กรุงเทพฯ (29 เมษายน 2567) - บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S โดยคุณปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานกรรมการ และคุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการ จัดประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 รายงานผลการดำเนินงานในปี 2566 พร้อมเผยแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์ปี 2567 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการสร้าง New All-Time High ในด้านรายได้และกำไรในทุกพอร์ตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ผ่านปรัชญา “Go Beyond Dreams”

คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยหลังการประชุมว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท กวาดรายได้รวมเติบโตขึ้นถึง 17% เป็นจำนวน 14,675 ล้านบาท คิดเป็นผลกำไร 240 ล้านบาท ด้วยปัจจัยดังกล่าวที่ประชุมจึงอนุมัติจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.015 บาท โดยคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผล 45.12% ของกำไรสุทธิหลังการปรับปรุงรายการ และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567

 

โดยในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 สิงห์ เอสเตท มีสัญญาณการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจน และต่อเนื่องมาจนถึงช่วงต้นปี 2567 จากผลตอบรับที่ดีจากตลาด ผนวกกับความสำเร็จจากการดำเนินการตามแผนพัฒนาที่สร้างไว้ในปี 2566 ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทำรายได้รวมสูงสุดในประวัติการณ์ ตามเป้าหมายพร้อม New All-Time High ที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ

ทั้งนี้ ในปี 2567 สิงห์ เอสเตท ยังเดินหน้าเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไร ผ่านการขยายพอร์ตโฟลิโอ เพื่อยกประสิทธิภาพการสร้างรายได้และการทำกำไร ภายใต้ปรัชญา Go Beyond Dreams ที่ใช้ 3 แนวทางสนับสนุนในการขับเคลื่อนการเติบโตครั้งนี้ ได้แก่ 1) Go Expertise การสร้างซินเนอร์จีจากความชำนาญของทีมระหว่าง 4 กลุ่มธุรกิจ โดยดึงเอาจุดแข็งและความชำนาญที่แตกต่างและโดดเด่นของแต่ละธุรกิจเพื่อเกื้อหนุนกันและกัน 2) Go Elixir การผนึกกำลังกับพันธมิตรใหม่ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน 3) Go Exceed, Go Exist ความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน สู่การเป็นองค์กร Carbon Neutrality ของสิงห์ เอสเตท ในปี 2573 เพื่อสร้างความสมดุลของธุรกิจทั้งกับชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีกลยุทธ์สำคัญในแต่ละธุรกิจ ได้แก่

1. กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย ยังคงยึดหลักการ Best in Class พร้อมเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยคุณภาพในปี 2567 มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท อาทิ โครงการแบรนด์สริน (S’RIN) แห่งที่สอง เพื่อต่อยอดกระแสตอบรับและความต้องการที่ดีของลูกค้า โดยคาดว่าจะพร้อมรับรู้รายได้ในช่วงปลายปี 2567 และโครงการเอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ ภายใต้แบรนด์สมิทธ์ (SMYTH’S) เพื่อตอบรับ Real Demand ที่เติบโต ในกลุ่มที่พักอาศัยระดับบน ที่มีจำนวนยูนิตไม่มาก เน้นความเป็นส่วนตัว ทำเลใกล้เมืองและพื้นที่เมืองชั้นใน รวมถึงการเข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และการเปิดโอกาสเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเร่งการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

2. กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR มุ่งเน้นการลงทุนโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์คุณภาพ เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตของรายได้ในระยะยาว โดยยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวและบริการให้กับลูกค้า เช่นการปรับปรุงห้องพัก ทั้งนี้ในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ผ่านมา ห้องพักที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว สามารถ command ADR ได้สูงขึ้น 20 – 30% โดยในปี 2567 – 2568 จะเดินหน้าปรับปรุงโรงแรมศักยภาพในประเทศไทย และสหราชอาณาจักร ต่อเนื่องจากส่วนแรกที่ทำการปรับปรุงในปี 2566 รวมถึงการยกระดับและนำเสนอ Brand Concept ใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์การท่องเที่ยวในระดับสากล ในขณะที่การหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Rotation) ยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ พร้อมมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการเพื่อสร้างการเติบโตให้แก่พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ

3. กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน เน้นเจาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต และใช้ช่องทางการขายที่หลากหลายและเหมาะสมต่อแต่ละสภาวการณ์ ซึ่งจะช่วยผลักดันผลประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมให้เติบโตต่อเนื่องได้

“จากแนวทางกลยุทธ์ดังกล่าว เชื่อมั่นได้ว่า สิงห์ เอสเตท จะขับเคลื่อนผลการดำเนินงานให้เติบโตขึ้น ผ่านการส่งมอบสินค้าและบริการที่เป็นเลิศ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกค้าไปพร้อมกับพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์มุ่งมั่นสร้างคุณค่าและการเติบโตอย่างยั่งยืน (Entrusted And Value Enricher) และปรัชญา ‘Go Beyond Dreams’ โดยเชื่อมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายรายได้รวมของบริษัทให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้โต 20% อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ” คุณฐิติมา กล่าวเสริม

สิงห์ เอสเตท รายงานรายได้รวมจากการขายและการบริการสำหรับปี 2566 จำนวน 14,675 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ เติบโตเด่นถึง 42% ด้วยแรงส่งสำคัญจากการเปิดตัว 5 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท มั่นใจปี 2567 โตแรงจากสินค้าพร้อมขายในระดับสูง ขณะที่รายได้จากธุรกิจให้บริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 11% จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เติบโต ซึ่งส่งผลให้ระดับรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ของโรงแรมในปี 2566 เพิ่มขึ้นถึง 23% แรงส่งสำคัญคือการปรับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) ที่โดดเด่นจากการปรับปรุงโรงแรมตามแผนและความสามารถในการดึงดูดลูกค้าตลาดใหม่

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประกาศรายได้รวมเติบโตขึ้น 17% สู่จำนวน 14,675 ล้านบาท และกำไรสำหรับปี 2566 จำนวน 240 ล้านบาท พร้อมเตรียมจ่ายปันผลสำหรับผลดำเนินงานประจำปี 2566 จำนวน 0.015 บาท ต่อหุ้น ซึ่งจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่12 มีนาคม 2567 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผล ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566

สำหรับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ จำนวน 3,638 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดถึง 42% ซึ่งประกอบด้วย (1) ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยจำนวน 3,416 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการการรับรู้รายได้เต็มสัดส่วน จำนวน 919 ล้านบาท จากโครงการดิ เอส สุขุมวิท 36 ภายหลังสิงห์ เอสเตท เข้าถือหุ้น 100% เพื่อรองรับโอกาสการฟื้นตัวของดีมานด์กลุ่มคอนโดมิเนียม และการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบใหม่ โดยเฉพาะโครงการพร้อมโอน “ลาซัวว์ เดอ เอส” โครงการ Flagship Cluster Home ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ และ “โครงการสริน ราชพฤกษ์ สาย 1” บ้านแนวราบระดับลักชัวรี่ ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ทันทีในปีจำนวนรวมประมาณ 900 ล้านบาท และ (2) การรับรู้ค่าเช่าของโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ตามสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวจำนวน 175 ล้านบาท

ในขณะที่รายได้จากการให้บริการของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11% มีสาเหตุสำคัญมาจากรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12% สู่จำนวน 9,701 ล้านบาท หนุนจากทั้งอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมซึ่งคำนวณเฉพาะห้องพักที่เปิดให้บริการของบริษัท อยู่ที่ 68% ปรับเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนหน้า ด้วยการปรับแผนการตลาดอย่างมีประสิทธิผล มุ่งเน้นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของโรงแรมอยู่เสมอ โดยเฉพาะความสำเร็จสำคัญจากการปรับปรุงโรงแรมตามแผน ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) ที่ระดับ 5,675 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน สำหรับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์จำนวน 1,060 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% จากการทยอยรับรู้รายได้ตามการส่งมอบพื้นที่เช่าของอาคารเอส โอเอซิส (S-OASIS)

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า “จากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เป็นเลิศ ความสำเร็จของการพัฒนาโครงการอสังหาฯ และการปรับปรุงประสิทธิภาพของ Portfolio อย่างเข้มข้นในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทฯ บันทึกรายได้ในระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ควบคู่กับการคุมต้นทุนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับช่วงการขยายธุรกิจและเปิดตลาดใหม่ ส่งผลให้เรามีผลกำไรสุทธิในปี จำนวน 240 ล้านบาท ด้วยความพร้อมทางการเงินและประสบการณ์ที่จะขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและให้เป็นไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ รวมถึงการเดินหน้าสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยในปีนี้ เราประกาศจ่ายปันผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จจากการปรับตัวทางธุรกิจ ทำให้เราสามารถช่วงชิงโอกาสได้ทันกับการฟื้นตัวของธุรกิจที่พักอาศัยและโรงแรม ทั้งนี้ บริษัทฯ เห็นสัญญาณการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจนในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงต้นปีนี้ เราจึงเชื่อมั่นว่าแรงส่งจากการตอบรับที่ดีของตลาดต่อผลิตภัณฑ์ของสิงห์ เอสเตท ผนวกกับพัฒนาการสำคัญต่างๆ ที่เราได้สร้างไว้ในปี 2566 นี้ จะเป็นแหล่งรายได้สำคัญให้กับผลประกอบการในปี 2567 โดยอธิบายได้ตามหมวดธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจที่พักอาศัย: เราเห็นกิจกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่เร่งตัวขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี ที่จำนวน 1,734 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นกว่า 50% ของยอดโอนทั้งปีมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการรับรู้ Backlog ของโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส และการรับรู้ยอดโอนของโครงการใหม่ สริน ราชพฤกษ์สาย 1 ที่มีมูลค่า 3,700 ล้านบาท ซึ่งพึ่งเปิดตัวในต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมมียอดโอนกรรมสิทธิ์ทันทีกว่า 12% ของมูลค่าโครงการซึ่งเราเชื่อว่ายอดโอนของทั้งสองโครงการนี้ในปี 2567 จะสามารถปิดได้ตามเป้าหมายของเราที่ 2,000 ล้านบาท หนุนด้วยโครงการใหม่ SHAWN ทั้งสองทำเล ปัญญาอินทรา และวงแหวนจตุโชติ มีมูลค่าโครงการรวมกันราว 4,600 ล้านบาท ที่เปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการไปในช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งได้ความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี เสริมด้วยการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์โครงการ The Extro พญาไทรางน้ำ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป และ ณ ปัจจุบัน มียอดขายรอรับรู้รายได้ของโครงการแล้วกว่า 1,200 ล้านบาท

ธุรกิจโรงแรม: เราเห็นสัญญานบวกที่แข็งแกร่งในปี 2567 จากจำนวนนักท่องเที่ยว และความเต็มใจในการใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อาทิเช่น (1) โรงแรมในประเทศไทย ได้รับแรงสนับสนุนจากการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพักภายหลังการปรับปรุงตามแผน ทำให้ตอบโจทย์กับกระแสนิยมการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี สะท้อนอัตราการเข้าพักในเดือนมกราคมในปี 2567 ของโรงแรมทั้ง 4 แห่งในประเทศไทยสูงถึงกว่า 90% ประกอบกับแผนการปรับปรุงห้องพักทั้งหมดที่เราเตรียมทำเพิ่มในช่วง 2 ปีข้างหน้า จะสามารถผลักดันผลการดำเนินงานของโรงแรมในประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด (2) สัญญานการตอบรับอย่างดีของโรงแรม SO/ Maldives จากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง อาทิ ชาวรัสเซีย สหราชอาณาจักร และตะวันออกกลาง รวมถึงยอดจองห้องพักล่วงหน้าที่แข็งแกร่งตลอดช่วง High Season ของปี 2567 ของโรงแรม SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และ โรงแรม Hard Rock Hotel Maldives และ (3) ความต้องการท่องเที่ยวในสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นตลาดหลัก รวมถึงศักยภาพในการเพิ่มอัตราค่าห้องพักภายหลังการปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์ไปในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในเดือนมกราคมปี 2567 นี้ เราสามารถบริหารอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงกว่า 70% และมีระดับ RevPAR ในเดือนมกราคม เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 43% เป็นต้น

ธุรกิจอาคารสำนักงาน: บริษัทฯ มีแนวทางในการบริหารอาคารสำนักงานทุกแห่งเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถรักษาอัตราการปล่อยเช่าพื้นที่ (Occupancy rate) ได้เป็นอย่างดีท่ามกลางภาวะการณ์ต่างๆ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของอัตราการเช่าพื้นที่ของอาคาร S-OASIS ในปี 2567 นี้จะขับเคลื่อนผลประกอบการของธุรกิจอาคารสำนักงานได้อย่างมั่นคง

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม: บริษัทคาดว่ารายได้จากธุรกิจนี้จะเติบโตโดดเด่นในปี 2567 จากกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน สอดคล้องกับความสำเร็จในการพัฒนาที่ดินและระบบสาธารณูปโภค หนุนด้วยความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ นอกจากนี้ การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าทั้งสามแห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกว่า 400 เมกะวัตต์ และจะทำให้บริษัทมีรายได้ประจำจากการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รวม 270 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดรากฐานทางธุรกิจอันมั่นคงที่ได้สร้างไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ จะเดินหน้ามุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไรในปี 2567 ผ่านการขยายพอร์ตโฟลิโอ และยกประสิทธิภาพในการทำกำไร ได้แก่ (1) การเปิดตัวโครงการอสังหาฯ เพื่อการพักอาศัยต่อเนื่องที่ระดับ 10,000 ล้านบาท การเข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ รวมถึงการช่วงชิงโอกาสจากเรียลดีมานด์ที่เติบโตผ่านการพัฒนาโครงการเอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ ซึ่งเป็นโครงการระดับบน จำนวนยูนิตไม่มากอยู่โซนพื้นที่ใกล้เมืองและพื้นที่เมืองชั้นใน และการเปิดโอกาสเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเร่งการเติบโต (2) การมุ่งเน้นการลงทุนในโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์คุณภาพ และการยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวผ่านทางการบริการที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น (personalized experiences) รวมถึงนำเสนอ Brand Concept ใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์การท่องเที่ยวในระดับสากล (3) การมองหาโอกาสในการเข้าซื้อและควบรวมกิจการเพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และ (4) การปรับแผนการตลาดเชิงรุก เน้นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต และใช้ช่องทางการขายที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันผลประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมให้เติบโตต่อเนื่องได้

“เรามีความมั่นใจที่จะทำตามเป้าหมายในการสร้างรายได้ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องอีกครั้งนึง ผนวกกับการควบคุมค่าใช้จ่าย พร้อมผลักดันอัตราการทำกำไรให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น และส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนและรับผิดชอบให้กับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะพันธสัญญาที่จะพัฒนาสินค้าและบริการอันเป็นเลิศ เพื่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกค้า ดั่งที่ สิงห์ เอสเตท ได้ทำมาด้วยดีแล้วตลอด ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยทางการเงินที่ดี และการเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมที่สุดกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วง เพื่อเพิ่มความพร้อมในการสนับสนุนการขยายการเติบโตและการทำกำไรให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง” นางฐิติมา กล่าวเสริม

พร้อมเดินหน้าสู่การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว

บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (SET: SHR) ผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทระดับนานาชาติ ในเครือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (SET: S) ประกาศกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อยกระดับความสามารถในการสร้างกำไรต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 รวมมูลค่า 12,000 ล้านบาท รุกผลักดัน EBITDA Margin เติบโตร้อยละ 3 – 5 โดยมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนผลกำไร ยกระดับพอร์ตโฟลิโอผ่านการปรับปรุงและเพิ่มมูลค่าโรงแรมในจุดหมายปลายทางสำคัญ ยกระดับแบรนด์ ทราย (SAii) เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้เข้าพัก ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนโมเดล Asset-Light และขยายธุรกิจผ่านการซื้อและควบรวมกิจการ พร้อมสานต่อความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน เดินหน้าเติมเต็มประสบการณ์การเข้าพัก ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ และศาสตร์แห่งอาหารที่ผูกพันกับท้องถิ่น

นายไมเคิล มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดปี 2566 ที่ผ่านมา รวมถึงข้อได้เปรียบจากสถานที่ตั้งโรงแรมของเราซึ่งอยู่ในจุดหมายปลายทางสำคัญ เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท สามารถบรรลุเป้าหมายในการสร้างรายได้รวมทะลุ 10,000 ล้านบาท และรักษาตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทย โดยการปรับปรุงโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์หลักของบริษัทฯ ถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการเพิ่มอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ในปี 2566 สำหรับโรงแรมในไทยและฟิจิให้สูงขึ้นร้อยละ 20 นอกจากนี้ การเปิดตัว โซ/ มัลดีฟส์ (SO/ Maldives) รีสอร์ทระดับ 5 ดาว ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งของโครงการ ‘ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์’ (CROSSROADS Maldives) ในการตอบรับความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มนักท่องเที่ยวนานาชาติ และเติมเต็มให้ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ เป็นผู้นำจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนและไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจรที่สุดในหมู่เกาะมัลดีฟส์”

นอกจากนี้ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ยังได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มนักลงทุน จากการออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี ที่มียอดจองซื้อสูงเกินกว่าเป้าหมาย ปิดการขายด้วยมูลค่า 1,300 ล้านบาท ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯ ในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนและรองรับกลยุทธ์การลงทุนในอนาคต

สำหรับในปี 2567 เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จะมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไร โดยตั้งเป้ารายได้รวมมูลค่า 12,000 ล้านบาท ด้วย 4 กลยุทธ์ ดังนี้

  • ขับเคลื่อนประสิทธิภาพ มุ่งสร้างการเติบโต (Drive efficiency, ignite growth): บริษัทฯ มีแผนที่จะยกระดับศักยภาพในการสร้างอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 – 5 ผ่านปัจจัยการเติบโต 3 ด้าน ได้แก่ อัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ซึ่งตั้งเป้าว่าจะเติบโตร้อยละ 25 จากยอดการจองห้องพักในมัลดีฟส์ในไตรมาสแรกที่ขยายตัวได้ดี และค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 20 จากการปรับปรุงห้องพักของโรงแรมในฟิจิและไทย และการเปิดตัวของโซ/ มัลดีฟส์ นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าการเติบโตของรายได้อื่นนอกเหนือจากการเข้าพัก (Non-room Revenue) ที่ร้อยละ 15 โดยบริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการนำเสนอ ประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของแบรนด์ พร้อมแผนเปิดตัวบีชคลับในทุกรีสอร์ทในเครือแบรนด์ทราย (SAii) และตอบรับความต้องการในตลาดไมซ์ (MICE) ผ่านบริการด้านอีเวนต์ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงานและการประชุมธุรกิจ ในส่วนของกระบวนการดำเนินธุรกิจ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จะยกระดับระบบการจัดซื้อแบบรวมศูนย์ และควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยไม่กระทบต่อคุณภาพของบริการ ซึ่งคาดว่า จะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น (Gross Profit) เพิ่มขึ้นร้อยละ 20
  • ปลดล็อคศักยภาพของพอร์ตโฟลิโอ (Unleash the power of the portfolio): ด้วยเป้าหมายในการยกระดับพอร์ตโฟลิโอและหมุนเวียนสินทรัพย์ (Portfolio Enhancement) เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จะสานต่อความสำเร็จจากปี 2566 ในการยกระดับมูลค่าของสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง พร้อมตั้งเป้าอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Return Rate: IRR) ไว้ที่ร้อยละ 12 – 15 โดยจะต่อยอดแผนการปรับปรุงโรงแรมในประเทศไทยที่ ทราย ลากูน่า ภูเก็ต และ ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ สำหรับตลาดสหราชอาณาจักร บริษัทฯ จะดำเนินกลยุทธ์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่และรีแบรนด์โรงแรมในพื้นที่ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยว อาทิ แมนเชสเตอร์ เอดินเบอระ เลสเตอร์ และกลาสโกว์
  • เติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด (Scale Without Limits): เพื่อตอบรับการเติบโตของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ บริษัทฯ มีแผนที่จะยกระดับแบรนด์ (Brand Enhancement) โดยสร้างการจดจำแบรนด์ ทราย (SAii) ในฐานะจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวแบบลักชูรีอย่างยั่งยืน ผ่านการยกระดับประสบการณ์ของแขกผู้เข้าพักให้ตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ในระดับโลก สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวว่าการเข้าพักจะสร้างผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยที่สุด นำเสนอเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่น่าตื่นตาตื่นใจ และกิจกรรมด้านสุขภาพที่โดดเด่น อีกทั้งยังผนึกพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการของแบรนด์ อาทิ แพ็คเกจพิเศษ และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ จะนำความแข็งแกร่งของแบรนด์มาต่อยอดในการสร้างการเติบโตที่ยืดหยุ่นขึ้นและมีข้อจำกัดที่ลดลง โดยตั้งเป้าว่าจะเพิ่มจำนวนโรงแรม ในพอร์ตโฟลิโอทั้งหมดจำนวนไม่น้อยกว่า 50 แห่ง ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะอยู่ภายใต้โมเดลธุรกิจแบบ Asset-Light อาทิ สัญญาบริหารโรงแรม (Hotel Management Agreement: HMA) หรือภายใต้การเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ และการร่วมลงทุน (Joint Venture) อันจะนำไปสู่การเพิ่มขนาดพอร์ตโฟลิโอและรายได้รวมของบริษัทฯ เป็น 2 เท่าตัว ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว บริษัทฯ มีแผนจะยกระดับแบรนด์ ทราย (SAii) ให้เป็นที่จดจำในระดับสากล โดยผ่านการดำเนินงานในหลากหลายด้าน เช่น กระบวนการทำงานที่เชื่อมกันในแต่ละพื้นที่อย่างไร้รอยต่อ การลงทุนในนวัตกรรมที่ล้ำสมัยเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น (personalised experiences) แผนการตลาดเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายทั่วโลก และกลยุทธ์ด้านดิจิทัลที่โดดเด่น พร้อมด้วยการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ที่มีประสิทธิภาพ
  • ปักหมุดรุกตลาดใหม่ (Beyond Borders): เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ได้จัดสรรงบในการลงทุนมูลค่า 15,000 ล้านบาทเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) ตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า โดยยังคงพุ่งเป้าไปที่จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวในภาคพื้นทวีปยุโรปในแถบเมดิเตอร์เรเนียน สหราชอาณาจักร แถบมหาสมุทรอินเดีย เอเชียแปซิฟิค และฟิจิ เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนในด้านรายได้ รวมถึงลดความผันผวนทางฤดูกาล (Seasonal Effect) ของโรงแรมในเครืออีกด้วย

การดำเนินงานอย่างยั่งยืนยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคม โดยในปี 2567 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 5 ต่อปี ตามแผนของประเทศไทยในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 40 โดยคาดว่าการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในกลุ่มโรงแรมในไทยและมัลดีฟส์ รวมถึง โซ/ มัลดีฟส์ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึงร้อยละ 20 ในขณะที่การดำเนินโครงการอนุรักษ์พันธุ์สิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ของบริษัทฯ ยังทำให้พบสิ่งมีชีวิต 21 สายพันธุ์ในกลุ่มสีแดงขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) อยู่บ่อยครั้งในพื้นที่โครงการ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับกระทรวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และพลังงาน ของรัฐบาลมัลดีฟส์ เพื่อสนับสนุนพื้นที่อนุรักษ์นอกพื้นที่คุ้มครอง (Other Effective Area-Based Conservation Measures: OECMs) ภายในโครงการครอสโร้ดส์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 3.1 ล้านตารางเมตร หรือกว่าร้อยละ 31 ของพื้นที่โครงการ โดยพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรอินเดีย

ยิ่งไปกว่านั้น เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ยังเดินหน้ายกระดับประสบการณ์การเข้าพัก ผ่านการนำเสนอโครงการด้านความยั่งยืนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ศูนย์การเรียนรู้ทางทะเล เกาะพีพี และมัลดีฟส์ ที่ตั้งเป้าต้อนรับผู้เข้าชมกว่า 50,000 คนในปี 2567 นี้ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมของชุมชน ไปจนถึงการใช้ผลผลิตและวัตถุดิบที่ปลูกและจัดหาจากท้องถิ่น เพื่อนำเสนอเมนูจากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร (Farm to Table) และอาหารทะเลสดใหม่แก่แขกที่เข้าพักอีกด้วย

“ความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท สามารถเดินตามแผนในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และเพิ่มพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพร้อยละ 30 ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายความยั่งยืนระยะยาวของกลุ่มบริษัทสิงห์ เอสเตท ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า โครงการที่มีเอกลักษณ์และพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้เราสามารถตอบรับความต้องการใหม่ๆ และต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต” นายไมเคิล กล่าวสรุป

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (SET: S) ก้าวสู่ปีที่ 10 อย่างมั่นคง     กางแผนทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2567 ตอกย้ำความมุ่งสู่การเป็น “นักพัฒนา” ผ่านการลงทุนและสร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ภายใต้ปรัชญา “Go Beyond Dreams” เดินหน้าสร้างซินเนอร์จีธุรกิจภายในเครือ ตลอดจนผนึกกำลังพันธมิตร พร้อมชูกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน  โดยตั้งเป้ารายได้โต 20% อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า กลยุทธ์ในการสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติการลงทุนของ สิงห์ เอสเตท ในปี 2566 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้ทุกพอร์ตธุรกิจมีความแข็งแกร่งอย่างมาก เช่น กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย ที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบขยายฐานลูกค้าครบทุก       ลักซ์ชัวรีเซ็กเมนต์ และการขยายสัดส่วนการถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 รับการฟื้นตัวของความต้องการในกลุ่ม Ready-to-move-in ของตลาดคอนโดมิเนียม อีกทั้งการลงทุนในที่ดินในทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการในอนาคตตามกลยุทธ์หลักของบริษัทที่สร้างการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ (SET: SHR) ก็มีความโดดเด่นจากการเปิดตัว SO/ Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 5 ดาว ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และการยกระดับห้องพักโรงแรมในเครืออีก 5 แห่ง เพื่อตอบรับโอกาสจากความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเสริมการให้บริการในโรงแรมเพื่อให้สามารถเก็บอัตราห้องพักต่อวันและรายได้จากบริการอื่น ๆ ได้สูงขึ้นและเพิ่มมากขึ้น และการต่อยอดแบรนด์ ทราย (“SAii”)  ในการให้บริการที่มีความหลากหลายยิ่งขึ้นและเพิ่มรายได้อื่น ๆ นอกจากราคาห้องโรงแรมของกลุ่ม ในส่วนของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า บริษัทมีการนำโมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้พื้นที่ของคนทำงานยุคใหม่ และกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ที่มีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 2 แห่ง และแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ภายในพื้นที่รองรับการลงทุนในอนาคต

 

“โดยในปี 2567 นี้ เราตั้งเป้ารายได้รวมของบริษัทให้เติบโตขึ้นสูงถึง 20% หรือมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 18,000 ล้านบาทผ่านแนวคิด Go Beyond Dream ที่ใช้ 3 แนวทางสนับสนุนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตครั้งนี้ ได้แก่ 1) Go Expertise การสร้างซินเนอร์จีจากความชำนาญของทีมระหว่าง 4 กลุ่มธุรกิจ โดยดึงเอาจุดแข็งและความชำนาญที่แตกต่างและโดดเด่นของแต่ละธุรกิจเพื่อเกื้อหนุนกันและกัน เพื่อการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้า  2) Go Elixir การผนึกกำลังกับพันธมิตรใหม่ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน 3) Go Exceed, Go Exit ความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDG13 Climate Change สู่การเป็นองค์กร Carbon Neutrality ของสิงห์ เอสเตท ในปี 2573 เพื่อสร้างความสมดุลของธุรกิจทั้งกับชุมชุน สังคมและสิ่งแวดล้อม” นางฐิติมา เผย

กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย จากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการระดับมาสเตอร์พีซอย่าง โครงการสันติบุรี เดอะเรสซิเดนเซส โครงการลาซัวว์ เดอ เอส และโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในโครงการใหม่ ๆ อาทิ SMYTH, S’RIN และ SHAWN ในปี 2567 นี้ สิงห์ เอสเตท เตรียมต่อยอดความสำเร็จโครงการบ้านแนวราบที่มีครบทุกเซ็กเมนลักซ์ชัวรีตามแผนงาน และยังคงไว้ซึ่งการถ่ายทอด DNA ที่ยึดถือในการพัฒนาโครงการให้ได้คุณภาพระดับ “Best in Class” ด้วยอัตลักษณ์ในแบบฉบับของสิงห์ เอสเตท โดยได้มีการลงทุนในที่ดินทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนาสำหรับโครงการที่จะเกิดขึ้นระยะ 3-5 ปีต่อจากนี้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากยอดโอนเพิ่มขึ้นอีก 50% ในปีนี้

กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR ยังคงมีแผนที่จะปรับปรุงโรงแรมตามแผนการยกระดับพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง จำนวน 5 โรงแรมในเครือที่ประเทศไทยและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มอัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ได้มากกว่า 25% รวมถึงแผนการเสริมการให้บริการด้านอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับการยกระดับห้องพักที่จะสร้างรายได้เพิ่มเติม นอกเหนือจากรายได้การเข้าพัก (Non-Room Revenue) จากการใช้จ่ายต่อคนในการใช้บริการ ภายในโรงแรมเพิ่มขึ้นอีก 15% ขณะที่การหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Rotation) ยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ โดยมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมถึงการมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการของธุรกิจที่ทำให้เกิดโอกาสรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นด้วย

กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ในการใช้โมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น ควบคู่ไปกับการชูจุดเด่นด้านที่ตั้งของโครงการต่าง ๆ ในเครือ ซึ่งจะทำให้มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยของอาคารสำนักงานในเครือที่มากกว่าในช่วงปี 2562 ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 85% ในทุกโครงการที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้  

กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน มีการตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง อยู่ที่ 40% ของพื้นที่ขายรวม โดยใช้ทำเลยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างแหล่งวัตถุดิบและเส้นทางการขนส่ง ความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภคทั้งกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีสูงถึง 400 MW และปริมาณน้ำซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเฉพาะทาง อาทิ กลุ่ม Semi-Conductor หรือ กลุ่ม Data Center นอกเหนือจากธุรกิจทางด้านอาหาร และความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นแรงหนุนสำคัญในการทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย

การดำเนินงานด้านความยั่งยืน มีแผนที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ด้วยกลยุทธ์ Climate Resilience Model เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  รวมถึงการให้ความสำคัญของพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่ความหลากหลายทางทะเลถึง 30% นอกจากนี้ยังมุ่งเป็นศูนย์กลางในการสร้างสังคมคุณภาพ ผ่านโครงการต่าง ๆ ถึงกว่า 30 โครงการ นับเป็นจำนวนมากกว่า 100,000 คน ครอบคลุมพื้นที่การดำเนินงาน 5 ประเทศในทุกกลุ่มธุรกิจ  ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐมอริเชียส สหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ

“ภายใต้แนวคิด Go Beyond Dreams เราพร้อมก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 10 ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับ “Best in Class” ในทุกกลุ่มธุรกิจ อย่างที่เราได้ประสบความสำเร็จมาแล้วกับโครงการระดับมาสเตอร์พีซ อาทิ โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการ  ครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ แม้ว่า ปี 2567 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจโลก แต่กลุ่มบริษัท สิงห์ เอสเตท มีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจไปพร้อมกับการเตรียมตั้งรับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพื่อตอกย้ำแนวทางการทำธุรกิจแบบมั่นคงและยั่งยืน” นางฐิติมา กล่าว

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click