ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายบุญชัย โอภาสเอี่ยมลิขิต ประธานธุรกิจ-สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และอังกฤษ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และนายสมบูรณ์ เลิศสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลเตอร์วิม จำกัด (Altervim) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “สนับสนุนสินเชื่อพลังงานสะอาดแก่ Supply Chain” ซึ่ง EXIM BANK จะสนับสนุนบริการทางการเงินแบบครบวงจรเพื่อสร้าง Green Supply Chain ให้แก่ Altervim ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาและลงทุนด้านพลังงานสะอาดแบบครบวงจรในประเทศไทย มาเลเซีย และจีน และบริษัทอื่น ๆ ตลอดจนผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ในเครือ CP เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยทุกขนาดธุรกิจเข้าร่วมกระบวนการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกโดยใช้พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีด้านการประหยัดพลังงาน ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็ว ๆ นี้

ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ EXIM BANK นำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินในอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แก่ Supply Chain ของเครือ CP ผ่าน Altervim เริ่มต้นจากการสนับสนุน Suppliers ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำตลอด Supply Chain ของ CP ครอบคลุม Suppliers ผู้ส่งออก และดีลเลอร์ ด้วยการให้สินเชื่อระยะยาวสนับสนุนการลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งการลงทุนในลักษณะ Private PPA (Private Power Purchase Agreement) ให้ Altervim เป็นผู้ลงทุนและติดตั้ง Solar Rooftop ให้ลูกค้าใน Supply Chain ของบริษัท หรือกรณีกลุ่มลูกค้าใน Supply Chain ต้องการเป็นผู้ลงทุนเอง EXIM BANK มีบริการทางการเงินสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดด้วยต้นทุนที่ต่ำและมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถขอขึ้นทะเบียนเพื่อรับผลประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต โดย EXIM BANK เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนให้ เป็นการสนับสนุนให้ธุรกิจไทยดำเนินกิจการโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ตลอดจนตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแนวนโยบายและการดำเนินงานของเครือ CP ในการผลักดันธุรกิจและผู้ประกอบการใน Supply Chain สู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions โดย Altervim เป็นผู้ลงทุน ผลิต ติดตั้ง และจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานทดแทนของเครือ CP ด้วยประสบการณ์การพัฒนา ลงทุน และติดตั้ง Solar Rooftop มากกว่า 2,500 โครงการให้แก่บริษัทชั้นนำหลายแห่ง อาทิ CPF, Makro, 7-11, Lotus และ TRUE และให้บริการระบบ Digital Energy Platform สนับสนุนการจัดการพลังงานของผู้ประกอบการโดยใช้พลังงานสะอาดแบบครบวงจร นอกจากนี้ Altervim ยังขยายกลุ่มลูกค้าไปยัง Supply Chain ของเครือ CP จำนวนกว่า 30,000 ราย เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

“ท่ามกลางโอกาสและความท้าทายของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยปี 2567 EXIM BANK เดินหน้าพัฒนา Greenovation และขยายพันธมิตรทั้งกับภาครัฐและภาคเอกชน นำผู้ประกอบการไทยตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้ง Supply Chain ปรับตัวและ Go Green ไปด้วยกัน เพราะนั่นคือ ทางรอดเดียวของการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของภาคธุรกิจ ประชาชน และสิ่งแวดล้อม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ดร.รักษ์ กล่าว

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. จัดทำโครงการ “Subsurface Data for U” เพื่อส่งมอบข้อมูลทางด้านธรณีศาสตร์จากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจริงของบริษัทแบบครบวงจร ให้กับมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนด้านธรณีศาสตร์และวิศวกรรมปิโตรเลียม เช่น ข้อมูลการสำรวจคลื่นไหวสะเทือน (Seismic data) ข้อมูลหลุมเจาะ (Well data) และข้อมูลด้านวิศวกรรมปิโตรเลียม รวมทั้ง ระบบคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่พร้อมใช้งาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเรียนการสอน การศึกษาวิจัย และเพิ่มทักษะให้นิสิต นักศึกษาจากการเรียนรู้โครงสร้างทางธรณีวิทยา ธรณีฟิสิกส์ และวิศวกรรมปิโตรเลียมของแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่โครงการซึ่งบริษัทเป็นผู้ดำเนินการ รวมทั้ง เป็นการส่งเสริมการสร้างบุคลากรด้านธรณีศาสตร์ให้กับประเทศอีกด้วย โดย ปตท.สผ. ได้ส่งมอบข้อมูลดังกล่าวให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นแห่งแรก และมีแผนจะส่งมอบข้อมูลให้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ต่อไป

นอกจากนี้ บริษัทผู้ให้บริการในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ได้แก่ ชลัมเบอร์เจอร์ โอเวอร์ซีส์ เอส. เอ. (SLB) บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ยิบอินซอย จำกัด ยังร่วมสนับสนุนโครงการ “Subsurface Data for U”  โดยมอบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และฮาร์ดดิสก์ ให้แก่สถาบันการศึกษาด้วย

“Subsurface Data for U” เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือทางวิชาการ ในโครงการ PTTEP Subsurface University Energy Connect ซึ่ง ปตท.สผ. ได้ลงนามความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพิ่มศักยภาพบุคลากรของทั้งสองฝ่ายผ่านการศึกษาวิจัยต่าง ๆ รวมทั้ง การส่งผู้เชี่ยวชาญของ ปตท.สผ. ไปร่วมสอนวิชาต่าง ๆ กับมหาวิทยาลัย และเปิดโอกาสให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยมาฝึกงานกับ ปตท.สผ. เพื่อร่วมกันสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง เช่น ธรณีศาสตร์ วิศวกรรมปิโตรเลียม ซึ่งเป็นความรู้ที่สำคัญของการสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมซึ่งเป็นพลังงานหลักของประเทศ

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต ttb ให้พักผ่อนทั่วไทย พักใจสุดชิล กับแคมเปญ Let’s go Travel เมื่อมียอดใช้จ่ายแบบเต็มจำนวน ที่โรงแรมและที่พัก รวมร้านอาหารในโรงแรมและรถเช่า (สำหรับยอดใช้จ่ายภายในประเทศ) ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2567 – 30 มิถุนายน 2567 ดังนี้    

สิทธิพิเศษ 1: รับเครดิตเงินคืน เมื่อมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 4,000 บาท / เซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 120 บาท และรับเพิ่มขึ้นเมื่อมียอดใช้จ่ายเพิ่มตามขั้นที่กำหนด จำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุด 4,500 บาท / บัญชีบัตรหลัก ตลอดรายการ ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์เพียงครั้งเดียวใช้ได้ตลอดรายการที่แอป ttb touch หรือส่ง SMS พิมพ์ HTL ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026 สำหรับบัตรเครดิต ttb reserve รับสิทธิ์ได้โดยไม่ต้องลงทะเบียน

สิทธิพิเศษ 2: แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12% เมื่อใช้คะแนนสะสมทุก 1,000 คะแนน และไม่เกินยอดใช้จ่าย โดยต้องมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป จำกัดการแลกคะแนนสูงสุด 100,000 คะแนน / บัญชีบัตรหลัก ตลอดรายการส่งเสริมการขาย บัตรเครดิต ttb reserve รับเครดิตเงินคืน 12% บัตรเครดิต ttb อื่น ๆ ที่มีคะแนนสะสม รับเครดิตเงินคืน 10%  เพียงส่ง SMS เพื่อแลกคะแนนทุกครั้งที่ร่วมรายการ พิมพ์ HTLP ตามด้วยคะแนนที่ต้องการแลก เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026

หนุนการสร้างบุคลากรสายเทค เพื่อให้ประเทศไทยเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาค

แลกสิทธิประโยชน์มหาศาล ส่วนลดและประสบการณ์แตกต่าง ตอกย้ำแบรนด์อสังหาฯ ที่มีบริการหลังการขายที่ดีที่สุด

อลิอันซ์ อยุธยา ส่งความสุขให้ลูกค้าคนพิเศษและครอบครัว จัดกิจกรรมวันครอบครัว “Family Day 2024 SEA LIFE Bangkok” สัมผัสประสบการณ์ท่องโลกใต้ท้องทะเล สำรวจสัตว์ทะเลนานาชนิด ท่องโลกใต้ท้องทะเลจำลอง พร้อมกิจกรรมสุดพิเศษ รับของที่ระลึกและรางวัลมากมาย โดยมีลูกค้าและสมาชิกในครอบครัว พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงาน ฝ่ายขายและพันธมิตรร่วมงานกว่า 1,000 คน ณ SEA LIFE Bangkok สยามพารากอน

นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารงานลูกค้า บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต กล่าวว่า “อลิอันซ์ อยุธยา จัดกิจกรรม Family Day 2024 เพื่อตอกย้ำการดำเนินกลยุทธ์ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มุ่งสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสุขความสัมพันธ์ในครอบครัวให้กับลูกค้า พร้อมสร้างประสบการณ์สุดพิเศษเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า ฝ่ายขายและบริษัทฯ สำหรับกิจกรรมในปีนี้จัดขึ้นที่ SEA LIFE Bangkok สยามพารากอน พาลูกค้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ท่องโลกใต้ต้องทะเล เพลิดเพลินไปกับสัตว์ใต้น้ำนานาชนิด

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมตามหาสัตว์ใต้ท้องทะเล ตามหาสัตว์ Secret เพื่อแลกรับของรางวัลสุดน่ารักจุดถ่ายรูปเช็คอิน ยังมีรางวัล Lucky draw ให้กับลูกค้าที่มาร่วมงาน อาทิ ทองคำ หนัก 1 สลึง, บัตรกิจกรรมใน Sea life “Glass Bottom Boat”, บัตรชมภาพยนตร์ Major 4D ,Central Voucher, กระเป๋าล้อลากขนาด 20” เป็นต้น

การจัดกิจกรรม Family Day 2024 ในครั้งนี้ บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสุข ให้กับผู้ที่มาร่วมงาน บริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างความสุข ความพึงพอใจและพัฒนาบริการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

แอกซ่าประกันภัย ตอกย้ำความเป็นผู้นำประกันภัยระดับโลกโดยร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงในการเป็นผู้ร่วมอุปถัมภ์ด้านประกันภัยอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 3 ของการจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” (Motor Expo 2024) ผ่านแนวคิด “จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม…ยานยนต์ล้ำอนาคต” (Innovative Spirit…Futuristic Vehicles) สู่การตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มรถไฟฟ้า

มร. โคลด เซนย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 นับเป็นปีที่ 3 ของแอกซ่าในฐานะผู้ร่วมอุปถัมภ์ด้านประกันภัยของการจัดงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงศักยภาพความพร้อมของบริษัทในการเป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมยานยนต์ระดับประเทศ รวมถึงเพื่อบรรลุตามเป้าหมายของกลุ่มแอกซ่า และพันธมิตรที่จะช่วยขับเคลื่อนยานยนต์รุ่นใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและผู้คนอย่างยั่งยืน พร้อมเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการเตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่หลากหลาย พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์อย่างครอบคลุม อาทิ ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล และประกันภัยการเดินทาง ฯลฯ ให้กับผู้เข้าร่วมชมงาน และลูกค้าที่สนใจซื้อรถยนต์ภายในงานในปีนี้”

ด้าน นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์ และประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด (Inter-Media Consultant Co., Ltd. หรือ IMC) กล่าวว่า “ความยิ่งใหญ่ และความพร้อมของการจัดงานในปีนี้ มีส่วนสำคัญมาจากการสนับสนุนหลักของแอกซ่าประกันภัย ซึ่งตอกย้ำความสำเร็จของการร่วมมืออย่างต่อเนื่องของทั้งสองธุรกิจ ส่งผลให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้เข้าร่วมชมงานมากขึ้นในทุกๆ ปี โดยการจัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 มาในแนวคิด “จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม…ยานยนต์ล้ำอนาคต” (Innovative Spirit…Futuristic Vehicles) ที่พร้อมรอต้อนรับทุกท่านให้มาร่วมสัมผัสถึงจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่และตอบโจทย์ความต้องการของผู้เข้าร่วมงานได้อย่างครบครัน”

งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” จะจัดขึ้น ณ อาคารชาลเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 พร้อมติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ motorexpo.co.th และทุกสื่อในเครือ “IMC สื่อสากล”

บริการสนับสนุนด้านไอที ส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่า

เอสซีจี ส่งมอบนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่สร้างสรรค์ โชว์ตัวในงานสถาปนิก’67 "SCG Smart Living" นำเทคโนโลยีเสริมนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีผู้อยู่อาศัย และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมทั้งลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “SCG Forward into Future Living: Sustaining Space and Technology” ตอกย้ำผู้นำโซลูชันเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีกว่า ประหยัดพลังงาน รักษ์โลก ควบคู่การลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เปิดตัวแบรนด์ใหม่ ONNEX by SCG Smart Living รวมนวัตกรรมเพื่อบ้านและอาคารที่ก่อสร้างไว้ที่เดียว ขณะที่ COTTO ภายใต้ SCG Decor แนวคิด “Reform the new Sustainability, made by you” พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยให้สวยงามและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง กล่าวว่า เมื่อเอ่ยถึงเอสซีจี คนจะนึกถึงวัสดุต่างๆ ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันเอสซีจีได้พัฒนาและต่อยอดงานที่ไม่ใช่แค่เพียงวัสดุก่อสร้าง แต่ขยายขอบข่ายไปถึงนวัตกรรมที่ทำให้คุณภาพชีวิตผู้อยู่อาศัยดีขึ้น ทั้งเรื่องของพื้นที่ (Space) เทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Technology) รวมไปถึงความยั่งยืน (Sustainability) และในปีนี้ได้มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ONNEX by SCG Smart Living ที่ต่อไปจะได้ยินชื่อแบรนด์นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเป็นแบรนด์ที่รวมนวัตกรรมเพื่อบ้านและอาคารที่ตอบโจทย์ใน 4 เรื่องหลัก ได้แก่

  1. การประหยัดพลังงาน โดย‘ONNEX Solar Roof Solutions’ ที่ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุดถึง 60%
    ซึ่งให้บริการครบวงจร ตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ การออกแบบ การติดตั้งด้วยเทคโนโลยีSolar Fix สิทธิบัตรเฉพาะเอสซีจี ที่ทำให้ลูกค้ามั่นใจเรื่ืองความปลอดภัย และยังแก้ปัญหาหลังคารั่ว พร้อมการรับประกันถึง 25 ปี และบริการหลังการขาย
  2. แก้ไขปัญหาคุณภาพอากาศ โดย‘ONNEX Active Air Quality’ ที่เป็นนวัตกรรมการเติมอากาศดี ที่มีระบบการกรองถึง 6 ชั้น เพื่อบล็อคฝุ่นและเชื้อโรค เพิ่มออกซิเจนในบ้าน และยังมี ‘ONNEX Active Air Flow’ แก้ปัญหาบ้านร้อนอบอ้าว ด้วยระบบถ่ายเทและระบายอากาศ ช่วยให้บ้านเย็นลง 2-5 องศาเซลเซียส
  3. ความปลอดภัยภายในบ้าน‘DoCare’ (Smart Home Solution for Seniors) เพิ่มคุณภาพการดูแลผู้สูงอายุ ด้วยนวัตกรรมเรดาร์ตรวจจับการล้ม เฝ้าระวังและแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน แจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุไปที่ครอบครัว และยังมีอุปกรณ์ขอความช่วยเหลือด้วยเสียง อุปกรณ์ช่วยติดตามสุขภาพประจำบ้าน
  4. แอปพลิเคชั่น ที่ช่วยดูแลงานหลังบ้าน เช่น โซล่าเซลล์วันนี้ผลิตไฟได้เท่าไร

นายวชิระชัย กล่าวว่า ทั้งนี้ นวัตกรรมในบ้านด้วยโซลูชันที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มผู้ใช้งาน ทั้งเจ้าของบ้าน โครงการ อาคารทุกประเภท ห้างสรรพสินค้า รวมไปถึงโรงงาน มีการแนวโน้มการเติบโตและมีความต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้นในๆ ทุกปี”

ด้าน COTTO ภายใต้ SCG Decor นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด หรือ SCG Decor (SCGD) เล่าว่า โจทย์หลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ SCGD และ COTTO คือ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change ในฐานะผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้นผิว และสุขภัณฑ์ในอาเซียน จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต ภายใต้แนวคิด COTTO “Reform the new Sustainability, made by you” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ออกแบบ และกระตุ้นให้ทุกคนใส่ใจกับปัญหาเหล่านี้ ผ่านการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ สร้างผลกระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด พร้อมเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ที่ลดการใช้พลังงาน ลดปริมารของเสีย

ในงานสถาปนิก 2024 : ASA EXPO ทาง SCGD ได้จัดแบ่งพื้นที่เป็น 4 โซน ได้แก่

  • โซนแรกSEA REFORM สะท้อนปัญหาระดับน้ำทะเลที่กำลังสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 3-5 มิลลิเมตร จากการละลายของธารน้ำแข็ง ส่งผลกระทบให้ระบบนิเวศชายฝั่งเปลี่ยนไป ภายในโซนนี้ นำเสนอวัสดุตกแต่งผิวจากหินธรรมชาติแท้ อย่าง “STONE DECOR COLLECTION” ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตทำให้มีความบางเพียง 1.5-2 มิลลิเมตร โดดเด่นด้านความบาง มุมโค้ง ทรงคลื่น มีความแข็งแรงทนทานต่อรอยขีดข่วน และยังมีกลุ่มกระเบื้องตกแต่ง “ECO Collection” ที่ลดการใช้ทรัพยากรใหม่สูงสุด 50% รวมทั้งสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ และอุปกรณ์ Smart Lifestyle Bathroom เช่น VIZIO Smart Toilet with Double Protection, Smart LED & Bluetooth Mirror และ Smart Shower เป็นต้น ซึ่งเน้นการนำเสนอฟังก์ชั่นบวกเทคโนโลยี โดยกลุ่มสมาร์ทนี้จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาดมากขึ้น
  • โซนที่ 2LAND REFORM นำเสนอถึงพื้นที่ดินที่ลดลง ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ จะเป็นนวัตกรรมแผ่นพื้นบุผนังและและเพดาน โดย Ultra Veneer Flooring – LT By COTTO ซึ่งได้รับการรองรับจาก SCG GREEN CHOICE ช่วยส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยที่ดี ประหยัดพลังงาน ลดโลกร้อน ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดการใช้ไม้ ยืดอายุการใช้งาน และยังมมีนวัตกรรมที่ใช้กับสัตว์เลี้ยง ที่ผ่านงานวิจัย ทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวได้ โดยลดความเสื่อมของข้อกระดูกของสัตว์ ลดแบคทีเรีย ลดการขยายของเชื้อโรค และลดกลิ่นจากสัตว์เลี้ยงได้ 40%
  • โซนที่ 3TEMPERATURE REFORM สะท้อนปัญหาการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.2 องศาเซลเซียส โดยจัดแสดงกระเบื้องตกแต่งภายในสีสันโทนร้อน และเย็น เพื่อสะท้อนความแตกต่างของเฉดสี พร้อมทั้งการเคลือบแสงจาก Ambient มีความสวยงามตามสไตล์มินิมอล สีพื้นผิวสุขภัณฑ์เป็นสีด้าน เพิ่มความเรียบง่าย
  • โซนสุดท้ายTIDES REFORM สะท้อนถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ ที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องมากจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงสาเหตุจากการกระทำของมนุษย์ที่ทำให้เกิดผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อระบบนิเวศใต้ทะเล ผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ เช่น ก๊อกน้ำ และ สินค้าอุปกรณ์ตกแต่งห้องน้ำ ที่ประหยัดน้ำ เป็นสมาร์ทฟังก์ชั่นและมีความสวยงาม

ทั้งนี้ Climate Change ถือเป็นตัวเร่งสำคัญ ที่ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีความใกล้เคียงธรรมชาติ มีกระแสตอบรับที่ดี และมีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่ือย ๆ จากที่ผ่านมามมีการเติบโตราว 10% โดย SCGD เตรียมความพร้อมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม SCG GREEN CHOICE เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนมากกว่า 70% จะขยายเพิ่มเติมให้ได้ 80% เพื่อตอบรับความต้องการของตลาด และตอบโจทย์การเดินหน้าสู่เป้าหมาย NET ZERO Carbon Emission ภายในปี 2050

X

Right Click

No right click