วันนี้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) อย่างสมบูรณ์ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย หรือผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวน 13.64 ล้านคน คิดเป็น 19.5% หรือ 1 ใน 5 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุที่ยังคงทำงานอยู่จำนวน 5.11 ล้านคน คิดเป็น 37.5% ของผู้สูงอายุทั้งหมด การเผชิญหน้ากับ 'สังคมผู้สูงอายุ' จึงนับเป็นโจทย์ที่ท้าทายเพราะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรครั้งสำคัญ

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ตระหนักถึงสถานการณ์ของสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยมาโดยตลอด จึงได้ขับเคลื่อน "โครงการบ้านชื่นสุข" ต.หัวง้ม อ.พาน จ.เชียงราย เพื่อสนับสนุนเสริมสร้างพลังกายและพลังใจให้กับผู้สูงวัย ควบคู่ไปกับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้สูงอายุ ให้ก้าวข้ามผ่านความกลัว ความเศร้า และความทุกข์ใจ เกิดความตระหนักและเห็นคุณค่าในตนเอง เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข

ธิดา สำราญใจ ผู้บริหารด้านพัฒนาเด็กและเยาวชน มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท กล่าวว่า ผู้สูงอายุถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าต่อสังคมและประเทศชาติ เพราะเป็นผู้ที่พร้อมไปด้วยความรู้ ประสบการณ์ คุณวุฒิ และภูมิปัญญา การทำให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีความสุขในบั้นปลาย โดยต้องมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ ได้รับเกียรติ ได้รับการยอมรับ การเห็นคุณค่า ทั้งจากครอบครัวและสังคม ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ ขณะเดียวกัน "ผู้สูงอายุ" ก็ถือเป็นวัยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลง เสื่อมโทรมถดถอยในด้านต่างๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ อาจมีโรคภัยที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง

“โครงการบ้านชื่นสุข เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุที่อยู่บ้านเพียงลำพัง และมีภาวะเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า แต่ยังสามารถ ช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันได้ ให้ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด โดยบุคลากรอาสา เพื่อให้ท่านรับรู้ได้ว่าตนเองยังมีความสำคัญ มีคนห่วงใย พร้อมช่วยดูแล สร้างความอบอุ่นใจให้พวกท่าน เพื่อที่จะต่อสู้กับชีวิตในวัยสูงอายุได้ดีขึ้น และยังถือเป็นการตอกย้ำในเรื่อง “ความกตัญญู” รวมถึงการตอบแทนบุญคุณ รู้จักให้ ที่คนรุ่นลูกรุ่นหลานพึงกระทำ” ธิดา กล่าว

ทางด้าน อาจารย์ อัญชลี ไก่งาม อดีตรองผู้อำนวยการโรงเรียนป่าแดงวิทยา ต.หัวง้ม อ.พาน จ.เชียงราย ที่ปัจจุบันได้เข้ามาเป็นบุคลากรอาสา ดูแลโครงการบ้านชื่นสุขร่วมกับมูลนิธิฯ กล่าวว่า โครงการบ้านชื่นสุข เป็นโครงการฯ ที่สร้างความสุขให้แก่ผู้สูงอายุอย่างแท้จริง ทำให้ผู้สูงวัยเข้าใจถึงคำว่า “แก่อย่างสง่า ชราอย่างมีคุณภาพ"  เพราะสามารถพึ่งพาตนเองได้ และไม่เป็นภาระของสังคม อย่างน้อยโครงการฯ ก็ได้ช่วยแบ่งเบาภาระทั้งภาครัฐ และลูกหลานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในการดูแลผู้สูงวัยในครอบครัว

“ถึงแม้ผู้สูงอายุบางคนจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ก็ยังต้องการความรัก การเอาใจใส่จากครอบครัวและลูกหลาน จึงอยากเชิญชวนให้ลูกหลานกลับไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้านกันบ้าง ไม่ต้องมีเงินทองมากมายมาให้ เพียงแต่มาเยี่ยม มาพูดคุย ให้กำลังใจ อยู่เป็นเพื่อนท่านบ้าง ก็ถือเป็นการสร้างความสุขในบั้นปลายให้แก่ท่านแล้ว” อาจารย์อัญชลี กล่าว

บุญยนุช จันทร์บุญธรรม หรือ คุณยายญา ตัวแทนผู้เข้าร่วมโครงการฯ บอกนิยามของโครงการฯนี้ว่า “กินอิ่ม นอนอุ่น” เป็นคำพูดที่เข้าใจได้ง่าย และสะท้อนผลสำเร็จ ของโครงการฯ จากสุขภาพร่างกายที่อ่อนแรง และจิตใจที่อ่อนแอ การได้เข้าร่วมโครงการบ้านชื่นสุข ทำให้ได้ศึกษาธรรมะ ฝึกสมาธิ และทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆร่วมกับคนในวัยเดียวกัน คุณยายรู้สึกสนุกและมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาเจอเพื่อน ๆ โครงการฯ นี้พลิกฟื้นชีวิตให้กลับมาเป็นปกติ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง กลับมาทำกับข้าว กวาดบ้านถูบ้านได้ สรุปง่ายๆว่า “ช่วยคืนชีวิต คืนความสุขให้กับผู้สูงอายุได้ 100%”

โครงการบ้านชื่นสุข ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ตอกย้ำความเชื่อของเครือซีพี ในคุณค่า ‘ความกตัญญู’ ที่สามารถบ่มเพาะให้เติบโตในจิตใจของทุกคน ที่จะกลายเป็นการหยั่งรากสร้างพื้นฐานที่มั่นคงและยั่งยืนในสังคม ซึ่งถือเป็นคุณธรรมที่ดีงามของสังคมไทย

สยามคูโบต้า ลีสซิ่ง ลุยอัดแคมเปญสุดพิเศษแห่งปี “ซื้อใหม่ จ่ายไว ลุ้นโชคใหญ่ กับ SKL” ล่าสุดประกาศผลผู้โชคดีครั้งที่ 1 หลังชวนลูกค้าร่วมลุ้นรางวัลแจกหนักจัดเต็ม มูลค่ารวมกว่า 970,000 บาท พิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าใหม่ หรือจ่ายค่างวดตามกำหนด หรือแลกคะแนนผ่านบริการ SKL แฟมิลี่คลับ ตอกย้ำความเชื่อมั่นในการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรเป็นเจ้าของเครื่องจักรกลทางการเกษตรและเครื่องจักรกลก่อสร้างของสยามคูโบต้า สามารถร่วมลุ้นสิทธิ์จับรางวัลได้ทันที ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 สิงหาคม 2567

นายปิยะชาติ ศรีมารุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามคูโบต้า ลีสซิ่ง จำกัด กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาบริการด้านสินเชื่อและผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ตอบสนองความต้องการลูกค้า ตลอดจนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้าและชุมชนอย่างยั่งยืนของสยามคูโบต้า ลีสซิ่ง นับตั้งแต่ปี 2549 จนปัจจุบัน เราให้การสนับสนุนลูกค้าทั่วประเทศได้มีโอกาสเป็นเจ้าของสินค้าของสยามคูโบต้าแล้วกว่า 690,000 สัญญา ซึ่งเป็นสิ่งตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นและไว้วางใจของลูกค้าเสมอมา สำหรับการจัดแคมเปญ “ซื้อใหม่ จ่ายไว ลุ้นโชคใหญ่ กับ SKL” เป็นกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่แห่งปี โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อคืนกำไรและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจเลือกใช้บริการกับสยามคูโบต้า ลีสซิ่ง โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่ามีสิทธิ์ร่วมลุ้นจับรางวัล

สำหรับแคมเปญ “ซื้อใหม่ จ่ายไว ลุ้นโชคใหญ่ กับ SKL” จะทำการจับแจกลุ้นรางวัลรวม 6 ครั้ง โดยจะจับแจกจำนวน 49 รางวัล และพิเศษสุด! ลุ้นรับรางวัลใหญ่กระบะโตโยต้า ไฮลักซ์ แชมป์ รวมมูลค่าของรางวัลทั้งสิ้นกว่า 970,000 บาท ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถร่วมสนุกผ่านสิทธิ์ใดก็ได้ ดังนี้

สิทธิ์ลุ้นที่ 1 ซื้อสินค้าคูโบต้าใหม่ที่ร่วมรายการ ได้แก่ แทรกเตอร์ รถเกี่ยวนวดข้าว รถดำนา รถขุด และ
โดรนการเกษตร ผ่านบริษัท สยามคูโบต้า ลีสซิ่ง จำกัด (รับสูงสุด 10 สิทธิ์ต่อสัญญา)

สิทธิ์ลุ้นที่ 2 จ่ายค่างวดครบก่อนหรือตรงตามกำหนด ทุก 5,000 บาท (รับ 1 สิทธิ์ สูงสุด 10 สิทธิ์/สัญญา/รอบจับรางวัล)

สิทธิ์ลุ้นที่ 3 แลกคะแนนผ่านบริการเอสเคแอล แฟมิลี่คลับ ทุก 10 คะแนน รับ 1 สิทธิ์ (สูงสุด 1 สิทธิ์ต่อรอบจับรางวัล)

สามารถร่วมลุ้นรางวัลและติดตามรับชมงานจับรางวัลในแคมเปญ “ซื้อใหม่ จ่ายไว ลุ้นโชคใหญ่ กับ SKL” ครั้งต่อไป ผ่านการถ่ายทอดสดบนเฟซบุ๊กไลฟ์สยามคูโบต้า ลีสซิ่ง แฟนเพจ www.facebook.com/SiamKubotaLeasingThailand และตรวจสอบรายชื่อผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลผ่านเว็บไซต์ www.skl.co.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์สยามคูโบต้า ลีสซิ่ง โทร. 1317 ทั้งนี้ลูกค้าสามารถร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 – 31 สิงหาคม 2567

ปัจจุบันประเทศไทยมีพนักงานเงินเดือน 19 ล้านคน คิดเป็น 29% ของประชากรในประเทศ ซึ่งนับเป็นกลุ่มหลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่า 50% ของประเทศ นั่นหมายความว่าหากพนักงานเงินเดือนมีศักยภาพทางการเงินที่ดี พวกเขาจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไปได้ในอนาคต ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มองเห็นถึงความสำคัญของกลุ่มมนุษย์เงินเดือน จึงได้มอบรางวัล ttb financial well-being awards 2023” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยได้มอบรางวัลให้กับ 12 องค์กรชั้นนำที่ใช้บริการบัญชีเงินเดือน ทีทีบี ที่มีความโดดเด่นเรื่องการส่งเสริมสวัสดิการและสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้านให้กับพนักงาน

นายจักรพันธ์ จารุธีรศานต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารงานขายและการขายลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า จากผลวิจัยกับกลุ่มพนักงานเงินเดือนในปี 2566 พบว่าพนักงานเงินเดือนที่มีปัญหาเรื่องหนี้จะมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงมากถึง 40% หลายคนแก้ไขด้วยการเปลี่ยนงานใหม่ แต่ความจริงเป็นวิธีแก้ไขที่ไม่ถูกจุด ซึ่งสิ่งที่ทีทีบีได้เรียนรู้ คือ ปัญหาเรื่องหนี้ของพนักงานเงินเดือนเกิดจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ 1. ไม่รู้สถานะทางการเงินของตนเอง ทำการกู้เงินไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าสุขภาพทางการเงินของตนเองเป็นสีแดงแล้ว และ 2. ไม่มีความรู้เรื่องการจัดการทางการเงิน ทำให้บริหารเงินไม่เป็นจนนำไปสู่วงจรหนี้ที่ออกมาไม่ได้

ทีทีบีจึงสานต่อการมอบรางวัล ttb financial well-being awards 2023 ต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อเชิญพันธมิตรองค์กรที่ใช้บัญชีเงินเดือนกับทีทีบีมาร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตพนักงานอย่างเป็นรูปธรรม โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ รางวัลคะแนนรวมสูงสุด และรางวัลพัฒนาการสูงสุด ซึ่ง 12 องค์กรที่ได้รับรางวัลจะได้รับเงินสนับสนุน มูลค่า 100,000 บาท และโล่รางวัลยกย่องความเป็นเลิศขององค์กร ซึ่งทั้ง 12 องค์กร ต่างรู้สึกยินดีที่ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ และร่วมแชร์ความรู้สึกการได้รับรางวัลในครั้งนี้ อาทิ

นายแพทย์ ไพบูลย์ เอกแสงศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลวิภาราม จำกัด กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นอยู่ของพนักงาน เพราะปัจจุบันปัญหาเรื่องหนี้ในระบบและนอกระบบมีมากมาย พนักงานบางคนไม่มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการบริหารเงิน ทำให้เกิดปัญหาหนี้สินขึ้นได้ ซึ่งเป็นเรื่องดีอย่างมากที่ทีทีบีได้เข้ามาช่วยเหลือ นำผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ทางด้านการเงินกับพนักงานของบริษัท ทั้งในเรื่องการรวบหนี้และการบริหารจัดการทางการเงิน ถ้าถามว่าทำไมเราถึงเลือกทีทีบีเป็นบัญชีเงินเดือนให้กับองค์กรของเรา “ที่เลือกก็เพราะดี ถ้าไม่ดีคงไม่เลือก”

ด้าน นายพิชิตศักดิ์ กรมรินทร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท วีก้า ออโตเมชั่น (2000) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้รับรางวัล ttb financial well-being awards ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีอย่างหนึ่งว่าบริษัทดูแลพนักงานเป็นอย่างดี และปีนี้เราจะมุ่งดูแลเรื่องสุขภาพของพนักงาน เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พนักงานทำงานออกมาได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพทางการเงิน ต้องดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งบริษัทเลือกใช้บัญชีเงินเดือนกับทีทีบีมาตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ ทั้งในส่วนของ payroll และตัว my work เรามองว่าโซลูชันต่าง ๆ ของทีทีบีตรงกับความต้องการของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออม การลงทุน ความคุ้มครอง ซึ่งอย่างน้อยหากพนักงานเรามีเงินเหลือติดบัญชี all free 5,000 บาท ก็จะได้รับสวัสดิการประกันอุบัติเหตุจากทีทีบี ถือว่าเป็นการช่วยทั้งบริษัทและพนักงานของเรา

นายธรรมรัตน์ โพธิ์ใบกุล กรรมการบริหาร บริษัท ออโต้ แกลเลอรี่ จำกัด อีกหนึ่งองค์กรพันธมิตรที่ได้รับรางวัล ttb financial well-being awards 2023 กล่าวว่า “บริษัทมีความตั้งใจทำให้ชีวิตพนักงานมีการพัฒนาที่ดีขึ้น เราจึงให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของพนักงานในหลาย ๆ มุม ทั้งเรื่องรายได้ สวัสดิการ ปัญหาหนี้ รวมไปถึงสุขภาพทางการเงิน เพราะหากเราสามารถช่วยเหลือทางการเงินของพนักงานได้ก็จะช่วยให้พนักงานมีความสุขมากขึ้น และมีเวลาไปใส่ใจกับเนื้องานที่ต้องรับผิดชอบได้ดีขึ้นด้วย”

“ทีทีบีเชื่อว่าหากไม่มีตัวช่วยที่ดีในการแก้ไขปัญหาหนี้อาจทำให้ชีวิตติดลบและการแก้ปัญหาหนี้ที่ยั่งยืนไม่ได้ใช้เงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีภูมิคุ้มกันด้านความรู้ทางการเงินและการบริหารจัดการหนี้ที่เป็นระบบ ซึ่งจะเป็นวัคซีนป้องกันให้หลุดพ้นจากวงจรหนี้ได้ด้วยตนเอง และในปี 2567 นี้ ทีทีบีจึงยังคงสานต่อกิจกรรม “ttb financial well-being awards 2024” ครั้งที่ 3 โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้เรื่องรอบรู้เรื่องกู้ยืม ที่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ควบคู่ไปกับโซลูชัน “สวัสดิการพิชิตหนี้” เพื่อเป้าหมายส่งเสริมให้พนักงานเงินเดือนมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้าน พร้อมสนับสนุนพันธมิตรองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ในทิศทางเดียวกันมาร่วมส่งเสริมให้พนักงานเงินเดือนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ได้รับสวัสดิการที่ดีและสามารถดูแลสุขภาพการเงินส่วนบุคคลให้ดีขึ้นได้แบบยั่งยืน” นายจักรพันธ์ กล่าวปิดท้าย

ฉลองความสำเร็จในการพัฒนาศักยภาพตัวแทนอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่ความเป็นเลิศในระดับสากล

ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความท้าทายในระยะยาว เนื่องด้วยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาช่องว่างทางทักษะ ความล้าหลังในการนำเทคโนโลยีมาใช้ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้นำองค์กรที่มีกลยุทธ์จากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โทรคมนาคมและเทคโนโลยี จึงควรมีบทบาทสำคัญในการร่วมยกระดับขีดความสามารถและเร่งผลักดันให้ประเทศเติบโตไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยทรู เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายนี้ด้วยการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบทั้งในด้านการศึกษา การส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัล และการจัดการกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ ดังที่นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์และมุมมอง ในบทความพิเศษ “Thought Leadership” จัดทำโดยสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การบ่มเพาะทักษะแห่งอนาคต

ประเทศไทยต้องเร่งลงทุนด้านคน เพื่อยกระดับทักษะและเพิ่มผลผลิตของแรงงานในระยะยาว การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตจำเป็นต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยี อย่างปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์และเครื่องจักรอัตโนมัติ หรือนาโนและไบโอเทค ทักษะเหล่านี้มีความสำคัญทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาโซลูชันเพื่อยกระดับความสามารถของประเทศไทยในการปรับตัวและรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ท่ามกลางการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ขณะที่ประชากรวัยทำงานลดลง

ทรู ได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมาสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่สังคมไทย ผ่านการจัดฝึกอบรมทักษะดิจิทัลสำหรับทั้งคนวัยทำงานและนักเรียนนักศึกษา โดย ทรู ดิจิทัล อะคาเดมี ได้จัดการฝึกอบรมทักษะธุรกิจดิจิทัลให้แก่ผู้ที่มีศักยภาพสูง (talent)​ จำนวนกว่า 30,000 คน ในด้านต่างๆ เช่น ความปลอดภัยทางไซเบอร์ การวิเคราะห์ข้อมูล และการตลาดออนไลน์ ขณะเดียวกัน โครงการทรูปลูกปัญญา สามารถเข้าถึงนักเรียนจำนวนกว่า 34 ล้านคนทั่วประเทศ โดย trueplookpanya.com คลังความรู้คู่คุณธรรม ยังเป็นเว็บไซต์ด้านการศึกษาอันดับหนึ่งของไทยมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2562

แม้ที่ผ่านมา ทรูจะให้การสนับสนุนด้านการศึกษาแก่เยาวชนในรูปแบบออนไลน์อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ แต่ความพยายามดังกล่าวไม่อาจทดแทนความมุ่งมั่นที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ อันเป็นวาระจำเป็นเร่งด่วนสำหรับการศึกษาไทย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาสู่สาธารณะอย่างโปร่งใส การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน การสร้างวัฒนธรรมแห่งการมีส่วนร่วม การเตรียมความพร้อมด้านดิจิทัล ตลอดจนการส่งเสริมให้เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ

ด้วยเหตุนี้เอง ทรู จึงเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) ภายใต้ความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งพันธมิตรภาครัฐและเอกชนในปี 2563 ซึ่งสร้างผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม จากโรงเรียนจำนวน 5,000 แห่งที่เข้าร่วมโครงการนั้น กว่า 72% สามารถบรรลุเกณฑ์การประเมินคุณภาพในระดับดีถึงดีเลิศ ซึ่งเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้โรงเรียนสามารถบรรลุเกณฑ์การประเมินดังกล่าว โดยนอกเหนือจากการส่งมอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจำนวน 6,000 เครื่องให้แก่โรงเรียนภายใต้การดูแลของมูลนิธิฯ แล้ว มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี ยังได้ฝึกอบรมผู้นําด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา หรือ ICT talent จำนวนกว่า 5,000 คน เพื่อเดินหน้าปฏิบัติภารกิจในการถ่ายทอดองค์ความรู้ สนับสนุนให้ผู้บริหาร ครู และนักเรียนในโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี นำสื่อและอุปกรณ์ไอซีทีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น โรงเรียนกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศยังได้รับการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอีกด้วย

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี จะสามารถทำหน้าที่ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอันจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อพลิกโฉมระบบการศึกษาไทย แรงสนับสนุนจากพันธมิตรในเครือข่ายและความร่วมมือจากภาครัฐ จะเป็นหัวใจสำคัญในการต่อยอดขยายผลความสำเร็จ และช่วยเร่งสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระดับประเทศได้

การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

หากเราประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะและสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ได้เร็ว สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ กล้าคิดกล้าทำ ความท้าทายต่อไป คือการปลูกฝังให้พวกเขาได้ดูแลและส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นถัดไป เกือบ 1 ใน 3 ของแรงงานไทยนั้นประกอบอาชีพในภาคการเกษตร แต่ด้วยอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องและสภาพอากาศแบบสุดขั้วกำลังเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพของมนุษย์ ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงกับการเผชิญการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด

จุดมุ่งหมายของทรูนั้น คือการนำศักยภาพเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยให้สังคมไทยสามารถรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผลวิจัยของ GSMA Intelligence ชี้ว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมือถือ (mobile connectivity)​ จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคธุรกิจการขนส่ง พลังงาน การก่อสร้าง และการผลิตลงกว่า 40% ได้ภายในปี 2573 และด้วยเครือข่าย 4G ของทรู ที่ครอบคลุมประชากรไทย 99% ในขณะที่ 5G ครอบคลุมมากกว่า 90% ทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของทรู ทำให้เกิดการพัฒนายานยนต์อัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ และโรงงานอัจฉริยะ อันจะนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงทั่วประเทศ

นอกเหนือจากศักยภาพของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมือถือที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ทรู ยังเดินหน้าพัฒนาโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ IoT เพื่อลดการใช้พลังงาน โดยที่ผ่านมา เราสามารถลดการใช้พลังงานทั้งในการดำเนินธุรกิจและในอุตสาหกรรมค้าปลีกได้สูงสุดถึง 15% ในขณะที่ภาคการเกษตร ยังช่วยลดความจำเป็นในการพึ่งพาสารเคมีกำจัดศัตรูพืช การใช้ยาปฏิชีวนะ และปุ๋ยลงอีกด้วย

ความพยายามทั้งหมดดังกล่าวนี้ สามารถลดการใช้พลังงานอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ก็ยังไม่เพียงพอให้เราบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573 และยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังคงต้องดำเนินการเพื่อให้ บรรลุภารกิจ อันเป็นเหตุผลที่ทำให้ทรูเดินหน้าผลักดันให้เกิดโครงข่ายที่ใช้พลังงานสะอาดในประเทศ โดยยังส่งเสริมให้คู่ค้ากำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามหลักการ Science Based Targets initiative (SBTi) พร้อมให้การฝึกอบรมเกี่ยวกับกระบวนการและประโยชน์จากการรับมือและบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ ในฐานะหนึ่งในองค์กรสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand) ทรู มีส่วนร่วมในการผลักดันให้ผู้นำองค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กำหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การลงทุนด้านนวัตกรรม

นอกเหนือจากประเด็นด้านการศึกษาและสิ่งแวดล้อมแล้ว อีกหนึ่งความท้าทายของประเทศไทย คือความจำเป็นในการ “ยกระดับขีดความสามารถการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตที่ฟื้นตัว” (อ้างอิงจากธนาคารโลก) การผนึกศักยภาพของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) IoT และ 5G จะนำไปสู่โอกาสในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ อีกมากมาย แต่เราจำเป็นต้องเร่งยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันด้านเทคโนโลยีของประเทศ ทั้งในฐานะผู้บริโภคและผู้ผลิต

แน่นอนว่าการจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ต้องอาศัยเงินลงทุนมหาศาล คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทยได้ตั้งเป้าดึงดูดเงินลงทุนให้ได้ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2573 จากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเทคโนโลยีสีเขียว อย่างไรก็ดี แม้ประเทศไทย จะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้สำเร็จ และการที่บริษัทเทคโนโลยีและผู้ผลิตระดับโลกจะเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ก็ไม่ได้เป็นเครื่องรับรองว่าในที่สุดแล้ว เราจะประสบความสำเร็จในการสร้างบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไทยเสมอไป

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทรูมุ่งมั่นเข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนาบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไทย ซึ่งเป็นทั้งผู้นำบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ และผู้ขับเคลื่อนให้ระบบนิเวศด้านนวัตกรรมของประเทศไทยนั้นทำงานอย่างสอดประสานกัน นวัตกรรมของทรู ได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตรถึง 120 ฉบับ และเรามีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย 50 แห่งในการสนับสนุนงานวิจัยในด้านต่างๆ นอกจากนี้ เรายังได้ก่อตั้งทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขนาด 230,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นแหล่งรวมผู้ประกอบการสัญชาติไทย บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก นักลงทุน โครงการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ไว้ด้วยกัน

ปัจจุบัน มีสตาร์ทอัพเกือบ 3,000 รายที่อยู่ในระบบนิเวศของเรา และโปรแกรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ทรู อินคิวบ์ สามารถระดมเงินทุนกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเป็นกองทุนสนับสนุนสตาร์ทอัพไทย (Venture Capital Funds) อย่างไรก็ดี เราเล็งเห็นว่ายังคงต้องมีการลงทุนอีกมา และเรามีแผนที่จะสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อเปิดตัวกองทุนสนับสนุนสตาร์ทอัพมูลค่าอย่างน้อย 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเราหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้องค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ หันมาร่วมมือกับเรา หรือก่อตั้งกองทุนของตนเองขึ้น เพื่อเร่งสร้างการเติบโตด้านดิจิทัลของประเทศไทยอย่างก้าวกระโดด

แม้ว่าประเทศไทยจะเผชิญกับโจทย์ท้าทายในด้านการศึกษา การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่ภาคเศรษฐกิจดิจิทัล แต่ผมยังเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายนี้ไปได้ ด้วยการผนึกกำลังกันระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม และพันธมิตรภาคเอกชน เมื่อเราร่วมมือกัน เราจะสามารถสร้างสรรค์โซลูชันนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ปลอดภัย แข็งแกร่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น และทรู คอร์ปอเรชั่น มีเจตนารมณ์แรงกล้าที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้

 

ปัจจุบัน นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย นายมนัสส์เป็นผู้มากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และมีความมุ่งมั่นในการนำศักยภาพการเชื่อมต่อมาสร้างประโยชน์สูงสุด เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในสังคมไทย

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความตอนพิเศษที่จัดทำขึ้นโดยสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเชิญผู้นำทางความคิดและผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ จากทั่วโลก มาร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์มุมมองเกี่ยวกับการพลิกโฉมระบบที่ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้อง อ่านเพิ่มเติมได้ คลิกที่นี่

“ปาร์ตี้” ขนมมันเทศทอดกรอบเคลือบเนยคาราเมล ภายใต้การบริหารของ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี เปิดตัวรสชาติ 2 รสชาติใหม่ เนื่องในโอกาสพิเศษฉลองครบรอบ 40 ปี ปาร์ตี้ ขนมที่ช่วยเติมความหวานในชีวิต ให้มีมิติขึ้นไปอีกในทุกช่วงเวลา ภายใต้สโลแกน “ฉลองได้ทุกโมเมนต์กับปาร์ตี้” ตอกย้ำความเป็นขนมขึ้นรูปแบบหวาน อันดับ 1 ที่ครองใจผู้บริโภคมามาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน 

ใหม่!! ปาร์ตี้ เบิร์ทเดย์ เค้ก : ครั้งแรกของปาร์ตี้คาราเมลผสานเรนโบว์ป๊อปกรุบๆ บัตเตอร์เค้กโรยตกแต่งด้วยเกล็ดน้ำตาลเรนโบว์หลายสีสุดน่ารัก หอมกลิ่นเนยผสานความหวานของคาราเมล

ใหม่!! ปาร์ตี้ ไอศกรีมวนิลลา : หอมละมุนวนิลลา เย็นติดปลายลิ้น หอมกลิ่นวนิลลาบวกกับความหวานของคาราเมลสุดคลาสิค พิเศษครั้งแรกของปาร์ตี้ที่มี เทคโนโลยี Cooling effect ความเย็นติดปลายลิ้น ที่ยิ่งกินยิ่งเย็น

สำหรับ ปาร์ตี้ 2 รสชาติใหม่ วางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้ ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ขนาด 12 กรัม ราคา 5 บาท และขนาด 48 กรัม ราคา 20 บาท และติดตามข่าวสาร และกิจกรรมดีๆ จากปาร์ตี้ ได้ที่  FB Fan page : Party Snack

เร่งขยายพอร์ตลูกค้าโปรเจกต์แลนด์มาร์ค หนุนยอดขายพุ่งสู่ 5,000 ลบ. พร้อมอัดแคมเปญ ‘Designer Collaboration’ ฉลองครบรอบ 3 ทศวรรษ

กรุงเทพประกันชีวิต เดินหน้าผนึกความร่วมมือ ธนาคารกรุงเทพ ตอกย้ำความสำเร็จในบริการวางแผนความคุ้มครองและการออมผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ในช่องทางของธนาคาร พร้อมจัดงาน Age of Happiness: Thank You Event for Our Valued Customers เพื่อแสดงความขอบคุณลูกค้าธนาคารกรุงเทพที่ให้ความไว้วางใจมากกว่า 20 ปี ผ่าน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ 1st ทั้ง Gain 1st ประกันสะสมทรัพย์ เพื่อสนับสนุนการออม Credit 1stประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อธุรกิจ และ Home 1stสำหรับลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้ทั้งความคุ้มครองชีวิตและโรคร้ายแรง โดยมีกรมธรรม์ที่ส่งมอบให้กับลูกค้าธนาคารกรุงเทพกว่า 1.2 ล้านราย พร้อมส่งมอบความ “ใส่ใจ” พัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ และ ส่งมอบสิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ ตามไลฟ์สไตล์ภายใต้ BLA Happy Life Club

นายโชน โสภณพนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน Age of Happiness: Thank You Event for Our Valued Customers ว่า นอกจากเป็นการแสดงความขอบคุณลูกค้าของธนาคารกรุงเทพ ที่ให้ความไว้วางใจในการวางแผนความคุ้มครองและการออมผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตมาตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปีแล้ว ยังตอกย้ำถึงพลังความร่วมมือระหว่างสององค์กรที่ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่เหมาะสมให้กับลูกค้าจนเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้ามาอย่างยาวนาน

นายโชนกล่าวว่า ปัจจุบันกรุงเทพประกันชีวิต  ได้มอบความคุ้มครองชีวิตและการออมให้กับลูกค้าธนาคารกรุงเทพ ผ่านผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่ม คือ ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อเพื่อปกป้องความเสี่ยงซึ่งมี 2 แบบคือ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต Credit 1st สำหรับคุ้มครองสินเชื่อธุรกิจ และ ผลิตภัณฑ์ Home 1st คุ้มครองสินเชื่ออยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ Gain 1st  ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และได้รับความไว้วางใจในการทำประกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกรุงเทพประกันชีวิตมีกรมธรรม์ที่ส่งมอบให้กับผู้เอาประกันภัยผ่านธนาคารกรุงเทพจำนวน 1.24 ล้านราย คิดเป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยรวมทั้งสิ้นมากกว่า 500,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ Gain 1st ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือการออมระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนดี  ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี  ทั้งเบี้ยประกันชีวิตที่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และผลตอบแทนจากกรมธรรม์ที่ยังได้รับการยกเว้นภาษี  และที่สำคัญมีความปลอดภัยสูง สามารถส่งต่อสู่ทายาทได้ โดยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ Gain 1st มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกตามความเหมาะสมของลูกค้าแต่ละราย ตั้งแต่ Gain 1st Speed Up ที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่กำลังมองหาแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองและผลตอบแทนรายปีสูงถึงปีละ 10%  หรือ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ Gain 1st 525 (มีเงินปันผล) ที่เหมาะสำหรับผู้ต้องการออมเงินก้อน จนถึง Gain 1st Simple ที่สามารถออมเริ่มต้นเพียงเดือนละ 500 บาท คุ้มครองยาวนาน 15 ปี  และล่าสุด ยังได้เปิดตัวแบบประกันใหม่ Gain 1st e-Savings 10/5 ซึ่งมีจุดเด่นที่ชำระเบี้ยสั้น 5 ปี คุ้มครอง 10 ปี และการันตีผลตอบแทนปีละ 5% เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้ลูกค้าธนาคารกรุงเทพที่ต้องการวางแผนความคุ้มครองและการออม

 “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามีความใส่ใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ให้เป็นแบบประกันที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี และมีเบี้ยประกันฯ ที่เหมาะสม ภายใต้แนวคิดประกันชีวิตที่ใส่ใจและให้ความรู้สึกดี โดยธนาคารกรุงเทพมีส่วนสำคัญในการแนะนำเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการออมเงินเพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคต หรือ การสนับสนุนลูกค้าสินเชื่อที่ต้องการให้ธุรกิจและสินทรัพย์นั้นยังคงอยู่กับครอบครัวและทายาทได้ และไม่เป็นภาระให้กับคนรุ่นหลัง จึงขอถือโอกาสนี้ขอบคุณลูกค้าและธนาคารกรุงเทพ ที่ไว้วางใจให้กรุงเทพประกันชีวิตส่งมอบความคุ้มครองสู่ลูกค้าของธนาคารกรุงเทพทุกท่าน” นายโชนกล่าวพร้อมเพิ่มเติมว่า 

ในปีที่ผ่านมากรุงเทพประกันชีวิตยังได้ร่วมกับธนาคารกรุงเทพในการขยายช่องทางการทำประกัน โดยลูกค้าธนาคารสามารถเลือกทำประกันชีวิตได้ทั้งที่สาขาของธนาคารกรุงเทพทั่วประเทศ  หรือ ทำประกันชีวิตด้วยตนเองได้อย่างสะดวกสบายทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านแอปพลิเคชัน Bualuang mBanking  และในปีนี้ กรุงเทพประกันชีวิตยังได้จัดทำสิทธิประโยชน์ใหม่ 5 ด้าน สำหรับลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ ภายใต้ BLA Happy Life Club โดยมีสิทธิประโยชน์ดีๆ ในทุกไลฟ์สไตล์  โดยเฉพาะด้านสุขภาพ

ด้านนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้ ธนาคารกรุงเทพ ร่วมกับ กรุงเทพประกันชีวิต ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้น ภายใต้แนวคิด “3 Gens Solution” เช่น ผลิตภัณฑ์  Home 1st Extra ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา โดยมีจุดเด่นในด้านการคุ้มครองสินเชื่อที่อยู่อาศัย และการเตรียมความคุ้มครองไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ที่ครอบคลุมถึงค่ารักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยด้วย 44 โรคร้ายแรง  เป็นต้น สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของธนาคารกรุงเทพ ที่จะเป็น เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน ของลูกค้าในทุก Generation ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความมั่นคงของครอบครัว การสั่งสมและส่งต่อ Wealth จากรุ่นสู่รุ่น ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับการสืบทอดธุรกิจของครอบครัว และเหนืออื่นใด ธนาคารยังมุ่งมั่นดูแลลูกค้าให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

“ผมขอขอบคุณ ลูกค้าที่มอบความไว้วางใจให้ธนาคารกรุงเทพและกรุงเทพประกันชีวิต ได้ดูแลความมั่นคงและธุรกิจของครอบครัวของท่านตลอดมา และเราพร้อมที่จะยืนหยัดเคียงข้างเพื่อสนับสนุนลูกค้าทุกท่านให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินของครอบครัวและของธุรกิจ รวมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยในอนาคต เรายังมีความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆและบริการที่ดีเพื่อลูกค้าร่วมกัน เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าธนาคารกรุงเทพทุกท่านประสบความสำเร็จในการวางแผนความคุ้มครองและการออมตามเป้าหมายที่วางไว้” นายชาติศิริ กล่าวในที่สุด

Page 2 of 612
X

Right Click

No right click