มหาวิทยาลัยศรีปทุม ปักธงสร้าง “คน” ติดสกิล AI ทุกหลักสูตร ตั้งแต่หลักสูตรผู้บริหาร  หลักสูตรระยะสั้น อัพสกิล-รีสกิล และปริญญาตรี ชี้ทักษะ AI เพิ่มมูลค่าคนและองค์กร  ฟันเฟืองขับเคลื่อนองค์กร ธุรกิจ ร่วมพลิกโฉมขับเคลื่อนประเทศและเปลี่ยนแปลงโลก  เดินหน้าบูรณาการ AI เข้ากับหลักสูตรต่างๆ พัฒนาหลักสูตร AI เฉพาะทาง สนับสนุนให้คณาจารย์มีทักษะด้าน AI ที่พร้อมปรับเปลี่ยน ยกระดับคนที่มีศักยภาพ ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

ดร. รัชนีพร พุคยาภรณ์ พุกกะมาน อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่าเทรนด์และสถิติสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า  AI จะเป็นคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่ง การเติบโตของ AI ในธุรกิจ ข้อมูล  McKinsey & Company คาดการณ์ว่า AI จะเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจโลก 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573   ในขณะที่ Gartner คาดการณ์ว่า 75% ขององค์กรต่างๆ จะใช้ AI ในการตัดสินใจทางธุรกิจภายในปี 2568 และ Forrester Research คาดการณ์ว่า AI จะช่วยให้ธุรกิจประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 1.2ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568   ในขณะที่ World Economic Forum คาดการณ์ว่า AI จะเปลี่ยนแปลงทักษะที่จำเป็นสำหรับงานต่างๆ 50% ภายในปี 2568 ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโลก เข้าสู่มิติใหม่ที่ดีขึ้น มหาวิทยาลัยศรีปทุม มองเห็นศักยภาพของ AI เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ “คน” นำไปสู่การสร้างมูลค่าให้กับ “องค์กร”ขับเคลื่อนประเทศและโลก

มหาวิทยาลัยศรีปทุมจึงวางกลยุทธ์มุ่งสร้างบัณฑิตทุกคนให้มีพื้นฐานการใช้เครื่องมือ AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในสายอาชีพ ทุกหลักสูตรที่เปิดสอน ตั้งแต่หลักสูตรสำหรับผู้บริหาร  เพื่อเพิ่มทักษะ AI ให้กับผู้บริหารระดับสูงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์และทิศทางขององค์กร เปรียบเสมือนเข็มทิศนำพาองค์กรและธุรกิจประสบผลสำเร็จในโลก พร้อมทั้งปักธงสร้าง “คน” จากรั้วมหาวิทยาลัยศรีปทุมทุกคนมีพื้นฐานการรู้จักประยุกต์ใช้ AI เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง จนกลายเป็น บุคลากรที่สามารถเข้าไป เพิ่มมูลค่าให้กับ องค์กร ธุรกิจ กลายเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศและโลกต่อไป

ศ.ดร.วิรัช เลิศไพฑูรย์พันธ์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวเสริมว่า มหาวิทยาลัยศรีปทุม มุ่งมั่นที่จะสร้างบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถด้าน AI อย่างเป็นรูปธรรม ที่สามารถใช้ AI  ได้อย่างสร้างสรรค์และมีจริยธรรม สอดคล้องกับนโยบายด้าน AI เพื่อการศึกษาของ UNESCO โดยมหาวิทยาลัยศรีปทุมวางแนวทางในการใช้ AI  ใน 5 ด้าน ประกอบด้วย

  1. Advancement through Intelligence ก้าวไกลด้วยการใช้ AI ในทุกกระบวนการตั้งแต่การใช้ AI ในกระบวนการทั้งการเรียนการสอนและการพัฒนา รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรด้วย AI
  2. Amplifying Intelligenceใช้ AI เพื่อส่งเสริมศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์โดยการใช้ AI เพื่อเพิ่มสติปัญญาและความสามารถของบุคลากร และการใช้ AI เพื่อเสริมสร้างความเชี่ยวชาญและประสิทธิภาพ
  3. Architects of Intelligence เป็นผู้นำในการใช้ AI technology เพื่ออนาคตจากการนำเสนอและพัฒนาเทคโนโลยี AI ในทุกสาขา เพื่อเป็นผู้นำในการนำเสนอแนวทางการใช้ AI ที่เป็นประโยชน์
  4. Access to Intelligence ทุกคนเข้าถึงและใช้งาน AI ได้อย่างทั่วถึง ด้วยการการเปิดโอกาสให้ ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยี AI ทั้ง นักศึกษา อาจารย์ บุคลากรในมหาวิทยาลัยทุกระดับ และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและเข้าถึงง่ายสำหรับการใช้งาน AI
  5. Alliance for Intelligence เน้นความร่วมมือในการใช้งานและพัฒนา AI อย่างยั่งยืน จากการสร้างพันธมิตรและความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนา AI โดยเน้นความยั่งยืนในการพัฒนาและใช้งานเทคโนโลยี AI

“เราเดินหน้าพัฒนาหลักสูตร AI เฉพาะทาง รวมถึงการสนับสนุนให้อาจารย์มีทักษะด้าน AI จัดตั้งศูนย์วิจัยด้าน AI ร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนา AI การประยุกต์ใช้ AI ในมหาวิทยาลัยครอบคลุมทุกมิติ ทั้งมิติของการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน มิติการบริหารจัดการและการบริการนักศึกษา มิติการทำวิจัยและบริการวิชาการ เพื่อสร้างความคุ้นเคยจนคน SPU มีทักษะในการใช้ AI ได้เป็นเลิศ  ตัวอย่างของการนำไปใช้ได้แก่ การจัดตั้ง SPU D Vote ที่นำเทคโนโลยีข้อมูลและ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและการวิจัย   การเปิด Academy of Business Intelligence หรือ ABI by SPU มีหลักสูตรด้าน AI หลักสูตรแรกคือ AI for Business เป็นหลักสูตรระยะสั้นสำหรับผู้บริหารองค์กรที่เน้นเปลี่ยนแปลงธุรกิจไปสู่ AI Company  โดยมหาวิทยาลัยศรีปทุม มุ่งมั่นที่จะเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้” สร้าง คน ที่พร้อมปรับเปลี่ยน ยกระดับคนที่มีศักยภาพ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้าน“AI” และการเปลี่ยนแปลงอื่น เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศและโลกต่อไป” ศ.ดร.วิรัช กล่าวทิ้งท้าย

เอปสันชวนช่างภาพทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมส่งภาพประกวด Epson International Pano Awards ครั้งที่ 15 การประกวดภาพถ่ายแบบพาโนรามาที่ใหญ่ที่สุดในโลก

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขยายเวลาการรับสมัครบุคลากรเพื่อคัดเลือกเป็นพนักงาน สายวิชาการ 3 อัตรา

LPN ลุยเปิดการขาย 3 โครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพ โครงการ พาร์ค 168 อ่อนนุช 19, โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า และ โครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,067 ล้านบาท ชูจุดเด่นทำเลดี คุ้มค่า น่าอยู่ ไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือซื้อเพื่อการลงทุน ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน พร้อมเติมเต็มคุณภาพชีวิต (Well-Being) ตอบโจทย์การอยู่อาศัยในทุกไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง โดยทั้ง 3 โครงการได้รับอนุมัติผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA Approved” จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นที่เรียบร้อย สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่สนใจโครงการ พร้อมเปิด Sales Gallery ให้ชมห้องตัวอย่างแล้ววันนี้

นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ‘ปัจจุบันทั้ง 3 โครงการ ได่แก่ โครงการ พาร์ค 168 อ่อนนุช 19, โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า และ โครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. ได้ผ่านการอนุมัติ EIA Approved” แล้ว เชื่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมคุณภาพที่มาพร้อมกับความ ‘น่าอยู่’ ซึ่งทั้ง 3 โครงการนี้ เปิดตัวไปเมื่อปี 2566 และมีการเปิดจองรอบ Pre-Sale สร้างกระแสตอบรับดีจากลูกค้าที่สนใจ เนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยในแต่ละทำเลทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดมีจำนวนมาก เพราะใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย อีกทั้งโครงการยังใกล้กับนิคมอุตสาหกรรมใหญ่อย่างอมตะนคร จ.ชลบุรี ซึ่งลูกค้าสามารถซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อเป็นการลงทุนในระยะยาวได้ โดยหลังจากนี้บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมเร่งงานก่อสร้างโครงการ เพื่อให้แล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ตามกำหนดอย่างแน่นอน’

รายละเอียดโครงการ

1.โครงการ พาร์ค 168 อ่อนนุช 19 (PARK 168 ONNUT19) คอนโด Low Rise 8 ชั้น 3 อาคาร ตั้งอยู่บนที่ดิน 7 ไร่ เศษ จำนวนห้องพักอาศัยรวม 761 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 1,634 ล้านบาท โครงการมีทางเข้า-ออก อยู่ทางทิศใต้ติดถนนอ่อนนุช แบ่งเป็น 3 อาคาร A, B และ C เดินทางสะดวก ใกล้ BTS อ่อนนุช ได้ทั้งรถยนต์และรถสาธารณะ หาของกินง่าย ภายในโครงการออกแบบมาในสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งจะมีการตกแต่งพื้นที่ส่วนกลาง ด้วยโทนสีครีมหรือวัสดุลายไม้ จัด Landscape ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสวนญี่ปุ่น เช่น Dry Garden (Karesansui), Tea Garden (Chaniwa) เป็นต้น พรั่งพร้อมด้วย facilities อย่างครบครัน อาทิ สวนส่วนกลางขนาดใหญ่, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำระบบเกลือ และพื้นที่นั่งเล่น J Park Indoor and Outdoor Living เป็นต้น ขนาดห้องเริ่มต้น 23.5 – 34.5 ตร.ม.  ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท

 

2.โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า (PLACE 168 PINKLAO) โครงการคอนโด High Rise 4 อาคาร สูง 23 – 27 – 27 – 28 ชั้น จำนวน 807 ยูนิต ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ติดถนนบรมราชชนนี ต้นปิ่นเกล้า ใกล้ห้าง Central ปิ่นเกล้า เพียง 500 เมตร MRT สถานีบางยี่ขัน 750 เมตร และ ใกล้โรงพยาบาลศิริราช มูลค่าโครงการ 2,308 ล้านบาท โดยมีการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเน้นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ส่วนพักผ่อนที่มาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานอย่างครบครัน อาทิ Co – Living Space , ฟิตเนส , สระว่ายน้ำ , Jogging Track รอบโครงการ, ห้อง E-Sport และห้อง Sky Lounge ในทุกอาคาร โดยมีรูปแบบห้องให้เลือกตั้งแต่ สตูดิโอ, 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 2.09 ล้านบาท*  มีโปรฯ พร้อม เฟอร์ฯ ครบ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า*

 

3.โครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. (EARN by LPN) คอนโดมิเนียม Low Rise แบรนด์ใหม่จาก LPN ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปท์ ‘เปิดรับชีวิตดีๆ อยู่เอิร์นเพลินทุกวัน’ เจาะกลุ่มนักลงทุนและผู้อยู่อาศัยที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ฟังก์ชันห้องที่สามารถรองรับการใช้งานได้หลายรูปแบบ พร้อมส่วนกลางที่ตอบรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกไลฟ์สไตล์ เดินทางสะดวกใกล้นิคมอมตะซิตี้  ตั้งอยู่ในซอยเรืองอร่าม ตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ 3 งาน ประกอบด้วย อาคารพักอาศัย สูง 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร, อาคารสูง 6 ชั้น 1 อาคารโดยมีจำนวนห้องพักอาศัยรวม 1,810 ยูนิต รูปแบบสตูดิโอ และแบบ 1 ห้องนอน เริ่มต้น 24 - 36 ตรม. และพื้นที่ร้านค้า 14 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,124 ล้านบาท รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันใกล้โรบินสันไลฟ์สไตล์ เพียง 3 กม. เดินทางสะดวกสบายเชื่อมต่อเส้นทางหลักได้หลายสาย ราคาเริ่มต้น 980,000 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ณ Sales Gallery ทั้ง 3 โครงการ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร LPN Call Center 02-689-6888  ช่องทางออนไลน์ www.lpn.co.th Facebook: LPN Connect, 168 by LPN / LINE OA : @LPNDEV

นายจาร์กันนาธาน ศรีนิวาสัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิกนิฟาย คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำธุรกิจระบบไฟ และอุปกรณ์แสงสว่างระดับโลก ผู้บริหารจัดการแบรนด์ฟิลิปส์ (Philips) เข้ารับรางวัล 2024 Thailand’s Most Admired Brand” ในสาขาแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุด หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า ในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลอดไฟฟ้า ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสารแบรนด์เอจ โดยภายในปีนี้ ยังได้รับรางวัลพิเศษ Innovation Brand Award แบรนด์ผู้นำด้านนวัตกรรม จากผลิตภัณฑ์ Philips Hue สุดยอดระบบไฟแสงสว่างอัจฉริยะเพื่อบ้าน เพื่อ Home Entertainment และหลอดไฟ LED Bulb รุ่น Ultra Efficient ตอกย้ำความผู้นำอันดับหนึ่ง แบรนด์อุปกรณ์ไฟฟ้าและแสงสว่างระดับโลก ที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานกว่า 72 ปี ณ โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพฯ

สำหรับรางวัล “2024 Thailand’s Most Admired Brand” นิตยสารแบรนด์เอจได้จัดทำการสำรวจขึ้นมาอย่างต่อเนื่องถึง 24 ปี ตามลักษณะตลาดที่มีความเป็นเซ็กเม้นต์มากยิ่งขึ้น โดยเป็นการสำรวจและวิจัยการรับรู้ในเรื่องของแบรนด์และพฤติกรรมการบริโภคในกลุ่มสินค้า 11 หมวด ซึ่ง “ฟิลิปส์” ยังสามารถคว้ารางวัลนี้ได้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 24 ด้วยคะแนนโหวตสูงสุดในการเป็น   แบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ และได้รับความไว้วางใจที่สุดของผู้บริโภคคนไทยทั่วประเทศ

นายจาร์กันนาธาน ศรีนิวาสัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิกนิฟาย คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่าสำหรับปีนี้ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ “ฟิลิปส์” ได้เข้ารับรางวัล Thailand’s Most Admired Brand อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 24 และยังได้รับรางวัลพิเศษ Innovation Brand Award แบรนด์ผู้นำด้านนวัตกรรม เพื่อตอกย้ำความสำเร็จของแบรนด์เหนือคู่แข่งทางการตลาดในด้านการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรม สำหรับผลิตภัณฑ์ Philips Hue และหลอดไฟ LED Bulb รุ่น Ultra Efficient ถือเป็นนวัตกรรมแสงสว่างที่รักษ์โลก ให้ความสว่างมากแต่กินไฟน้อยกว่า LED ปกติถึง 50% พร้อมมีอายุการใช้งานยาวนานถึง 50,000 ชม.  ซึ่งเป็นหลอดไฟที่มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน และขอขอบคุณผู้บริโภคทั่วประเทศ ที่ไว้วางใจในแบรนด์ สินค้า และนวัตกรรมไฟส่องสว่างของ “ฟิลิปส์” และขอบคุณพนักงานทุกคน พันธมิตรทางการค้า และร้านค้าไฟฟ้าที่ได้ร่วมส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพให้ถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศ รวมทั้งนิตยสารแบรนด์เอจ สำหรับผลงานวิจัย ที่ช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 แบรนด์อุปกรณ์ไฟฟ้าและแสงสว่างระดับโลกให้แก่เรา”

โดยล่าสุด ฟิลิปส์ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มฟิลิปส์ ฮิว “Philips Hue” นวัตกรรมและเทคโนโลยีสุดล้ำของอุปกรณ์แสงสว่าง IoT อัจฉริยะ ที่เข้ามาเติมเต็ม และช่วยยกระดับภาพ เสียง และแสงแบบ Seamless & Dynamic เต็มรูปแบบครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ความบันเทิงภายในบ้าน เพิ่มสีสัน ความสนุก รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจส่วนบุคคล ทั้งคอ ซีรีส์ คอหนัง แฟนกีฬา สายฟังเพลง สายเกม Console สาย PC gaming/E-sport หรือแม้แต่สายทำ Content  ด้วยระบบไฟ IoT อัจฉริยะที่เปลี่ยนแสงได้ถึง 16 ล้านเฉดสีรุ่นใหม่เน้นด้าน Home entertainment และ PC gaming ที่มาพร้อมฟีเจอร์สุดล้ำ เข้ามาช่วย Upgrade กลุ่มลูกค้าที่มี Philips Hue อยู่แล้วที่บ้าน และสร้างประสบการณ์แสงเหนือระดับให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ต้องการเพิ่มอรรถรสความบันเทิงภายในบ้าน หรือคอนโดสุดหรู ได้แก่ Philips hue Play HDMI Sync Box กล่องอัจฉริยะสำคัญ ที่จะปลดล็อกประสบการณ์ Entertainment ซึ่งจะทำหน้าที่ sync ภาพ และเสียงจากแหล่งภาพ Philips hue Play Gradient Strip for TV ไฟเส้นอัจฉริยะ 16 ล้านเฉดสีที่สามารถไล่หลายเฉดสีในเส้นเดียวสำหรับติดกับหลัง TV ทั่วไป Philips hue Play Gradient Strip for PC ไฟเส้นอัจฉริยะ 16 ล้านเฉดสีที่สามารถไล่หลายเฉดสีในเส้นเดียวสำหรับติดกับหลังจอมอนิเตอร์ PC ทั่วไป และ Philips hue Play Light Bar ไฟแท่งอัจฉริยะ 16 ล้านเฉดสีที่ปรับใช้ได้ทั้งแนวตั้ง แนวนอน และยึดติดหลัง TV เสริม Ambience การดูหนังฟังเพลงเล่นเกมในจุดที่คุณต้องการได้ตามจินตนาการคุณ

สามารถติดตามรายละเอียดผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของทางฟิลิปส์เพิ่มเติมได้ที่ www.lighting.philips.co.th หรือที่ Facebook : PhilipsLightingThailand

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) นำโดย นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ขวา) และนายประกอบ เพียรเจริญ (ซ้าย) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ประกาศความสำเร็จคว้ารางวัลใหญ่ด้านความยั่งยืน Best Bank for Sustainable Finance” จาก The Asset Triple A Awards for Sustainable Finance 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และยังคว้ารางวัล “Best Sustainable Bank” จาก FinanceAsia Awards 2024 ในฐานะที่กรุงศรีเป็นธนาคารที่ให้ความสำคัญและมีบทบาทในการสนับสนุนภาคธุรกิจในเรื่องของการเงินเพื่อความยั่งยืน และมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม พร้อม รางวัลด้านความยั่งยืนจากเวทีระดับประเทศและระดับสากล ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย ผู้ให้คำปรึกษา ผู้สนับสนุนทางการเงิน และผู้จัดการเงินกู้ร่วมให้กับลูกค้าธุรกิจต่างๆ ประกอบไปด้วย

รางวัลจากเวที The Asset Triple A Awards 2024 จัดโดยนิตยสารการเงินชั้นนำแห่งเอเชีย The Asset ได้แก่

  • รางวัล Best Green and Blue Bond จากการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) และตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล (Blue Bond) เป็นครั้งแรก เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล จำนวน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • รางวัล Best Green Bond สำหรับความสำเร็จในการออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำนวน 3,500 ล้านบาท
  • รางวัล Best Sustainability-Linked Loan จากการเป็นผู้จัดการเงินกู้ร่วมและผู้ประสานงานด้านดัชนีความยั่งยืน สนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ให้กับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวน 11,500 ล้านบาท
  • รางวัล Best Green Loan จากการเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางด้านสินเชื่อสีเขียว และเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินแต่เพียงผู้เดียว ให้กับบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP) จำนวน 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินเชื่อสีเขียวระยะยาวเป็นครั้งแรกของ SCGP

รางวัลจากเวที ThaiBMA Best Bond Awards 2023 จัดโดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ได้แก่

  • รางวัล Leading Underwriter for Corporate ESG Bond ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่สถาบันผู้จัดจำหน่ายตราสารหนี้ที่เป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวที่ออกภายใต้มาตรฐาน และกรอบหลักเกณฑ์ในการระดมทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม/สังคม/ความยั่งยืน (Green, Social, Sustainable Financing Framework)
  • รางวัล State Owned Enterprise ESG Bond of the Year สำหรับการออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำนวน 3,500 ล้านบาท

นอกจากความเชี่ยวชาญและความสำเร็จทางธุรกิจในด้าน ESG จนได้รับรางวัลยอดเยี่ยมด้านความยั่งยืน กรุงศรียังได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเงิน รวมถึงบริการด้านวาณิชธนกิจในดีลสำคัญอีกมากมาย จนได้รับรางวัลยอดเยี่ยมด้านบริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ ได้แก่ รางวัล Best Bond Adviser – Domestic และรางวัล Best New Bond จากเวที The Asset Triple A Awards 2024

ความสำเร็จดังกล่าว สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรุงศรีในฐานะพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจ เพื่อมอบโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ช่วยส่งเสริมลูกค้าในการเปลี่ยนผ่าน ให้พร้อมก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

บ้านปู เน็กซ์ ผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานสะอาดชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ร่วมกับดูราเพาเวอร์ ผู้นำด้านระบบแบตเตอรี่จัดเก็บพลังงานแบบลิเธียมไอออนระดับโลก ส่งมอบแบตเตอรี่ชุดแรกจากโรงงานประกอบแบตเตอรี่ในไทยให้กับเชิดชัยมอเตอร์เซลส์ ผู้ให้บริการรถบัสรายใหญ่ที่สุดในไทย นับเป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนตลาดรถบัสไฟฟ้าและรถบรรทุกขนาดใหญ่ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตอกย้ำความสำเร็จของผู้นำจาก 3 ธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืนด้วยยานยนต์ไฟฟ้าและการลดคาร์บอน การส่งมอบแบตเตอรี่ครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของโรงงานประกอบแบตเตอรี่ดีพี เน็กซ์ ในประเทศไทย ภายใต้บริษัท ดีพี เน็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบ้านปู เน็กซ์ และดูราเพาเวอร์

ปี 2567 ตลาดรถบัสไฟฟ้าในเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่า* 44,740 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 73,880 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเติบโตขึ้น 10.55% ในปี 2572 ถือเป็นภูมิภาคที่ตลาดรถบัสไฟฟ้าเติบโตเร็วที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุด โดยได้รับอานิสงส์จากองค์กรด้านการขนส่งในหลายประเทศที่ส่งเสริมการใช้รถบัสไฟฟ้ามากขึ้น ขณะที่ภาครัฐของไทย** ได้ประกาศโร้ดแมปซึ่งคาดว่าจะมีการใช้งานรถบัสไฟฟ้าสาธารณะ 3,000 คันในประเทศภายในปี 2568 ทั้งนี้ ประเทศไทยมีรถบัสที่จดทะเบียนมากกว่า 150,000 คันเมื่อปี 2566 และมีแผนที่จะนำรถบัสไฟฟ้ามาใช้แทนรถบัสสันดาปไม่น้อยกว่า 40,000 คันภายใน 10 ปีข้างหน้า โดยเมื่อโรงงานดีพี เน็กซ์ ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี เปิดดำเนินการประกอบแบตเตอรี่เต็มรูปแบบแล้ว จะส่งมอบผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการชาร์จเร็วโดยเฉพาะและมีความจุสูงสำหรับรถบัสและรถขนส่งขนาดใหญ่

สำหรับแบตเตอรี่ชุดแรกที่ส่งมอบให้กับเชิดชัยมอเตอร์เซลส์ สามารถตอบโจทย์การใช้งานในรถบัสไฟฟ้าของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี โดยเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมนิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ (NMC) สมรรถนะสูงที่ทำให้รถวิ่งได้ไกลถึง 300 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และใช้เวลาในการชาร์จรวดเร็วเมื่อเทียบกับลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ช่วยให้ผู้ประกอบการรถบัสสามารถยกระดับประสิทธิภาพการบริการขึ้นไปอีกขั้น โดยโรงงานแห่งนี้จะรองรับความต้องการใช้แบตเตอรี่ของยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้งานในอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์ทั้งในไทยและเอเชียแปซิฟิก เช่น รถบัส รถบรรทุก และรถขนส่งเชิงพาณิชย์ เป็นต้น

นายสมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า “การเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในไทยส่งผลให้ความต้องการแบตเตอรี่สูงขึ้นตามไปด้วย จากปี 2565 ตลาดแบตเตอรี่ในประเทศ*** มีมูลค่า 1,140 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 4,010 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2573 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 17.0% ในช่วงปี 2566 – 2573 บ้านปู เน็กซ์ มุ่งมั่นที่จะเป็น Net-Zero Solutions Provider ให้กับองค์กรทั่วเอเชียแปซิฟิก เราพร้อมสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และช่วยขับเคลื่อนการแก้ปัญหาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง การส่งมอบแบตเตอรี่ชุดแรกเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ ภายใต้ความร่วมมือที่บ้านปู เน็กซ์ รับผิดชอบด้านโอกาสทางการตลาดในประเทศไทย โดยนอกจากจะให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคและบริการหลังการขายที่ครบวงจร เราตั้งใจจะส่งมอบแบตเตอรี่ให้กับเชิดชัยมอเตอร์เซลส์ซึ่งมีแผนจะนำไปใช้กับรถบัสประมาณ 100 คันภายในปี 2568”

นายเคลวิน ลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดูราเพาเวอร์ กล่าวว่า “ดูราเพาเวอร์มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ และมีเทคโนโลยีขั้นสูง เรามั่นใจที่ได้ส่งมอบแบตเตอรี่คุณภาพสูงที่กักเก็บพลังงานได้ยาวนาน พร้อมคุณสมบัติชาร์จเร็ว น้ำหนักเบา และมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดให้กับเชิดชัยมอเตอร์เซลส์ อีกทั้งเรายังนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัย รวมถึงออกแบบโมดูลและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เราให้ความสำคัญกับการส่งมอบโซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าในไทยและเอเชียแปซิฟิก ไปพร้อมกับการเดินหน้าความร่วมมือกับบ้านปู เน็กซ์ และเชิดชัยมอเตอร์เซลส์”

นายอดิศร เชิดชัย กรรมการผู้จัดการ โรงงานอุตสาหกรรมเชิดชัย กล่าวว่า “เชิดชัยฯ ให้บริการรถโดยสารสำหรับการเดินทางและท่องเที่ยว เรามีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยคาร์บอนและปรับทิศทางธุรกิจให้สอดรับกับเทรนด์โลก จึงเปลี่ยนจากการใช้รถสันดาปเป็นรถบัสไฟฟ้าให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถนำเสนอบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับลูกค้า ขณะเดียวกัน เรากำลังพัฒนารถบัสของเราที่ออกแบบมาสำหรับการเดินทางไกลโดยเฉพาะ ซึ่งจะนำมาใช้บนเส้นทางเดินรถสายหลักจากจังหวัดนครราชสีมาไปยังกรุงเทพฯ และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการผลิตรถบัสไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการในตลาดประเทศไทย เราเลือกใช้แบตเตอรี่จากโรงงานดีพี เน็กซ์ เนื่องจากตอบโจทย์ความต้องการเชิงเทคนิคและการใช้งานเฉพาะด้านของเรา ทั้งยังมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญในประเทศคอยให้คำปรึกษาและบริการหลังการขาย เราจึงมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของโรงงานแห่งนี้ โดยแบตเตอรี่ชุดแรกที่เราได้รับจากบ้านปู เน็กซ์ และดูราเพาเวอร์ เป็นส่วนสำคัญที่ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถบัสไฟฟ้า และตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในด้านความยั่งยืน”

แบตเตอรี่จากโรงงานดีพี เน็กซ์ จะนำมาใช้กับรถบัสไฟฟ้าของเชิดชัยมอเตอร์เซลส์บนเส้นทางสายหลัก กรุงเทพฯ - นครราชสีมา และในอนาคตมีแผนจะนำแบตเตอรี่ไปใช้กับรถบัสไฟฟ้าบนเส้นทางสายอื่นๆ โดยนอกจากเชิดชัยมอเตอร์เซลส์ บ้านปู เน็กซ์ ยังนำเสนอแบตเตอรี่ให้กับธุรกิจขนส่งเชิงพาณิชย์หลายราย อาทิ ผู้ให้บริการรถบรรทุก ผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ไฟฟ้า และผู้ผลิตเรือไฟฟ้า เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608

ธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือสนใจโซลูชันแบตเตอรี่ สามารถเยี่ยมชมบูธของดูราเพาเวอร์ หมายเลข MC17 โซนสิงคโปร์พาวิลเลี่ยน ในงานนิทรรศการและงานประชุม Future Mobility Asia 2024 ระหว่างวันที่ 15 – 17 พฤษภาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต  “เคทีซี” หรือ บริษัท  บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในโอกาสที่ ซีไลฟ์ แบงคอก (SEA LIFE Bangkok) อควาเรียมมาตรฐานระดับโลก เปิดตัวแคมเปญ The Jelly fish Universe” เปิดโลกแมงกะพรุนสุดมหัศจรรย์ ซึ่งอยู่ในช่วงปิดเทอมของเด็กๆ เคทีซีจึงได้ร่วมมือกับ บริษัท เมอร์ลิน เอ็นเตอร์เทนเมนท์ส (ประเทศไทย) จำกัด เชิญชวนสมาชิกบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” พาบุตรหลานเปิดประสบการณ์การเรียนรู้นอกห้องเรียน และร่วมสำรวจโลกใต้ทะเลกับสัตว์น้ำสายพันธุ์ต่างๆ จากทุกมุมโลก สนุกสนานไปกับการผจญภัยป่าดิบชื้นและแนวปะการัง ภารกิจใกล้ชิดฉลาม ลอดอุโมงค์ใต้น้ำ ชมความน่ารักของเพนกวินบนโลกน้ำแข็ง และพบกับกิจกรรมสุดพิเศษสำหรับเด็กๆ เช่น ชมภาพยนตร์ 4 มิติ สำรวจใต้ท้องทะเลเสมือนจริงผ่านแว่น VR นั่งเรือท้องกระจกชมความสวยงาม ทัวร์เบื้องหลังการจัดแสดงดำน้ำกับฉลาม สำรวจสิ่งมีชีวิต พร้อมชมการให้อาหารสัตว์แสนน่ารัก เช่น ปลาฉลาม กระเบน เพนกวิน นากเล็กเล็บสั้น ม้าน้ำและปลาเสือพ่นน้ำ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย”

แพ็กเกจ FUN PACKAGE ประกอบด้วย บัตรเข้าชม ซีไลฟ์ แบงคอก และบัตรชมภาพยนตร์ 4 มิติ ราคา 650 บาท (วันจันทร์ - ศุกร์) และราคา 700 บาท (วันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 – 31 พฤษภาคม 2567 พิเศษ! รับส่วนลด 200 บาท เมื่อสมัครสมาชิกรายปีสำหรับเข้าชมวันธรรมดา ผู้ใหญ่ 990 บาท(ราคาปกติ 1,190 บาท) และเด็ก 890 บาท (ราคาปกติ 1,090 บาท) ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2567 – 31 พฤษภาคม 2567 พิเศษเฉพาะสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี แลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12% เมื่อใช้จ่ายที่ SEA LIFE Bangkok และใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดซื้อ”

“ทั้งนี้ ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดสถานที่ท่องเที่ยว (Attraction) ในไตรมาส 1 ของปี 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ถึง 37% และมีจำนวนสมาชิกใช้จ่ายในหมวดนี้เพิ่มขึ้น 29%”

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/travel/attractions/sea-life-bangkok-funpackage หรือสอบถามที่ KTC PHONE 02 123 5000 สำหรับผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card  สมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี สำหรับผู้ถือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว 

แนวทางสู่โลกทั้งใบ: ผลิตภัณฑ์และความงามที่ยั่งยืน คอนเซ็ปต์ร้านรักษ์โลก รวมพลังพันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อม และการขนส่งสีเขียว

Page 5 of 612
X

Right Click

No right click