มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตอกย้ำบทบาทของการเป็นสะพานบุญแห่ง ‘การให้’ สานต่อภารกิจเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโรงพยาบาลรามาธิบดี เดินหน้าโครงการใหม่ “รามา+1 เพิ่มพื้นที่ บวกความหวัง” ชวนคนไทยร่วมส่งพลังบวก 1 เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับผู้ป่วยและขยายศักยภาพการรักษา พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่จากเรื่องราวของ “ความหวัง” เดินหน้าระดมทุนให้แก่โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี เพื่อเพิ่มพื้นที่และยกระดับศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนชาวไทย พร้อมผลักดันระบบสาธารณสุขไทยให้เท่าทันสภาวการณ์แห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล

ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์’ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า “เกือบ 60 ปีที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีเปิดให้บริการในฐานะโรงพยาบาลที่เปรียบเสมือน ‘ที่พึ่ง’ ของคนไทย พร้อมบทบาทด้านการผลิตบุคลากรทางการแพทย์เข้าสู่ระบบสาธารณสุข และด้านการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ทางการแพทย์เพื่อการรักษา โดยครอบคลุมทั้งงานวิจัยขั้นพื้นฐานด้านการหาตัวยาใหม่เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพและเพิ่มการเข้าถึงตัวยาได้มากขึ้น ไปจนถึงการคิดค้นแนวทางการรักษารูปแบบใหม่สู่การเป็นต้นแบบของการรักษาโดยเฉพาะการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ถือเป็นโครงการที่ไม่เพียงเพิ่มพื้นที่ในการรักษาที่รองรับนวัตกรรมทางการแพทย์ล้ำสมัยเท่านั้น แต่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและสนับสนุนพันธกิจของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีอย่างครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อผลักดันระบบการแพทย์ไทยให้ก้าวหน้าต่อไป”

 

รศ.นพ.ชูศักดิ์ กิจคุณาเสถียร รองคณบดีฝ่ายนโยบายและแผน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวเสริมว่า “โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี จะเอื้อประโยชน์ต่อการบูรณาการและสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพเพื่อผลักดันการสร้างสรรค์และต่อยอดนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สามารถเพิ่มศักยภาพทางการรักษาต่อไปในอนาคต โดยจะมีการนำนวัตกรรมทางการแพทย์หลากหลายประเภทเข้ามาให้บริการทางการแพทย์รวมถึงพัฒนาด้านระบบภายในโรงพยาบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการแพทย์ที่ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีดิจิทัลในการบันทึกข้อมูลของผู้ป่วยและการจัดการข้อมูลทางการแพทย์ เครื่องมือช่วยในการรักษาทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial intelligence) เช่น การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเพื่อช่วยลดระยะเวลาการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ลงและลดระยะเวลาของการพักฟื้นของผู้ป่วย รวมถึงลดอาการบาดเจ็บและลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัด นอกจากนี้ โรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งใหม่ยังให้ความสำคัญกับการลดระยะเวลาในการรอรับบริการของผู้ป่วย เช่น การใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการจ่ายยา”

คุณพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า “มูลนิธิรามาธิบดีฯ เดินหน้าผลักดันความก้าวหน้าทางการแพทย์ควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสให้ประชาชนไทยสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึง พร้อมเปิดตัวโครงการ “รามา+1 เพิ่มพื้นที่ บวกความหวัง” และภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่จากเรื่องราวของ “ความหวัง” เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการช่วยระดมทุนให้แก่โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญในปีนี้และอย่างน้อยอีก 7 ปีข้างหน้า การสื่อสารภายใต้โครงการ “รามา+1 เพิ่ม

พื้นที่ บวกความหวัง” สะท้อนให้เห็นว่า มูลนิธิรามาธิบดีฯ นั้นตระหนักถึงพลังของการให้ และขอบคุณทุกน้ำใจที่ส่งต่อความช่วยเหลือและสร้างความหวังร่วมกันมาโดยตลอด จึงขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมเป็นพลังบวกหนึ่งในการสร้างโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ซึ่งอาคารแห่งนี้จะดูแลผู้ป่วยที่ใช้สิทธิรักษาเบิกจ่ายประกันสังคม และสิทธิพื้นฐานต่าง ๆ”

ภายในงานแถลงข่าว ฐิสา-วริฏฐิสา ลิ้มธรรมมหิศร ตัวแทนนักแสดงจิตอาสาร่วมแบ่งปันมุมมองในเรื่อง “ความหวัง” พร้อมเชิญชวนแฟนคลับร่วมซื้อเสื้อยืดสุขใจ เพื่อระดมทุนเข้าโครงการฯ และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีในอนาคตร่วมกัน พร้อมด้วยการเปิดตัวกิจกรรม “#A4SpaceChallenge” ชวนทำคอนเทนต์ที่สะท้อนถึงพื้นที่ที่มีอยู่จำกัดในอาคารเก่าและแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นการก่อสร้างอาคารใหม่ของโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยวิธีการเล่นคือ จับกลุ่ม 4 คนมายืนด้วยกันบนกระดาษ A4 ให้ครบ 10 วินาที และร่วมกันท้าต่อเพื่อน ๆ ให้เล่นชาเลนจ์นี้ต่อ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์เชิญชวนบริจาคเงินให้โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี โดยทุกคนสามารถร่วมทำชาเลนจ์แล้วโพสต์รูปหรือคลิปลงในโซเชียลมีเดียพร้อมแทค #A4SpaceChallenge ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

 

โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ออกแบบภายใต้แนวคิด “เข้าใจเขา เข้าใจเรา เข้าใจทุก(ข์)คน” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาด้านความแออัดของพื้นที่อาคารเดิม โดยตั้งเป้าหมายการระดมทุนเพิ่มเติมจากการสนับสนุนของภาครัฐบาลรวมจำนวน 9,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ดำเนินการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลและการจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2573

มูลนิธิรามาธิบดีฯ ขอเชิญชวนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป็นพลังบวกหนึ่งกับโครงการ “รามา+1 เพิ่มพื้นที่ บวกความหวัง” ด้วยการบริจาคเงินสมทบทุนก่อสร้างโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี

ก้าวสู่โอกาสใหม่หุ้นส่วนโรงชำแหละสุกร ปลายทางอาหารปลอดภัย

ชูมณี (Chumanee) วิสาหกิจเพื่อสังคม ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของแบรนด์ร้านสะดวกซัก Otteri wash & dry ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา สานต่อการทำดีเพื่อสังคม จัดงานแถลงข่าวโครงการ Wash & Share “ซักเพื่อให้” ครั้งที่ 3 เพื่อช่วยลดปัญหาขยะเสื้อผ้าจํานวนมหาศาล ที่เกิดจากอุตสาหกรรม Fast Fashion โดยการเปิดรับบริจาคเสื้อผ้าแล้วนำมาซักทำความสะอาดก่อนกระจายต่อไปยังผู้ที่ขาดแคลน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีต่อผู้ยากไร้และคนในสังคม
ณ มูลนิธิกระจกเงา

นายกวิน นิทัศนจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า “เค-เน็กซ์ มีปณิธานอันแน่วแน่ที่อยากให้คนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง รวมไปถึงด้านสุขภาวะ ซึ่งเราพบว่าในปัจจุบันคนในสังคมมีพฤติกรรม “เบื่อแล้วทิ้ง” สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันก่อให้เกิดขยะเสื้อผ้าล้นเมือง จึงมีแนวคิดในการริเริ่มโครงการ Wash & Share “ซักเพื่อให้” โดยจัดขึ้นเป็นปีที่ 3  เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักให้สังคมเห็นถึงความสำคัญของการ “บริจาค” และปลุกกระแสการซักทำความสะอาดก่อนแบ่งปันเสริมสร้างสุขภาพอนามัยที่ดีต่อผู้รับ และเป็นการรีไซเคิลผ้าหมดสภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้บริจาคเสื้อผ้าเข้ามากว่า 250 ตัน โดยจะนำเสื้อผ้าที่ได้รับบริจาคมาทำการคัดสภาพและซักทำความสะอาด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกส่งต่อให้ผู้ที่ขาดแคลน ส่วนที่สองส่งต่อให้แก่มูลนิธิกระจกเงาในการคัดแยกเพื่อนำมาขายต่อในราคาถูกเพื่อหารายได้ และส่วนสุดท้ายส่วนที่ไม่สามารถส่งต่อหรือขายได้ จะถูกส่งให้พาร์ทเนอร์ในการรีไซเคิลทอเป็นผ้า แล้วตัดเย็บให้เป็นเสื้อยืดตัวใหม่เพื่อบริจาคต่อไป”

โครงการ Wash & Share “ซักเพื่อให้” ครั้งที่ 3 เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างชูมณี และมูลนิธิกระจกเงา พร้อมด้วยพาร์ทเนอร์สำคัญ อาทิ บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด, บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน), บริษัท ไอ.พี. วัน จำกัด, บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน), บริษัท เวิสฟอร์ จำกัด, บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท แสงเจริญแกรนด์ จำกัด และบริษัท ตระกูลเฉิน จำกัด โดยเปิดรับบริจาคเสื้อผ้า 4 ประเภท ประกอบด้วย เสื้อผ้าแฟชั่น, ชุดนักเรียน, ผ้าขนหนูและผ้าเช็ดตัว และตุ๊กตา โดยเปิดรับบริจาคระหว่างวันที่ 1 –31 มีนาคม 2567 นี้ ผ่านจุดรับบริจาค Otteri wash & dry สาขาที่ร่วมโครงการทั้ง 314 สาขา ทั่วประเทศ โดยมีอินฟูลเอนเซอร์ชื่อดัง มะเขือ และต้องตา จาก “เพจของเพื่อน” ร่วมเป็นกระบอกเสียงในการเชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการ

นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถมีส่วนร่วมกับ Art Exhibition โดยศิลปิน เอ๋-วิชชุลดา ปัณฑรานุวงศ์ เจ้าของผลงานศิลปะจากขยะ ที่มาร่วมสร้างสรรค์ผลงานจากผ้าเสียที่ไม่สามารถส่งต่อได้ ในคอนเซ็ปต์ “จากซักตาก-สู่การซักอบ และผลกระทบมหาศาลจาก Fast Fashion” ซึ่งจะจัดขึ้นเร็ว ๆ นี้

นายชลัช รัตนบุญนิธิ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK เข้าร่วมงาน “แบ่งฝัน & ปันรัก...ทำดีเพื่อเพื่อนมนุษย์” จัดโดยมูลนิธิเพื่อการฟื้นฟูพัฒนาเด็กและครอบครัว (ฟอร์เด็ก) ในโอกาสมูลนิธิเปิดดำเนินงานครบรอบ 26 ปี และ EXIM BANK เป็นผู้สนับสนุนหลักของมูลนิธิ โดยผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK บริจาคเงินโดยตัดบัญชีเงินเดือนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2542 และในโอกาสนี้ EXIM BANK ได้ร่วมกิจกรรมและสนับสนุนค่าอาหารและอุปกรณ์การศึกษาให้แก่เด็กและครอบครัวผู้ยากไร้ พร้อมมอบทุนการศึกษาระดับอาชีวศึกษาจำนวน 5 ทุน ภายใต้โครงการ EXIM เพื่อโอกาสในการประกอบอาชีพ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 230,000 บาท โดยมี ดร.อัมพร วัฒนวงศ์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ มูลนิธิฟอร์เด็ก ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กชุมชนวัดมหาวงษ์ มูลนิธิฟอร์เด็ก 6 จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ยกระดับโครงการ UOB My Digital Space (MDS) มอบการศึกษาที่มีคุณภาพแก่นักเรียนขาดโอกาสกว่า 4,000 คน ขยายจาก 3 โรงเรียนสู่ 6 โรงเรียนใน 6 จังหวัดได้แก่กาญจนบุรี สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น ชลบุรี พะเยา และลำปาง โครงการ UOB MDS เป็นโครงการหลักที่สนับสนุนด้านการศึกษาของกลุ่มธนาคารยูโอบี มีแผนดำเนินโครงการในระยะยาวเพื่อลดช่องว่างทางการศึกษาของเด็กที่ขาดโอกาสให้เข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้ผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อเป็นเครื่องมือให้พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จได้ในโลกดิจิทัล และพร้อมที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของอาเซียนไปด้วยกัน โดยนอกเหนือจากการมอบห้องคอมพิวเตอร์และเครื่องมือการเรียนรู้ดิจิทัลวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ โครงการ UOB MDS ได้ขยายไปสู่ความรู้ทางการเงินและการแนะแนวอาชีพ นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของยูโอบี ในการพัฒนาส่งเสริมเด็กและเยาวชนในอาเซียนให้พร้อมสำหรับเติบโตไปในอนาคต

นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เพราะเทคโนโลยีได้กำหนดอนาคตแห่งการเรียนรู้ โครงการ UOB My Digital Space จึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเด็กนักเรียนที่ขาดโอกาสให้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ด้วยการผสานเทคโนโลยีเข้ากับการศึกษา ที่จะช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่างๆ เพื่อให้เด็กพร้อมสำหรับอนาคต อาทิ การคิดเชิงวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และความรู้ทางดิจิทัล พร้อมปลูกฝังความรู้ทางการเงินที่เริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นของเราที่จะดูแลเคียงข้างชุมชนเพื่อพัฒนาผู้คนในอาเซียน ตอกย้ำบทบาทที่สำคัญของสถาบันการเงิน นับเป็นกลยุทธ์สำคัญการดำเนินงานของเราเพื่อให้แน่ใจว่าเยาวชนในวันนี้จะสามารถเติบโตได้ในระบบเศรษฐกิจอนาคต”

การขยายขอบเขตของโครงการ MDS นับเป็นการดำเนินงานที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านการศึกษาในเวลาที่เหมาะสม ดังเช่นที่ปรากฏจากผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล หรือ PISA ปี 2565 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) พร้อมชี้ให้เห็นว่าการริเริ่มการเรียนรู้แบบดิจิทัลหรือ e-learning ให้ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของทรัพยากรด้านดิจิทัล การมีเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคที่เหมาะสม และความพร้อมใช้งานของแพลตฟอร์มการเรียนรู้

นางสาวกนกวรรณ โชว์ศรี ผู้อำนวยการโครงการร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์ กล่าวว่า “ปีนี้ โครงการ UOB My Digital Space ได้บูรณาการองค์ประกอบการเรียนรู้สำคัญเพิ่มเติมสำหรับนักเรียนอีก 2 วิชาได้แก่หลักสูตรการเงินออนไลน์เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี และเครื่องมือการแนะแนวอาชีพ เพื่อสนับสนุนให้นักศึกษาตั้งเป้าหมายของตนเองให้เหมาะสมกับความสามารถและคุณค่าของชีวิตได้ ด้วยเครื่องมือดิจิทัลทั้งหมดนี้ทั้งในด้านวิชาการและทักษะชีวิต นักเรียนสามารถเข้าไปเรียนรู้บนระบบออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา

นอกจากเครื่องมือดิจิทัลแล้ว โครงการ MDS ยังมุ่งเสริมศักยภาพให้กับครูผู้สอนเพิ่มเติมในสาขาที่มีความต้องการสูงด้วยวิธีการสอนที่ทันสมัย นายประวิทย์ สิงห์เรือง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ่อพลอยรัชดาภิเษก จังหวัดกาญจนบุรี ยืนยันถึงผลกระทบในการเปลียนแปลงของโครงการ โดยสังเกตเห็นการพัฒนาที่ดีขึ้นเป็นสำคัญในการมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพของนักเรียน อันเป็นผลมาจากทรัพยากรการเรียนรู้ดิจิทัลที่นักเรียนสามารถเข้าถึง

นายประวิทย์ สิงห์เรือง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ่อพลอยรัชดาภิเษก จังหวัดกาญจนบุรี หนึ่งในโรงเรียนใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนห้องเรียนรู้ดิจิทัล UOB My Digital Space กล่าวว่า “ก่อนหน้าที่เราจะได้รับการสนับสนุนจากโครงการ UOB My Digital Space นักเรียนต้องใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกันด้วยทางโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ขอขอบคุณทางธนาคารยูโอบี ประเทศไทยที่ได้มอบห้องเรียนรู้ดิจิทัลให้กับทางโรงเรียน ซึ่งไม่เพียงแต่เด็กนักเรียนจะได้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์และวิชาเรียนดิจิทัลแล้ว นักเรียนยังได้เรียนกับครูรุ่นใหม่จาก Teach for Thailand อีกด้วย ซึ่งเราได้เห็นผลลัพธ์เชิงบวกที่เกิดขึ้นจากนักเรียนของเรา ที่พวกเขาต่างสนุกกับการเรียนรู้ในชั้นเรียนและมีผลการเรียนที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันยังสนับสนุนครูของเราในการเตรียมการสอนในชั้นเรียนได้ดีมีประสิทธิภาพขึ้น”

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี โดย นายปิติ ตัณฑเกษม (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นางประภาศิริ โฆษิตธนากร (ขวาสุด) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านทรัพยากรบุคคล มอบรายได้จากการจำหน่ายสลากกาชาดทีทีบี ประจำปี 2566 จำนวน 9,152,586.08 บาท ให้แก่สภากาชาดไทย โดยมีนายขรรค์ ประจวบเหมาะ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย เป็นผู้รับมอบ ณ  ทีเอ็มบีธนชาต สำนักงานใหญ่ โดยรายได้ดังกล่าวจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เพื่อนำไปช่วยเหลือสังคมและสาธารณกุศลต่อไป

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนมอบเงินบริจาคจำนวน 1,000,000 บาท แก่มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ภายใต้โครงการ "เอไอเอ เพื่อก้าวใหม่ ชีวิตใหม่ – AIA New Leg New Life" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 โดยมี ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต เลขาธิการมูลนิธิขาเทียม ฯ (ที่ 3 จากขวา) นายเกรียงฤทธิ์ สุขเจริญสิน กรรมการมูลนิธิขาเทียมฯ (ที่ 2 จากขวา) และรองศาสตราจารย์โรม จิรานุกรม รองเลขาธิการมูลนิธิขาเทียมฯ ฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ (ขวาสุด) เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อร่วมสนับสนุนมูลนิธิขาเทียมฯ สำหรับใช้จัดซื้อวัสดุ อุปกรณ์ในการผลิตขาเทียมให้แก่ผู้พิการยากไร้ทั่วประเทศ

โดยที่ผ่านมาเอไอเอ ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับมูลนิธิขาเทียมฯ เพื่อมอบขาเทียมให้ผู้พิการไปแล้วกว่า 5,100 ข้าง นับเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชาชนผู้พิการทางขาได้มีโอกาสกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ รวมถึงสามารถกลับมาประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและตอบแทนสังคมไทย และสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives'

บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL สานต่อโครงการ “ITEL I GIVE ส่งต่อคอมพิวเตอร์เพื่อน้องในพื้นที่ห่างไกล” บุกตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ส่งต่อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ให้แก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนบ้านห้วยไผ่ และ โรงเรียนบ้านด่านโง พร้อมสอนวิธีการใช้งานเบื้องต้น รวมถึงโปรแกรมสำคัญที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนได้นำไปใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้ต่อไป

บริษัทฯ ไม่เพียงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจและสร้างสรรค์บริการที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่เรายังรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเชื่อมั่นว่าการส่งต่อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คให้เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาความเป็นอยู่ของเยาวชนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในภายภาคหน้า

นางสาวปิยะสุดา แคว้นนนทรีย์ (ซ้าย) ผู้บริหารสูงสุด สายงานทรัพยากรบุคคล “เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนผู้บริหารและพนักงานมอบสิ่งของรับบริจาคจากกิจกรรม "เคลียร์บ้าน ได้บุญ ปลายปี" เพื่อโครงการ "เหลือ - ขอ" มูลนิธิบ้านนกขมิ้น โดยเปิดรับบริจาคสิ่งของเหลือใช้จากผู้บริหารและเพื่อนพนักงาน เช่น เสื้อกันหนาวมือสอง เสื้อผ้าเด็ก ผู้ใหญ่ กระเป๋าและรองเท้า เพื่อส่งต่อให้กับน้องๆ เด็กกำพร้า เด็กเร่ร่อน เด็กด้อยโอกาส และกลุ่มผู้เปราะบาง ที่มูลนิธิบ้านนกขมิ้น เนื่องในโอกาสวันเด็กพร้อมมอบอุปกรณ์การเรียน กล่องดินสอ ดินสอสี สมุดวาดเขียน ขนมและนม ให้กับทางมูลนิธิฯ โดยมีนายชัยรัตน์ มิดชิด (ขวา) ผู้จัดการฝ่ายระดมทุน มูลนิธิบ้านนกขมิ้น เป็นผู้รับมอบ ณ มูลนิธิบ้านนกขมิ้น เขตบึงกุ่ม เมื่อเร็วๆ นี้

มูลนิธิบ้านนกขมิ้น ให้ความสำคัญกับคำว่า “ครอบครัว” เพราะว่าครอบครัว คือ รากฐานชีวิตของมนุษย์ทุกคน ซึ่งการเลี้ยงดู และสภาพแวดล้อม จะส่งผลต่อการเจริญเติบโต การพัฒนาบุคลิกภาพ นิสัยและความประพฤติของบุคคล มูลนิธิฯ จึงให้ความสำคัญและดูแลเด็กๆ โดยเติมเต็มครอบครัวใหม่ให้กับเด็ก และมีเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิบ้านนกขมิ้นที่เป็นคู่สามี-ภรรยา ทำหน้าที่เป็นพ่อแม่ให้กับเด็กๆ ในหนึ่งครอบครัวจะมีสมาชิกที่เป็นลูกประมาณ 10 คน ดูแลซึ่งกันและกันเหมือนกับครอบครัวทั่วไป เด็กทุกคนจะได้รับความรัก ความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่อย่างใกล้ชิด ได้รับการอบรมสั่งสอนด้วยความรักและเด็กๆ จะได้รับโอกาสทางการศึกษา พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนกิจกรรมด้านอื่นๆ เช่น ดนตรี กีฬา เพื่อจะได้นำความรู้ความสามารถที่ได้รับ ไปต่อยอดเป็นอาชีพได้ในอนาคต และสามารถออกไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ

โครงการ “เหลือ-ขอ” โดย “ครูอ๊อด ขออาสา” เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันทำบุญ โดยขอรับบริจาคสิ่งของ อาทิ เสื้อผ้า หนังสือ รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เพื่อเปลี่ยนเป็นค่าเทอมให้เด็กด้อยโอกาสในสังคม โดยสามารถนำมาส่งที่โครงการฯ หรือส่งทางไปรษณีย์ หรือแจ้งความประสงค์ให้มูลนิธิฯ ไปรับของบริจาคที่บ้านได้เช่นกัน

Page 1 of 42
X

Right Click

No right click