เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางศรัณยา  เทียนถาวร (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ร่วมด้วย นายโจฮัน  ดีทอย (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน   ดร. คริส-เตียน โรแลนด์ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล และ นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เดินหน้าจัดกิจกรรม AIA Food Fighter เพื่อมุ่งลดปัญหาขยะอาหารล้นโลก (Food Waste) ซึ่งปัญหาขยะอาหารถือเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ อีกทั้งยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาก๊าซเรือนกระจก โดยเอไอเอ ได้ชวนพนักงานเอไอเอ ประเทศไทย ร่วมแคมเปญกู้โลกรณรงค์การบริโภคอาหารแต่พอดี พร้อมเปิดตัวรถต้นแบบ “AIA Goodie Foodie Truck” สำหรับแบ่งปันอาหาร ขนม และผลไม้ให้กับเพื่อนพนักงานที่ปฎิบัติงานอยู่ ณ อาคาร เอไอเอ ทาวเวอร์ สำนักงานใหญ่ เพื่อเปลี่ยนอาหารที่รับประทานไม่หมดแต่ยังสะอาดและมีคุณภาพดีให้เป็นอีกหนึ่งมื้ออร่อยของผู้อื่น ซึ่งนับเป็นเป้าหมายสำคัญของเอไอเอ ที่ต้องการมีส่วนในการสร้างโลกให้น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับพวกเราคนไทยทุกคนด้วยอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ อย่างการช่วยลดขยะอาหาร ตลอดจนยังเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน ESG และสอดคล้องตามพันธกิจของเอไอเอ ในการสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ‘Healthier, Longer, Better Lives’

วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย เผยทิศทางธุรกิจ ประจำปี 2567 เน้นขยายการเติบโต รวมถึงการนำความยั่งยืนมาใช้ผสานในการพัฒนาส่วนต่างๆ ของธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปีนี้ วัตสัน ในฐานะผู้นำตลาด ยังคงมุ่งหน้าชูกลยุทธ์การชอปปิ้งออฟไลน์และออนไลน์ (O+O) เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของลูกค้า รวมถึงการต่อยอดให้กับสินค้าภายใต้แบรนด์วัตสัน โดยทั้งหมดนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของวัตสันในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

วัตสัน ประเทศไทย เน้นการขยายการเติบโต ควบคู่ไปกับการส่งเสริมด้านความยั่งยืน และในฐานะร้านเพื่อสุขภาพและความงามแห่งแรกที่มีสาขาครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย วัตสันยังคงเดินหน้าขยายตามแผนงาน เพื่อสร้างการเข้าถึงที่ง่าย และสะดวกสบายให้กับลูกค้า ตอบรับความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่รวม 50 สาขา รวมถึงพัฒนาหน้าร้านที่มีอยู่อีกด้วย

เพื่อสอดรับกับเป้าหมายความยั่งยืน วัตสัน ประเทศไทย ส่งเสริม Greener Store ซึ่งเป็นรูปแบบร้านค้าเพื่อความยั่งยืนของวัตสัน ที่ได้ทดลองเริ่มปฏิบัติการจริงไปแล้วที่สาขาสยามสแควร์ โดยการนำเสนอแนวคิดและมาตรการต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาปรับใช้ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา และการเลือกใช้วัสดุตกแต่งที่ผลิตจากกระดาษและไม้รีไซเคิล โดย คุณพสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์ กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “แนวคิด Greener Store ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของวัตสันในการสร้างวัฒนธรรมที่บ่มเพาะความยั่งยืนในกระบวนการดำเนินงาน และปฏิบัติการต่างๆ ในทุกๆ วัน” ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดใช้พลังงาน รวมถึงเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน และการมีส่วนร่วมของลูกค้า

นอกจากนี้ วัตสัน ประเทศไทย ได้นำรถบรรทุกและรถปิคอัพไฟฟ้า มาใช้สำหรับการจัดส่งสินค้า ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ อีกทั้ง วัตสัน ยังมุ่งมั่นในการเพิ่มสัดส่วนการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นการเพิ่มทางเลือกและตอบรับความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้า ที่หันมาสนใจด้านสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น

กลยุทธ์ O+O ของวัตสันถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการมอบประสบการณ์การชอปปิ้งแบบไร้รอยต่อ โดยเฉพาะในปัจจุบัน วัตสัน มีสมาชิกวัตสันคลับ มากกว่า 9 ล้านคนที่ได้รับสิทธิพิเศษผ่าน “โปรโมเชื่อม” โปรโมชั่นที่ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อการชอปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์สำหรับสมาชิกวัตสัน คลับ โดยเฉพาะ ควบคู่ไปกับการใช้ความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าจากฐานสมาชิกที่แข็งแกร่ง มาใช้เป็นเครื่องมือในการยกระดับการสร้างประสบการณ์ที่ดีสำหรับสมาชิก กระตุ้นการมีส่วนร่วม และมัดใจสมาชิก ด้วยกิจกรรมสุดพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับเซเลปชื่อดัง กิจกรรมเวิร์กช็อป รวมถึงสิทธิพิเศษในการแลกบัตรกำนัลด้านไลฟ์สไตล์ต่างๆ

เพื่อตอบรับกับเทรนด์ในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ในปี 2567 วัตสัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสุขภาพ ด้วยการเปิดตัววัตสัน เดย์ไวต้า (Day-Vita) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์วัตสัน โดยการเปิดตัวในครั้งนี้ เป็นการใช้ความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีมาอย่างยาวนานของวัตสัน ประกอบกับความเข้าใจในผู้บริโภค ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการมีสุขภาพที่ดีได้ง่าย สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ในราคาที่เหมาะสม

คุณพสิษฐ์ กล่าวเสริมอีกว่า “นอกเหนือจากความสำเร็จทางธุรกิจ วัตสันยังตอกย้ำความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนของชุมชน ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญเพื่อมุ่งสู่อนาคตที่สดใส ด้วยโครงการริเริ่มต่างๆ เช่น แคมเปญ Give a Smile กับ Operation Smile สนับสนุนเป้าหมายของเอเอส วัตสัน กรุ๊ป ในการฟื้นฟูรอยยิ้ม 10,000 รอยยิ้มภายในปี พ.ศ. 2573 ซึ่งก้าวต่อๆ ไปของเรา ก็จะยังคงมุ่งมั่นในการส่งต่อประสบการณ์การชอปปิ้งที่ดีที่สุด และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน รวมถึงสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าของเราจะได้รับความสุขและยิ้มได้ในทุกๆ วัน”

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (แถวหลัง คนกลาง) เปิดบ้านต้อนรับเด็กๆ เข้าร่วมกิจกรรมแฟมิลี่เดย์ “KTAXA Kids Carnival ปี 2 พาน้อง ๆ ไปท่องดินแดนมหาสนุก ปลุกจินตนาการ” โดยกิจกรรมในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเปิดประสบการณ์บุตรหลานของพนักงาน อายุตั้งแต่ 5-12 ขวบ ได้เยี่ยมชมการทำงาน และสถานที่ทำงานของผู้ปกครอง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุตรหลานในการทำงานในอนาคต นอกจากนั้นภายในงานมีกิจกรรมมากมาย อาทิ เพ้นท์กระเป๋า บานาน่าดิปปิ้ง บันไดงูปริศนา เลโก้ บ่อบอลหรรษา สร้างบ้านเต่าออนไลน์ โบโซ่ลูกโป่งหรรษา และอิ่มอร่อยกับบูธอาหารสุดพิเศษหลากหลายเมนู

ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่น พัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง และเป็นสถานที่ทำงานที่สนับสนุนให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานอย่างสูงสุด ในเรื่องสวัสดิการ การเติบโตในอาชีพ การพัฒนาศักยภาพ ความเป็นอยู่ของพนักงานที่ครบถ้วนรอบด้าน รวมถึงการดูแลครอบครัวของพนักงาน ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่พร้อมทั้งเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

“แอล ดับเบิลยู เอส” เปิด 5 ทำเลเหมาะในการพัฒนาคอนโดมิเนียมเพื่อสัตว์เลี้ยง ตอบโจทย์กับความต้องการที่อยู่อาศัยของ Pet Parents ที่มีกำลังซื้อสูง

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จัดงาน Age of Happiness : Thank You Event for Our Valued Customers  เพื่อขอบคุณลูกค้าธนาคารกรุงเทพที่ให้ความไว้วางใจส่งมอบความคุ้มครองเพื่อสร้างความมั่งคั่ง และมั่นคงทางการเงินพร้อมสุขภาพมามากกว่า 20 ปี  ผ่าน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้ง Gain1st ที่สนับสนุนเงินออม Credit1st ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อธุรกิจ และ Home1st สำหรับลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้ความอุ่นใจทั้งชีวิตและโรคร้ายแรง โดยมี นายชาติศิริ โสภณพนิช (ที่ 4 จาก ซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เป็นประธานเปิดงาน นายโชน โสภณพนิช (ที่ 4 จากขวา) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงเทพประกันชีวิต พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 2 องค์กร ให้การต้อนรับ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ  เมื่อเร็วๆนี้

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “สู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย Big Data สำหรับอุตสาหกรรมประกันภัย” เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องสุขุมวิท 1-3 ชั้น 3 โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวโดยมีใจความที่สำคัญตอนหนึ่งว่า ตามที่ สำนักงาน คปภ. ได้จัดทำระบบฐานข้อมูลการประกันภัย (Insurance Bureau System: IBS) ขึ้น โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย และบริษัทประกันวินาศภัย ในการร่วมกันพัฒนาฐานข้อมูลประกันวินาศภัยให้มีความสมบูรณ์ ตลอดจนมีความร่วมมือระหว่างกันในการนำข้อมูลด้านประกันภัยต่าง ๆ ภายในระบบฐานข้อมูลการประกันภัยมาประมวลและวิเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ ซึ่งระบบ IBS จัดทำขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการประกันภัยเพื่อเป็นฐานข้อมูล Big Data ของอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อสนับสนุน ส่งเสริม และยกระดับการดำเนินธุรกิจประกันภัยให้สามารถบริการประชาชนได้ดียิ่งขึ้น และจากความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างสำนักงานคปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย และบริษัทประกันวินาศภัยทุกแห่ง จึงประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ส่งผลให้ฐานข้อมูลประกันวินาศภัย หรือ Non-Life Insurance Bureau System (Non-Life IBS) มีความครบถ้วนสมบูรณ์และมีคุณภาพ ทำให้สามารถนำข้อมูลมาใช้งานได้จริงอย่างเป็นรูปธรรมก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อภาครัฐ ภาคธุรกิจประกันภัย และประชาชน ในการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลด้านประกันภัยที่มีความครบถ้วน ถูกต้อง สมบูรณ์ และมีคุณภาพ

เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สำนักงาน คปภ. มีนโยบายในการส่งเสริมการพัฒนาฐานข้อมูลการทำประกันภัยกลางของประเทศ ที่ครอบคลุมข้อมูลในทุกมิติเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ ทั้งในด้านการกำกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง ให้เป็นหนึ่งในเสาหลักระบบเศรษฐกิจของประเทศเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการให้บริการดูแลสังคมและประชาชน ตลอดจนเพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและการขยายธุรกิจ โดยสำนักงาน คปภ. ได้กำหนดกลยุทธ์หลักใน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์เชิงสถิติ เพื่อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน เช่น การกำหนดแผนและกลยุทธ์องค์กร การบริหารความเสี่ยงภัยในการรับประกันภัย การบริหารต้นทุนในการดำเนินงาน การบริหารด้านสินไหมทดแทน การวิจัยในด้านต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและการกำหนดนโยบายทั้งในส่วนของสำนักงาน คปภ. และบริษัทประกันวินาศภัย 2. การนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์ด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยเพื่อสนับสนุนการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมในการรับความเสี่ยงภัยของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท การคำนวณต้นทุนความเสียหายของความเสี่ยงแต่ละประเภท การประเมินความมั่นคงทางการเงิน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถกำหนดเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยเกิดความเป็นธรรมและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เอาประกันภัยอย่างแท้จริง 3. การนำข้อมูลไปใช้ในการตรวจสอบในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างการบริการที่ดีและมีประสิทธิภาพให้กับประชาชน โดยการตรวจสอบการทำประกันภัยอย่างเป็นระบบเพื่อการให้บริการที่รวดเร็ว รวมถึงการตรวจสอบการฉ้อฉลประกันภัยที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เกิดความระมัดระวังในการพิจารณารับประกันภัย การจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ไม่เหมาะสม อันจะเป็นการรักษาระบบประกันภัยให้มีความยั่งยืน และ 4. การนำข้อมูลไปใช้เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาและขยายธุรกิจประกันวินาศภัยในอนาคต เช่น การวิจัยด้านการสร้างช่องทางการตลาดประกันภัยใหม่ ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านช่องทางการขายที่เหมาะสม การพัฒนากฎเกณฑ์ในการนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย การพิจารณารับประกันภัย หรือการจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยการนำเอาระบบ Generative AI เข้ามาช่วยเพื่อการให้บริการที่เป็นมาตรฐาน สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และการให้บริการที่รวดเร็ว การพัฒนาต่อยอดการวิเคราะห์ความเสี่ยง เพื่อรองรับความเสี่ยงในรูปแบบใหม่ ๆ จากสภาวะโลกแปรปรวน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เป็นต้น

 

“ระบบ Non-Life Insurance Bureau System จะช่วยการสร้างความไว้วางใจและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าระบบนี้จะช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถจัดการข้อมูล ประเมินความเสี่ยง และปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น และงานสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาการนำฐานข้อมูลในระบบ Non-Life Insurance Bureau System ไปใช้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาและขยายธุรกิจ เพื่อการให้บริการที่ดีต่อประชาชนและสังคมต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

 

ชวนช้อปสบาย ครบ จบ ไม่ฮาร์ดเซลล์ วันที่ 25 – 26 พฤษภาคมนี้ ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จัดงานสัมมนา Mid-Year Investment Outlook ขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อให้นักลงทุนทราบถึงกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนที่แข็งแกร่งท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลก เพื่อรับมือในช่วงครึ่งหลังของปี 2567

บริษัท ไฮคิก จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บริโภคเสริมสมรรถนะร่างกายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนรุ่นใหม่ ประกาศแต่งตั้ง นาย จิรภัทร์ เพ็ชรดี ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นับเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ในวงการเครื่องดื่มชูกำลังที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดมานานกว่า 10 ปี หลังจากที่ได้มีบทบาทสำคัญในขับเคลื่อนธุรกิจเครื่องดื่มทั้งในประเทศและต่างประเทศสู่ความสำเร็จมาแล้วมากมาย

จิรภัทร์ เพ็ชรดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฮคิก จำกัด เปิดเผยว่าไฮคิกพร้อมรุกตลาดในประเทศและต่างประเทศภายในปีนี้ ชูกลยุทธ์จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย โดยเป้าหมายแรกคือการบุกตลาดกัมพูชา อย่างไรก็ดีตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศกัมพูชานับว่ามีการแข่งขันด้านโปรโมชั่นสูง แต่บริษัทเล็งเห็นโอกาสในการขยายตลาดโดยชูจุดเด่นด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์และทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างใกล้ชิด มั่นใจได้รับการตอบรับดี

“ไฮคิกพร้อมเปิดตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศภายในปีนี้ โดยตลาดในประเทศเน้นการเติบโตแบบยั่งยืนด้วยการโฟกัสทีละจังหวัด ส่วนตลาดต่างประเทศเน้นความร่วมมือระหว่างพาร์ทเนอร์ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดที่ปรับเข้ากับประเทศนั้นๆ โดยแบ่งสัดส่วนตลาดต่างประเทศ 70% และในประเทศ 30% ซึ่งผมมั่นใจว่าเราจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้” จิรภัทร์ กล่าว

สำหรับตลาดในประเทศ จากสถานการณ์ของเครื่องดื่มชูกำลังที่คู่แข่งปรับขึ้นราคาสินค้า ถือโอกาสของไฮคิกในการเป็นทางเลือกเพิ่มให้แก่ผู้บริโภค โดยบริษัทเลือกใช้กลยุทธ์ Price Discrimination ในการตั้งราคาขายไฮคิกสูตรไม่มีน้ำตาล(ฝาทอง)ที่ 10 บาท เพื่อสร้างการแข่งขันด้านราคาและชิงส่วนแบ่งจากคู่แข่งที่ปัจจุบันได้ทำการปรับราคาเพิ่มขึ้น จึงทำให้ไฮคิกเป็นเครื่องดื่มชูกำลังที่ไม่มีน้ำตาลเจ้าเดียวที่ขายราคา 10 บาท ส่วนไฮคิกสูตรน้ำตาลน้อย(ฝาแดง) สินค้าเรือธงเอาใจผู้บริโภคที่ต้องการพลังงานสูง ตั้งราคาขายที่ 12 บาท ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวนอกจากจะเป็นการบริหาร Demand แล้ว ยังสามารถช่วยบริหาร Portfolio ของบริษัทได้อีกด้วย

จิรภัทร์ กล่าวต่อไป “ผมเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ไฮคิกมีคุณภาพไม่แพ้แบรนด์ระดับโลกและรสชาติถูกใจผู้บริโภคชาวเอเชีย แต่การตีตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยต้องอาศัยระยะเวลาและความร่วมมือระหว่างพันธมิตร ในการสร้างการรับรู้ ความคุ้มเคยของรสชาติ รวมไปถึงการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ตรงกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทวางไว้”

ล่าสุด‘ไฮคิก’ จับมือร่วมกับ กุ้ยโจว เหมาไถ สุราชั้นนำอันดับ 1 ของจีน โดยบริษัท หัวเซิ้นเทรดดิ้ง จำกัด ในการร่วมคิดค้นสูตร Cocktail โดยผสมสารสกัดจากอินทผาลัม Super Fruit ที่ไม่มีคอเลสเตอรอลและไขมันต่ำ ซึ่งเป็นสารสกัดเอกลักษณ์ของไฮคิก ทำให้มีรสชาติกลมกล่อมที่โดดเด่นเพราะมี Fruit Essence ที่ไม่เหมือนใคร และให้ประโยชน์ในการบำรุงร่างกาย เสริมสร้างพลังงาน และสร้างการตื่นตัวเพื่อให้เต็มที่กับชีวิตและทุกกิจกรรมที่สนุกสนาน

“กลยุทธ์ Mixology นี้เป็นการชูจุดเด่นของไฮคิกที่มีสารสกัลจากอินทพาลัมหรือ Fruit Essence ที่นำไปผสมกับเครื่องดื่มแอลกอลฮอลล์ได้อย่างลงตัว เป็นการสร้าง Trial ให้แก่ลูกค้าได้ทดลองดื่มไฮคิกและตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน นอกเหนือจากพาร์ทเนอร์ปัจจุบันอย่าง Moutai แล้ว ทางบริษัทยังมีพาร์ทเนอร์รายใหญ่อีกหลายเจ้าที่จะพร้อมจะเปิดตัวเร็วๆนี้และขยายธุรกิจไปด้วยกัน” จิรภัทร์ กล่าวสรุป

นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงความสำเร็จการบุกตลาดที่อยู่อาศัยฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯในโซนราชพฤกษ์ตลอดทั้งเส้น ตั้งแต่ราชพฤกษ์ตอนต้น ตอนกลาง และตอนปลาย จากการเปิดขายบ้านและทาวน์โฮมมาแล้วทั้งหมด 26 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการในปัจจุบันที่เปิดขาย 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท และโครงการที่ปิดการขาย (Sold Out) แล้วทั้งหมด 16 โครงการ สะท้อนภาพผู้นำแบรนด์อสังหาฯ อันดับหนึ่งที่มุ่งมั่นถ่ายทอดจากความเข้าใจในการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยอย่างผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมประสบการณ์กว่า 40 ปี ด้วยโครงการที่ครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์บนทำเลราชพฤกษ์

เหตุผลที่แสนสิริประสบความสำเร็จจนกลายเป็นเจ้าตลาดที่อยู่อาศัยโซนราชพฤกษ์มาจาก 4 ปัจจัยหลัก

  • Location ทุกโครงการของแสนสิริ ตั้งอยู่บนสุดยอด Prime Area ที่เดินทางสะดวก เชื่อมต่อทั้งถนนหลักในหลายเส้นทาง รองรับการพัฒนาเครือข่ายคมนาคมในอนาคต รองรับการทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต
  • Design Leader ผู้นำด้านดีไซน์การออกแบบที่ทันสมัย และ Timeless ด้วยความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ออกแบบฟังก์ชันที่ตอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย เพื่อให้ทุกตารางนิ้วภายในบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง ตอบโจทย์ทุกคนมากที่สุด
  • Quality + Sustainability ใส่ใจในคุณภาพตั้งแต่งานก่อสร้างและการเลือกใช้วัสดุภายในบ้านเพื่อให้บ้านมีคุณภาพสูงสุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำแนวคิดสังคมที่ดีอย่างยั่งยืน
  • After Sales Service and Security ให้ความสำคัญตั้งแต่ก่อนซื้อบ้านไปถึงบริการหลังการขาย รวมถึงยกระดับการดูแลความปลอดภัยด้วยการนำเทคโนโลยี LIV-24 เข้ามาใช้ควบคู่กับการดูแลด้วยมาตรฐานแสนสิริ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจและรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

โซนราชพฤกษ์ ถือว่าเป็นทำเลทองที่มีศักยภาพเหมาะสำหรับการอยู่อาศัยและการประกอบกิจการ ด้วยอาณาเขตที่เชื่อมต่อถึง 3 จังหวัดสำคัญของประเทศไทย คือ กรุงเทพมหานคร  นนทบุรี และปทุมธานี ทำให้ปัจจุบันทำเลราชพฤกษ์มีดัชนีราคาประเมินที่ดิน เฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 30% โดยเฉพาะพื้นที่ราชพฤกษ์ตอนต้น ราคาที่ดินปัจจุบันอยู่ที่ 100,000 บาทต่อตารางวา ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25% ส่งผลให้ย่านราชพฤกษ์ตอนต้นเป็นศูนย์รวมของกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทไปจนถึงคฤหาสน์ 100 ล้านบาท แต่ปัจจุบันตลอดทั้งเส้นทางของถนนราชพฤกษ์มีโครงการที่อยู่อาศัยครบทุกระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น

แสนสิริ เป็นผู้นำอสังหาฯ บนทำเลราชพฤกษ์ที่มีโครงการแล้วทั้งหมด 26 โครงการ สร้างความสำเร็จแบบที่ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน โดยเฉพาะการพัฒนา ราชพฤกษ์-346 ให้เป็นหนึ่งใน Sansiri Community สังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ ที่ประกอบไปด้วยโครงการที่อยู่อาศัย กิจกรรมไลฟ์สไตล์เพื่อสร้างสีสันและประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีมีคุณภาพ ภายใต้บรรยากาศอบอุ่นจากการอยู่อาศัยร่วมกันแบบ Good Community ตอกย้ำความมุ่งมั่นของแสนสิริในการส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับลูกบ้าน ทำให้บ้านเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย

ปัจจุบันแสนสิริยังมีโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่ยังอยู่ระหว่างการขายและพัฒนาทั้งหมด 10 โครงการ ครอบคลุมทุกโซนหลักของราชพฤกษ์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายในทำเลดี ที่พร้อมรอคุณเป็นเจ้าของ พร้อมเคาะราคาใหม่ยกโซนลดสูงสุด 3 ล้านบาท* ได้แก่

ทำเลราชพฤกษ์ตอนต้น ประกอบด้วย

  • เศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ - พรานนก ราคา 35-45 ล้านบาท* | ลดสูงสุด 3 ล้านบาท*
  • เศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ - สาย 1 ราคา 25-40 ล้านบาท | ลดสูงสุด 1 ล้านบาท*

ทำเลราชพฤกษ์ตอนกลาง ประกอบด้วย

  • ทาวน์ อเวนิว เมิร์จ รัตนาธิเบศร์ ราคาเริ่ม 59 ล้านบาท* | รับโปรสูงสุด 2 แสน*
  • เศรษฐสิริ สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ ราคา 15 - 30 ล้านบาท*
  • เศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ - นครอินทร์ ราคา 12 - 25 ล้านบาท* | ลดสูงสุด 3 ล้านบาท*

ทำเลราชพฤกษ์ตอนปลาย ประกอบด้วย

  • สิริเพลส ราชพฤกษ์ - 345 ราคา 99 - 3.5 ล้านบาท* | ลดสูงสุด 3 แสน*
  • สิริ เพลส ราชพฤกษ์ -346 ราคา 99 - 3.5 ล้านบาท* | ลดสูงสุด 3 แสน*
  • สิริ เพลส ราชพฤกษ์ - นครอินทร์ ราคา 29 - 4.59 ล้านบาท | ลดสูงสุด 1 แสน*
  • สราญสิริ ราชพฤกษ์ - 345 ราคา 99 – 14 ล้านบาท* | ลดสูงสุด 2 ล้านบาท*
  • สราญสิริ ราชพฤกษ์ - 346 ราคา 99 - 15 ล้านบาท* | ลดสูงสุดกว่า 2 ล้านบาท*

ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษก่อนใครได้ที่ https://siri.ly/NxfGIp4

นายอาณัติ กล่าวว่า การที่แสนสิริมีการพัฒนาโครงการบนโซนราชพฤกษ์เป็นจำนวนมากถึง 26 โครงการ เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพในด้านต่าง ๆ ของทำเลนี้ในแง่มุมต่าง ๆ ของการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการเดินทางที่สะดวกสบาย มีทั้งทางพิเศษประจิมรัถยา (ทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอก) และทางด่วนอนาคตมอเตอร์เวย์บางใหญ่-เมืองกาญฯM81 ปัจจุบันงานก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 90% พร้อมจะเปิดให้บริการตลอดทั้งเส้นทางในปี 2568 นอกจากนี้โซนราชพฤกษ์ยังมีถนนเส้นหลัก ได้แก่ ถนนราชพฤกษ์-กาญจนาภิเษก ความยาว 42 กิโลเมตร, ถนนชัยพฤกษ์ ทางหลวง 345 และทางหลวง 346 ที่ตัดผ่าน 3 พื้นที่ คือ ราชพฤกษ์ตอนปลาย เชื่อมต่อจังหวัดปทุมธานี ราชพฤกษ์ตอนกลาง ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และราชพฤกษ์ตอนต้น เชื่อมเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯและใจกลางเมืองย่าน CBD สาธร-สีลม ส่วนรถไฟฟ้าที่รองรับการเดินทางของประชาชนในย่านราชพฤกษ์มี 3 เส้นทาง คือ  รถไฟฟ้า BTSสายสีเขียว สถานีบางหว้า ที่ตั้งช่วงต้นทางของเส้นราชพฤกษ์ รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินที่เชื่อมต่อกับสถานีบางหว้า และส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินช่วงสถานีหัวลำโพง-บางแค และเส้นทางที่ตัดกับเส้นถนนราชพฤกษ์ มีรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ช่วงระหว่างเตาปูน-บางใหญ่ สิ้นสุดที่สถานีคลองบางไผ่

ที่สำคัญถนนราชพฤกษ์ยังเป็นเส้นทางเชื่อมต่อกับสถานที่สำคัญหลายที่ เช่น ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี กระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าชานเมืองที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม จากสถานีบางซื่อมายังสถานีบางซ่อน และมีส่วนต่อขยายไปยังพื้นที่ศาลายาได้

นอกจากการเดินทางที่สะดวกและรองรับการเติบโตของที่อยู่อาศัยและย่านธุรกิจแล้ว ถนนราชพฤกษ์ยังเป็นแหล่งรวมการใช้ชีวิตที่ครบครันในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน หรือห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ดังนี้

  • ราชพฤกษ์ตอนต้น มีเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, The Circle ราชพฤกษ์, Food Villa ราชพฤกษ์ และโรงเรียน SISB
  • ราชพฤกษ์ตอนกลาง มีเซ็นทรัล เวสต์วิลล์, เซ็นทรัล เวสต์เกต, เดอะคริสตัล, เอสบี ราชพฤกษ์, เดอะวอล์ค ราชพฤกษ์, โรงเรียนเด่นหล้า พระราม5, โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี และโรงงเรียนนานาชาติดราก้อน
  • ราชพฤกษ์ตอนปลาย มีห้างโลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์, ดีไซน์ วิลเลจ, โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์, โรงเรียนนานาชาติเด่นหล้า และโรงเรียน SISB

KEY SUCCESS: ตัวอย่างความสำเร็จของแสนสิริ บนทำเลราชพฤกษ์ อาทิ โครงการ สิริ เพลส ราชพฤกษ์ – รัตนาธิเบศร์ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 โครงการแรกของการเปิดตัวแบรนด์ทาวน์โฮม “สิริ เพลส” จากแสนสิริ และเป็นโครงการทาวน์โฮมที่มีจำนวนยูนิตน้อย มีความเป็นส่วนตัวสูง ทำให้ได้รับผลตอบรับดีจากกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย รวมถึงโครงการ คณาสิริ ราชพฤกษ์ – 346 บ้านวิถีใหม่ที่มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมในสไตล์สวีดิช เป็นอีกหนึ่งโครงการในทำเลนี้ที่ประสบความสำเร็จสูงในด้านยอดขายสู่การสร้าง Sansiri community สร้างความเป็นที่รู้จักของแบรนด์ และทำให้ลูกค้าหรือกลุ่มผู้บริโภคให้ Value กับทำเลนี้มากขึ้นตอกย้ำให้แสนสิริ สร้างคอมมูนิตี้การใช้ชีวิตในถนนเส้นราชพฤกษ์ 346 ได้อย่างยั่งยืน ส่วนแบรนด์ “ฮาบิเทีย” ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในด้านการขายในย่านราชพฤกษ์ โครงการ ฮาบิเทีย ไพร์ม ที่ปิดการขายอย่างรวดเร็วภายใน 1 ปี  และโครงการ ฮาบิเทีย ไพร์ม 2 ที่สามารถสร้างยอดขายและ Sold Out อย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้แสนสิริได้ต่อยอดเปิดตัวเพิ่มอีก 2 โครงการ คือ ฮาบิเทีย บอนด์ ราชพฤกษ์ และฮาบิเทีย ราชพฤกษ์ ที่แสนสิริได้เข้ามาบุกเบิกเปิดตัวโครงการบนทำเลราชพฤกษ์ตอนปลายเป็นรายแรกซึ่งสมัยก่อนย่านนี้ยังเป็นทุ่งนาและไม่เคยมีผู้ประกอบการใดพัฒนามาก่อนถือเป็นการเปิดตลาด ที่แสนสิริ กล้าที่จะพัฒนาโครงการใหม่จนประสบความสำเร็จ ไม่เพียงเท่านั้น โครงการเศรษฐสิริ จรัญ – ปิ่นเกล้า  แบรนด์บ้านเดี่ยว Signature ของแสนสิริ ที่เป็นที่นิยมมาก โครงการที่ลูกค้ารอคอยตั้งแต่ก่อนเปิดขายด้วยทำเลที่หาไม่ได้อีกแล้วในย่านจรัญ และดีไซน์ในแบบ Modern ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จส่งต่อไปยังแบรนด์ “เศรษฐสิริ” โครงการอื่นๆ อีกด้วย และเป็นแบรนด์ที่สร้างยอดขายสูงสุดให้กับแสนสิริ

หมายเหตุ : *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

 

X

Right Click

No right click