- จำนวนดังกล่าวยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด

- ความเชื่อมั่นในการเดินทางฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ เป็นผลจากการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศและความอัดอั้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

- การยื่นคำร้องขอวีซ่าในปี 2565(1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม) มีจำนวนเพิ่มขึ้นราว 600% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2564 เป็นผลจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นโดยไม่คาดคิดจากการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศกลับมาเปิดให้บริการตามปกติในหลายเส้นทาง

- บริการพิเศษเฉพาะบุคคลเป็นที่ยอมรับมากขึ้น การยื่นคำร้องแบบบริการพรีเมียม (บริการเสริม) เช่น การยื่นคำร้องขอวีซ่านอกสถานที่ (Visa at Your Doorstep - VAYD) มีจำนวนเพิ่มขึ้นสองเท่าจากปี 2562

- ปลายทางที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร (ไม่ได้จัดรียงตามลำดับ)

ประเทศไทยสร้างปรากฎการณ์การยื่นคำร้องขอวีซ่าเพิ่มขึ้นห้าเท่าในปี 2565 สะท้อนถึงความมั่นใจในการเดินทางที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของวีเอฟเอส โกลบอล ผู้นำระดับโลกด้านบริการเอาต์ซอร์สและบริการเทคโนโลยีสำหรับรัฐบาลและคณะผู้แทนทางการทูต การยื่นคำร้องขอวีซ่าทุกประเภทในปี 2565 (1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม) เติบโตราว 576% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2564 เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นโดยไม่คาดคิดจากการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศและการที่สายการบินระหว่างประเทศกลับมาให้บริการตามปกติในหลายเส้นทาง แต่จำนวนดังกล่าวยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด

"ปริมาณการยื่นคำร้องขอวีซ่าที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทยบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของนักเดินทางที่ฟื้นกลับมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ ฤดูท่องเที่ยวต่างประเทศช่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุดน่าจะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม และเราเชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวจะเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ผู้ที่วางแผนเดินทางออกนอกประเทศไทยต้องยื่นคำร้องขอวีซ่าล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงความเร่งรีบก่อนถึงกำหนดเดินทาง" นายเกาซิค กอช หัวหน้าภูมิภาคออสเตราเลเซีย วีเอฟเอส โกลบอล กล่าว

ดังนั้นบริการพิเศษเฉพาะบุคคลจึงได้รับการตอบรับอย่างดีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากการยื่นคำร้องขอวีซ่าในปี 2565 โดยวีเอฟเอส โกลบอล พบว่าบริการพิเศษ เช่น บริการยื่นคำร้องขอวีซ่านอกสถานที่ (Visa at Your Doorstep - VAYD) มี

ผู้ใช้บริการมากขึ้น เพราะทำให้ผู้ยื่นคำร้องสามารถดำเนินการได้อย่างสะดวกสบายทั้งจากที่บ้านหรือสถานที่ใดก็ตามโดยครบถ้วนทุกขั้นตอนการยื่นคำร้องขอวีซ่า บริการพิเศษดังกล่าวรองรับการยื่นคำร้อง ลงทะเบียนข้อมูลไบโอเมตริก และจัดส่งหนังสือเดินทางกลับคืนถึงสถานที่ที่ต้องการ การจองบริการ VAYD ในปี 2565 (1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม) เพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อเทียบกับปี 2562 และเติบโตจากปี 2564 ถึง 27% ทั้งนี้บริการ VAYD พร้อมให้บริการสำหรับการเดินทางไปออสเตรีย โครเอเชีย เดนมาร์ก ฟินแลนด์ อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ สาธารณรัฐเช็ก และสหราชอาณาจักร

"จำนวนนักเดินทางที่ให้ความสนใจบริการพิเศษเฉพาะบุคคลแบบไร้การสัมผัสหลังสถานการณ์โรคระบาดมีเพิ่มมากขึ้น ความกังวลเรื่องสุขภาพกลายเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งในการเดินทางต่างประเทศ ผู้ยื่นคำร้องจำนวนมากจึงต้องการบริการอย่าง VAYD หรือห้องรับรองพิเศษที่มอบประสบการณ์ด้านการยื่นคำร้องขอวีซ่าที่สะดวกสบายโดยไม่ต้องยืนรอคิว ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้บริการในยุคดิจิทัลที่ปรับเปลี่ยนรุดหน้าอย่างรวดเร็วทำให้เราคาดว่าบริการพรีเมียมดังกล่าวจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าที่ให้ความสำคัญต่อการเดินทางที่อย่างปลอดภัย" นายกอซ กล่าวเสริม

ทั้งนี้วีเอฟเอสโ กลบอล รับหน้าที่ให้บริการยื่นคำร้องอวีซ่าแก่รัฐบาล 23 ประเทศจากในประเทศไทย ประกอบด้วย ออสเตรเลีย ออสเตรีย แคนาดา สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก ฟินแลนด์ อินเดีย อิตาลี เยอรมนี ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สิงคโปร์ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร

คำแนะนำการเดินทางในฤดูการท่องเที่ยว

วีเอฟเอส โกลบอล แนะนำให้ผู้ใช้บริการยื่นคำร้องขอวีซ่าตั้งแต่ช่วงเดียวกับที่จองตั๋วเครื่องบินและที่พัก ปัจจุบันหลายประเทศอนุญาตให้ยื่นคำร้องขอวีซ่าล่วงหน้าได้ถึง 90 วัน (3 เดือน) ก่อนวันที่เดินทาง ขณะที่ระเบียบวีซ่าเชงเกนฉบับปรับปรุงที่มีผลเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 อนุญาตให้ยื่นคำร้องขอวีซ่าเชงเกนก่อนวันที่เดินทางได้ถึง 6 เดือน ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ผู้ยื่นคำร้องรีบดำเนินการขอวีซ่าเป็นการล่วงหน้าโดยเร็วที่สุดโดยเฉพาะในปีนี้ที่มีความต้องการเดินทางสูงและมีช่วงเวลานัดหมายที่จำกัด

ผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่าควรระมัดระวังบุคคลที่คิดค่าธรรมเนียมลูกค้าในการนัดหมายหรือการให้บริการต่างๆ ทั้งที่แอบอ้างชื่อวีเอฟเอส โกลบอล หรือชื่ออื่นใดก็ดี เราไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมสำหรับการนัดหมายแต่อย่างใด หากต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใดก็ตาม โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่ของเราหรือส่งอีเมลมาที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

สัมผัสกับบริการเสริมเพื่อความสะดวกสบายในการยื่นคำร้องขอวีซ่า ได้แก่

· ห้องรับรองพิเศษ: สัมผัสประสบการณ์ในการยื่นคำร้องขอวีซ่าแบบส่วนตัวที่ทั้งรวดเร็ว ปลอดภัย และสะดวกสบาย

· บริการกรอกแบบฟอร์ม: ให้เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญคอยช่วยเหลือคุณกรอกคำร้องขอวีซ่าทางโทรศัพท์หรือ ณ ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า

· บริการจัดส่งเอกสาร: เรามีบริการจัดส่งหนังสือเดินทางและเอกสาร ที่ทั้งรวดเร็ว ปลอดภัย และสะดวกสบาย

· ประกันภัยค่ารักษาพยาบาลระหว่างการเดินทาง: ขอรับความคุ้มครองจากการประกันภัยค่ารักษาพยาบาลระหว่างการเดินทางภาคบังคับซึ่งรวมถึงการครอบคลุมโควิด-19 จากผู้รับประกันภัยชั้นนำระดับโลก

· บริการแจ้งเตือนทาง SMS: แจ้งสถานะล่าสุดของการยื่นคำร้องขอวีซ่าของคุณ

โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่: https://www.vfsglobal.com/en/individuals/solutions.html

หลังจากสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว “แจ็คสัน หวัง” ศิลปินระดับโลกเป็น OnePlus APAC Smartphone Ambassador คนแรกของภูมิภาคไปเมื่อเร็วๆนี้ OnePlus เปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ กับ “OnePlus 11 5G

ดีไซน์พรีเมียมสุดเรียบหรู ที่มากับสโลแกน “The Shape of Power” เร็ว แรง ทรงพลัง ชิปเซ็ตใหม่ล่าสุด Snapdragon 8 Gen 2 พร้อมเทคโนโลยี ray-tracing แรมสูงสุด 16GB พิเศษด้วยนวัตกรรมใหม่ RAM-Vita เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ OxygenOS 13 มอบประสบการณ์สุดลื่นไหลกว่าเดิม ถ่ายภาพอย่างมืออาชีพด้วยกล้องที่พัฒนากับ Hasselblad ยกระดับสีสมจริง ภาพสวยละมุนเหมือนถ่ายจากกล้องโปร ทรงพลังด้วยการชาร์จไวระดับไฮเอนด์ 100W SUPERVOOC เปิดตัวในราคาเริ่มต้นที่ ราคา 29,990 บาท นอกจากนี้ยังเปิดตัว อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์เรือธง หูฟัง OnePlus Bus Pro 2 โดยผลิตภัณฑ์เรือธงทั้งหมด เปิดจำหน่ายพร้อมกันทุกช่องทางแล้ววันนี้ และเตรียมพบกับโปรโมชั่นพิเศษในงาน Thailand Mobile Expo 2023 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์นี้ เป็นต้นไป

 

ด้านความสุดยอด ประสบการณ์ความลื่นไหลไม่มีสะดุด รวดเร็ว และยาวนาน นายนที พิทักษ์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโส วันพลัส ประเทศไทย กล่าวถึงเรือธงล่าสุด “OnePlus 11 5G” ว่าสามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ทำงานที่รวดเร็ว และราบรื่นผ่านประสิทธิภาพอันทรงพลังของแพลตฟอร์มมือถือ Snapdragon® 8 Gen 2 ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นในซีพียู 35% และจีพียู 25% ทั้งยังรองรับการเปิดใช้งานฮาร์ดแวร์แบบเรียลไทม์ หรือ Ray Tracing รวมถึงมีการสร้างวอลเปเปอร์แบบไดนามิคสามมิติ เพื่อให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับเอฟเฟกต์เงา การสะท้อน การหักเหแสงที่สดใสและสมจริง ผ่านขั้นตอนการเลื่อน ปัด หรือคลิกบนโทรศัพท์ ได้อย่างครบครันบน OnePlus 11 5Gนอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังมาคู่กับแรม LPDDR5X 16GB และเทคโนโลยี RAM-Vita ทำให้ใช้งานพร้อมกันได้ถึง 44 แอปพลิเคชัน พร้อมมีระบบ 100W SUPERVOOC ให้การชาร์จอันรวดเร็ว ควบคู่กับแบตเตอรี่เซลล์คู่ขนาด 5000 mAh ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากความจุ 1% ถึง 100% ในเวลาเพียง 25 นาที ช่วยยืดอายุการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความอุ่นใจได้อย่างยาวนาน

 

OnePlus 11 5G สามารถให้ความเร็วที่ยาวนานและประสบการณ์ใช้งานที่ราบรื่น จากการรับรองมาตรฐานโดย TÜV SÜD ในระดับ Fluency Rating A ใช้งานมือถือได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่องแม้ผ่านไป 48 เดือน มีการรับรอง TÜV SÜD ด้านความแม่นยำและการสัมผัสในระดับ Precise Touching Rating S มีการรับรองจากหน่วยงานตรวจสอบอย่าง SGS ด้านการใช้งานที่ลื่นไหลระดับ Perceived Fluency A+ รวมถึงการรับรองจาก TÜV Rheinland ด้านการใช้และชาร์จอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังเป็นอุปกรณ์ตัวแรกที่รองรับการอัปเดทระบบปฏิบัติการ OxygenOS ได้ถึง 4 เวอร์ชัน พร้อมการอัปเดทระบบความปลอดภัยครอบคลุมถึง 5 ปี

 

ทั้งนี้ OnePlus 11 5G ยังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ชิพเซต Snapdragon® 8 Gen 2 เครื่องแรกที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เครื่องหมาย Snapdragon Spaces™ Ready โดยถือเป็นประตูให้นักพัฒนาสามารถนำไอเดีย XR มาสานฝันให้เป็นจริงและสร้างการค้นพบใหม่ ๆ ได้พร้อมกันผ่านแว่นตา headworn AR ซึ่งเมื่อรวมกับประสบการณ์ที่รวดเร็วและราบรื่น ฟังก์ชันการถ่ายภาพที่แสนง่ายดาย และการออกแบบที่หรูหราทันสมัย ทำให้ OnePlus 11 5G กลายเป็นเรือธงรุ่นล่าสุดที่ครบเครื่องรอบด้าน จอแสดงภาพและเสียงสุดล้ำ

OnePlus 11 5G ชวนให้ผู้ใช้มาเห็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวาผ่านจอแสดงผล Super Fluid AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว 2K 120Hz พร้อม LTPO 3.0 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง ช่วยให้การประหยัดพลังงานและปรับอัตรารีเฟรชตามการใช้งานเฉพาะ ทำให้มั่นใจได้ถึงความสม่ำเสมอและความชัดเจนโดยไม่คำนึงปริมาณเนื้อหา อีกทั้งการแสดงผลของ OnePlus 11 5G ยังช่วยถนอมสายตาจากการรับรองโดย SGS Low Blue Light EX

 

OnePlus 11 5G เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นแรก ที่ได้รับการปรับแต่งจาก Dolby Vision เพื่อขยายทุกประสบการณ์การใช้งานมือถืออย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยภาพที่น่าทึ่งสามารถมอบความบันเทิงและปลุกเร้าการเดินทางผู้ใช้ได้อย่างมีชีวิตชีวา รวมทั้งยังมีการติดตั้งลำโพงคู่ ‘Reality’ ที่รับรอง Dolby Atomos ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์เสียงที่เหนือคำบรรยายในลำโพงและหูฟังบลูทูธนอกจากนี้ ด้วยการสนับสนุนจาก Dolby Head Tracking บน OnePlus 11 5G จะทำให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินไปกับความสมจริงในระดับที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และยังเพิ่มประสบการณ์ที่อิสระมากขึ้น เมื่อใช้งานร่วมกับหูฟังไร้สายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถรับฟังเสียงรอบทิศทางที่ชื่นชอบไม่ว่าจะหันศีรษะไปในทิศทางไหน อีกทั้ง Dolby Atmos ยังมีการปรับเทียบเสียงในเลเวลใหม่เพื่อสร้างประสบการณ์เสียงที่เป็นธรรมชาติ ให้ได้อยู่กับช่วงเวลาที่ดื่มด่ำอย่างไม่มีสะดุด

 

นายยงยุทธ คะสาวงศ์ อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, เจ้าของเพจและยูทูปชาแนล Hasselblad the Expert กล่าวถึงกล้อง Hasselblad เจเนอเรชั่นที่ 3 ใน OnePlus 11 5G ไว้ว่า ประสิทธิภาพกล้องอันเยี่ยมยอด ระบบกล้องสามตัวของ OnePlus 11 5G ช่วยบันทึกแต่ละช่วงเวลาได้อย่างแม่นยำและสร้างภาพถ่ายที่เป็นธรรมชาติ และยังทำงานร่วมไปกับเซ็นเซอร์หลัก IMX890 50MP, เลนส์ถ่ายภาพบุคคล IMX709 32MP และกล้องอัลตร้าไวด์ IMX581 48MP เพื่อการตอบสนองความต้องการของช่างภาพทุกคน สำหรับโทรศัพท์มือถือ บน OnePlus 11 5G คือเครื่องหมายของการปรับเทียบสีธรรมชาติแบบใหม่ ซึ่งการรองรับด้วยเซ็นเซอร์มัลติสเปกตรัม 13 ช่องสัญญาณสำหรับระบุสีของแสงและโหมดถ่ายภาพบุคคล ได้ช่วยให้เกิดคุณสมบัติที่ครอบคลุมแบบเดียวกับกล้อง DSLR ทั้งการติดตามเชิงลึก, จุดแสงที่สมจริงและเป็นธรรมชาติ และเอฟเฟกต์แสงแฟลร์ นอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังมาพร้อมอัลกอริทึมใหม่ล่าสุด อย่าง TurboRAW HDR ที่ทำให้ช่วงไดนามิคที่กว้าง สามารถจับภาพฉากต่าง ๆ ได้ด้วยความคมชัดระดับ HDR ที่ไร้ที่ติ

การออกแบบที่สง่างามทันสมัย

OnePlus 11 5G ได้ผสานความโฉบเฉี่ยว สง่างาม และทันสมัยไว้ด้วยกัน ทั้งยังลงตัวอย่างการสร้างความสมดุลระหว่างงานออกแบบที่เป้าหมายแน่ชัดกับการดึงเสน่ห์เอกลักษณ์แบบเฉพาะตัว

ผู้ใช้สามารถเลือกระหว่างสีดำ Titan Black ที่ใช้กระจกฝ้าแบบด้านเพื่อสร้างความรู้สึกนุ่มนวลแต่ทนทานจนยากจะต้านทาน หรือสีเขียว Eternal Green ที่ได้แรงบันดาลใจจากเฉดสีของป่าฝนยามเย็น นำความมีชีวิตชีวามาให้รูปลักษณ์ภาพนอกที่เรียบลื่นน่าหลงใหล ขณะที่การเคลือบชั้นภายในยังทำงานสอดประสานเพื่อลดคราบรอยนิ้วมือได้ดีเมื่อโดนสัมผัสเพื่อการปรับปรุงสรียศาสตร์ของโทรศัพท์ วิศวกรของ OnePlus จึงมุ่งเน้นไปที่ความโค้งมนโดยรวมเพื่อให้แน่ใจว่าพื้นผิวทั้งหมดอยู่ในระนาบที่ใกล้เคียงกัน พร้อมมีการปรับปรุงความรู้สึกขณะถือ เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระแทก ใด ๆ หรือร่องรอยการสัมผัสที่ไม่จำเป็น

อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์เรือธง หูฟัง OnePlus Buds Pro 2 ออกแบบโดยความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรม ทำให้ One Plus Buds Pro 2 ยกระดับคุณภาพเสียงให้สูงขึ้นไปอีกขั้นด้วยเสียงที่ราวกับนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ ฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย และการออกแบบระดับพรีเมียม

Spatial Audio สำหรับผู้ใช้ AndroidOnePlus Buds Pro 2 สร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ เป็นหูฟังเอียร์บัดตัวแรกที่ให้ความเสถียรของเสียงรอบทิศทางและความเข้ากันได้สำหรับผู้ใช้ Android เทคโนโลยีเสียงรอบทิศทางจำลองประสบการณ์เสียงรอบทิศทางของโรงภาพยนตร์ ทำให้ผู้ใช้ดื่มด่ำกับความบันเทิงอย่างเต็มที่

OnePlus Buds Pro 2 ถือเป็นหนึ่งในหูฟัง True Wireless Stereo ตัวแรกที่ใช้ฟังก์ชั่น Spatial Audio อันเป็นเอกลักษณ์ของ Google ที่พัฒนาขึ้นสำหรับ Android 13 ปลดล็อกประสบการณ์ที่ดื่มด่ำสำหรับหลากหลายแพลตพอร์มรวมถึงบน YouTube และ Disney+

 

ความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญ

OnePlus Buds Pro 2 ยังมีอีควอไลเซอร์ EQ ที่ปรับแต่งโดย Hans Zimmer นักแต่งเพลงเจ้าของรางวัลออสการ์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับสมดุลของส่วนประกอบความถี่ให้เหมาะกับรสนิยมและสไตล์ดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของ Hans ที่ได้รับการตั้งชื่อว่า “Soundscape” นี้เชิญชวนให้ผู้รักเสียงเพลงได้เพลิดเพลินไปกับเสียงออเคสตร้าเต็มรูปแบบของซิมโฟนีคลาสสิกหรือเสียงกระหึ่มหลายมิติของภาพยนตร์แอ็คชั่น

OnePlus ยังได้ร่วมมือกับ Dynaudio ผู้ผลิตลำโพงสัญชาติเดนมาร์กเพื่อร่วมสร้าง MelodyBoost™ Dual Drivers เทคโนโลยีไดรเวอร์คู่ 11 มม. + 6 มม. ให้ความถี่ต่ำอย่างต่อเนื่องเพื่อเสียงเบสไดนามิกที่ลึกขึ้น เต็มอิ่มขึ้น และมีเนื้อสัมผัสมากขึ้น รวมถึงเสียงร้องที่ไพเราะ เอียร์บัดยังมี EQ เริ่มต้นของ Dynaudio หนึ่งตัวและ EQ แบบกำหนดเองสามตัว ได้แก่ Bold, Serenade และ Bass ทำให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลงทุกเพลงด้วยเสียงอันน่าทึ่ง

OnePlus Buds Pro 2 มีฟังก์ชัน Smart Adaptive Noise Cancellation (ANC) ชั้นนำในอุตสาหกรรมที่ได้รับการรับรองจาก TUV ซึ่งช่วยขจัดเสียงรบกวนรอบข้างได้สูงสุดถึง 48dB เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น OnePlus Buds Pro 2 มีโหมด transparency ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานแล้ว ผู้ใช้จะมีส่วนร่วมในการสนทนาที่ชัดเจนกับผู้คนรอบข้าง แม้จะใส่เอียร์บัดอยู่ก็ตามออกแบบมาเพื่อการฟังที่ไร้กังวล OnePlus Buds Pro 2 สามารถเล่นเพลงได้นานถึง 39 ชั่วโมง โดยสามารถชาร์จแบตเพิ่มเติมหลายครั้งด้วยเคส เพื่อรักษาประสบการณ์การสตรีมที่รวดเร็วและราบรื่นตลอดการใช้งาน

นอกจากนี้ OnePlus ยังได้ดึง “แจ็คสัน หวัง” ศิลปินระดับโลกเป็น OnePlus APAC Smartphone Ambassador คนแรกของภูมิภาค สำหรับ แจ๊คสัน หวัง ศิลปินระดับโลกเจ้าของรางวัลมากมาย ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “MAGIC MAN” ด้วยพลังในการทำงานและความสำเร็จในหลากหลายบทบาทจนไม่อาจละสายตาได้ ซึ่งสะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ “OnePlus - Never Settle” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเราพัฒนาตัวเอง “ไม่เคยหยุดนิ่ง” มุ่งแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้ของเราอยู่เสมอ

สำหรับ ผลิตภัณฑ์เรือธงทั้งหมดทั้ง OnePlus 11 5G และ OnePlus Bus Pro 2 เปิดจำหน่ายพร้อมกันทุกช่องทางแล้วตั้งแต่วันนี้

ราคาและการวางจำหน่าย

OnePlus 11 5G

วางจำหน่าย ราคา 29,990.-

8GB + 128GB สีดำ Titan Black

วางจำหน่าย ราคา 32,990.-

16GB + 256GB สีเขียว Eternal Green

OnePlus Buds Pro 2

วางจำหน่าย ราคา 6,490.-

สีเขียว Arbor Green | สีดำ Obsidian Black

ช่องทางการจัดจำหน่าย OnePlus Experience Zone, AIS, Shopee, Lazada และ OPPO Brand shop รายละเอียดเพิ่มเติมหรือสนใจสั่งซื้อ : https://www.oneplus.com/th

โปรโมชันสุดพิเศษ

● เมื่อซื้อ OnePlus 11 5G ผ่านช่องทางใดก็ได้ รับทันที OnePlus 11 5G Sandstone Bumper Case มูลค่า 790.- พร้อมบัตรประกันจอแตก E-VIP card

● และรับเพิ่ม OnePlus Buds Pro 2 มูลค่า 6,490.- เมื่อไปร่วมงาน Thailand mobile expo 2023 จำนวน 200 ท่านแรก

และเตรียมพบกับโปรโมชั่นพิเศษมากมายในงาน Thailand Mobile Expo 2023 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์5 บูธ L20,L21 วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์นี้

OnePlus 11 5G เริ่มต้นเพียง 26,990 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจตามที่กำหนด พร้อมรับของสมนาคุณ ประกันหน้าจอแตก 1 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี มูลค่า 10,000 บาท และ OnePlus sandstone bumper case black มูลค่า 790 บาท และของแถมพิเศษเพิ่ม OnePlus gaming tricker 1 คู่ มูลค่า 599 บาท สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อรุ่น OnePlus 11 5G พร้อมแพ็กเกจรายเดือนที่เปิดเบอร์ใหม่และย้ายค่ายเบอร์เดิมผ่านช่องทาง AIS Online Store รวมของแถมมูลค่า 11,389 บาท

ผ่อนสบาย 0% นานสูงสุด 36 เดือน

เก่าแลกใหม่ พิเศษ 2 ต่อ สำหรับลูกค้า AIS นำเครื่องเก่าแลกซื้อ OnePlus 11 5G รับส่วนลดเพิ่ม

• ต่อที่ 1 : มูลค่าเครื่องเก่าใช้เป็นส่วนลด

• ต่อที่ 2 : รับส่วนลดเพิ่มอีก

 บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นพ.กร ตาลทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด สานต่อความร่วมมือภายใต้โครงการ Healthy Lung Thailand

ส่งมอบอุปกรณ์การตรวจสมรรถภาพปอดสไปโรมิเตอร์ จำนวน 2 เครื่อง ให้แก่สำนักงานเขตสุขภาพที่ 11 กระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคระบบทางเดินหายใจต่าง ๆ เช่น โรคหืดหรือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล โดยมี นพ.จิรชาติ เรืองวัชรินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นผู้รับมอบสไปโรมิเตอร์เครื่องแรกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2565 ณ โรงพยาบาลท่าโรงช้าง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยจะมีการส่งมอบสไปโรมิเตอร์อีกจำนวนหนึ่งเครื่องในเร็ว ๆ นี้

สไปโรมิเตอร์ (Spirometer) เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการทดสอบสมรรถภาพทางปอดตามมาตรฐานสากล โดยจะทำหน้าที่วัดปริมาตรอากาศเข้าและออกจากปอด ทั้งในเชิงปริมาตร (volume) และอัตราการไหลของอากาศ (air flow) ซึ่งจะทำให้แพทย์ได้ข้อมูลที่มีความสำคัญต่อการประเมินและวินิจฉัยสมรรถภาพของปอดของผู้ป่วย

ต่อไป จากข้อมูลการใช้งานของหน่วยงานสาธารณสุข เครื่องสไปโรมิเตอร์จำนวนสองเครื่องที่ได้รับมอบคาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัยโรคระบบทางเดินหายใจให้แก่ผู้ป่วยกว่า 2,380 รายต่อปี นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยการคัดกรองผู้ป่วยในกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจเช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจหลังจากติดเชื้อไวรัสโควิด-19

ทั้งนี้ โรคหืด (Asthma) ถือเป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ Non-communicable diseases (NCDs) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยในแต่ละปีมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคหืดกว่า 2,000 ราย ส่วนโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตลำดับต้น ๆ ของประชากรไทย โดยในปี 2561 มีผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าวมากกว่า 3 ล้านคน และมีแนวโน้มที่การเสียชีวิตจะสูงขึ้นทุกปีเช่นเดียวกับทั่วโลก

ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักและความเข้าใจให้เห็นถึงความสำคัญของโรค พร้อมส่งเสริมศักยภาพความรู้และทักษะของบุคลากรการแพทย์ รวมถึงขยายขีดความสามารถและเพิ่มการเข้าถึงบริการสำหรับโรคหืด (Asthma) และปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

โครงการ Healthy Lung Thailand ถือเป็นโครงการเพื่อสังคมแบบยั่งยืนผ่านความร่วมมือระหว่าง แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และสมาคมทางการแพทย์ โดยมีเป้าหมายให้ทุกคนมีสุขภาพปอดที่แข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านการรณรงค์เสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคมะเร็งปอด และยกระดับการพัฒนาองค์ความรู้ เสริมสร้างศักยภาพ และการเข้าถึงการบริการเพื่อนำไปสู่พัฒนาการด้านการรักษา และจัดการโรคอย่างมีประสิทธิภาพ

 ธันวาคม 2565 — ดีลอยท์ ประเทศไทย ประกาศ 4 ผู้บริหารใหม่ ร่วมทีมที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง บริการด้านการสอบบัญชี และที่ปรึกษาด้านภาษีและกฎหมาย

เสริมศักยภาพในการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยองค์ความรู้เชิงลึก ประสบการณ์ ทักษะและมุมมองใหม่จากทีมผู้บริหารทั้ง 4 ท่าน ผสมผสานกับความรู้และความเชี่ยวชาญระดับโลกของดีลอยท์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของดีลอยท์ในการส่งมอบบริการคุณภาพสูงสุดให้กับลูกค้าในประเทศไทย

การเสริมทัพผู้บริหารในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนเพื่อขยายขีดความสามารถและสร้างความแข็งแกร่งในการให้บริการแก่ลูกค้า และดึงดูดบุคลากรคุณภาพในภูมิภาค

นายสุภศักดิ์ กฤษณามระ กรรมการผู้จัดการ ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยเริ่มที่จะฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 แต่ภาคธุรกิจยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย และความไม่แน่นอนทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา องค์กรส่วนใหญ่ยังคงต้องการคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางธุรกิจเพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ดีลอยท์พร้อมสนับสนุนลูกค้าในทุกขนาด ทุกภาคส่วน และทุกอุตสาหกรรม และให้ความสำคัญกับการเสริมทัพบุคลากร โดยยังคงมองหาผู้มีความสามารถในทุกระดับ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรอย่างต่อเนื่อง ด้วยการมีพาร์ทเนอร์ใหม่มาร่วมทีมในครั้งนี้ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่า ดีลอยท์มีความพร้อมที่จะให้บริการและช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้อย่างแข็งแรง ยั่งยืน และประสบความสำเร็จในอนาคต”

นายอัสสเดช คงสิริ ร่วมงานกับดีลอยท์ ประเทศไทย ในฐานะหัวหน้าทีมที่ปรึกษาทางการเงิน มีประสบการณ์กว่า 30 ปีในการทำงานกับองค์กรขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีประสบการณ์กว่า 20 ปี ในด้านวานิชธนกิจ โดยได้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ และธุรกรรมในตลาดทุนที่ประสบความสำเร็จมากมาย ด้วยเป้าหมายสูงสุดของดีลอยท์ในการให้บริการที่มีคุณภาพ และเป็นที่ปรึกษาที่ลูกค้ามอบความไว้วางใจ (trusted advisor) เพื่อช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายและความต้องการทางธุรกิจ อัสสเดชจะนำทีมที่ปรึกษาทางการเงิน ในการให้บริการด้านการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะทางการเงิน การประเมินมูลค่าธุรกิจ รวมถึงการให้คำปรึกษาทางการเงินทั่วไป และสร้างการเติบโตของบริการที่ปรึกษาทางการเงินของ ดีลอยท์ ประเทศไทย ต่อไป

นายวรพงษ์ สุธานนท์ ร่วมทีมในตำแหน่ง พาร์ทเนอร์ ที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของประเทศไทย ในการให้คำปรึกษาด้านอาชญากรรมทางการเงินและความเสี่ยง โดยในปี 2554 วรพงษ์เป็นหนึ่งในคนไทยเพียงไม่กี่คน ที่ได้รับสิทธิบัตรจากสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าจากสหรัฐอเมริกา ด้านการตรวจจับการฉ้อโกง การวิเคราะห์ความเสี่ยง และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี ในการทำงานด้านอาชญากรรมทางไซเบอร์และการสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อพิพาท รวมถึงแก้ปัญหาวิกฤตและปัญหาทางธุรกิจที่มีความท้าทาย ทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วภูมิภาคอาเซียนกับหนึ่งในบริษัทกลุ่ม Big4 อีกทั้งยังเคยเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารความเสี่ยงให้กับกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ในงานปรับปรุงและแก้ไขงานด้านความเสี่ยงต่าง ๆ ทำให้วรพงษ์สั่งสมประสบการณ์และความเข้าใจเชิงลึก ในหน้าที่ความรับผิดชอบของทั้งกรรมการบริหารระดับสูงและคณะกรรมการตรวจสอบ นอกจากนั้นยังมีบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กรให้ก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการควบคุมดูแลความเสี่ยง จริยธรรม และการปฏิบัติในองค์กรให้เป็นไปตามตามกฎข้อบังคับ

นายวิชัย สุขในใบบุญ ร่วมงานกับดีลอยท์ในตำแหน่ง พาร์ทเนอร์ ที่ปรึกษาด้านการสอบบัญชี มีประสบการณ์กว่า 30 ปี ด้านการตรวจสอบบัญชี และการพัฒนาโซลูชั่นสำหรับองค์กร ให้คำปรึกษาแก่บรรดาบริษัทข้ามชาติ และกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศ วิชัยมีประสบการณ์กว้างขวางในหลายด้าน ซึ่งรวมถึงการจัดการการขายเทคโนโลยีระดับองค์กร การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเงิน การปรับปรุงกระบวนการ วิชัยเชี่ยวชาญด้านกฎระเบียบและบรรษัทภิบาล การบริหารความเสี่ยง ตลอดจนเรื่องบริการ Digital Controllership วิชัยนำทีมที่ปรึกษาบริการด้านบัญชีและปฏิบัติงานด้านการรายงานทางการเงิน (Accounting Operation Advisory) ของดีลอยท์ ประเทศไทย มุ่งเน้นการให้คำปรึกษาและบริการในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธภาพของระบบงาน และขั้นตอนการทำงานของหน่วยงานทางด้านการเงินขององค์กรธุรกิจ

ด้าน นางสาวพัชรพร ภู่ทรานนท์ รับตำแหน่ง พาร์ทเนอร์ ที่ปรึกษาด้านภาษีและกฎหมาย มีประสบการณ์ กว่า 15 ปี ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศในฐานะที่ปรึกษาด้านกฎหมาย โดยมีความเชี่ยวชาญด้านตลาดทุน การควบรวมกิจการ และการปรับโครงสร้างธุรกิจ ในฐานะผู้นำในการให้บริการด้านกฎหมาย พัชรพรมีความมุ่งมั่นที่จะขยายทีมงาน เพื่อให้สามารถส่งมอบบริการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของดีลอยท์ ประเทศไทย ที่ครบถ้วนครอบคลุม และใช้แนวทางแบบองค์รวมของดีลอยท์ในการขยายขีดความสามารถในการรองรับบริษัทที่กำลังจะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

“ผมยินดีต้อนรับพาร์ทเนอร์ใหม่ทุกท่านมาร่วมทีมผู้บริหารของเรา ความเชี่ยวชาญของแต่ละท่าน ครอบคลุมบริการหลักของดีลอยท์ที่มีความสำคัญและตอบสนองความต้องการเชิงกลยุทธ์ของลูกค้า สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของดีลอยท์ ในการนำเสนอความเชี่ยวชาญครอบคลุม เพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าของเรา" นายสุภศักดิ์ กล่าวในที่สุด

ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำ ระดับเทียร์ 4 เร่งนำพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์มาใช้ สืบสานความมุ่งมั่นสู่การเป็นศูนย์ข้อมูลที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศ พร้อมมอบบริการสำหรับองค์กร และ ผู้ให้บริการระดับไฮเปอร์สเกลต่างๆ รวมถึงภาครัฐ ที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานระบบดิจิทัลที่ดีขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ได้จัดพิธีเปิดตัวแผงพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย พร้อมตอกย้ำตำแหน่งผู้ให้บริการโคโลเคชั่นที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศ ด้วยการเติบโตของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และการตอบสนองเป้าหมายสีเขียวในการปกป้องสิ่งแวดล้อมทั่วโลก รวมถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้พลังงานหมุนเวียนกลายเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัย

นายแยป จิน ยี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท กล่าวว่า “ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคเอเชียมาโดยตลอด ซึ่งการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ภายในศูนย์ข้อมูล และการเป็นศูนย์ข้อมูลที่ยั่งยืนที่สุด นับเป็นก้าวสำคัญในการตอกย้ำจุดยืนของเราในฐานะผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย”

เนื่องจากศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก อีกทั้งไฟฟ้ายังเป็นต้นทุนหลักในการดำเนินงาน ทำให้การเพิ่มพลังงานหมุนเวียนให้กับโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ คือกุญแจสำคัญด้านความยั่งยืนของศูนย์ข้อมูล

นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย อดีตปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวแสดงความยินดี “ศูนย์ข้อมูลถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ เป็นแกนหลักด้านดิจิทัลของธุรกิจและรัฐบาล ที่รองรับข้อมูลทั่วโลกและทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ และนี่คือเรื่องราวความสำเร็จอีกครั้งของ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ที่ปูทางประเทศไทยสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมระดับโลก ที่เปลี่ยนจากเศรษฐกิจดิจิทัลไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว”

บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (WHAUP) ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) เพื่อจัดหาพลังงานสีเขียวให้กับศูนย์ข้อมูล ด้วยบริการครบวงจรจาก WHAUP ที่ให้ความมั่นใจสูงสุด เพื่อตอบสนองเป้าหมายในการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจของบริษัท โครงการโซล่าฟาร์ม สร้างขึ้นติดกับพื้นที่ศูนย์ข้อมูลของ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นอกเขตน้ำท่วมกรุงเทพฯ และใกล้กับสถานีเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างประเทศที่มีการเชื่อมโยงทั่วประเทศไทย

“ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) มอบความสามารถในการให้บริการที่สูงกว่าศูนย์ข้อมูลใดๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การมีซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) เป็นลูกค้าพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยตอกย้ำความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงของ WHAUP ในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการชั้นนำด้านระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย” นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าว

ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) มีสิทธิบัตรมากกว่า 350 ฉบับ รวมถึงเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เช่น สถานีสิ่งแวดล้อม และซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องควบคุมอากาศที่ได้รับการจดสิทธิบัตร รับประกันการลดการใช้พลังงานในเชิงกลยุทธ์ ทำให้ศูนย์ข้อมูลของ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) มีค่า PUE ที่ดีที่สุดในประเทศ ซึ่งระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) คือตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลักที่สำคัญที่สุด เพื่อแสดงว่าศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด

ยิ่งไปกว่านั้น ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ยังใช้น้ำน้อยกว่า 0.05 ลิตร/กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งน้อยกว่าหนึ่งถ้วยสำหรับทุกๆ กิโลวัตต์-ชั่วโมงที่ส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ ตามรายงานของกระทรวงพลังงานสหรัฐ ประสิทธิภาพการใช้น้ำ (WUE) ของศูนย์ข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8 ลิตรต่อ 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง

ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ให้บริการโคโลเคชั่นและระบบคลาวด์ ตอบสนองความต้องการของภาครัฐและเอกชนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ยั่งยืน เพื่อสร้างความเป็นผู้นำและให้ความได้เปรียบในการแข่งขัน

Page 3 of 5
X

Right Click

No right click