นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงความสำเร็จการบุกตลาดที่อยู่อาศัยฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯในโซนราชพฤกษ์ตลอดทั้งเส้น ตั้งแต่ราชพฤกษ์ตอนต้น ตอนกลาง และตอนปลาย จากการเปิดขายบ้านและทาวน์โฮมมาแล้วทั้งหมด 26 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการในปัจจุบันที่เปิดขาย 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท และโครงการที่ปิดการขาย (Sold Out) แล้วทั้งหมด 16 โครงการ สะท้อนภาพผู้นำแบรนด์อสังหาฯ อันดับหนึ่งที่มุ่งมั่นถ่ายทอดจากความเข้าใจในการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยอย่างผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมประสบการณ์กว่า 40 ปี ด้วยโครงการที่ครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์บนทำเลราชพฤกษ์

เหตุผลที่แสนสิริประสบความสำเร็จจนกลายเป็นเจ้าตลาดที่อยู่อาศัยโซนราชพฤกษ์มาจาก 4 ปัจจัยหลัก

  • Location ทุกโครงการของแสนสิริ ตั้งอยู่บนสุดยอด Prime Area ที่เดินทางสะดวก เชื่อมต่อทั้งถนนหลักในหลายเส้นทาง รองรับการพัฒนาเครือข่ายคมนาคมในอนาคต รองรับการทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต
  • Design Leader ผู้นำด้านดีไซน์การออกแบบที่ทันสมัย และ Timeless ด้วยความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ออกแบบฟังก์ชันที่ตอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย เพื่อให้ทุกตารางนิ้วภายในบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง ตอบโจทย์ทุกคนมากที่สุด
  • Quality + Sustainability ใส่ใจในคุณภาพตั้งแต่งานก่อสร้างและการเลือกใช้วัสดุภายในบ้านเพื่อให้บ้านมีคุณภาพสูงสุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำแนวคิดสังคมที่ดีอย่างยั่งยืน
  • After Sales Service and Security ให้ความสำคัญตั้งแต่ก่อนซื้อบ้านไปถึงบริการหลังการขาย รวมถึงยกระดับการดูแลความปลอดภัยด้วยการนำเทคโนโลยี LIV-24 เข้ามาใช้ควบคู่กับการดูแลด้วยมาตรฐานแสนสิริ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจและรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

โซนราชพฤกษ์ ถือว่าเป็นทำเลทองที่มีศักยภาพเหมาะสำหรับการอยู่อาศัยและการประกอบกิจการ ด้วยอาณาเขตที่เชื่อมต่อถึง 3 จังหวัดสำคัญของประเทศไทย คือ กรุงเทพมหานคร  นนทบุรี และปทุมธานี ทำให้ปัจจุบันทำเลราชพฤกษ์มีดัชนีราคาประเมินที่ดิน เฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 30% โดยเฉพาะพื้นที่ราชพฤกษ์ตอนต้น ราคาที่ดินปัจจุบันอยู่ที่ 100,000 บาทต่อตารางวา ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25% ส่งผลให้ย่านราชพฤกษ์ตอนต้นเป็นศูนย์รวมของกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทไปจนถึงคฤหาสน์ 100 ล้านบาท แต่ปัจจุบันตลอดทั้งเส้นทางของถนนราชพฤกษ์มีโครงการที่อยู่อาศัยครบทุกระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น

แสนสิริ เป็นผู้นำอสังหาฯ บนทำเลราชพฤกษ์ที่มีโครงการแล้วทั้งหมด 26 โครงการ สร้างความสำเร็จแบบที่ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน โดยเฉพาะการพัฒนา ราชพฤกษ์-346 ให้เป็นหนึ่งใน Sansiri Community สังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ ที่ประกอบไปด้วยโครงการที่อยู่อาศัย กิจกรรมไลฟ์สไตล์เพื่อสร้างสีสันและประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีมีคุณภาพ ภายใต้บรรยากาศอบอุ่นจากการอยู่อาศัยร่วมกันแบบ Good Community ตอกย้ำความมุ่งมั่นของแสนสิริในการส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับลูกบ้าน ทำให้บ้านเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย

ปัจจุบันแสนสิริยังมีโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่ยังอยู่ระหว่างการขายและพัฒนาทั้งหมด 10 โครงการ ครอบคลุมทุกโซนหลักของราชพฤกษ์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายในทำเลดี ที่พร้อมรอคุณเป็นเจ้าของ พร้อมเคาะราคาใหม่ยกโซนลดสูงสุด 3 ล้านบาท* ได้แก่

ทำเลราชพฤกษ์ตอนต้น ประกอบด้วย

  • เศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ - พรานนก ราคา 35-45 ล้านบาท* | ลดสูงสุด 3 ล้านบาท*
  • เศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ - สาย 1 ราคา 25-40 ล้านบาท | ลดสูงสุด 1 ล้านบาท*

ทำเลราชพฤกษ์ตอนกลาง ประกอบด้วย

  • ทาวน์ อเวนิว เมิร์จ รัตนาธิเบศร์ ราคาเริ่ม 59 ล้านบาท* | รับโปรสูงสุด 2 แสน*
  • เศรษฐสิริ สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ ราคา 15 - 30 ล้านบาท*
  • เศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ - นครอินทร์ ราคา 12 - 25 ล้านบาท* | ลดสูงสุด 3 ล้านบาท*

ทำเลราชพฤกษ์ตอนปลาย ประกอบด้วย

  • สิริเพลส ราชพฤกษ์ - 345 ราคา 99 - 3.5 ล้านบาท* | ลดสูงสุด 3 แสน*
  • สิริ เพลส ราชพฤกษ์ -346 ราคา 99 - 3.5 ล้านบาท* | ลดสูงสุด 3 แสน*
  • สิริ เพลส ราชพฤกษ์ - นครอินทร์ ราคา 29 - 4.59 ล้านบาท | ลดสูงสุด 1 แสน*
  • สราญสิริ ราชพฤกษ์ - 345 ราคา 99 – 14 ล้านบาท* | ลดสูงสุด 2 ล้านบาท*
  • สราญสิริ ราชพฤกษ์ - 346 ราคา 99 - 15 ล้านบาท* | ลดสูงสุดกว่า 2 ล้านบาท*

ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษก่อนใครได้ที่ https://siri.ly/NxfGIp4

นายอาณัติ กล่าวว่า การที่แสนสิริมีการพัฒนาโครงการบนโซนราชพฤกษ์เป็นจำนวนมากถึง 26 โครงการ เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพในด้านต่าง ๆ ของทำเลนี้ในแง่มุมต่าง ๆ ของการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการเดินทางที่สะดวกสบาย มีทั้งทางพิเศษประจิมรัถยา (ทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอก) และทางด่วนอนาคตมอเตอร์เวย์บางใหญ่-เมืองกาญฯM81 ปัจจุบันงานก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 90% พร้อมจะเปิดให้บริการตลอดทั้งเส้นทางในปี 2568 นอกจากนี้โซนราชพฤกษ์ยังมีถนนเส้นหลัก ได้แก่ ถนนราชพฤกษ์-กาญจนาภิเษก ความยาว 42 กิโลเมตร, ถนนชัยพฤกษ์ ทางหลวง 345 และทางหลวง 346 ที่ตัดผ่าน 3 พื้นที่ คือ ราชพฤกษ์ตอนปลาย เชื่อมต่อจังหวัดปทุมธานี ราชพฤกษ์ตอนกลาง ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และราชพฤกษ์ตอนต้น เชื่อมเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯและใจกลางเมืองย่าน CBD สาธร-สีลม ส่วนรถไฟฟ้าที่รองรับการเดินทางของประชาชนในย่านราชพฤกษ์มี 3 เส้นทาง คือ  รถไฟฟ้า BTSสายสีเขียว สถานีบางหว้า ที่ตั้งช่วงต้นทางของเส้นราชพฤกษ์ รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินที่เชื่อมต่อกับสถานีบางหว้า และส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินช่วงสถานีหัวลำโพง-บางแค และเส้นทางที่ตัดกับเส้นถนนราชพฤกษ์ มีรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ช่วงระหว่างเตาปูน-บางใหญ่ สิ้นสุดที่สถานีคลองบางไผ่

ที่สำคัญถนนราชพฤกษ์ยังเป็นเส้นทางเชื่อมต่อกับสถานที่สำคัญหลายที่ เช่น ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี กระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าชานเมืองที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม จากสถานีบางซื่อมายังสถานีบางซ่อน และมีส่วนต่อขยายไปยังพื้นที่ศาลายาได้

นอกจากการเดินทางที่สะดวกและรองรับการเติบโตของที่อยู่อาศัยและย่านธุรกิจแล้ว ถนนราชพฤกษ์ยังเป็นแหล่งรวมการใช้ชีวิตที่ครบครันในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน หรือห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ดังนี้

  • ราชพฤกษ์ตอนต้น มีเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, The Circle ราชพฤกษ์, Food Villa ราชพฤกษ์ และโรงเรียน SISB
  • ราชพฤกษ์ตอนกลาง มีเซ็นทรัล เวสต์วิลล์, เซ็นทรัล เวสต์เกต, เดอะคริสตัล, เอสบี ราชพฤกษ์, เดอะวอล์ค ราชพฤกษ์, โรงเรียนเด่นหล้า พระราม5, โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี และโรงงเรียนนานาชาติดราก้อน
  • ราชพฤกษ์ตอนปลาย มีห้างโลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์, ดีไซน์ วิลเลจ, โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์, โรงเรียนนานาชาติเด่นหล้า และโรงเรียน SISB

KEY SUCCESS: ตัวอย่างความสำเร็จของแสนสิริ บนทำเลราชพฤกษ์ อาทิ โครงการ สิริ เพลส ราชพฤกษ์ – รัตนาธิเบศร์ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 โครงการแรกของการเปิดตัวแบรนด์ทาวน์โฮม “สิริ เพลส” จากแสนสิริ และเป็นโครงการทาวน์โฮมที่มีจำนวนยูนิตน้อย มีความเป็นส่วนตัวสูง ทำให้ได้รับผลตอบรับดีจากกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย รวมถึงโครงการ คณาสิริ ราชพฤกษ์ – 346 บ้านวิถีใหม่ที่มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมในสไตล์สวีดิช เป็นอีกหนึ่งโครงการในทำเลนี้ที่ประสบความสำเร็จสูงในด้านยอดขายสู่การสร้าง Sansiri community สร้างความเป็นที่รู้จักของแบรนด์ และทำให้ลูกค้าหรือกลุ่มผู้บริโภคให้ Value กับทำเลนี้มากขึ้นตอกย้ำให้แสนสิริ สร้างคอมมูนิตี้การใช้ชีวิตในถนนเส้นราชพฤกษ์ 346 ได้อย่างยั่งยืน ส่วนแบรนด์ “ฮาบิเทีย” ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในด้านการขายในย่านราชพฤกษ์ โครงการ ฮาบิเทีย ไพร์ม ที่ปิดการขายอย่างรวดเร็วภายใน 1 ปี  และโครงการ ฮาบิเทีย ไพร์ม 2 ที่สามารถสร้างยอดขายและ Sold Out อย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้แสนสิริได้ต่อยอดเปิดตัวเพิ่มอีก 2 โครงการ คือ ฮาบิเทีย บอนด์ ราชพฤกษ์ และฮาบิเทีย ราชพฤกษ์ ที่แสนสิริได้เข้ามาบุกเบิกเปิดตัวโครงการบนทำเลราชพฤกษ์ตอนปลายเป็นรายแรกซึ่งสมัยก่อนย่านนี้ยังเป็นทุ่งนาและไม่เคยมีผู้ประกอบการใดพัฒนามาก่อนถือเป็นการเปิดตลาด ที่แสนสิริ กล้าที่จะพัฒนาโครงการใหม่จนประสบความสำเร็จ ไม่เพียงเท่านั้น โครงการเศรษฐสิริ จรัญ – ปิ่นเกล้า  แบรนด์บ้านเดี่ยว Signature ของแสนสิริ ที่เป็นที่นิยมมาก โครงการที่ลูกค้ารอคอยตั้งแต่ก่อนเปิดขายด้วยทำเลที่หาไม่ได้อีกแล้วในย่านจรัญ และดีไซน์ในแบบ Modern ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จส่งต่อไปยังแบรนด์ “เศรษฐสิริ” โครงการอื่นๆ อีกด้วย และเป็นแบรนด์ที่สร้างยอดขายสูงสุดให้กับแสนสิริ

หมายเหตุ : *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

 

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายบุญชัย โอภาสเอี่ยมลิขิต ประธานธุรกิจ-สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และอังกฤษ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และนายสมบูรณ์ เลิศสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลเตอร์วิม จำกัด (Altervim) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “สนับสนุนสินเชื่อพลังงานสะอาดแก่ Supply Chain” ซึ่ง EXIM BANK จะสนับสนุนบริการทางการเงินแบบครบวงจรเพื่อสร้าง Green Supply Chain ให้แก่ Altervim ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาและลงทุนด้านพลังงานสะอาดแบบครบวงจรในประเทศไทย มาเลเซีย และจีน และบริษัทอื่น ๆ ตลอดจนผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ในเครือ CP เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยทุกขนาดธุรกิจเข้าร่วมกระบวนการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกโดยใช้พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีด้านการประหยัดพลังงาน ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็ว ๆ นี้

ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ EXIM BANK นำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินในอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แก่ Supply Chain ของเครือ CP ผ่าน Altervim เริ่มต้นจากการสนับสนุน Suppliers ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำตลอด Supply Chain ของ CP ครอบคลุม Suppliers ผู้ส่งออก และดีลเลอร์ ด้วยการให้สินเชื่อระยะยาวสนับสนุนการลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งการลงทุนในลักษณะ Private PPA (Private Power Purchase Agreement) ให้ Altervim เป็นผู้ลงทุนและติดตั้ง Solar Rooftop ให้ลูกค้าใน Supply Chain ของบริษัท หรือกรณีกลุ่มลูกค้าใน Supply Chain ต้องการเป็นผู้ลงทุนเอง EXIM BANK มีบริการทางการเงินสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดด้วยต้นทุนที่ต่ำและมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถขอขึ้นทะเบียนเพื่อรับผลประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต โดย EXIM BANK เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนให้ เป็นการสนับสนุนให้ธุรกิจไทยดำเนินกิจการโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ตลอดจนตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแนวนโยบายและการดำเนินงานของเครือ CP ในการผลักดันธุรกิจและผู้ประกอบการใน Supply Chain สู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions โดย Altervim เป็นผู้ลงทุน ผลิต ติดตั้ง และจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานทดแทนของเครือ CP ด้วยประสบการณ์การพัฒนา ลงทุน และติดตั้ง Solar Rooftop มากกว่า 2,500 โครงการให้แก่บริษัทชั้นนำหลายแห่ง อาทิ CPF, Makro, 7-11, Lotus และ TRUE และให้บริการระบบ Digital Energy Platform สนับสนุนการจัดการพลังงานของผู้ประกอบการโดยใช้พลังงานสะอาดแบบครบวงจร นอกจากนี้ Altervim ยังขยายกลุ่มลูกค้าไปยัง Supply Chain ของเครือ CP จำนวนกว่า 30,000 ราย เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

“ท่ามกลางโอกาสและความท้าทายของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยปี 2567 EXIM BANK เดินหน้าพัฒนา Greenovation และขยายพันธมิตรทั้งกับภาครัฐและภาคเอกชน นำผู้ประกอบการไทยตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้ง Supply Chain ปรับตัวและ Go Green ไปด้วยกัน เพราะนั่นคือ ทางรอดเดียวของการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของภาคธุรกิจ ประชาชน และสิ่งแวดล้อม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ดร.รักษ์ กล่าว

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. จัดทำโครงการ “Subsurface Data for U” เพื่อส่งมอบข้อมูลทางด้านธรณีศาสตร์จากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจริงของบริษัทแบบครบวงจร ให้กับมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนด้านธรณีศาสตร์และวิศวกรรมปิโตรเลียม เช่น ข้อมูลการสำรวจคลื่นไหวสะเทือน (Seismic data) ข้อมูลหลุมเจาะ (Well data) และข้อมูลด้านวิศวกรรมปิโตรเลียม รวมทั้ง ระบบคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่พร้อมใช้งาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเรียนการสอน การศึกษาวิจัย และเพิ่มทักษะให้นิสิต นักศึกษาจากการเรียนรู้โครงสร้างทางธรณีวิทยา ธรณีฟิสิกส์ และวิศวกรรมปิโตรเลียมของแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่โครงการซึ่งบริษัทเป็นผู้ดำเนินการ รวมทั้ง เป็นการส่งเสริมการสร้างบุคลากรด้านธรณีศาสตร์ให้กับประเทศอีกด้วย โดย ปตท.สผ. ได้ส่งมอบข้อมูลดังกล่าวให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นแห่งแรก และมีแผนจะส่งมอบข้อมูลให้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ต่อไป

นอกจากนี้ บริษัทผู้ให้บริการในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ได้แก่ ชลัมเบอร์เจอร์ โอเวอร์ซีส์ เอส. เอ. (SLB) บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ยิบอินซอย จำกัด ยังร่วมสนับสนุนโครงการ “Subsurface Data for U”  โดยมอบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และฮาร์ดดิสก์ ให้แก่สถาบันการศึกษาด้วย

“Subsurface Data for U” เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือทางวิชาการ ในโครงการ PTTEP Subsurface University Energy Connect ซึ่ง ปตท.สผ. ได้ลงนามความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพิ่มศักยภาพบุคลากรของทั้งสองฝ่ายผ่านการศึกษาวิจัยต่าง ๆ รวมทั้ง การส่งผู้เชี่ยวชาญของ ปตท.สผ. ไปร่วมสอนวิชาต่าง ๆ กับมหาวิทยาลัย และเปิดโอกาสให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยมาฝึกงานกับ ปตท.สผ. เพื่อร่วมกันสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง เช่น ธรณีศาสตร์ วิศวกรรมปิโตรเลียม ซึ่งเป็นความรู้ที่สำคัญของการสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมซึ่งเป็นพลังงานหลักของประเทศ

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต ttb ให้พักผ่อนทั่วไทย พักใจสุดชิล กับแคมเปญ Let’s go Travel เมื่อมียอดใช้จ่ายแบบเต็มจำนวน ที่โรงแรมและที่พัก รวมร้านอาหารในโรงแรมและรถเช่า (สำหรับยอดใช้จ่ายภายในประเทศ) ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2567 – 30 มิถุนายน 2567 ดังนี้    

สิทธิพิเศษ 1: รับเครดิตเงินคืน เมื่อมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 4,000 บาท / เซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 120 บาท และรับเพิ่มขึ้นเมื่อมียอดใช้จ่ายเพิ่มตามขั้นที่กำหนด จำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุด 4,500 บาท / บัญชีบัตรหลัก ตลอดรายการ ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์เพียงครั้งเดียวใช้ได้ตลอดรายการที่แอป ttb touch หรือส่ง SMS พิมพ์ HTL ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026 สำหรับบัตรเครดิต ttb reserve รับสิทธิ์ได้โดยไม่ต้องลงทะเบียน

สิทธิพิเศษ 2: แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12% เมื่อใช้คะแนนสะสมทุก 1,000 คะแนน และไม่เกินยอดใช้จ่าย โดยต้องมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป จำกัดการแลกคะแนนสูงสุด 100,000 คะแนน / บัญชีบัตรหลัก ตลอดรายการส่งเสริมการขาย บัตรเครดิต ttb reserve รับเครดิตเงินคืน 12% บัตรเครดิต ttb อื่น ๆ ที่มีคะแนนสะสม รับเครดิตเงินคืน 10%  เพียงส่ง SMS เพื่อแลกคะแนนทุกครั้งที่ร่วมรายการ พิมพ์ HTLP ตามด้วยคะแนนที่ต้องการแลก เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026

หนุนการสร้างบุคลากรสายเทค เพื่อให้ประเทศไทยเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาค

แลกสิทธิประโยชน์มหาศาล ส่วนลดและประสบการณ์แตกต่าง ตอกย้ำแบรนด์อสังหาฯ ที่มีบริการหลังการขายที่ดีที่สุด

อลิอันซ์ อยุธยา ส่งความสุขให้ลูกค้าคนพิเศษและครอบครัว จัดกิจกรรมวันครอบครัว “Family Day 2024 SEA LIFE Bangkok” สัมผัสประสบการณ์ท่องโลกใต้ท้องทะเล สำรวจสัตว์ทะเลนานาชนิด ท่องโลกใต้ท้องทะเลจำลอง พร้อมกิจกรรมสุดพิเศษ รับของที่ระลึกและรางวัลมากมาย โดยมีลูกค้าและสมาชิกในครอบครัว พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงาน ฝ่ายขายและพันธมิตรร่วมงานกว่า 1,000 คน ณ SEA LIFE Bangkok สยามพารากอน

นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารงานลูกค้า บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต กล่าวว่า “อลิอันซ์ อยุธยา จัดกิจกรรม Family Day 2024 เพื่อตอกย้ำการดำเนินกลยุทธ์ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มุ่งสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสุขความสัมพันธ์ในครอบครัวให้กับลูกค้า พร้อมสร้างประสบการณ์สุดพิเศษเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า ฝ่ายขายและบริษัทฯ สำหรับกิจกรรมในปีนี้จัดขึ้นที่ SEA LIFE Bangkok สยามพารากอน พาลูกค้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ท่องโลกใต้ต้องทะเล เพลิดเพลินไปกับสัตว์ใต้น้ำนานาชนิด

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมตามหาสัตว์ใต้ท้องทะเล ตามหาสัตว์ Secret เพื่อแลกรับของรางวัลสุดน่ารักจุดถ่ายรูปเช็คอิน ยังมีรางวัล Lucky draw ให้กับลูกค้าที่มาร่วมงาน อาทิ ทองคำ หนัก 1 สลึง, บัตรกิจกรรมใน Sea life “Glass Bottom Boat”, บัตรชมภาพยนตร์ Major 4D ,Central Voucher, กระเป๋าล้อลากขนาด 20” เป็นต้น

การจัดกิจกรรม Family Day 2024 ในครั้งนี้ บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสุข ให้กับผู้ที่มาร่วมงาน บริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างความสุข ความพึงพอใจและพัฒนาบริการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

แอกซ่าประกันภัย ตอกย้ำความเป็นผู้นำประกันภัยระดับโลกโดยร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงในการเป็นผู้ร่วมอุปถัมภ์ด้านประกันภัยอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 3 ของการจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” (Motor Expo 2024) ผ่านแนวคิด “จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม…ยานยนต์ล้ำอนาคต” (Innovative Spirit…Futuristic Vehicles) สู่การตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มรถไฟฟ้า

มร. โคลด เซนย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 นับเป็นปีที่ 3 ของแอกซ่าในฐานะผู้ร่วมอุปถัมภ์ด้านประกันภัยของการจัดงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงศักยภาพความพร้อมของบริษัทในการเป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมยานยนต์ระดับประเทศ รวมถึงเพื่อบรรลุตามเป้าหมายของกลุ่มแอกซ่า และพันธมิตรที่จะช่วยขับเคลื่อนยานยนต์รุ่นใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและผู้คนอย่างยั่งยืน พร้อมเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการเตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่หลากหลาย พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์อย่างครอบคลุม อาทิ ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล และประกันภัยการเดินทาง ฯลฯ ให้กับผู้เข้าร่วมชมงาน และลูกค้าที่สนใจซื้อรถยนต์ภายในงานในปีนี้”

ด้าน นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์ และประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด (Inter-Media Consultant Co., Ltd. หรือ IMC) กล่าวว่า “ความยิ่งใหญ่ และความพร้อมของการจัดงานในปีนี้ มีส่วนสำคัญมาจากการสนับสนุนหลักของแอกซ่าประกันภัย ซึ่งตอกย้ำความสำเร็จของการร่วมมืออย่างต่อเนื่องของทั้งสองธุรกิจ ส่งผลให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้เข้าร่วมชมงานมากขึ้นในทุกๆ ปี โดยการจัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 มาในแนวคิด “จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม…ยานยนต์ล้ำอนาคต” (Innovative Spirit…Futuristic Vehicles) ที่พร้อมรอต้อนรับทุกท่านให้มาร่วมสัมผัสถึงจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่และตอบโจทย์ความต้องการของผู้เข้าร่วมงานได้อย่างครบครัน”

งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” จะจัดขึ้น ณ อาคารชาลเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 พร้อมติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ motorexpo.co.th และทุกสื่อในเครือ “IMC สื่อสากล”

บริการสนับสนุนด้านไอที ส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่า

Page 1 of 614
X

Right Click

No right click