มอบบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ชูกลยุทธ์ O2O ขายออนไลน์ผสานออฟไลน์ ลุยกลุ่มคนทำงาน ตั้งเป้าดันเบี้ย 1,000 ล้าน

 จากผลการจัดอันดับความยั่งยืนของบริษัทชั้นนำทั่วโลกประจำปี 2566 ของ S&P Global ในดัชนี DJSI (Dow Jones Sustainability Indices) หรือดัชนีชี้วัดความยั่งยืนของดาวโจนส์นั้น บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 1 ด้านความยั่งยืนของโลก (DJSI WORLD) และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (DJSI Emerging Markets) และยังได้คะแนนสูงสุดด้านมิติสังคมในกลุ่มการบริการทางการแพทย์

ดัชนี DJSI นี้ เน้นการประเมินความยั่งยืนของธุรกิจใน 3 ด้าน ได้แก่ การรักษาสิ่งแวดล้อม การดูแลสังคม และการกำกับดูแลบนหลักธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นหลักดำเนินธุรกิจที่ BDMS ให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพื่อส่งมอบบริการทางการแพทย์ตามมาตรฐานสากล ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษาโดยไม่เลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ ตามกลยุทธ์ขององค์กรที่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้แก่ การสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง (BDMS Innovative Healthcare) การบริการแพทย์ทางไกล เพื่อสุขภาพใจ (BeDee Tele Mental Health) และการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (BDMS Green Healthcare) เป็นต้น

กลยุทธ์ BDMS Innovative Healthcare ที่นับเป็นความสำเร็จด้านนวัตกรรมที่น่าภาคภูมิใจนั้น ได้แก่ การสนับสนุนงานวิจัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ด้วยเทคนิคใหม่ที่ไม่ตัดกล้ามเนื้อ หรือ Direct Anterior Approach Hip Replacement (DAA) วิธีใหม่นี้ช่วยลดระยะเวลาฟื้นตัวของผู้ป่วยได้มากกว่าร้อยละ 50 ทำให้ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้เข้ารับการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ เพื่อต่อยอดความสำเร็จดังกล่าว BDMS ยังจัดตั้งโครงการอบรมเทคนิคนวัตกรรมการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก ด้วยเทคนิคใหม่ที่ไม่ตัดกล้ามเนื้อ โดยร่วมกับ มหาวิทยาลัยการแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีแพทย์ที่ผ่านการอบรมแล้วกว่า 180 ราย ใน 170 โรงพยาบาล พร้อมทั้งสนับสนุนการเผยแพร่องค์ความรู้นี้ไปสู่เวทีวิชาการในระดับนานาชาติ ทั้งในรูปแบบของบทความวิชาการ การอบรมแพทย์เฉพาะทาง ตลอดจนถ่ายทอดสดการผ่าตัด (Live surgery) ร่วมกับโรงพยาบาลชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อตอกย้ำถึงความสามารถในการรักษาพยาบาลของประเทศไทย อันสอดคล้องกับนโยบาย ของชาติในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลาง การรักษาพยาบาลของโลก ปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดจนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติแล้วมากกว่า 750 ราย

สำหรับนวัตกรรมการบริการการแพทย์ทางไกล BDMS ได้พัฒนา BeDee Tele Mental Health เพื่อดูแลสุขภาพใจ โดยร่วมกับมูลนิธิเวชดุสิต ฯ ขยายโอกาสในการดูแลสุขภาพให้กับพนักงานในเครือ ฯ และ นักศึกษาหลักสูตรวิทยาการสุขภาพ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในอุตสาหกรรมบริการการแพทย์ในอนาคต โดยมุ่งหวังสร้างบุคลากรที่มีพลังกาย และพลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อสามารถส่งมอบบริการทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตแก่ผู้รับบริการได้อย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์เพื่อสังคม

และในส่วนของ BDMS Green Healthcare นั้น เป็นการตระหนักถึงความสำคัญในการบริหารจัดการ ด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการดําเนินงานสุทธิให้เป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2050 หรือ พ.ศ. 2593 (BDMS Net Zero 2050) นอกจากนี้ โครงการ BDMS Green Healthcare ยังเน้นการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งของโรงพยาบาล และธุรกิจในเครือ ฯ ทั้งการจัดการขยะครบวงจรทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นขยะทั่วไป ขยะติดเชื้อ รวมถึงขยะที่ถูกนำไปรีไซเคิล การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และบำบัดน้ำเสียอย่างเหมาะสม พร้อมทำงานร่วมกับชุมชน และประชาคมรอบข้างด้วยความรับผิดชอบ ปัจจุบัน มีโรงพยาบาล และธุรกิจในเครือ ฯ ที่ผ่านการประเมินเกณฑ์ BDMS Green Healthcare แล้วกว่า 20 หน่วยงาน

ในปัจจุบัน กว่าร้อยละ 50 ของโรงพยาบาล และธุรกิจในเครือ ฯ สามารถลดการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 10,000 ตันต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 50,000 ต้น จากความสำเร็จนี้ BDMS จึงตั้งเป้าหมายการประเมิน BDMS Green healthcare และขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้พลังงาน ทางเลือกในพื้นที่โรงพยาบาล และธุรกิจในเครือ ฯ ให้ครบ 100% พร้อมตั้งเป้าหมายเพิ่มปริมาณขยะทั่วไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลให้มากกว่าร้อยละ 26 ภายในปี 2026

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนเป็นผลมาจากความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วนที่พร้อมขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายเดียวกัน BDMS มีพันธกิจสำคัญคือ “ผู้นำบริการด้านสุขภาพที่ยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีบนวิถีแห่งความยั่งยืน” ซึ่งสอดคล้องกับหลักการดำเนินธุรกิจยั่งยืนตามแนวทาง ESG ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อีกทั้งมุ่งเน้นสร้างประสบการณ์อย่างมีคุณค่าแก่ผู้ใช้บริการด้วยความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม โดยลดความเลื่อมล้ำการเข้าถึงการให้บริการด้านสุขภาพได้ด้วยมาตรฐานที่ทัดเทียมระดับสากลตามเจตนารมย์

 บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมลงนามความร่วมมือภายใต้โครงการ “Collaboration towards excellence in lung cancer

นำร่องที่โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ มุ่งใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) มาเสริมการปิดช่องว่างในการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งปอด รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้แก่ภาคประชาชนในการประเมินความเสี่ยงและเข้ารับการตรวจคัดกรอง วินิจฉัย และรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อร่วมรณรงค์ไปกับแคมเปญ Close the care gap ขององค์การอนามัยโลก (WHO) วันมะเร็งโลก สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางด้านโรคมะเร็ง ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยแบบครบองค์รวมในทุกขั้นตอนการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม และการตรวจหาสารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งในร่างกาย เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว ชูความเป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็งแห่งเอเชียแปซิฟิก (Center of Excellence - Cancer)

นอกจากด้านการตรวจวินิจฉัยและรักษาของโรงพยาบาลที่ครบครัน แอสตร้าเซนเนก้า เป็นหนึ่งในสมาชิกของ The Lung Ambition Alliance (LAA) เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคีพันธมิตรระดับนานาชาติ 4 องค์กรที่มีการดำเนินกิจกรรมใน 50 ประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เพื่อร่วมกันสานต่อเป้าหมายในการเพิ่ม ‘อัตราการรอดชีวิต 5 ปี’ ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดให้เป็น 2 เท่า ภายใน พ.ศ. 2568 พร้อมศึกษาทำความเข้าใจถึงวิวัฒนาการของโรค พัฒนาเทคนิคระดับก้าวหน้าเพื่อการดูแลรักษาโรคมะเร็งปอด ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น

 

ศ.พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพวัฒโนสถ กล่าวว่า “งานแถลงข่าวในครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนการรณรงค์วันมะเร็งโลกหรือ World Cancer Day ซึ่งในปีนี้องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ให้ความสำคัญกับการ “Close the care gap” หรือการปิดช่องว่างในการดูแลรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งทางโรงพยาบาลเน้นในเรื่องของมะเร็งปอด เนื่องจากปัจจุบันเราพบผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดสูงขึ้นเป็นอย่างมากในคนที่ไม่สูบบุหรี่ และมีภัยคุกคามต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ เช่น ฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในผู้ที่มียีนกลายพันธุ์ EGFR หรือ KRAS และในปัจจุบันยังไม่มีแนวทางการตรวจคัดกรองในมะเร็งปอดในกลุ่มที่ไม่เคยสูบบุหรี่ ดังนั้น การที่จะปิดช่องว่างหรือ Close the care gap ในเรื่องนี้ จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเสริม เช่น การนำปัญญาประดิษฐ์หรือ A.I. มาช่วยในการวินิจฉัยภาพเอกซเรย์รังสีทรวงอกในผู้ที่เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี และโรงพยาบาลนำชุดตรวจหาสารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งในร่างกายจากเลือด (Circulating Tumor DNA : ctDNA) โดยใช้เทคโนโลยี Next-Generation Sequencing ที่สามารถตรวจหามะเร็งหลายชนิดพร้อมกัน เพื่อค้นหาโรคมะเร็งตั้งแต่ก่อนเป็นจนถึงระยะเริ่มต้น ซึ่งช่วยเสริมการตรวจคัดกรองประเมินความเสี่ยงโรคมะเร็งเฉพาะบุคคล พร้อมทั้งช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

 

นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โรคมะเร็ง หากรู้เร็ว สามารถรักษาได้ โรคมะเร็งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคที่แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทยให้ความสำคัญมาตลอดระยะเวลา 40 ปี เราพร้อมเดินหน้าประสานความร่วมมือกับหน่วยงานด้านสาธารณสุข องค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมคนไทยหันมาตรวจคัดกรองโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมากขึ้น ทั้งนี้ ในฐานะบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก เรามุ่งมั่นในการนำวิทยาศาสตร์มาต่อยอดและพัฒนาการดูแลสุขภาพของประชาชนมาโดยตลอด ล่าสุดกับการนำเสนอการใช้เทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องเอกซเรย์ปอด เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบเงาของก้อนเนื้อในปอดซึ่งอาจเป็นตัวบ่งชี้มะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นที่อาจมีขนาดเล็กหรือมองเห็นได้ยากภายในระยะเวลา 3 นาที ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดอัตราการเสียชีวิต เพิ่มอัตราการรอดชีวิต 5 ปีของผู้ป่วยมะเร็งปอดได้มากยิ่งขึ้น”

 

พญ.เมธินี ไหมแพง ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กว่า 10 ปีของโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ ภายใต้การบริหารงานของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่มีเครือข่ายกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรามุ่งมั่นให้การบริการทางด้านสุขภาพและศูนย์แห่งความเป็นเลิศในโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง รองรับผู้ป่วยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการร่วมมือกับแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทยในครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยส่งเสริมศักยภาพของโรงพยาบาล ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิชาการทางคลินิกวิทยาศาสตร์ ร่วมกับสถาบันมะเร็งระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก รวมถึงการถ่ายทอดนวัตกรรม และความเชี่ยวชาญขั้นสูงให้แก่ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการและทีมสหสาขาวิชาชีพ (Multi-disciplinary team – MDT) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกับแนวทางการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ส่งเสริมให้โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็งแห่งเอเชียแปซิฟิกในอนาคต

ความร่วมมือของทั้งสององค์กรในครั้งนี้ จะช่วยปิดช่องว่างการตรวจวินิจฉัย และดูแลเติมเต็มทุกการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง Close the Care Gap ให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชนคนไทยและทุกเชื้อชาติ ห่างไกลจากโรคมะเร็ง และข้ามผ่านการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ร่วมกันปิดช่องว่างและเติมเต็มศักยภาพเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอด World Cancer Awareness Month 2024: Close the Care Gap

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click