้าอาลีเพย์”

“ไตรมาสแรกของปี 2562 เคทีซีมีอัตราเติบโตของรายได้รวมสูงกว่าค่าใช้จ่าย โดยสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 9% เท่ากับ 5,574 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ย (รวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) ของธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเพิ่มที่ 9% และ 10% เท่ากับ 3,267 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียม 1,235 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ 1,072 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วน 59% 22% และ 19% ของรายได้รวมตามลำดับ โดยที่รายได้อื่นๆ มีสัดส่วน 88%       มาจากหนี้สูญได้รับคืน และมีการควบคุมค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมภาษีเงินได้) อยู่ที่ 3,590 ล้านบาท ใกล้เคียงกับ    ไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 3,603 ล้านบาท แม้ว่าพอร์ตจะมีการขยายตัวแต่ด้วยลูกหนี้ที่มีคุณภาพ ทำให้การตั้งสำรองลดลง และค่าใช้จ่ายการเงินที่เป็นต้นทุนเงินลดลงที่ 2% เนื่องจากบริษัทฯ ออกหุ้นกู้ใหม่ด้วยต้นทุนเงินที่ต่ำลงกว่าค่าเฉลี่ยต้นทุนของหุ้นกู้เดิม โดยรักษาสัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิ (Operating Cost to Income Ratio) ที่ต่ำอยู่แล้วให้ลดลงอีกเหลือ 24.9% จาก 27.2% ในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน”

“บริษัทฯ มีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) ทั้งสิ้น 26,730 ล้านบาท เป็นวงเงินของธนาคารกรุงไทย 15,720 ล้านบาท และธนาคารพาณิชย์อื่นๆ 11,010 ล้านบาท โดยมีต้นทุนการเงินไตรมาส 1/2562 เท่ากับ 2.91% ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2561 ที่มีอัตรา 3.02% โดยมีอัตราส่วนของหนี้สินต่อ   ส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 3.25 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า”

ในปี 2562 นี้ เคทีซีมุ่งหมายการดำเนินงานไปที่ความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก (Customer Needs) โดยจะเน้นนำเสนอสิทธิประโยชน์ด้านออนไลน์ที่เข้มข้น ไม่น้อยกว่าการใช้บัตรที่ร้านค้าปกติ เพื่อให้สมาชิกเคทีซีหรือกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายนึกถึงบัตรและแบรนด์เคทีซีเป็นอันดับต้นๆ ควบคู่กับการพัฒนาระบบออนไลน์ และแอปพลิเคชัน “KTC Mobile” ที่เน้นให้ทุกฟังก์ชันการทำงานมีประโยชน์ สะดวก และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค ตลอดจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เป็นที่คาดหมายว่าจะเกิดการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ได้ผ่าน นาโน-พิโกไฟแนนซ์ และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะส่งให้ธุรกิจสามารถบรรลุเป้าหมายหลักในการเติบโตอย่างต่อเนื่องควบคู่การสร้างสรรค์สังคมที่ดีอย่างยั่งยืน

เบทาโกร จัดงาน “ไส้กรอกเบทาโกร ชีส ซีรีส์ ยืดให้สุด อร่อยไม่มีสะดุด” กอดคอ โป๊ป ธนวรรธน์   พรีเซ็นเตอร์ ส่งมอบความอร่อยใหม่อย่างมีคุณภาพแบบยืดสุดของไส้กรอกเชดด้าชีส 6 รสชาติ   แฟนคลับแห่ร่วมสนุกสุดฟินกับกิจกรรม Meet & Greet พร้อมชวนลุ้นรับ iPhone XR 40 เครื่อง ใน 8 สัปดาห์

เครือเบทาโกร จัดงาน “ไส้กรอกเบทาโกร ชีส ซีรีส์ ยืดให้สุด อร่อยไม่มีสะดุด” โดยมีนายวสิษฐ แต้ ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นประธานเปิดตัวไส้กรอกเบทาโกร ชีส ซีรีส์ 2 รสชาติใหม่ ได้แก่ ไส้กรอกไก่รสฮอกไกโดมิลกี้ชีส และ ไส้กรอกไก่รสเฟรนช์กาลิคบัตเตอร์ชีส พร้อมเปิดแคมเปญ “ชีสยืดสุด อร่อยไม่มีสะดุด แจก iPhone” ต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ รวม 40 เครื่อง เพื่อขอบคุณลูกค้าและแฟนคลับ โดยมี โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ พรีเซ็นเตอร์ ไส้กรอก BETAGRO ร่วมส่งมอบความอร่อยใหม่อย่างมีคุณภาพ พร้อมร่วมสนุกผ่านเกมลุ้นโชค และกิจกรรมสุดฟิน Meet & Greet ในงาน ณ สยามสแควร์ วัน กรุงเทพฯ

กิจกรรมเริ่มขึ้นด้วยเสียงกรี๊ด เมื่อ “โป๊ป” เดินออกมาพร้อมไส้กรอก BETAGRO ชีส ซีรีส์ ที่ส่งมอบให้แฟนคลับแบบ   ถึงมือตลอดทางเดิน พร้อมทักทายและพูดคุยอัพเดทผลงาน จากนั้นเป็นไฮไลท์ของงาน โดยคุณวสิษฐ ผู้บริหารเบทาโกร เล่าถึงความสำเร็จของไส้กรอก BETAGRO ชีส ซีรีส์ และร่วมเปิดแคมเปญใหม่กับ โป๊ป โดยทั้ง 2 คนดึงไส้กรอกออกจากกัน และมีชีสยืดออกมายาวสุด ถือเป็นการ Kick Off แคมเปญ “ชีสยืดสุด อร่อยไม่มีสะดุด แจก iPhone” และปิดท้ายด้วยช่วงเวลา Meet & Greet ที่ทุกคนรอคอย ได้เล่นเกมสนุกสุดฟินและถ่ายรูปแบบ Exclusive ใกล้ชิดกับโป๊ปอย่างอบอุ่น

 

นายวสิษฐ กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมาเครือเบทาโกร ออกแคมเปญไส้กรอกรมควัน โดยมี โป๊ป เป็นพรีเซ็นเตอร์ไส้กรอก BETAGRO คนแรก ชวนทุกคนมาเปิดสัมผัสความอร่อย ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง กิจกรรมในวันนี้เป็นความตั้งใจของเบทาโกรเพื่อส่งมอบความอร่อยใหม่ของไส้กรอกเบทาโกร ชีส ซีรีส์ ซึ่งคัดสรรวัตถุดิบ เนื้อหมู เนื้อไก่คุณภาพจากเบทาโกรและเชดด้าชีสชั้นเลิศ มาผลิตเป็นไส้กรอกคุณภาพดีและรสชาติอร่อย 6 รสชาติ พร้อมด้วยแคมเปญพิเศษ แจก iPhone XR เป็นการขอบคุณลูกค้าและแฟนคลับโป๊ป ที่ให้การสนับสนุนเบทาโกรมาโดยตลอด ซึ่งเบทาโกรจะยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพของสินค้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อส่งมอบอาหารคุณภาพให้ถึงมือผู้บริโภค และขยายสู่วงกว้างโดยเฉพาะช่องทางรถทอด ฝากทุกคนสนับสนุนไส้กรอกชีส BETAGRO และติดตามร่วมสนุกกับแคมเปญใหม่นี้กันด้วยนะครับ”

X

Right Click

No right click