เอสซีจีซี ระดมทีมลงพื้นที่กลุ่มประมงเรือเล็กตากวน-อ่าวประดู่ เดินหน้ารับฟังข้อกังวลและบรรเทาปัญหาชุมชนต่อเนื่อง เบื้องต้นได้จัดบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพอย่างใกล้ชิด พร้อมมอบอุปกรณ์การแพทย์และยาที่จำเป็น ณ ที่ทำการกลุ่มประมงเรือเล็กตากวน-อ่าวประดู่ นอกจากนี้ ยังเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น ยืนยันน้ำและโฟมจากการดับเพลิงไม่รั่วไหลและปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีเขื่อนกั้น (Bund) ความสูง 4 เมตร รองรับ ซึ่งออกแบบตามมาตรฐานความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มสร้างโรงงาน โดยน้ำและโฟมดังกล่าวจะถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป 

สำหรับผู้ได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อศูนย์ช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โทร 085-650-4049

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC พร้อมด้วยนายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รุดลงพื้นที่พบชุมชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อขออภัยและรับฟังข้อปัญหาต่าง ๆ จากชุมชน เชื่อมั่นชุมชนกับโรงงานจะต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและด้วยความเข้าใจ พร้อมเดินหน้าเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า “ผมขออภัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เราพยายามอย่างเต็มที่ในการควบคุมสถานการณ์ให้สงบโดยเร็วที่สุด ขณะนี้ อยู่ระหว่างการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในด้านสุขภาพของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยเราได้เร่งระดมทีมเข้าช่วยเหลือดูแลชุมชนอย่างเต็มที่ และจะทำให้เข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อคลายกังวลให้กับพี่น้องชุมชน โดยได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบ ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ที่มีความกังวลในสุขภาพสามารถเข้ารับการตรวจได้ที่ ศูนย์บริการสาธารณสุข ตากวน-อ่าวประดู่ จ.ระยอง โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญพร้อมตรวจและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ บริษัทฯ จะลงพื้นที่เชิงรุก เพื่อรับฟังและช่วยบรรเทาปัญหาในเบื้องต้นให้กับชุมชน”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า “บริษัทฯ ได้เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศ จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบต่อเนื่องของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และเทศบาลเมืองมาบตาพุด อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากนี้ น้ำและโฟมจากการดับเพลิงที่ถูกกั้นไว้ในเขื่อนกั้น (Bund) ความสูง 4 เมตร เตรียมนำไปกำจัดอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไปจึงไม่รั่วไหลและปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม” 

สำหรับผู้ได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อศูนย์ช่วยเหลือฯ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โทร 085-650-4049

นำนวัตกรรมเสริมแกร่งธุรกิจ ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net Zero มุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง (บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด) และ กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการนำนวัตกรรมของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ผสานกับความเป็นผู้นำภาคการเงินเพื่อความยั่งยืนของกรุงศรี เร่งดำเนินการสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Green House Gas Emissions) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศให้เปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ความร่วมมือระหว่างสององค์กรในครั้งนี้มีเป้าหมายร่วมกันที่จะศึกษา พัฒนา สรรหา และให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Net Zero Building Materials ของวัสดุก่อสร้าง และโซลูชันต่างๆ ตลอดจน Construction Platform ที่เหมาะสมกับประเทศไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ทั้งในแง่ของการ Decarbonization ของวัสดุก่อสร้าง และการพัฒนาวัสดุก่อสร้างที่เป็น Carbon Sink Based Product ตลอดจนการพัฒนาระบบการก่อสร้างที่จะทำให้มี Carbon Footprint ในองค์รวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะได้นำผลของการดำเนินการต่อยอดสู่การพัฒนาโครงการให้ครบทั้ง Ecosystem เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม และยกระดับการอยู่อาศัยของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น

นายวิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง กล่าวว่า “สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ สอดคล้องกับกลยุทธ์ ESG ในการดำเนินธุรกิจของเอสซีจีโดยตรง ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิงมุ่งเสาะหา และพัฒนานวัตกรรมวัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำ โซลูชันการอยู่อาศัยที่ทำให้เจ้าของบ้าน หรือเจ้าของโครงการลดการใช้พลังงาน รวมถึงกระบวนการก่อสร้างทางเลือกที่ทำให้การก่อสร้างในอนาคตลดการปล่อยคาร์บอนได้มากขึ้น”

“การลงนามในวันนี้เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ กรุงศรี ในการใช้จุดแข็งของทั้ง 2 ธุรกิจมาพัฒนาต่อยอดสู่เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นพันธกิจของสังคมโลก เราหวังว่าแผนงานสำคัญที่ได้จากโครงการนี้จะมีส่วนสำคัญในการสร้างองค์ความรู้ ยกระดับศาสตร์การใช้วัสดุก่อสร้างเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีขึ้น และสนับสนุนให้เกิดการผลิตวัสดุคาร์บอนต่ำมากยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการผลักดันให้เกิดนโยบาย หรือแผนงานที่มุ่งสู่ความเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญเพื่อโลกที่ยั่งยืนให้กับหลายๆ หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ต่อไปในอนาคต” นายวิโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย

ด้านนายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ของกรุงศรีสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศไทย กรุงศรี ยินดีอย่างยิ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินงานของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยความร่วมมือครั้งนี้ มีเป้าหมายในการช่วยส่งเสริมกระบวนการสร้างสรรค์โซลูชันรูปแบบใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานงานก่อสร้างให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเร่งขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net Zero ได้อย่างชัดเจนและยั่งยืน”

“กรุงศรีในฐานะผู้นำด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน (ESG Finance) จะช่วยเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสภาวะวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศ และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง ผ่านกิจกรรมส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ โดยใช้จุดแข็งของทั้งสองบริษัทให้คำแนะนำแบบครบวงจรเกี่ยวกับโซลูชันด้านการก่อสร้างและการเงินที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับบุคคลทั่วไป และผู้ประกอบการในห่วงโซ่ธุรกิจ การสนับสนุนการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ผ่านเครือข่าย MUFG เพื่อขยายโอกาสในการทำธุรกิจ และเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ รวมไปถึงการร่วมแสวงหาโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อความยั่งยืน เพื่อช่วยสนับสนุนความสำเร็จในการลดการปล่อยคาร์บอนทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองบริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมไทย และขับเคลื่อนประเทศสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนาคตต่อไป”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นิคมอุตฯ มาบตาพุด จ.ระยอง ผู้บริหารบริษัทฯ ลงพื้นที่ชุมชน ติดตามและพบคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่กระทบต่อชุมชน และน้ำจากการดับเพลิงไม่รั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีเขื่อนกั้นบริเวณรอบถัง สามารถรองรับน้ำจากการดับเพลิงได้ 100% พร้อมเปิดศูนย์ให้ความช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง โทร. 085-650-4049 ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้กลับบ้านแล้ว 2 ราย และ 3 ราย อยู่ในความดูแลแพทย์ใกล้ชิด 

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังรับฟังความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้ บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด เช้าวันนี้ว่า จากการลงตรวจพื้นที่พบว่า สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และบริษัทฯ ได้ทำการควบคุมเพลิงไว้ได้อย่างเด็ดขาด แต่ขณะเดียวกันยังทำการฉีดโฟมหล่อเย็นไว้ เพื่อควบคุมอุณหภูมิจากสภาวะอากาศที่มีอุณหภูมิสูง ด้านการดูแลประชาชนในพื้นที่โดยรอบนั้น ได้อพยพประชาชนไปยังที่ทำการชุมชนตากวนอ่าวประดู่ จ.ระยอง รวมทั้งประสานกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคณะสหเวชศาสตร์ เพื่อส่งทีมแพทย์เข้ามาดูแลสุขภาพ และตรวจรักษาให้กับพี่น้องประชาชนแล้ว

ส่วนการตรวจวัดคุณภาพน้ำชุมชนโดยรอบพื้นที่ โดยรถโมบายของสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด (สนพ.) จำนวน 2 จุด ได้แก่ คลองชากหมาก และบริเวณบริษัท ไทยพลาสติกเคมีภัณฑ์ พบว่าคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ขณะที่คุณภาพในบรรยากาศพบว่า ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจำนวน 3 จุด ได้แก่ จุดตรวจสถานีอนามัยตากวน จุดตรวจสถานีหนองเสือเกือก และจุดตรวจสถานีเทศบาลเมืองมาบตาพุด อยู่ในเกณฑ์ปกติ”

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า กนอ. จะตรวจวิเคราะห์หาสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วน จัดทำมาตรการด้านความปลอดภัยเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ ซึ่งต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานภายนอกที่ให้การรับรองด้านความปลอดภัย พร้อมทั้งชี้แจงแนวทางและมาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม ได้กำชับทุกนิคมอุตสาหกรรมให้เพิ่มความเข้มงวดของมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในพื้นที่ ตามมาตรฐาน “การจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต” (Process Safety Management : PSM) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบกิจการ และประชาชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน”

นพ.สุนทร เหรียญภูมิการกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง กล่าวในการแถลงข่าววานนี้ว่า “ตามเอกสารประกอบของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน C9+ เมื่อเกิดเพลิงไหม้พบว่า มีผลกระทบต่อสุขภาพระดับสอง คือ มีการระคายเคืองเป็นหลัก แสบหู ตา จมูก ไอ ถ้าสูดดมในปริมาณมากอาจจะคลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรือทำให้หมดสติ โดยทั่วไปจะมีอาการระคายเคือง ยังไม่มีรายงานว่า เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง”

นายธรรมศักดิ์  เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีเร่งดำเนินงานอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยลงพื้นที่ ติดตามและบรรเทาผลกระทบ ซึ่งได้ตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ชุมชนโดยรอบอย่างเข้มข้น ทั้งจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบต่อเนื่องของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และเทศบาลเมืองมาบตาพุด รวมทั้งเครื่องตรวจวัดสารอินทรีย์ระเหยง่ายแบบพกพา 18 จุดในพื้นที่ชุมชน พบว่า คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทุกสถานี โดยยังคงเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง สำหรับการป้องกันการรั่วไหลของสารเคมีและน้ำจากการดับเพลิง บริษัทฯ ได้ออกแบบเขื่อนกั้น (Bund) ที่รองรับน้ำและโฟมจากการดับเพลิง สามารถกักเก็บได้ 100%  จึงมั่นใจได้ว่า จะไม่รั่วไหลและปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ น้ำจากการดับเพลิงจะถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป  นอกจากนี้ ยังได้จัดศูนย์ช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบให้กับพี่น้องชุมชน พร้อมดูแล 24 ชั่วโมง โทร. 085-650-4049 สำหรับผู้บาดเจ็บ 5 ราย นั้น ขณะนี้ 2 ราย อาการดีขึ้น แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 3 ราย อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งบริษัทฯ จะดูแลอย่างเต็มที่”

Page 1 of 55
X

Right Click

No right click