×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 803

บริษัท สื่อดี จำกัด  / Good Media Co.,Ltd.

ก่อตั้ง               :                       เดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2541 - ปัจจุบัน 

ผู้ก่อตั้ง             :                       นายทักษ์ศิล  ฉัตรแก้ว   

ตำแหน่ง  กรรมการผู้จัดการ - Editor-in-Chief


การดำเนินกิจการ :                  

สิ่งพิมพ์

  • นิตยสาร Corporate Thailand (พ.ศ. 2541 – 2549) นิตยสารรายเดือนประเภท ธุรกิจ เศรษฐกิจ และการเมือง
  • นิตยสาร MBA (พ.ศ. 2542 – ปัจจุบัน) นิตยสารรายเดือนประเภทบริหารและการจัดการธุรกิจ

  • พ็อกเก็ตบุ๊ค

- โครงการหนังสือ Good Book

- โครงการหนังสือ Book Brief

- จัดรูปกายให้ใจเป็นสุข : โดย แดง ไบเล่

- ศิลปินแจ๊สหญิง : โดย ประทักษ์  ใฝ่ศุภการ

- ดุลยภาพบำบัด : โดย แพทย์หญิงลดาวัลย์  สุวรรณกิตติ

- ซามูไร ซากุระ (ฉบับภาษไทย) : โดย ฮิเดโตชิ  อูเมกิ

- ซามุไร ซากุระ (ฉบับสองภาษา ไทย-ญี่ปุ่น) : โดย ฮิเดโตชิอูเมกิ

- SAMPO - YOSHI พ่อค้าโอมิ : โดย ฮิเดโตชิ อูเมกิ

  • พ็อกเก็ตบุ๊ค (ภาษาอังกฤษ)

- คาดเชือก – มวยไทย

- แมวไทย

- Hommali - Thai Rice

- ราชนิติ

- New Life by Self-Healing : Dr.Ladawan  Suwankiti


ช่องทางออนไลน์                      

  • เว็บไซต์

www.mbamagazine.net, www.gosowealth.com, www.pixabook.net

  • Facebook

Mbamagazine Wiki, MBA_magazine, Thailand MBA Forum

  • YouTube

mbamagazine


Events 

  • Seminar & Forum

- MBA Campus Tour EP1 - EP8 (พ.ศ. 2548 – 2555)

- CSR Campus Campaign (พ.ศ. 2554)

- 1 Days MBA Program EP1 – 2 (พ.ศ. 2552)ณ โรงแรมพูลแมน กรุงเทพฯ แกรนด์ สุขุมวิท 21

- 1 Days MBA Program EP3 (พ.ศ. 2553) ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ

- Thailand MBA Forum 2017  Wisdom to The Future (21 – 22 พ.ย. 2560)

  ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน

- Workshop : เรียนรู้เรื่อง Bitcoin และการเทรด Bitcoin อย่างรู้จริง กับ ปรมินทร์ อินโสม (ม.ค. 2561) ณ AIS DC

- ICO In Action (เม.ย. 2561)ณ  โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ

- Thaialnd MBA Forum 2018 The Next Chapter of Tech & Management (20 – 21 ก.ค. 2561) ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน

- Blockchain for Management & Transformation ธุรกิจยุคใหม่ต้องใช้บล็อกเชน (8 พ.ย. 2561) ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร


TV  Program

- รายการ Fast MBA

- รายการ Modern Biz ช่อง 9 Modern Nine TV (พ.ศ. 2546 – 2549)

- รายการ 9 พอเพียง ช่อง 9 อสมท. (พ.ศ. 2550 – 2552)

- รายการ 9 พอเพียง ช่อง Money Channel (พ.ศ. 2552 – 2553)

- รายการ ของรักของหวง ช่อง 5 (พ.ศ. 2550)

 

 

Last modified on Thursday, 19 September 2019 10:48

Related items

  • ถอดรหัสสุขภาพผู้บริหาร โดย พญ.ลดาวัลย์ สุวรรณกิตติ ถอดรหัสสุขภาพผู้บริหาร โดย พญ.ลดาวัลย์ สุวรรณกิตติ

    เอ่ยถึงสุขภาพของผู้บริหาร เรามักนึกถึง เจ้าของบริษัท ผู้บริหารระดับต่างๆ ทั้งระดับสูง ระดับกลาง และหัวหน้างาน

    ความจริงทุกวันนี้ทุกคนต่างเกี่ยวพันกับโรคของผู้บริหาร เพราะทั้งผู้บริหารระดับสูงจนกระทั่งถึงพนักงานระดับปฏิบัติการ ต่างก็เผชิญสถานการณ์ร่วมกัน คือปัญหาสุขภาพเสื่อมถอยจากการทำงานซึ่งแพทย์ดุลยภาพบำบัด อธิบายถึงสาเหตุของทุกข์นี้ว่า เพราะ ไม่รู้จักเรา ไม่รู้จักเขา และทางแก้ง่ายๆ ใกล้ตัว

    เพราะไม่เช่นนั้น อาจเป็นเช่นนี้ ..

    ผู้บริหารคนหนึ่งมาด้วยอาการปวดแขนซ้ายและกล้ามเนื้อด้านซ้ายทั้งแถบ แก้มซ้ายจะรู้สึกชาๆ และมักมีน้ำตาไหลจากตาด้านซ้ายต้องคอยเช็ดบ่อยๆ แพทย์บอกว่า สาเหตุจากกระดูกคอทับเส้นประสาท หลังกายภาพและยืดต้นคออยู่นาน 3 เดือน ก็ยังไม่หาย อาการเจ็บ ชา และไม่มีแรงยังคงมีอยู่

    เจ้าของบริษัทธุรกิจอาหาร..ประสบปัญหากับต้นคอ กล้ามเนื้อที่คอตึง กระดูกคอเสื่อม จนเริ่มจะมีอาการผิดปกติคือจะหันคอมากไม่ได้ เคยไปรักษาแบบไคโรแพรกติกแต่ก็ไม่หายขาด ก่อนหน้านี้เคยรักษากับแพทย์แผนปัจจุบันทั้งกินยา และฉีดด้วยสเตรียรอยด์มาแล้ว หากรักษาต่อก็ต้องผ่าตัด ซึ่งเขาเห็นว่ามีความเสี่ยงมากเกินไป

    ความรู้สึกตึงเครียด วิตกกังวลและความทุกข์จากปัญหาสุขภาพที่ผู้บริหารและคนทำงานประสบอยู่ สามารถจัดการได้ มีทางออก เมื่อได้มาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เปิดมุมมองใหม่ของสาเหตุการเจ็บป่วย และแนวทางการบำบัด ตลอดจนฟื้นฟูตัวเอง โดยเริ่มต้นจากเคล็ดไม่ลับที่ว่า “ต้อง รู้เรา รู้เขา” ก่อน

    ถอดรหัสทุกข์ผู้บริหาร

    รศ.พญ.ลดาวัลย์ สุวรรณกิตติ ผู้บุกเบิกการดูแลสุขภาพและบำบัดแบบดุลยภาพบำบัด กล่าวถึง ปัญหาสุขภาพจากการประกอบการงานอาชีพต่างๆ ของคนที่ทำงานส่วนใหญ่กำลังเผชิญอยู่ว่า มีสาเหตุมาจากสองส่วนหลัก คือ พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน และสอง ความเครียด

    การพูดถึงโรคของผู้บริหาร หรือปัญหาสุขภาพของผู้บริหารซึ่งที่จริง ไม่ใช่จำกัดแค่ผู้บริหารองค์กรเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของคนทำงานทุกคน เพราะผู้บริหารในทัศนะของ พญ.ลดาวัลย์ หมายถึง ผู้ที่มีหน้าที่บริหารคนอื่นในสายงานหรือองค์กร และมีผู้บริหารสำหรับดุลยภาพบำบัด มีความหมายกว้าง คือรวมถึงผู้คนทั่วไปทำงานในอาชีพต่างๆ ก็เป็นผู้บริหารพฤติกรรมตัวเอง สามารถเรียนรู้และจัดการให้ตนเองมีสุขภาพที่ดีหรือมีสุขภาพเสื่อมโทรมจากการทำงาน

    ทั้งนี้เพราะ อาชีพการงาน และพฤติกรรมประจำวัน ทั้งสองส่วน จะบ่งบอกว่า โครงสร้างร่างกายของเราเสียสมดุลจากสาเหตุอะไร กล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นคำตอบถึงสาเหตุของทุกข์จากสุขภาพไม่ดีในตัวเอง

    เนื่องจากดุลยภาพบำบัด จะมองร่างกายมนุษย์แบบองค์รวม ดังนั้น โครงสร้างจึงไม่ใช่แค่ กล้ามเนื้อ กระดูก แขนขาเท่านั้น แต่รวมถึงเส้นประสาท หลอดเลือดนับล้านเส้น ที่ร้อยเรียงอยู่ในร่างกายมนุษย์ทุกคน กายภาพเหล่านี้มีกระดูกสันหลังและกระดูกต้นคอต่อกับก้านสมองเชื่อมต่อกับสมองซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการ และจะสัมพันธ์กับการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายที่จะทำงานได้ตามหน้าที่ปกติ หากโครงสร้างร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลหรือผิดปกติหากเสียสมดุล

    พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

    ในกรณีของผู้บริหาร ตลอดจนบุคลากรในองค์กรต่างๆ ทั้งบริษัทธุรกิจ และหน่วยงานรัฐ สิ่งที่ไม่ค่อยแตกต่างกันคือ พฤติกรรมการทำงานในชีวิตประจำวันซ้ำๆ เป็นเวลานานหลายปี เช่น พฤติกรรมการนั่งอยู่กับโต๊ะทำงาน การนั่งประชุม ในแต่ละวันนานๆ แถมบางคนก็นั่งตัวเอียง นั่งตัวพับนานๆ พฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ การวางมือ เกร็งมือ ระยะเวลาของการใช้คอมพิวเตอร์นานๆ

    หรือผู้บริหารที่ ต้องเดินทางบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นในรถยนต์ หรือในเครื่องบิน สภาพร่างกายที่ถูกจำกัดให้ต้องนั่งนอนนิ่งๆ ในที่แคบๆ นานๆ โครงสร้างร่างกายก็ต้องถูกจำกัดไปตามพื้นที่ของที่นั่ง (ส่งผล อาทิ หายใจได้ไม่ทั่วท้อง โลหิตไหลเวียนไม่ดี อวัยวะที่ถูกเบียดทำงานไม่ดี เช่น อวัยวะภายในช่องท้อง) บวกกับพฤติกรรมการกินอาหาร การนอน

    อาชีพการงานกับพฤติกรรมและโครงสร้างร่างกายสัมพันธ์กันอย่างไรนั้น พญ.ลดาวัลย์อธิบายว่า “จากมุมมองของดุลยภาพบำบัดที่มองโครงสร้างร่างกาย ไม่ใช่แค่กล้ามเนื้อ กระดูก แต่รวมถึงหลอดเลือด เส้นประสาท อวัยวะภายใน เชื่อมโยงกับศีรษะ แขนขา อย่างเช่น เวลาที่เรานั่งโต๊ะ และคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ ลองนึกถึงว่าเขาจะนั่งเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือผู้บริหารที่ต้องเดินทางไปประชุมเป็นประจำ ผู้บริหารบางคนต้องนอนบนเครื่องบิน ในช่องสี่เหลี่ยมแคบ หรือผู้ที่อยู่บนรถนั่งตลอดเวลา ทำให้เราไม่สามารถพลิกตัว หรือเดินได้ตลอดเวลา

    ในมุมมองคนทั่วไป โต๊ะก็เหมือนๆ กัน สูงเท่ากัน แต่ความจริง คนที่ใช้สูง ต่ำ ความสูงไม่เท่ากัน โครงสร้างแต่ละคนเหมือนกันไหม วิธีนั่งเหมือนกันไหม กล้ามเนื้อแต่ละคนเหมือนกันไหม แต่ต้องใช้โต๊ะเก้าอี้เหมือนๆ กัน ใช้คอมพิวเตอร์ยกมือระดับไหนเท่ากันไหม และใช้คอมพิวเตอร์ไปเอี้ยวคอคุยโทรศัพท์อีก การหมุนคอ หมุนตัว เกร็ง รั้งเกิดขึ้นตลอดเวลา”

    แน่นอนว่าชีวิตเช้าจรดเย็นกระทั่งค่ำมืดเป็นกิจวัตรซ้ำๆ ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ ในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี และกระทั่งหลายปี เป็นพฤติกรรมที่นั่งอยู่กับที่นานจนชิน จะส่งผลต่อบุคคลแต่ละคนในอาการและระดับต่างๆ กันไป ตามแต่ เงื่อนไข เวลา -อายุ-จุดอ่อนของโครงสร้างร่างกายแต่ละคน ñสภาวะอารมณ์ของคนแต่ละคน

     

    กล้ามเนื้อที่เกร็งต่อเนื่อง ในระยะสั้นจะทำให้การไหลเวียนทั้งระบบไม่ดี ทั้งเลือด เส้นประสาท ระบบน้ำเหลือง ส่งผลคือ การปวดเมื่อยเล็กๆ น้อยๆ ที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือน ไปจนถึงการปวดเมื่อยที่หนักขึ้น หรือถึงขั้นเกิดอาการชาแขน ขา ปวดหลังไหล่บ่า จนถึงต้นคอ ปวดหัว จากการปวดเมื่อยในระดับที่ทนได้ เพราะการปล่อยให้สภาวะเช่นนี้คงอยู่ในระยะยาวจะส่งผลต่อโครงสร้างหลังของร่างกาย คือ กระดูกสันหลังบิดเบี้ยว กล้ามเนื้อที่ใกล้กันจะถูกดึง หรือรั้งตามไปมากขึ้นกว่าเดิม หากยังไม่สังเกตตัวเอง ปรับพฤติ-กรรม และหาทางบำบัดให้ร่างกายคลายตัว อาการเจ็บป่วยเหล่านี้ ก็จะนำไปสู่การเจ็บป่วยที่คิดไม่ถึงและไม่เข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของสุขภาพที่เสื่อมลง

    ผู้บริหารหลายคน จู่ๆ ก็เกิดอาการปวดแขนด้านใดด้านหนึ่งอย่างแรง ปวดลามถึงบ่า ไหล่ จนไม่สามารถยกของ ถือของได้ หรือบางคนจะปวดต้นคอมากจนเอี้ยวตัวหันหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ตามปกติ เมื่อยาแก้ปวด หรือยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้อักเสบที่เป็นแบบแผนเริ่มไม่ได้ผลดี หลายคนต้องมองมาการแพทย์ทางเลือกอื่นๆ และบางส่วนหันมาทดลองดูแลตัวเองตามแนวดุลยภาพบำบัด

    ขณะที่การรักษาของการแพทย์กระแสหลักแบบตะวันตกจะวินิจฉัยและรักษาแบบแยกส่วนแต่ละอวัยวะ และให้ยาเป็นหลักในการรักษา การใช้ยาเป็นเพียงการบำบัดอาการเท่านั้น เหตุคือการเสียสมดุลของโครงสร้างร่างกายทั้งระบบ ส่งผลให้คนไข้เกิดสภาพเจ็บป่วยเรื้อรัง และไม่สามารถทราบสาเหตุต้นตอที่ชัดเจน ปัจจุบันจึงมีโรคใหม่ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปวดหัวเรื้อรัง ภูมิแพ้

    ตัวอย่างโรคฮิตของผู้บริหาร อันที่จริงโรคฮิตของคนไทยยุคทันสมัยด้วย ที่บอกสาเหตุชัดๆ ไม่ได้ และรักษาไม่หายขาด ตัวอย่างเช่น ภูมิแพ้ ปวดศีรษะเรื้อรัง โรคอ้วน พญ.ลดาวัลย์ อธิบายถึงโรคของผู้บริหารและคนออฟฟิศ จากมุมมองดุลยภาพบำบัดว่า “อย่างภูมิแพ้ที่คนเดี๋ยวนี้เป็นกันมากนั้น ความจริงแล้ว ภูมิแพ้ ปวดศีรษะ และโรคเครียด เป็นเรื่องเดียวกันหมด เริ่มต้นจากร่างกายที่สั่งสมปัญหา สภาวะความเครียด วิตกกังวล จะส่งผลให้ร่างกายของคนเราเกิดสภาวะหายใจตื้น ร่างกายได้ออกซิเจนน้อย การถ่ายเท ขับสิ่งสกปรกต่างๆ ขับของเสียจากร่างกายก็จะไม่ดี ทำให้เกิดการติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เมื่อเกิดน้ำมูก ร่างกายก็จะพยายามจาม ไอ เพื่อช่วยขับของเสียเหล่านี้ออกจากร่างกาย

    เมื่อยังไม่ปรับร่างกาย ยังมีพฤติ-กรรมที่เป็นที่มาของความเครียด อาการเหล่านี้ก็จะไม่หายและเรื้อรัง นานเข้าต่อมาเกิดเป็นโรคภูมิแพ้ จากนั้นการขับของเสียที่ไม่ดีในระบบหายใจ ก็อาจจะลามไปเป็นการติดเชื้อในโพรงไซนัส กลายเป็นไซนัสอักเสบ และหลอดลมอักเสบ ลงไปบรอนคัส หรือกระทั่งลงไปที่ปอด กลายเป็นภาวะหอบหืดเรื้อรัง”

    พญ.ลดาวัลย์ยกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเพราะเป็นการป่วยของผู้ที่คนทั่วไปเชื่อว่าน่าดูแลสุขภาพตัวเองได้ดีกว่าประชาชนทั่วไป “หมอคนหนึ่งป่วยเป็นปอดอักเสบ กินยามาแล้ว 1 ชุด แต่ไม่หาย ถ้าตามขั้นตอนตามการรักษาแผนหลัก ก็ต้องเพิ่มยา หรือเปลี่ยนยาเป็นยาปฏิชีวนะตัวใหม่ แต่ตัวคนเป็นหมอที่ป่วยก็รู้ว่าจะมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา พอดีเขามาปรึกษาหมอลดาวัลย์ เลยบอกว่า หมอลองคิดดูว่า ถ้าเป็นปอดอักเสบเพราะสาเหตุจากการติดเชื้อที่ชอบอธิบายกัน กินยาแล้วก็น่าจะหาย แล้วอีกข้อคือ ไม่สงสัยหรือว่าทำไมปอดไม่อักเสบทั้งสองข้างแต่กลับอักเสบข้างเดียว ลองดูว่า ร่างกายเราบิดเบี้ยวอะไรไหม เช็กดูจะพบว่าบรอนคัส (bron-chus) หรือ หลอดลม (ซึ่งมีสองข้างซ้าย-ขวา) เอียงไปข้างหนึ่ง” นี่อาจชี้ให้เห็นถึงผลต่อเนื่องจากการบิดของโครงสร้างร่างกายที่จะส่งผลต่ออวัยวะในช่องอก

     

    มุมมองใหม่ของการบำบัด

    “ปัญหาสุขภาพของนักบริหารมาจากสาเหตุสำคัญสองส่วน คือ พฤติกรรม และความเครียด” พญ.ลดาวัลย์ในฐานะแพทย์ผู้ศึกษาและบุกเบิกแนวทางดูแลและรักษาสุขภาพแบบดุลยภาพบำบัดสรุปและขยายความว่า

    “ในมุมมองของดุลยภาพศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับไหนก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุด เขาต้องเรียนรู้โครงสร้างของเขาเอง เขาต้องดูแลตนเอง ไม่ใช่มองออกนอกตัว เราต้องพึ่งตนเอง ทำยังไงก็ได้ให้พึ่งตัวเอง แต่จะพึ่งตัวเองได้ต้องรู้เรา รู้เขา รู้เราคือ ต้องรู้พฤติกรรมตนเอง อันนี้สรุปแบบง่ายๆ ส่วนรายละเอียดมากกว่านั้น มีหลักคือ 7E บางคนเข้าใจว่าดุลยภาพบำบัด คือ การนวด การฝังเข็ม การนั่งสมาธิ หลักใหญ่คือเราต้องให้คนป่วยเขารู้ตัวเองก่อนว่า ความสมดุลของตัวเราคือ อะไร และความไม่สมดุลคืออะไร ให้เข้าใจสมดุลที่ว่าคือ ความสมดุลร่างกายทั้งระบบและเป็นสมดุลอย่างต่อเนื่อง”

    การจัดการกับความเจ็บป่วยต่างๆ ในมุมของดุลยภาพบำบัด ประกอบด้วยการบำบัดและการฟื้นฟู แต่หลักวิชาสำคัญที่สุดคือ เรา (ทุกคน) ต้องเรียนรู้โครงสร้างตัวเอง และใช้ดูแลตนเองก่อน

    ดังที่ พญ.ลดาวัลย์เกริ่นนำไว้ว่า หากคนไทยจะพึ่งตัวเองได้ “เราต้องรู้เรา รู้เขา”

    รู้เราคือ รู้ร่างกายตัวเอง เรามีอาชีพอะไร ตัวเรามีพฤติกรรมอย่างไร

    รู้เขา คือ รู้จักเครื่องมือ เครื่องจักร รถยนต์ที่เรานั่ง อุปกรณ์ต่างๆ ที่เราใช้ เราทำอะไรมาบ้าง มีพฤติกรรมอย่างไรมาก่อนหน้านี้ การซักประวัติและการสังเกตการณ์จึงมีความสำคัญมากสำหรับดุลยภาพบำบัด ทั้งก่อนเกิดอาการและหลังเกิดอาการต่างๆ เพราะจะทำให้รู้สาเหตุที่แท้จริง

    การให้คนทั่วไปมีความเข้าใจ รู้จักโครงสร้างของคนเรา สังเกตพฤติกรรม สังเกตร่างกายตนเอง และสังเกตปัญหาสุขภาพของตัวเองจากมุมมองดุลยภาพบำบัด จากนั้นจะใช้หลัก 7E เป็นแนวทางในการปฏิบัติเป็นลำดับต่อไป

    อาจเปรียบเทียบได้ว่า หลัก 7E เป็นการไขรหัสสู่สุขภาพที่ดีขึ้นของผู้คนซึ่งจากข้อมูลพบว่ามีบางคนใช้หลักคิด และ 7E เป็นแนวปฏิบัติเพื่อฟื้นฟูสุขภาพอย่างได้ผล

    รหัสหมายเลข 7

    รหัสหมายเลขเจ็ดดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องลี้ลับเหมือนนวนิยายสืบสวนลึกลับแบบนวนิยายดาวินชี โค้ด ทั้งยังไม่ใช่หนวดเต่า เขากระต่ายที่ต้องไปเสาะหาจากดินแดนสุดขอบฟ้า หรือต้องฟังจากปากของกูรูไม่ว่าฝรั่งหรือไทยที่ต้องจ่ายเงินแพงๆ จึงได้วิชามา สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องเรียบง่าย เป็นสิ่งที่เหมือนไกลสุดขอบฟ้า แต่ที่จริงเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตา เป็นความรู้ใกล้ตัวเรานี่เอง เพียงแต่ให้ความสนใจเพียงพอและนำมาเชื่อมโยงกับการดูแลตนเอง

    พญ.ลดาวัลย์จึงย้ำเสมอว่า “คนมักเข้าใจง่ายๆ ว่า ดุลยภาพบำบัด คือ การนวด การฝังเข็ม จริงๆ แล้วดุลยภาพครอบคลุมทั้งหมดของการดำเนินชีวิต และสามารถอธิบายอย่างละเอียดผ่านหลัก 7E”

    รหัสเพื่อนำชีวิตไปสู่สุขภาพที่สมดุล 7E ที่ว่าประกอบด้วย

    1. Education การรู้จักตัวเอง รู้จักโครงสร้างร่างกายของตัวเราเอง ว่าประกอบด้วยส่วนหลัก คือ แกนกลางกระดูกสันหลังซึ่งภายในมีเส้นประสาทร้อยอยู่ไปเสียบปลั๊กเข้ากับก้านสมองที่ต่อจากสมอง กระดูกสันหลังที่เป็นเสาหลักนี้มีระยางแขนขา ยื่นออกมา มีชุดกล้ามเนื้อและเอ็นห่อหุ้มยึดกับกระดูกอย่างแข็งแรงแต่ยืดหยุ่นสูง โดยมีข่ายเส้นเลือด เส้นประสาทแทรกอยู่ทั่วร่างกาย เป็นเส้นทางส่งลำเลียงออกซิเจน และสารอาหาร สารชีวเคมีต่างๆ ไปยังเซลล์และอวัยวะในร่างกายทุกส่วน

    ข้อแรกนี้ คือ การรู้จักโครงสร้างร่างกายตัวเองแบบพื้นฐานของแต่ละคน จึงเป็นรหัสความรู้สำคัญสำหรับคนทุกคน

    2. Equilibrium รู้จักการดำเนินชีวิตอย่างรักษาความสมดุลของร่างกาย และ ไม่สร้างพฤติกรรมเคยชินที่ทำให้เกิดภาวะเสียสมดุลของโครงสร้างร่างกาย ทั้งทางกายภาพ และทางอารมณ์จิตใจ

    3. Exercise การเคลื่อนไหว และการหายใจ เป็นเรื่อง “หญ้าปากคอก” ที่สุด และเป็นเรื่องสำคัญใกล้ตัวที่คนส่วนใหญ่ละเลยไม่สนใจ เพราะคนส่วนใหญ่หายใจไม่เป็นและส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดุลยภาพบำบัดจึงกลับมาให้ความสนใจการหายใจและใส่ใจกับการฝึกการหายใจให้เป็น (Breathing Exercise) เป็นอันดับแรก และถ้ามีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การออกกำลังกายเป็นกิจวัตรก็จะช่วยให้สุขภาพร่างกายดีขึ้น ทั้งการออกกำลังกายยังจะช่วยผ่อนคลายจากการทำงานตลอดสัปดาห์

    พญ.ลดาวัลย์ได้ยกแนวทางปฏิบัติแบบดุลยภาพบำบัดกับธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน อย่างนี้ว่า “ลองเปรียบเทียบกับเด็กทารกที่เพิ่งเกิดมาใหม่ จริงๆ เด็กทุกคนที่เกิดมาต้องร้องก่อนกิน คือ การร้องคืออากาศเข้าไปในร่างกาย ทารกต้องหายใจก่อน ดุลยภาพบำบัดจึงให้ความสำคัญกับการหายใจ คนทั่วไปเราต้องหายใจให้เป็น ต้องหายใจอย่างไร คือหายใจลึก สม่ำเสมอ”

    ขณะที่คนส่วนใหญ่หายใจตื้นๆ จนเป็นธรรมดา “ผู้บริหารทั้งหลายที่เก่งและมีความรู้หลายๆ เรื่องนี่แหละ หายใจกันไม่เป็น ทั้งที่เราหายใจตลอดเวลา ถัดจากหายใจต่อมาก็คือ เด็กต้องเคลื่อนไหว” ดังนั้นปฏิกิริยาธรรมชาติขณะทารกกำเนิด สะท้อนให้เห็นว่าการเคลื่อนไหว และหายใจ มีความสำคัญเพียงใด

     

    4. Eating การกินที่สมดุล คือ เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคนไม่ต้องตามคนอื่น หรือต้องกินตำราเหมือนกันหมดทุกคน สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้จักสังเกตตัวเองในการกินอาหาร และปลูกฝังพฤติกรรมการกินให้เหมาะสมกับตัวเอง (การกินอาหารที่มีประโยชน์ และเข้ากับตัวเรา ให้สมดุลกับตัวเรา)

    “หลักของการกิน คือ กินอย่างไรให้สมดุล เพราะร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิตามิน หรือ เอนไซม์จากผักผลไม้ต่างๆ จะกินยังไงให้เหมาะกับตัวเอง ไม่ใช่ใช้สูตรสำเร็จเดียวกันทั่วโลก และไม่จำเป็นต้องเดินตามตำราเป๊ะๆ แต่สิ่งสำคัญต้องมีการสังเกตตัวเอง”

    5. Excretion การขับถ่าย หมายถึง การขับถ่ายจากทวารทั้ง 5 ปาก ทวาร ที่ออกมาเป็น ขี้หู น้ำลาย น้ำตา และอุจจาระ ปัสสาวะ ทั้งหมดคือ การขับถ่ายของร่างกายที่คอยสังเกตตัวเอง

    เพราะ “การขับของเสียจากร่างกายจะบ่งบอกถึงภาวะสมดุลหรือเสียสมดุล ระบบขับถ่ายมาจากไหน ตา หู จมูก ปาก ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำตา เหล่านี้ก็คือ การขับถ่าย ทำไมจมูก น้ำมูกไหล ไม่เท่ากัน ทำไมบางคน น้ำตาไหลจากตาสองข้างไม่เท่ากัน ทั้งหมดมาจากโครงสร้างร่างกายที่เสียสมดุล ทีนี้ถ้าจมูกไม่ดี ส่งผลระบบทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น ทำให้การขับถ่ายจากปอดก็ไม่ดี เป็นต้น หรือการทำงานของลำไส้ในช่องท้อง ถ้าตัวโครงสร้างกระดูก กล้ามเนื้อเราบิด พื้นที่ในช่องท้องด้านใดด้านหนึ่งแคบลง อวัยวะภายในเบียดกัน ลำไส้ก็จะขับถ่ายไม่ดี บางคนเหงื่อไม่ออก เพราะโครงสร้างเสียสมดุล บางคนก็เหงื่อออกมากไป การขับถ่ายมากไป น้อยไป ดังนั้นถ้าโครงสร้างสมดุล การขับของเสียของเหลวจากจมูก ตา ทั้งสองข้างควรเป็นปกติ”

    6. Emotion ดุลยภาพบำบัด หมายถึง การมีสติ สัมปชัญญะ เพราะสติเป็นตัวคุมอารมณ์ คนเราอารมณ์จะดี หรือเลวขึ้นกับสติ การทำวิจัยพบว่า การคิดดี ทำดี ฮอร์โมนเอนโดฟินหรือสารความสุขซึ่งเป็นสารเคมีที่ดีต่อร่างกายจะผลิตและหลั่งออกมาทั่วร่างผ่านกระแสโลหิตซึ่งจะช่วยให้ระบบอวัยวะต่างๆ ทำงานได้ดี ร่างกายผ่อนคลาย นอกจากนี้การฝังเข็มแบบดุลยภาพบำบัดยังจะช่วยกระตุ้นให้ฮอร์โมนดีหลั่งออกมา

    “E นี้คือ Emotion แต่ดุลยภาพบำบัดเราหมายถึง สตินะ ไม่ใช่อารมณ์เพียงแต่ยืมคำฝรั่งมาใช้เพื่อให้คำสอดคล้องกับ E อื่นๆ  อารมณ์จะดีหรือจะเลวอย่างไร ขึ้นกับว่ามีสติกำกับไหม เมื่อมีสติกำกับอารมณ์แล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา จะเกิดตามมา ศีล คือวินัย ดังนั้นหลักของดุลยภาพบำบัด คือ Self-help จริงๆ ก็คือ อัตตาหิ อัตโนนาโถ คือพึ่งตนเองเป็นหลัก

    “นอกจากนี้ การคิดดียังมีความสำคัญ เพราะมีงานวิจัยที่พบว่าเมื่อเราคิดดี จะทำให้ฮอร์โมนเอนโดฟิน หลั่ง ส่วนการฝังเข็มช่วยกระตุ้นให้สารที่ดีต่อร่างกายหลั่ง ซึ่งดีกว่าสารเอนโดฟิน คือสารไดโนฟีนเอและสารไดโน-ฟีนบี และเราควรรู้ว่าความจริง จะมีเอน-โดฟินหลั่งออกมาแต่ละคนไม่เหมือนกันแม้ออกกำลังกายเหมือนกัน เพราะร่างกายคนเราต่างกัน”

    7. Environment สภาพแวดล้อม นอกจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ดีที่เข้าใจกันทั่วไป แล้ว สภาพแวดล้อมของดุลยภาพบำบัดรวมไปถึง โครงสร้างแวดล้อมตัวเราด้วย เช่น โครงสร้างร่างกายของแม่ ที่จริงก็คือสภาพแวดล้อมของเด็กที่อยู่ในครรภ์ เมื่อแม่บิดตัว ลูกในท้องก็บิดตัวด้วย พฤติ-กรรมของแม่จึงส่งผลต่อโครงสร้างร่างกายของเด็กในท้อง ดังนั้นเด็กทารกแรกเกิดบางคนจึงเกิดมาโดยที่กระดูกสันหลังบิด เป็นต้น

    หลักสภาพแวดล้อมที่ดีเกี่ยวกับสุขภาพผู้บริหารและคนทำงานอย่างไร?

     

    “สำหรับผู้บริหาร สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในการทำงานให้กับตัวเองและลูกน้องได้ ตัวอย่างเช่น การทำงานกับเครื่องจักรในอุตสาหกรรมที่ต้องอยู่ในอิริยาบถซ้ำๆ หรือในพื้นที่แคบเกินไป หรือคนทาสี ที่ต้องแหงนหน้านานๆ เพื่อทาสี (จะมีปัญหากระดูกคอและกล้ามเนื้อ) หรือเด็กนักเรียน ที่ครูหรือผู้บริหารโรงเรียนสั่งให้ใครสอบเสร็จก่อน ให้เด็กนั่งฟุบกับโต๊ะ ซึ่งเป็นท่าทางที่ไม่ดีต่อร่างกาย เพราะเป็นท่าที่กระดูกคอจะถูกบิดกด ตรงนั้นมีเส้นเลือดใหญ่ที่ร้อยในรูกระดูกคอขึ้นไปเลี้ยงสมอง และมีศูนย์ประสาทอยู่ ท่าทางแบบนั้นมันจะกดทั้งหลอดเลือดและศูนย์ประสาทถูกกดด้วย (การกดที่ศูนย์ประสาทจะทำให้เกิดอาการแขนขาไม่มีแรง) เลือดไหลไม่ดี ร่างกายออกอาการ สมองก็จะสั่งการให้หัวใจส่งเลือดไปเลี้ยงโดยด่วน หัวใจก็เลยเต้นแรง ผิดปกติ

    สาเหตุที่แท้จริง เพราะพฤติกรรม หรือท่าทางในชีวิตประจำวันเหล่านี้ที่เราควรรู้และหลีกเลี่ยง ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งแข็ง ตึง หรือการนั่งเอียง เอาคอพิงแทนหลัง ยิ่งเวลานานๆ ส่งผลให้เกิดการเบียดหรือกดทับศูนย์ประสาทและหลอดเลือดทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี และต่อมาจะเกิดอาการแขนขา อ่อนแรง” การสังเกต ท่าทาง พฤติกรรมการนั่ง การนอนของตัวเองจึงช่วยดูแลตัวเองได้มาก

    พญ.ลดาวัลย์ยกตัวอย่างอีกกรณีหนึ่ง “มีรายหนึ่ง ผู้บริหารระดับสูงกลับจากต่างประเทศ รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ทันทีที่เขากลับมา ก็ไปนอนโรงพยาบาลรักษาตัว นอนอยู่สองวันที่คิดว่าร่างกายได้พักผ่อนแล้วคงจะดีขึ้นกลับลุกไม่ไหว วันที่สามสี่ก็ยังไม่ดีขึ้น ถึงขนาดลืมตาไม่ค่อยไหว ลุกไม่ไหว เลยเปลี่ยนมาบำบัดแบบดุลยภาพบำบัด มาแก้ไขอาการ พอหมอซักถามก็พบว่า เดินทางนั่งเครื่องบินนานๆ เขาบอกว่า เมื่อย และเครียด

    เราก็วิเคราะห์สิ เครียดคืออะไร สภาวะเครียด คือ เลือดที่จะไปเลี้ยง รวมทั้งเส้นประสาท ทางเดินน้ำเหลือง ทั้งระบบ เดินไม่สะดวก เพราะมันถูกบิดและกดจากกล้ามเนื้อ (ซึ่งทำงานประสานร่วมกับกระดูกกับเอ็น) ที่เกร็ง แข็งตึง และมีการกดทับศูนย์ประสาทด้วยก็เลยเกิดปัญหา กรณีนี้ สาเหตุเพราะโครงสร้างของเขาเสียสมดุลหลายส่วน ทั้งกระดูก คอ 6-7 ข้อ กระดูกสันหลังข้างล่าง และชุดกล้ามเนื้อที่เกี่ยวเนื่องอีก สรุปคือโครงสร้างร่างกายเสียสมดุลทั้งระบบมานานหลายปี ก็ต้องแก้ไข”

     

    จับสังเกตแบบดุลยภาพบำบัด

    เมื่อคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักสภาพร่างกายตัวเองเพราะไม่เคยมีใครบอกให้รู้ และไม่เคยสังเกตเรื่องสำคัญของตัวเองมาก่อน เป็นต้นว่า ขณะส่องกระจก ลองสังเกตลักษณะหลัง ไหล่ บ่าของตัวเอง ว่าลาดเอียงไปข้างซ้าย ข้างขวาข้างใดข้างหนึ่งหรือเปล่า เอวสองข้างเสมอกันดี หรือมีข้างใด ข้างหนึ่งยกตัวขึ้น หรือสังเกตเมื่อยืนตรง อกผายไหล่ผึ่ง หรือ ไหล่ห่อลู่ และการยืนของตัวเองแอ่นไปด้านหน้า หรือหลังหรือเปล่า จมูกคดหรือไม่ เป็นต้น

     สภาพร่างกายทางกายภาพที่เห็น ประกอบเข้ากับการรู้จักสังเกตอาการเล็กๆ น้อย เช่น ปวดหัว มึนงงบ่อยๆ ว่ามักเกิดขึ้นตอนไหน หลังจากไปทำอะไรมา หรือหลังจากก้มหน้าทำงาน อ่านหนังสือ หรืออยู่ในอากัปกิริยาท่าใดท่าหนึ่งนานๆ หรือมีการปวดเมื่อยบริเวณไหนประจำ หรือปวดต้นคอ ปวดหลัง บ่าไหล่ หรือกล้ามเนื้อลีบเล็กลงบางส่วน เป็นต้น

    เมื่อไม่รู้จักจับสัญญาณเตือนเหล่านี้ จากร่างกายที่พยายามสื่อสารกับเรา คนส่วนใหญ่ก็ไม่ระวังพฤติกรรมการนั่ง การนอน ดังนั้นสำหรับบางคนที่สะสมปัญหาสุขภาพมานาน หรือคนที่อายุมากขึ้น จะมีจังหวะโอกาสที่จะเกิดอาการเด่นชัดอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือเกิดอาการน๊อคแบบกะทันหัน

    หากประมวลจากข้อมูล ผู้ที่ตัดสินใจมารักษาตัวเองตามหลักดุลยภาพบำบัด จะพบว่า ส่วนใหญ่มักจะมาหลังจากรักษาตามแบบการรักษากระแสหลัก (ที่เน้นการใช้ยาและการผ่าตัด) มาก่อนหน้านี้แล้ว คนไข้เลือกรักษาแบบดุลยภาพบำบัดเมื่อร่างกายเกิดอาการที่เป็นปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากบ้าง น้อยบ้าง ส่วนรายที่มีอาการรุนแรงต้องแก้ไขปรับสมดุลร่างกายใหม่ด้วยการฝังเข็มและนวดซึ่งต้องรักษาต่อเนื่อง จึงต้องอาศัยความอดทน

    สำคัญที่สุดคือความเข้าใจและการมีส่วนร่วมจากคนไข้ร่วมด้วยเพื่อจะช่วยกันดูแล เพราะพบว่าหากคนไข้ขยันบริหารกายเพื่อดัดร่างกายให้ค่อยๆ ปรับคืนสภาพใกล้เคียงก็จะเห็นผลเร็ว

    ส่งเสริมสุขภาพดีกว่ารักษา

    ดังนั้นกล่าวได้ว่า ความจริงแล้วการป้องกัน และการส่งเสริมสุขภาพจะทำได้ง่ายกว่า ที่สำคัญเสียค่าใช้จ่ายน้อยหรือแทบไม่มีค่าใช้จ่ายเลย หากแพทย์ดุลยภาพบำบัดมีช่องทางและโอกาสให้คนทั่วไปมีโอกาสรับรู้ศาสตร์ดุลยภาพบำบัด เพราะคนก็จะรู้จักการดูแลตัวเอง ส่งเสริมสุขภาพตัวเองที่ใช้เวลามากในแต่ละวัน ที่จะช่วยไม่ให้ร่างกายเสียสมดุล ป่วยเรื้อรัง จนมีอาการหนัก

    กล่าวได้ว่า “หัวใจ สำคัญของดุลย-ภาพบำบัดคือป้องกัน หมอต้องการรุก ไม่ใช่ตั้งรับ คอยแก้ปัญหาคนป่วยทีละคน”

    พญ.ลดาวัลย์เน้นหลักของดุลยภาพบำบัดที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ แนวทางสุขภาพเชิงรุกไม่ใช่เชิงรับ หมายถึงเน้นที่การป้องกันมากกว่าการรักษา และต้องการส่งเสริมสุขภาพในชีวิตประจำวันของคนในสังคม เพราะความจริงแล้วทุกคนก่อนเกิดอาการจากการเสียสมดุลจนเกิดอาการร้ายแรงนั้น คนทุกคนสามารถเรียนรู้ที่จะดูแลและช่วยตัวเอง ปรับสภาพตัวเองได้ หากเข้าใจ เข้าถึงหลักดุลยภาพ มีความเข้าใจตัวเอง อาชีพและพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของตัวเอง

    คนทั่วไปอาจคิด และสงสัยว่า ถ้าหากโครงสร้างร่างกายเสียสมดุลแล้ว จะบำบัดตามแนวทางดุลยภาพบำบัดอย่างไร และส่งผลดีต่อร่างกายอย่างไร

    ในกรณีโครงสร้างร่างกายเสียสมดุลมาก และถูกละทิ้งมานานจนเกิดอาการรุนแรง เจ็บปวดเรื้อรังหรือไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ตามปกติ เช่น เกิดอาการชา อาการอัม-พฤกษ์ ปวดเมื่อยอย่างรุนแรง ดุลยภาพบำบัดจะมุ่งที่การคลายตัวของกล้ามเนื้อทั้งระดับตื้นและลึก ให้มีการไหลเวียนของระบบโลหิต น้ำเหลือง ของเหลวต่างๆ ในร่างกายและระบบประสาท ต่างๆ คลายการแข็งตึงของกล้ามเนื้อชุดต่างๆ ที่เป็นปัญหาเพื่อปรับโครงสร้างร่างกายทั้งระบบ คืนสู่สภาพสมดุลหรือใกล้เคียงสมดุลให้ได้มากที่สุด และเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา

    วิธีการและขั้นตอนที่แพทย์ดุลยภาพบำบัดจะใช้การนวดเพื่อคลายกล้ามเนื้อระดับตื้น การฝังเข็มใช้กับกล้ามเนื้อระดับลึกกระตุ้นด้วยไฟฟ้าอ่อนๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของกระแสโลหิต น้ำเหลือง ของเหลวต่างๆ ในระบบชีวเคมีของมนุษย์ ไปตามหลอดเลือด และเส้นประสาทต่างๆ ทั้งระบบ

    ถ้าต้องสรุปแบบรวบรัดสักหน่อย พูดง่ายๆ แบบภาษาชาวบ้านเพื่อสร้างความเข้าใจคือ “การให้เลือดลมเดินดี” เกิดการหมุนเวียนได้ทั่วร่าง ทั่วตัว ทุกระบบ อวัยวะ นั่นเอง อาจจะเป็นอุปมาอุปไมยที่เหมาะสม

    สำหรับหน้าที่ของคนไข้แบบดุลยภาพบำบัด หากคนไข้ช่วยเหลือตัวเองด้วยการบริหารร่างกายแบบง่ายๆ ตามคำแนะนำควบคู่ไปด้วยจะทำให้การบำบัดรักษาได้ผลดี เร็วขึ้นซึ่งความใส่ใจของคนไข้เป็นอย่างไร จะเห็นความแตกต่างชัดเจนจากส่วนนี้ จะเห็นผลดีกว่าคนไข้ที่รอคอยการรักษาจากแพทย์เพียงฝ่ายเดียว

     

    การนวด การฝังเข็ม และสมาธิ จึงเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการบำบัดเพื่อปรับโครงสร้างร่างกาย ที่เสียสมดุลและลำพังการบริหารร่างกายของคนไข้ อาจไม่เพียงพอ หมอดุลยภาพบำบัดจะใช้การนวดควบคู่กับการฝังเข็มให้กล้ามเนื้อที่แข็ง ตึง เกร็ง คลายตัวคืนสภาพและการฝังเข็มจะกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบริเวณกล้ามเนื้อที่มีปัญหาเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถฟื้นตัวได้เร็วและดีขึ้น

    หลังร่างกายของคนไข้รับการบำบัดตามนัดหมาย อาจจะเป็นสัปดาห์ละครั้ง หรือ สองครั้ง ตามแต่กรณีและความรุนแรงของแต่ละคน ท้ายสุดเมื่อร่างกายปรับสมดุลได้ดีขึ้น จนอาการเจ็บปวด หรืออาการที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตประจำวันหายไปแล้ว คนไข้จะมีส่วนสำคัญที่จะดูแล บำรุงรักษาร่างกายตัวเองไม่ให้สะสมปัญหาจนเกิดอาการรุนแรง เหมือนกับการบำรุงรักษารถยนต์ที่หากเจ้าของดูแลอย่างดี เป็นประจำ สม่ำเสมอ คอยจับสังเกต ความผิดปกติต่างๆ ก็จะมีสภาพดีเสมอ ใช้งานได้ยาวนาน

    การบริหารที่แท้ คือ การบริหารสุขภาพ

    พญ.ลดาวัลย์ยกกรณีตัวอย่างของคนไข้ที่เข้าใจดุลยภาพบำบัด ดูแลตัวเองได้ดี และยินดีให้เอ่ยถึงเพื่อเป็นกรณีศึกษาและเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆ เช่น ผู้ก่อตั้งบริษัทยูโรเปี้ยนฟูดส์ หรือผู้บริหารบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ได้เข้ามาบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยที่เคยรู้สึกว่า แก้ไขไม่ได้ ไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร จนมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดี เป็นปกติ

    หลายคนเข้าถึงหลักสำคัญที่สุดของดุลยภาพวิถี คือ เปิดโอกาสให้ตัวเองเรียนรู้โครงสร้างร่างกายและการดูแลตัวเองแบบง่ายๆ ผู้บริหารหลายคนกลับไปบริหารร่างกายเป็นประจำทุกวัน เป็นพฤติกรรมใหม่ที่สร้างสมดุลใหม่ให้ร่างกายตัวเอง รู้จักบริหารยืด เหยียด กล้ามเนื้อต่างๆ ที่ใช้ในแต่ละวัน อย่างเป็นกิจวัตร เหมือนเรารับผิดชอบเก็บกวาดขยะ ระบายน้ำทิ้งที่ขังออกทุกวัน ไม่ปล่อยให้สะสมปัญหาหมักหมมไว้จนแก้ไขยาก

    ดังที่ วิเศษ วิศิษฏ์วิญญู ผู้บริหารบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ จบการศึกษาด้านวิศวกรรม ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ที่เขารักษาก่อนหน้านี้ว่า กระดูกคอ ทับเส้นประสาทที่ทำกายภาพบำบัดมาแล้ว และแพทย์บอกว่าหนทางสุดท้ายคือ ผ่าตัด

    แน่นอนเมื่อฟังหลักการดุลยภาพบำบัด และปัญหาสุขภาพจากโครงสร้างร่างกายจนเสียสมดุล และให้ดูตัวเองผ่านเงา สังเกตร่างกายตัวเองในกระจกเงา วิศวกรอย่างเขาเข้าใจการบิดของโครงสร้างได้ดีทีเดียวเพราะมันเหมือนตึกที่โครงสร้างบิดตัวและเห็นว่ามีตรรกะ เหตุผล จึงมารักษาตัวอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการกลับไปบริหารร่างกาย ยืดตัว ยืดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ

    ตอนนี้เขาเป็นคนที่ขยันในการบริหารร่างกายแบบดุลยภาพบำบัด ทั้งก่อนนอนก็ยืดตัว หรือขณะที่นั่งอยู่กับโต๊ะนานๆ ก็จะบริหารนั่งยืดตัว ซึ่งเขามีและใช้สติในการใช้ร่างกาย ในอิริยาบถ การเคลื่อนไหวต่างๆ มากขึ้น ในวันที่พูดคุยเขายังสาธิตท่ากายบริหารแบบง่ายๆ เพื่อปรับสมดุลโครงสร้างร่างกาย ที่เขาเล่าว่า ได้ทำเป็นประจำ และอย่างสม่ำเสมอให้ดูด้วย

    “ผมพอใจกับการบำบัด และการฟื้นฟูตัวเองที่เป็นอยู่ จากเดิมที่ปวดคอ หลังและร่างกายด้านซ้ายทั้งแถบ และแก้มซ้ายจะมีอาการชา ตาด้านซ้ายมีน้ำตาไหลเป็นระยะและต้องคอยซับ ...เราโล่ง ไม่เจ็บ ไม่ชา ไม่ปวดอีกแล้ว แค่นี้ก็ดีใจแล้ว”

    ที่น่าสนใจ และสำคัญกว่านั้น คือ ผู้ที่ผ่านประสบการณ์การบำบัดรักษาดุลยภาพบำบัดหลายคนได้ช่วยเผยแพร่ ความรู้ความเข้าใจดุลยภาพบำบัด ที่เน้นว่าใครๆ ก็เป็นหมอของตัวเองได้ แม้ไม่ใช่แพทย์ ก็สามารถนำศาสตร์ของการป้องกัน และบำบัดด้วยตนเอง เริ่มต้นจากการนำไปบอกเล่า ขยายความรู้ให้กับสมาชิกในครอบครัว บางครอบครัวก็ส่งสมาชิกในบ้านมาอบรมการดูแลสุขภาพตามแนวทางดุลยภาพบำบัด จากนั้นครอบครัวก็เป็นการสื่อสารให้คนรู้จัก ตลอดจนลูกน้องและเพื่อนร่วมงานในที่ทำงานที่กำลังประสบปัญหาสุขภาพจากการทำงานในระดับต่างๆ รับทราบ


    บทความจากนิตยสาร MBA ฉบับเดือนมกราคม 2010 : Toxic Lifestyle 

    เขียน :  ยุทธนา วรุณปิติกุล

  • Managing spiritual for life Managing spiritual for life

    หากเป็นทางการแพทย์แล้ว ซิกมันด์ ฟรอยด์ จิตแพทย์ผู้นำกลุ่มจิตวิเคราะห์เคยกล่าวไว้ว่า ในจิตใต้สำนึกของบุคคลทั่วไปมักมีโครงสร้าง 3 ส่วน

    ประกอบด้วย อิด (Id), อีโก้ (Ego) และซุปเปอร์อีโก้ (Superego) รวมอยู่ในมนุษย์คนเดียวกัน แต่ส่วนที่แข็งแรงที่สุดมักเป็นอีโก้ ซึ่งทำหน้าที่คอยประนีประนอมระหว่างอิดและซุปเปอร์อีโก้ให้แสดงออกตามความเหมาะสมของสถานการณ์ในขณะนั้น เช่น คอยกดอิดมิให้แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมาเมื่อยังไม่ถึงเวลา หรือคอยดึงซุปเปอร์อีโก้ไว้มิให้แสดงพฤติกรรมที่ดีงามจนเกินไปจนตนเองเดือดร้อน นั่นแปลว่าคนที่มีจิตผิดปกติ เช่น เป็นโรคจิต โรคประสาท คือคนที่อีโก้แตก (Break down) ไม่สามารถคุมอิดและซุปเปอร์อีโก้ไว้ได้ ก็มักจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับกาลเทศะและหลักเหตุผล เช่น เกิดอาการคุ้มดีคุ้มร้าย โดยคุ้มดีคือส่วนของซุปเปอร์อีโก้แสดงออกมา คุ้มร้ายคือส่วนของอิดแสดงออกมา ฯลฯ

    หรือหากเป็นในทางศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสถึงความสำคัญของจิต ไว้ต่างๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น ไตรสิกขา (แนวทางการดำเนินกาย วาจา ใจ เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์) อันประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ตลอดจนหลัก อิทธิบาท ๔ (หลักธรรมแห่งความสำเร็จ) หากแต่ที่ MBA จะเน้นกล่าวถึงต่อไปนี้ก็คือ เรื่องของการบริหารจัดการจิตวิญญาณของตัวเราเอง ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์เราเป็นอย่างมาก ในทำนองเดียวกัน หลักธรรมทั้งสองข้อข้างต้นจะสำเร็จสัมฤทธิ์ผลไม่ได้เลย หากไม่มีจิตที่ตั้งมั่นและได้รับการฝึกดีแล้วเป็นส่วนประกอบ

    คิด-พูด-ทำ จิตคือนาย กายคือบ่าว

    แม้ว่าการพูดถึง จิต จะดูเป็นเรื่องน่าเบื่อและทำให้นึกถึงอะไรที่ดูซ้ำและจำเจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจิตมีอิทธิพลอย่างชัดแจ้งต่อความเป็นไปของร่างกายของเรา รวมทั้งยังสามารถกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ให้ทำ หรือไม่ทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างเห็นผลเป็นที่ปรากฏชัดเจน ดังนั้น จิต หรือ จิตวิญญาณ จึงมีผลต่อการดำรงชีวิตของเราในทุกขณะอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง เดิน กิน ยืน หรือแม้แต่ขณะที่เรานอนหลับ

    “ทั้ง สติ จิต และวิญญาณ นั้นเชื่อมโยงกันหมด ซึ่งในที่นี้วิญญาณก็คืออุปนิสัยหรือการที่เราทำอะไรซ้ำๆ นั่นเอง พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาหลายคนอาจจะนึกว่าต้องไปนั่งสมาธิ ต้องไปปฏิบัติธรรมในป่า แต่หมอคิดว่าจิตวิญญาณตัวนี้มันมีความลึกซึ้งมากกว่านั้น จิตนั้นมีตั้งแต่ที่เราอยู่ในครรภ์มารดาเลย ดังนั้นถ้าคนที่เป็นแม่ฝึกฝนจิต และมีพ่อมาช่วยอุ้มชูดูแลประคับประคอง ก็จะมีส่วนช่วยให้เด็กที่เกิดมามีสภาวะจิตที่สมบูรณ์แข็งแรงตามไปด้วย ถ้าเด็กฝึกเรื่อยๆ เขาจะสามารถดำเนินตัวเองให้อยู่ในกฎระเบียบได้” รศ.พญ.ลดาวัลย์ สุวรรณกิติ เลขาธิการมูลนิธิดุลยภาพบำบัดเพื่ออายุและสุขภาพฯ แสดงแนวความคิดเกี่ยวกับจิตไว้อย่างน่าสนใจ

    หากย้อนกลับไปในสมัยก่อน ครอบครัวขยายทำให้ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ฯลฯ นับสิบๆ คน รุมกันเลี้ยงหลานเพียงคนเดียว แต่มาวันนี้ การณ์ได้กลับกลายเป็นว่า พนักงานเนิร์สเซอรี่เพียงหนึ่งคนจำต้องมาดูแลเด็กหลายสิบคนที่แออัดกันอยู่ในเนิร์สเซอรี่ หลายครอบครัวมองหาทางแยกตัวให้ตนเป็นครอบครัวเดี่ยว ขณะที่อีกหลายครอบครัวขาดการบริหารจัดการ ขาดการฝึกสติและอบรมให้สมาชิกอย่างลูกๆ ในครอบครัวดำรงตนอยู่ในศีลธรรมและหลักปฏิบัติอันดีงาม ผู้คนในสังคมกำลังขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจที่เป็นเกราะแข็งแกร่ง อันจะช่วยป้องกันความมืดบอดในใจ ตรงกันข้ามเด็กจึงหันไปยึดและจับต้องสิ่งที่มีสัญญะทางวัตถุและค่านิยมในเชิงมูลค่าแทน

    เรากำลังหลงทาง เราต้องหันมาคิดกันจริงจังได้แล้ว การที่ตีความว่าเรื่องของจิตนั้นคือการภาวนา นั่งปฏิบัติธรรม แต่เมื่อไหร่ที่เราไม่รู้เท่าทันจิตใจเราเองก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเรานั่งนิ่งๆ ฝึกสติให้รู้จักคิดที่จะทำสิ่งดีงาม นี่ก็นับว่าดีแล้ว หลังเกิดวิกฤตต่างๆ มามากมาย แต่เราดำรงชีวิตอยู่ตรงนี้ได้ดีก็เพราะเรายังมีการสมานกัน ร่วมมือร่วมใจกัน ไม่ได้โดดเดี่ยว อย่างล่าสุดที่น้ำท่วม ครอบครัวก็ได้มีโอกาสมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา เราก็จะมีโอกาสได้ฝึกจิตไปด้วย อย่างคิดดี พูดดี ทำดี และให้ความอบอุ่นกับคนในครอบครัว

    ปลูกจิตจากบ้านหลังที่สอง

    นอกจากครอบครัวแล้ว บุคคลที่มีความสำคัญในการฝึกจิตอีกกลุ่มหนึ่งก็คือครู อาจารย์ที่โรงเรียน ซึ่งจำเป็นต้องมี จิตวิญญาณ ของความเป็นครูที่แท้จริงด้วย เพราะถ้าเด็กและเยาวชนขาดสิ่งนี้ ก็เปรียบเหมือนหน่ออ่อนของสังคมที่พวกเขากำลังฟูมฟักอยู่นั้นเจริญเติบโตโดยขาดการดูแลที่ดี ส่งผลให้ลำต้น ใบ ดอก และผลของสังคมที่โตขึ้นมานั้นขาดความสมบูรณ์ตามไปด้วย สังคมก็จะได้รับผลกระทบที่เลวร้ายตามมามากยิ่งขึ้น

    เรื่องการศึกษาก็เช่นกัน มีโรงเรียนทางเลือกเกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่เล็กๆ เด็กก็จะได้ฟังพระสวด บางที่ก็ให้ฟังเพลงไทยเดิม วิทยาศาสตร์ก็สามารถเรียนได้ในวัด คือมันเป็นทางเลือกหนึ่งในการดำรงชีวิตที่เพียบพร้อมบริบูรณ์ คือเราต้องตั้งสติกันใหม่ ทั้งตัวพ่อแม่หรือครูอาจารย์มีความสำคัญมาก หมอเคยเห็นเด็กหิ้วกระเป๋าจนตัวโก่ง เราสงสัยก็เลยถามครู ครูบอกเรามีตารางสอนให้พ่อแม่จัดตามแล้ว เราเลยไปถามพ่อแม่เลยได้ความว่า จัดตารางสอนให้ลูกไปเรียนก็จริง แต่ถึงเวลาครูภาษาไทยคนนี้ไม่มา ครูเลขเลยมาสอนแทน แทนที่เด็กจะได้รับวิชาภาษาไทยในคาบนั้นจะได้เอาการบ้านไปทำ การเรียนรู้มันก็บกพร่องไปแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จริง แต่ถามว่าเรื่องนี้ใครผิด เด็กหรืออย่างไร เราไม่ตั้งสติกันเลย เราไม่เอาข้อมูลมาใช้ สิ่งเล็กๆ นี้คือสิ่งที่เรามองข้ามไป

    นั่นคือต้องมีการประเมินตนเองในหน้าที่ที่เรากำลังรับผิดชอบ ว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นถูกต้องหรือไม่ ครั้นถึงเวลาเมื่อใดก็ตามที่จิตนิ่ง รศ.พญ.ลดาวัลย์เชื่อว่า มนุษย์จะสามารถระลึกอะไรได้อีกมากมายที่ล้วนเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ทั้งความรู้ ประสบการณ์ รวมทั้งกระบวนการแก้ปัญหา

    เมื่อรู้จักปล่อยวาง ก็เหมือนเกียร์ของรถยนต์ที่ว่าง เป็นอิสระจากการบังคับทั้งปวง เราก็จะสามารถพิจารณาอดีต อยู่กับปัจจุบัน และมองไปในอนาคตได้อย่างมีเป้าหมาย

    “ตัวอย่างเช่น อุทกภัยที่เกิดขึ้นเองก็ตาม ถ้าเราเข้าใจ เรียนรู้มัน ตรงไหนเป็นทางน้ำไหลก็ปล่อยมัน อย่าไปขวางทางมัน ตรงไหนท่วมเยอะ ก็ค่อยๆ ถมคันกั้น ขุดบ่อดักไว้ คนเราถ้าตั้งเป้าหมายอยู่ตลอด จิตเราจะพาเราไปอยู่ในที่ถูกที่ควรเอง มีการใช้ความรู้และประสบการณ์ที่สมเหตุสมผล รวมทั้งเราจะรู้เองว่าเราต้องไปหาข้อมูลจากไหน จิตวิญญาณของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่แปลก ความสุขเกิดได้จากปัจจัยหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือเกิดจากจิตที่สบายและฝึกมาดีแล้ว

    นั่นคือการพิจารณาว่า เหตุการณ์นี้เราคิดหรือว่ามันจะเกิด และถ้าเกิดขึ้นแล้ว เราคิดหรือไม่ว่าจะเกิดขึ้นอีก สุดท้ายคือถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว และโชคดีที่ไม่เกิดอีก เราจะถือว่าครั้งนี้เป็นบทเรียนและรับมือกับความทุกข์ในรูปแบบอื่นๆ อีกได้ไหม อันนี้แหละคือสติและจิตวิญญาณที่เราต้องมี แต่เรามักไม่ค่อยฝึกกันเลย เราเลยไม่ค่อยคิดต่อยอด แต่นี่ไงล่ะ มันคือจิตวิญญาณที่เราพูดถึง”

    Spiritual & Health

    ไม่ใช่แค่ขณะที่เรามีความสุขเท่านั้น แต่น่าแปลกอยู่ไม่ใช่น้อยที่เมื่อมนุษย์เราคิดดีและทำดี ร่างกายของเราก็จะหลั่งสารเอนโดรฟินและไคนีนออกมาด้วยเช่นกัน

    สุขภาพของเราเริ่มที่ตัวเราอย่างแท้จริง เพราะการนึกคิดที่ดีของเราจะสร้างสารดีออกมา จึงทำให้ร่างกายได้รับผลดี ภูมิต้านทานจึงดีตามไปด้วย ส่งผลให้สุขภาพเราดี ประการที่สองคือ ต้องกระตุ้นคนรอบข้างให้ฝึกคิดดีด้วย ไม่ใช่เฉพาะตัวเรา เพราะทุกการกระทำถูกสั่งการโดยจิต ถ้าจิตไม่สั่งกายก็ไม่ทำ เมื่อเราเองมีความสามารถพอที่จะฝึกจิตและบังคับตัวเองได้ เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องกระตุ้นเด็กให้ฝึกด้วยตัวเองได้ด้วย สิ่งนี้เป็นการส่งเสริมสุขภาวะที่สำคัญอีกทางหนึ่ง

    ในบทที่ 5 จากหนังสือ New Life by Self-Healing ที่ รศ.พญ.ลดาวัลย์ได้เขียนขึ้นนั้น กล่าวถึงหลักปฏิบัติ 7E ที่จะช่วยสร้างความสมดุลให้ร่างกายและจิตใจ หรือ (The 7E Principles of Equilibropathy) ว่าหลักทั้ง 7 ประการนั้นประกอบไปด้วย Education, Equilibrium, Exercise, Eating, Excretion, Emotion และ Environment ทุกสิ่งเกี่ยวโยงและมีความสัมพันธ์กันอย่างสมดุล

    “เราสนใจในสุขภาวะของคน มันเกิดในพฤติกรรมของคนที่เรามีการสะสมมาความรู้ทั้งระบบ จากนั้นค่อยตกตะกอนออกมาเป็นพฤติกรรมที่เรามุ่งศึกษา ตอนนั้นหมอโดนตีเสียแหลกลาญเลย ว่าแผนจีนก็ไม่ใช่ แผนโบราณก็ไม่ใช่ แผนฝรั่งก็ไม่ใช่อีก มันแผนอะไรก็ไม่รู้หมอก็ไม่สนใจ ก็เข้าห้องสมุด อ่านจนตาแฉะ พรินท์ผลการศึกษาออกมาจากทั่วโลก แบบว่า ใช่ๆๆ เราต้องการตัวนี้ แล้วเด็กคนนี้ต้องมาเป็นโรคแบบนี้เพราะอะไร ตอนนั้นไม่เข้าใจเลย แต่เมื่อเราสงสัยหนักขึ้นก็ค้น มันค่อยๆ ลึกลงๆ อ๋อ มันเป็นเช่นนั้นเอง พุทธศาสนาเรียกว่า อิทัปปัจจยตา นั่นคือทุกอย่างเกี่ยวโยงกันหมด และเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน ถ้าตัวเราไม่ตั้งเป้า ตัวเราไม่ยึดมั่น มันสำเร็จไม่ได้ มันซึมซับโดยเราไม่รู้ตัว สิ่งนี้มากกว่าการเรียนรู้ในโรงเรียน”

    รูปร่าง ลักษณะ และนิสัยใจคอของคนเราไม่เหมือนกันฉันใด จิตวิญญาณก็ไม่เหมือนกันฉันนั้น การมีสติเพื่อที่จะสามารถรู้เท่าทันสติของตนเองจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น มนุษย์ทุกคนมีสติเป็นของตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้จักสติของเราเท่ากับตัวของเราเอง เมื่อใดก็ตามที่เรามีสติ และสามารถบังคับให้เป็นไปในทางที่ดีที่ชอบได้อย่างราบรื่นบริบูรณ์ เมื่อนั้นเราก็จะมีสุขภาวะที่ดีและสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข

    “หมอว่าสุขภาวะอยู่ในมือของเรา ทุกคนมีสิทธิ์ทำให้สุขภาวะของตัวเองดีได้ ทุกคนทำให้สุขภาวะของตัวเองเลวได้” รศ.พญ.ลดาวัลย์กล่าวทิ้งท้าย

    พระธาตุเกตุแก้วจุฬามณี วัดใหม่เมืองสวรรค์

    วัดใหม่เมืองสวรรค์ เป็นวัดที่รศ.พญ.ลดาวัลย์และคณะได้ร่วมกันเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสมทบทุนเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุเกตุแก้วจุฬามณี พร้อมกับความร่วมมือและแรงศรัทธาของบรรดาผู้นำชุมชนและชาวบ้านในละแวกวัดใหม่เมืองสวรรค์ เนื่องจากมีความทรุดโทรมและเริ่มผุพังลงตามกาลเวลาและจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว รวมทั้งการใช้วัสดุในการสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งหลังจากบูรณะใหม่แล้วก็มีความสวยงามมากขึ้น โดยมีปูนปั้นแสดงปีนักษัตรทั้ง 12 ประดับอยู่รายล้อมฐานขององค์พระธาตุด้วย


    เรื่อง บทความจากนิตยสาร MBA ฉบับเดือนมกราคม 2555 

    ภาพ กองบรรณาธิการ

  • จากเศษเหล็กสู่ธุรกิจพันล้าน จากเศษเหล็กสู่ธุรกิจพันล้าน

    บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) (FPI) เติบโตมาจากธุรกิจการค้าอะไหล่รถยนต์เก่าที่มีราคาแต่ละชิ้นหลักพันหรือหลักหมื่นบาท มาถึงทุกวันนี้

    สามารถก้าวเข้าสู่ระดับสากลที่มีมูลค่าธุรกิจนับพันล้าน ผ่านแนวคิดและการวางกลยุทธ์ของ สมพล ธนาดำรงศักดิ์ บวกกับการสนับสนุนจากครอบครัว ทำให้ธุรกิจเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว

    จากความมุ่งมั่นของเด็กวัย 10 ขวบ กับการเริ่มต้นธุรกิจครอบครัว แล้วผันตัวเองเข้าสู่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ผลิตจากพลาสติก และผู้จำหน่ายอะไหล่รถยนต์โดยมีฐานะลูกค้ากระจายอยู่ 115 ประเทศทั่วโลก ความสำเร็จแบบนี้มาจากฝีมือล้วนๆ

    สมพล ธนาดำรงศักดิ์ ลูกชายคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 9 คนของครอบครัวธนาดำรงศักดิ์ เขาเติบโตขึ้นท่ามกลางอะไหล่รถยนต์ เศษเหล็กเก่าๆ ในเชียงกง ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว ที่นำเข้าอะไหล่รถยนต์เก่าจากญี่ปุ่นมาขาย เมื่อ 39 ปีที่ผ่านมา

    สมพล เข้าสู่วงการซื้อขายอะไหล่รถยนต์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ โดยใช้เวลาช่วงปิดเทอมเดินทางไปญี่ปุ่นกับพี่ชาย เพื่อหาอะไหล่รถยนต์เข้ามาขาย ทำให้เขาเข้าใจและรู้จักอะไหล่รถยนต์อย่างลึกซึ้ง เพราะ จะต้องรู้ว่าควรจะนำอะไหล่แบบไหนอะไรมาขาย เนื่องจากเชียงกงขายอะไหล่เป็นเศษเหล็ก  ดังนั้น ต้องแปลงเศษเหล็กให้เป็นเงิน

    “ผมว่าการจะทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นธุรกิจที่เรารัก รักในสิ่งที่ทำ จะทำงานไม่เหนื่อย แต่ถ้าธุรกิจไหนที่ทำแล้ว ถึงแม้จะได้เงินแต่ไม่ชอบ จะไม่มีความยั่งยืน ซึ่งความคิดแบบนี้ติดตัวผมมาตั้งแต่เด็กกับธุรกิจขายอะไหล่ คือ ผมไม่ต้องการเงิน แต่เป็นธุรกิจที่ผมชอบ” สมพล เล่า

    นอกจากขายอะไหล่รถยนต์แล้ว ครอบครัวธนาดำรงศักดิ์ ยังขยายธุรกิจติดตั้งถังแก๊สรถยนต์ ปั๊มแก๊ส รวมไปถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยมีพี่ๆ เป็นผู้ดูแล

    ครอบครัวธนาดำรงศักดิ์ ทำธุรกิจนำเข้าอะไหล่รถยนต์เก่าจากญี่ปุ่นมาขายอยู่หลายปี ก็เริ่มมีแนวคิดในการผันเข้าสู่ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เนื่องมาจากว่าธุรกิจขายอะไหล่ในเชียงกงเริ่มซบเซา ประกอบกับญี่ปุ่นเริ่มไม่ผลิตอะไหล่รถยนต์แล้ว แต่ถ้ามองถึงความต้องการอะไหล่รถยนต์เก่าๆ ในเมืองไทย ยังมีสูงมาก

    ขณะที่สถานการณ์ธุรกิจเชียงกงเริ่มไม่เป็นใจ อะไหล่รถยนต์จากไต้หวัน เริ่มเข้ามาตีตลาดไทยแทนอะไหล่จากญี่ปุ่น แถมมีราคาถูกกว่าประมาณ 60% ครอบครัวธนาดำรงศักดิ์ จึงมองว่าน่าจะใช้โอกาสนี้ในการเป็นผู้ผลิตอะไหล่รถยนต์

    “ขนาดไปซื้อของเก่าๆ บุบๆ พังๆ มาขายยังขายได้ ถ้าผลิตเองก็น่าจะขายได้ดีเหมือนกัน” สมพล รำลึกความหลัง และในฐานะที่เขาชอบและรู้จักอะไหล่รถยนต์ ทุกคนในครอบครัวจึงตัดสินใจให้เป็นตัวตั้งตัวตีในการดำเนินการ

    ล้มไม่เป็นท่า 

    ปี พ.ศ. 2534 สมพลเริ่มต้นด้วยเงิน 10 ล้านบาท นำเข้าแม่พิมพ์ 2 ตัวจากไต้หวัน แล้วไปจ้างโรงงานอื่นผลิตเป็นอะไหล่รถยนต์ที่ทำจากพลาสติก แล้วทดลองทำตลาดในประเทศไทย

    สมพลมองว่า ธุรกิจน่าจะไปได้สวย จึงตัดสินใจเดินหน้าเต็มตัว ด้วยการขอเงินจากทางบ้านอีก 10 ล้านบาท เพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทหน้ากระจัง กันชน และชิ้นส่วนรถยนต์อื่นด้วยพลาสติก ในชื่อ บริษัท ฟอร์จูนพาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด แล้วไปซื้อแม่พิมพ์ 20 รุ่น จาก บริษัท โปรฟอร์จูน อินดัสตรี้ จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไต้หวัน ขณะเดียวกัน ทั้งคู่ก็จับมือเป็นพันธมิตรกัน ด้วยการลงขันกันฝ่ายละ 20 ล้านบาท   

    ถึงแม้ว่า ครอบครัวธนาดำรงศักดิ์ จะประสบความสำเร็จอย่างมากกับการนำอะไหล่รถยนต์เข้ามาขาย แต่เมื่อผันตัวเองมาเป็นผู้ผลิตเอง กลับประสบความล้มเหลว เพราะ 4 ปีแรกที่ทำธุรกิจ ประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง

    สมพลวิเคราะห์ถึงความล้มเหลว พบว่าปัจจัยสำคัญเกิดจากไม่มีความรู้ด้านการผลิต ทำให้เสียน้ำยา ชุบไปมาก เป็นการลองผิดลองถูก ทำให้ต้องไปนั่งเรียนเคมีใหม่และจ้างวิศวเคมีเข้ามาเพื่อหาสูตร ถึงแม้จะเชี่ยวชาญด้านการตลาดในประเทศก็ตาม แต่สำหรับตลาดต่างประเทศแล้วกลับมืดบอด แถมพันธมิตรไต้หวันไม่ได้ช่วยเหลือด้านการตลาดเลย ที่สำคัญสินค้าที่ผลิตได้ไม่มีความหลากหลาย

    “ช่วงเริ่มต้นธุรกิจ มีแม่พิมพ์แค่ 20 รุ่น ซึ่งการที่จะขายสินค้าแค่ 20 โมเดล ทั้งปีก็ได้แค่ 10 กว่าล้านบาท ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น นอกจากพวกเราจะไม่มีประสบการณ์แล้ว เวลาลูกค้าจะซื้อสินค้าจะสั่งออเดอร์เป็นร้อยๆ โมเดล จึงมองว่า ถ้าทำธุรกิจนี้แล้วไม่ครบวงจร จะไปต่อไม่ได้” สมพล เล่า

    จบปี พ.ศ.  2537 ฟอร์จูนพาร์ท ขาดทุนประมาณ 40 ล้านบาท     

    ช่วงปี พ.ศ.  2538 ครอบครัวธนาดำรงศักดิ์ นั่งคุยกันอย่างเคร่งเครียดว่าจะเดินต่อไปหรือจะปิดโรงงาน เพราะตลอด 4 ปีที่ดำเนินธุรกิจ สมพลใช้เงินครอบครัวไปแล้ว 40 ล้านบาท แต่ทุกอย่างลอยไปกับสายลม ผลสรุปออกมา สมพลขอเงินครอบครัวอีก 10 ล้านบาท เพื่อมาต่อลมหายใจธุรกิจอีกครั้ง

    “คุณพ่อถามผมว่า จะขายบริษัทหรือทำต่อ ผมก็บอกคุณพ่อว่า ธุรกิจที่ทำอยู่เปรียบเสมือนลูกชายคนโต  ดังนั้น จะดีหรือไม่ดีบริษัทยังเป็นลูกของเราอยู่ จึงขอทำต่อ คุณพ่อจึงให้เงินมาอีก 10 ล้านบาท แล้วบอกว่า ล้มแล้วก็ทำใหม่ได้” สมพล รำลึกความหลัง

    สมพล ปรับกลยุทธ์จากเงิน 10 ล้านบาทก้อนล่าสุดที่ได้มา ด้วยการทำแม่พิมพ์เป็นของตัวเอง โดยใช้เทคโนโลยีจากพันธมิตรไต้หวัน เพื่อเพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลายขึ้น ประกอบกับทำตลาดต่างประเทศด้วยตัวเอง

    ปลายปี พ.ศ. 2538 สมพลไปเปิดตลาดต่างประเทศครั้งแรกที่ไต้หวัน และได้รู้จักกับคู่ค้าในอีกหลายประเทศโดยเฉพาะตะวันออกกลาง จากนั้นก็บินไปเปิดตลาดแถวจอร์แดน อียิปต์ ดูไบ ซีเรีย “เหตุผลที่ไปหาตลาดแถบตะวันออกกลาง เพราะว่ามีการใช้รถปิกอัพเยอะมาก และแม่พิมพ์ชุดแรกก็ผลิตใช้กับรถปิกอัพทั้งหมด  ดังนั้น ถ้าจะขายสินค้าให้ได้ก็ต้องไปหาลูกค้าแถบตะวันออกกลาง หรือไม่ก็แอฟริกา” สมพล เล่า

    กลุ่มลูกค้ารายแรก คือ ผลิตชิ้นส่วนให้กับรถกระบะโตโยต้า “ไมตี้” ซึ่งสมพลได้นำมาใช้ตั้งชื่อลูกชายคนแรกด้วย และปี พ.ศ. 2539 ทำให้พลิกชีวิตโรงงานเป็นการลงทุนแม่พิมพ์เพื่อผลิตให้กับ “ไมตี้” ประมาณ 1.5 ล้านบาท ใช้เวลา 3 เดือนคืนทุนทั้งหมด เนื่องจากได้ลูกค้าจากสั่งสินค้า 3,000 ชุด และถือเป็นจุดเปลี่ยนและทำให้รู้ว่าตลาดต่างประเทศ คือ หัวใจสำคัญ

    สมพลเริ่มเห็นภาพตลาดจึงบุกตลาดแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาทันที พร้อมๆ กับลงทุนเพิ่มแม่พิมพ์อย่างต่อเนื่อง “ผมไปเจอตลาดแอลจีเรียกับอิหร่าน ปีเดียวขายสินค้าได้ 20,000 ตัว ทำให้ภาพธุรกิจเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือทันที”

    สมพลมั่นใจกับอนาคตของฟอร์จูนพาร์ท ตัดสินใจขอเงินทางบ้านอีก 10 ล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนแม่พิมพ์ ผลิตชิ้นส่วนให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ แล้วเปิดตลาดใหม่ๆ แต่ยังคงมุ่งเน้นประเทศแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาเป็นหลัก

    วิกฤติเศรษฐกิจ มีดีและร้าย

    2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 รัฐบาลไทยประกาศลดค่าเงินบาท ทำให้ฟอร์จูนพาร์ท ได้รับผลกระทบจากการมีหนี้ 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งกู้มาเพื่อขยายธุรกิจ “ผมกู้เป็นดอลล่าร์สหรัฐ เพราะต้นทุนทางการเงินต่ำมาก แค่ 2% ถ้ากู้เป็นสกุลบาทจะเจอดอกเบี้ย 8-9%” สมพลบอกถึงเหตุผลที่ไปกู้เงินเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐ

    ตอนสมพล กู้เงินมาคิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 25 บาทต่อดอลล่าร์ หรือมีหนี้ประมาณ 62.5 ล้านบาท แต่หลังลดค่าเงินบาท เขาต้องแบกหนี้ราวๆ 130 ล้านบาท “เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะตอนปี พ.ศ. 2540 มียอดขายแค่ 100 กว่าล้านบาท เมื่อเจอภาระหนี้ก้อนนี้เข้าไป แถมยังมีหนี้กับทางบ้านอีก ธุรกิจเริ่มมีปัญหา”

    สมพลต้องเข้าไปเจรจาต่อรองกับธนาคารพาณิชย์เพื่อขอยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไป โชคดีเจ้าหนี้ยอมให้ยืดการคืนหนี้ออกไปได้

    ขณะที่กำลังเผชิญกับวิกฤติหนี้ท่วมบริษัท สมพลกลับมีความสุข เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เพราะขายสินค้าเป็นสกุลดอลล่าร์ “บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่าหนี้ที่มีอยู่ ผมจึงนำไปจ่ายหนี้ได้หมดภายในปี พ.ศ. 2541” สมพล บอก    

    บทเรียนจากวิกฤติเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 ทำให้สมพลเข้าใจว่า ถึงแม้ตัวเองจะเรียนจบด้านการเงินมา และเวลาวางกลยุทธ์ทางธุรกิจก็ให้ความสำคัญกับเรื่องเงินๆ ทองๆ อย่างมาก แต่เมื่อนำเอาแผนการวางเอาไว้ไปปฏิบัติใช้จริงกลับคนละเรื่อง

    “ในโลกความจริงแล้วมีปัจจัยต่างๆ เข้ามากระทบต่อการดำเนินธุรกิจตลอดเวลา อย่างเช่น กู้เงิน 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจก็ต้องดิ้นรนแก้ปัญหา” สมพล เล่า

    หนูทดลองเข้าตลาด

    แม้สมพลจะจบด้านการเงิน แต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ ยังไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาเลย เนื่องจากธุรกิจยังมีขนาดเล็ก ยอดขายยังระดับร้อยล้านบาท ที่สำคัญยังเข็ดขยาดกับการเป็นหนี้

    อย่างไรก็ตาม ถึงสมพลจะใช้กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจค่อนข้างระมัดระวัง แต่ยอดขายกลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการสินค้าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2548 เขาตัดสินใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

    เหตุผลที่ต้องนำบริษัทเข้าจดทะเบียน เนื่องจากว่าสมพลและครอบครัวมองว่า คู่แข่งของฟอร์จูนพาร์ท ล้วนแล้วแต่เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการชิ้นส่วนรถยนต์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ “ถ้ายังใช้เงินทุนส่วนตัว และต้องการขยายธุรกิจเพื่อเติบโต อาจจะไม่ยั่งยืน” สมพล เล่า

    ประกอบกับธุรกิจของครอบครัวมีหลายบริษัท จึงตกลงกันว่า ควรให้ธุรกิจที่มีขนาดเล็กที่สุดเข้าตลาดหลักทรัพย์ อีกทั้งธุรกิจของพี่น้องคนอื่นๆ ยังไม่กล้าเข้าตลาด ทำให้ฟอร์จูนพาร์ทกลายเป็นหนูทดลองในการเข้าตลาดหลักทรัพย์

    “เมื่อเข้าตลาดแล้ว พี่ๆ แซวผมว่า ฟอร์จูนพาร์ท รวยสุดในบรรดาธุรกิจของครอบครัว” สมพล เล่าติดตลก

    เมื่อตัดสินใจแบบนี้ สมพลเริ่มวางแผนเกี่ยวกับอนาคตของธุรกิจ ด้วยการลงทุนครั้งใหญ่ ใช้เงินเกือบ 500 ล้านบาท เป็นการกู้จากธนาคารพาณิชย์ 300 กว่าล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินทุนส่วนตัว เพื่อเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้ทันสมัย เป็นหุ่นยนต์แทนแรงงานคน เพื่อเพิ่มคุณภาพสินค้า และสร้างโรงงานแห่งใหม่ ขณะเดียวกันได้จ้างที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้ตรวจสอบบัญชี เพื่อเข้ามาวางโครงสร้างองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

    ขณะที่อยู่ในกระบวนปรับปรุงเครื่องจักรและสร้างโรงงาน ฟอร์จูนพาร์ทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 30% ทำให้ปรับตัวไม่ทัน เนื่องจากยอดขายหล่นฮวบลงอย่างรวดเร็ว เพราะรายได้ส่วนใหญ่เป็นสกุลดอลล่าร์สหรัฐ ขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น ทำให้ปี พ.ศ. 2548 ขาดทุนเกือบ 60 ล้านบาท

    “เมื่อธุรกิจขาดทุน เลยต้องเลื่อนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ออกไป  ทั้งๆ ที่เตรียมความพร้อมทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว” สมพล เล่า

    ฟอร์จูนพาร์ทขาดทุนปีเดียว จากนั้นก็กลับมาสร้างผลกำไรได้อีกครั้ง แต่กว่าจะจ่ายหนี้ก้อนที่กู้มาครั้งล่าสุดหมดต้องใช้เวลา 3 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ. 2553 แนวคิดการเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็กลับมาอีกครั้ง “เมื่อบริษัทไม่มีปัญหาทางด้านการเงินแล้ว จึงมองว่าน่าจะมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่ทำให้ธุรกิจเติบโตต่อไป ซึ่งการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสม” สมพล กล่าว

    ประกอบกับช่วงนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังขยายตัวอย่างมาก ซึ่งฟอร์จูนพาร์ทได้รับประโยชน์โดยตรง ส่งผลให้ยอดขายวิ่งไประดับ 500 ล้านบาทแล้ว “โอกาสมา แต่ไม่มีเงินก็ทำธุรกิจต่อไปไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีแหล่งเงินทุน ถ้าโอกาสมาก็พร้อมจะลุย”

    20 กันยายน พ.ศ. 2555 ฟอร์จูนพาร์ทซื้อขายวันแรก

    สมพลบอกว่า ในช่วงแรกๆ ที่เตรียมตัวเข้าตลาดรู้สึกอึดอัดกับความเข้มงวดของกฎเกณฑ์ของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์อยู่บ้าง เช่น ในอดีตเวลาซื้อวัตถุดิบบางอย่าง ก็จะซื้อกับธุรกิจญาติพี่น้องตัวเอง แต่เมื่อจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็ต้องเขียนรายงานถึงเหตุผลเรื่องการสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทใกล้ชิด รวมถึงต้องหาราคาเปรียบเทียบ

    หรือแม้กระทั่งเรื่องบัญชี ในอดีตแทบจะไม่รู้เลยว่าปิดงบบัญชีไปแล้วกำไรเป็นเท่าไหร่ แต่เมื่อเป็นบริษัทมหาชนแล้ว จะมีระบบคอยตรวจสอบการทำงานตลอดเวลา ทำให้การทำงานโปร่งใสขึ้น ซึ่งระบบต่างๆ ที่ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์คอยตรวจสอบ ทำให้การดำเนินธุรกิจมีความโปร่งใส

    “ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ ถึงแม้จะมีกฎระเบียบเข้มงวด แต่ทำให้การบริหารจัดการมีความเป็นสากล และการดำเนินธุรกิจมีความยั่งยืน” สมพล เล่า “ถ้าไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ พวกเราคงไม่ได้เห็นและไม่ทำ ถึงแม้จะเป็นระบบที่ยุ่งยากแต่ก็เป็นระบบที่ดี เช่น ระบบบัญชีที่เข้ามาตรวจทุกขั้นตอน การบริหารความเสี่ยง การไปอบรมด้านจรรยาบรรณ ความโปร่งใส ซึ่งผมมองว่าเป็นประโยชน์ ซึ่งไม่สามารถหาซื้อด้วยเงินได้”

    นอกจากนี้ การเข้าตลาดหลักทรัพย์ทำให้บริษัทชื่อเสียง ทำให้คู่ค้า ลูกค้าให้ความไว้วางใจต่อการทำงาน เช่นเดียวกับพนักงานมีแรงจูงใจในการทำงาน จากผลตอบแทนที่ได้มาตรฐานสูงขึ้น ที่สำคัญทำให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลง และสามารถเจรจาต่อรองกับธนาคารพาณิชย์ได้ดีขึ้น

    จากฐานทุนของบริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้นหลังจากเข้าตลาดทรัพย์ และทำให้มีช่องทางหรือทางเลือกในการระดมเงินทุนมากขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อการขยายธุรกิจในอนาคตทั้งสิ้น ล่าสุดฟอร์จูนพาร์ท ออกหุ้นกู้แปลงสภาพแบบเฉพาะเจาะจงจำนวนไม่เกิน 10 ล้านดอลล่าร์สิงคโปร์ ให้กับ Advance Opportunities Fund (AO Fund)

    “ผมมองว่า ถ้าได้พันธมิตรจากต่างประเทศก็จะเป็นการกระจายความเสี่ยง อีกทั้งทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ”  

    ฟอร์จูนพาร์ท ถือเป็นบริษัทแรกของประเทศไทยและรายแรกของจังหวัดปทุมธานี ที่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายใต้โครงการ “หุ้นใหม่ ความภูมิใจของจังหวัด” ซึ่งเป็นโครงการ ของ ก.ล.ต.

    “ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของบริษัท และรางวัลเกียรติยศนี้น่าจะเป็นดัชนีที่สะท้อนในเห็นถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทได้ในระดับหนึ่ง ที่สำคัญการเข้าไปโครงการนี้ จะได้สิทธิประโยชน์ในการเข้าตลาดมากมาย”

    สมพลปิดท้ายด้วยคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจเข้าตลาดหลักทรัพย์ว่า ก่อนอื่นต้องมองธุรกิจตนเองว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร คู่แข่งเป็นใคร จะเจาะตลาดอย่างไร “เพราะการเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างเช่น เมื่อตลาดอาเซียนเปิดออกมา จะทำให้เปิดกว้างในการทำธุรกิจอย่างมาก ถ้าเข้าจดทะเบียน อย่างน้อยๆ ทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส ระบบการบริหารจัดการมีมาตรฐาน และถ้าได้กินส่วนแบ่งตลาดแค่ในอาเซียน ก็ทำให้เติบโตอย่างมาก”

    ดังนั้น ถ้าผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ต้องการตลาด การแข่งขันระดับต่างประเทศ การเข้าตลาดหลักทรัพย์นับเป็นช่องทางในการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในระยะยาวได้


    เรื่อง / ภาพ : กองบรรณาธิการ

    -----------------------------
    หนังสือ หุ้นใหม่ ความภูมิใจของจังหวัด

X

Right Click

No right click