สำหรับวันสตรีสากล (International Women’s Day: IWD 2024) ปีนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม #InspireInclusion โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจต่อสังคมเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมและบทบาทของสตรีในมิติต่างๆ ท่ามกลางอุปสรรคและข้อจำกัดทางเพศ รวมถึงส่งต่อเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจจากผู้หญิงถึงผู้หญิงด้วยกัน เพื่อสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การมีส่วนร่วม และเสริมสร้างศักยภาพของสตรีด้วยกัน โดยมีเป้าหมายใหญ่เพื่อร่วมกันสร้างโลกให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น

ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอนำเสนอเรื่องบันดาลใจของ 5 ผู้นำหญิงแห่งทรู คอร์ปอเรชั่น ประกอบด้วย 1. ศรินทร์รา วงศ์ศุภลักษณ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล 2. ยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหาร (ร่วม) ด้านการเงิน 3. ณัฏฐา พสุพัฒน์ หัวหน้าสายงานโมบายล์โพสต์เพย์ 4. อรอุมา วัฒนะสุข หัวหน้าสายงานสื่อสารองค์กรและการประชาสัมพันธ์ และ 5. ภรรททิยา โตธนะเกษม หัวหน้าฝ่าย Digital Growth Strategy บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด

ภายใต้เป้าหมายการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ Telco-Tech Company ผู้บริหารหญิงทั้ง 5 ท่านคือส่วนหนึ่งของบุคลากรในทรู คอร์ปอเรชั่น ที่มีบทบาทสำคัญต่อภารกิจดังกล่าว ทั้งการขับเคลื่อนผ่านวัฒนธรรมองค์กร การเตรียมความพร้อมทางการเงินและการลงทุน การนำทัพบุกตลาดเพื่อการเติบโต การสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลง และการสร้างกลไกการเติบโตใหม่ๆ บนสมรภูมิดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม กว่าผู้บริหารหญิงเหล่านี้จะก้าวมาสู่แถวหน้า ขับเคลื่อนองค์กรและฝ่าวิกฤตต่างๆ ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว และเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลเกี่ยวเนื่องจากความไม่เท่าเทียมทางเพศที่ปรากฏขึ้นในสังคมแบบดั้งเดิม เช่น ข้อจำกัดทางเพศสภาพ อคติทางเพศ การเหมารวมทางเพศ และการคุกคามทางเพศ ฯลฯ

ทั้งนี้ จากเรื่องราวของผู้บริหารหญิงแกร่งท้ัง 5 ท่าน พบว่า กว่าจะประสบความสำเร็จ ขึ้นแท่นนักบริหารและได้รับความไว้วางใจทำหน้าที่แบกภาระอันใหญ่ยิ่ง พบจุดร่วมเชิงปัจเจกนิยมที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 

  1. การตั้งเป้าหมายและมีความมุ่งมั่น (Ambition and Commitment) ผู้หญิงสามารถประสบความสำเร็จได้ทั้งชีวิตการงานและครอบครัว โดยไม่จำเป็นต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ขอเพียงแต่ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนและวางแผนตระเตรียมปัจจัยแวดล้อมให้พร้อมต่อการทำหน้าที่ทั้ง 2 มิติ
  2. การมีระเบียบวินัย (Discipline) แม้ผู้หญิงจะมีอุปสรรคทางกายภาพ ตลอดจนกรอบทางสังคม ทำให้ต้องใช้ความพยายามในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น แต่การมีระเบียบวินัยต่อตนเอง คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้หญิงฝ่าฟันกับอุปสรรคเหล่านั้นได้
  3. การแบ่งปัน (Sharing) แม้ปัจจุบัน สถานการณ์ความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทยจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน ยังมีผู้หญิงอีกจำนวนมากที่ยังติดหล่มความไม่เท่าเทียมทางเพศ ทั้งการเข้าถึงการศึกษาและแหล่งทุน ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงการขาดต้นแบบ (Role Model) ที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน เขาเหล่านั้นมีการจัดสรรเวลาให้แก่สังคม โดยร่วมแบ่งปันความรู้ของเธอแก่เด็กผู้หญิงและผู้หญิงที่ขาดโอกาส เพื่อการพัฒนาศักยภาพในตัวเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเชิงโครงสร้าง ยังพบปัญหาอีกหลายอย่างที่เกิดจากข้อจำกัดทางเพศ จากงานวิจัยของ Career after Babies ธุรกิจเพื่อสังคมสัญชาติอังกฤษ ได้จัดทำสำรวจความคิดเห็นของแม่ลูกอ่อนจำนวน 848 คนในอังกฤษ ในปี 2565 พบว่า

  • 85% ของผู้หญิงตัดสินใจออกจากงานประจำในช่วง 3 ปีแรกของการมีบุตร และ 19% ออกจากงานด้วยเหตุผลที่นายจ้างไม่สามารถให้ความยืดหยุ่นในการทำงานได้
  • ผู้หญิงในระดับบริหารมีสัดส่วนลดลงถึง 32% ภายหลังการมีบุตร ขณะที่สัดส่วนของผู้หญิงที่ทำงานในระดับปฏิบัติการและธุรการเพิ่มขึ้น 44% ตัวเลขดังกล่าวแสดงถึงภาวะจำยอมที่ผลักดันให้ผู้หญิงทำงานให้ตำแหน่งที่ต้องการความเชี่ยวชาญน้อยลง

ขณะเดียวกัน องค์การอนามัยโลกและ UNICEF ได้ออกคำแนะนำเกี่ยวกับการให้นมบุตร โดยกำหนดให้เด็กควรได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน (Exclusive Breastfeeding) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางสมองและการเจริญเติบโตของบุตร อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า เด็กไทยสัดส่วนน้อยกว่า 20% ได้รับนมแม่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการที่แม่ต้องกลับเข้าสู่การทำงาน และขาดการสนับสนุนพื้นที่จากองค์กรต่างๆ

ศรินทร์รา วงศ์ศุภลักษณ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัว ความแตกต่างและข้อจำกัดของผู้หญิงต่อการเข้าสู่สนามการทำงาน ตลอดจนบทบาทของผู้หญิงต่อการพัฒนาองค์กรและสังคม ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงกำหนดนโยบายและอำนวยความสะดวกในองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการทำหน้าที่แม่ เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ตลอดจนบทบาทสตรีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

  1. พนักงานหญิงสามารถลาคลอดบุตรได้สูงสุด 6 เดือน โดยได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน
  2. พนักงานชายจะได้รับสิทธิในการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้ปีละ 7 วัน
  3. พนักงานและสมาชิกในครอบครัว สามารถใช้บริการฟิตเนสเซ็นเตอร์ได้ฟรี
  4. ทรู คอร์ปอเรชั่น จัดหา “ห้องให้นมบุตร” (Breastfeeding Room) ซึ่งเป็นสถานที่ที่อำนวยความสะดวกสำหรับพนักงานหญิงที่มีลูกอยู่ในชั้นปฐมวัย แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน ถูกต้องตามหลักอนามัย ทั้งยังจัดหาตู้เย็นสำหรับจัดเก็บนมแม่ เพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณภาพที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้กำหนดนโยบายให้ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทจะต้องมีสัดส่วนเป็นผู้หญิงอย่างน้อย 30% ขณะเดียวกัน ยังกำหนดให้การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในองค์กรเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ในองค์กรอีกด้วย

“ที่ทรู คอร์ปอเรชั่น เราเข้าใจถึงความต้องการของพนักงานในมิติต่างๆ รวมถึงพนักงานหญิงที่หลายคนต้องทำหน้าที่ทั้งแม่และพนักงาน ซึ่งถือเป็นภาระอันหนักหน่วง เราจึงกำหนดนโยบายและจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะลดอุปสรรคทางเพศให้ได้มากที่สุด เพราะเราเชื่อมั่นในศักยภาพของทุกคนที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ Telco-Tech Company และการพัฒนาประเทศชาติต่อไป” ศรินทร์รา กล่าว

พร้อมติดตามเรื่องราวชีวิตอันเข้มข้นผ่านเลนส์ 5 หญิงแกร่งแถวหน้า กว่าจะเป็นผู้นำในวันนี้ได้ ต้องเผชิญกับอุปสรรค การตัดสินใจ และแนวทางการใช้ชีวิตอย่างไร ติดตามได้ที่ True Blog ตลอดเดือนมีนาคมนี้

ประกาศ 3 กลยุทธ์หลัก ปูทางเติบโตอย่างยั่งยืน ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

ทรู คอร์ปอเรชั่น เผยความสำเร็จทดสอบ “Cell Broadcast” ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านจอมือถือสำเร็จในห้องแลปเมื่อ 15 มกราคมที่ผ่านมา กำลังเจรจาความร่วมมือกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน กสทช. และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) หวังเปิดระบบให้คนไทยได้รับทราบข้อมูลเหตุฉุกเฉิน 5 ระดับทุกพื้นที่ทั่วไทย แบบเจาะจงพื้นที่เกิดภัยพิบัติเพื่อความปลอดภัย อาทิ ภัยแผ่นดินไหว ภัยสึนามิ ภัยน้ำท่วม เป็นต้น เป้าหมายเพื่อป้องกันอันตรายความเสี่ยงทั้งชีวิตและทรัพย์สินทั้งผู้ใช้งานคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เราเดินหน้าทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน หรือ Cell Broadcast ในห้องทดสอบปฏิบัติการ (Lab test) เป็นผลสำเร็จเมื่อ 15 มกราคมที่ผ่านมา โดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในสถานการณ์ฉุกเฉินของผู้ใช้งานมือถือทรูและดีแทคทั่วประเทศไทย โครงการริเริ่มนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่น ด้านความปลอดภัยสาธารณะผ่านนวัตกรรมโซลูชันโทรคมนาคม ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาร่วมมือกับภาครัฐเพื่อนำไปใช้งานจริง ซึ่งระบบนี้ประเทศไทยยังไม่เคยนำมาใช้งาน นับเป็นความสำเร็จก้าวแรกที่ทางทรู คอร์ปอเรชั่นเร่งเดินหน้าพัฒนาและร่วมมือสู่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน กสทช. และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อเปิดใช้งานโดยเร็ว”

ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน หรือ Cell Broadcast คือระบบแจ้งเตือนภัยผ่านข้อความบนหน้าจอมือถือ จากเสามือถือทุกพื้นที่ทั่วไทย และสามารถเจาะจงพื้นที่เฉพาะที่เกิดเหตุและสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันที ซึ่งจะส่งข้อความเตือนไปยังมือถือของลูกค้าทรู และดีแทค ทุกเครื่องในพื้นที่ต้องการแจ้งเหตุซึ่งต่างจากระบบ SMS ทั่วไป เพราะระบบจะแจ้งเตือนทันทีแม้ปิดเครื่อง โดยจะมีทั้งสัญญาณเสียง และข้อความที่แสดง (Pop up) บนหน้าจอ แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายให้ทราบพร้อมกันแบบรอบเดียว ทำให้ผู้ใช้งานมือถือทุกท่านทราบข้อมูลอย่างรวดเร็วครอบคลุมพื้นที่ แค่มีมือถือเท่านั้นไม่ต้องโหลดแอปพลิเคชันใดๆ สามารถได้รับการแจ้งเหตุทันที

ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน หรือ Cell Broadcast ของทรู คอร์ปอเรชั่นสามารถตั้งระดับการเตือน 5 ระดับตามฟังก์ชั่นการใช้งานและร่วมมือกับภาครัฐ ประกอบด้วย

  1. การแจ้งเตือนระดับชาติ (National Alert) การแจ้งเตือนระดับสูงสุด ความสำคัญมากสุด และทุกคนในทุกพื้นที่เสาสัญญาณครอบคลุมจะทราบเหตุทันที
  2. การแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน (Emergency Alert) การแจ้งเตือนภัยพิบัติต่างๆ เช่นภัยสึนามิ แผ่นดินไหว น้ำท่วมฉับพลัน หรือภัยจากคนร้าย เป็นต้น
  3. การแจ้งเตือนเด็กหาย (Amber Alert) ระบบตั้งเตือนข้อมูลเมื่อมีเด็กหายหรือการลักพาตัวเพื่อให้ประชาชนทราบข่าวเฝ้าระวังและช่วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐสังเกตุการณ์และรายงานถ้าพบคนร้าย
  4. ความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) ระบบการแจ้งเตือนความปลอดภัยสาธารณะในพื้นที่หรือการเฝ้าระวังกรณีแจ้งคนที่อยู่อาศัย ชุมชน และผู้สัญจรผ่านพื้นที่นั้น
  5. การแจ้งเตือนทดสอบ (Test Alert) ระบบทดสอบการแจ้งเตือนตามวัตถุประสงค์เฉพาะกิจต่างๆ โดยสามารถใช้งานเพื่อทดสอบก่อนขยายผลสู่การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนในระดับต่างๆ ต่อไป

ทั้งนี้ ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน หรือ Cell Broadcast สามารถนำมาใช้งานอย่างสะดวกเพื่อประชาชนที่มีมือถือโดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใดๆ และสามารถรับข้อมูลได้ทันทีผ่านการเตือนทั้งระบบเสียงเตือนภัย ข้อความแจ้งเหตุที่ทางทรู คอร์ปอเรชันนำมาทดสอบสามารถรองรับ 5 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย ด้วยการแจ้งเหตุเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ในโลกธุรกิจสมัยใหม่ การควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition: M&A) ถือเป็นหนึ่งเครื่องมือทางธุรกิจเพื่อการสร้างการเติบโตระยะยาว ข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ระบุว่า ในทศวรรษที่ผ่านมา ธุรกรรมที่เกิดจากการควบรวมกิจการ (M&A) ทั่วโลกมีมูลค่ารวมถึง 8.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คำนวณจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก 2,000 อันดับแรก)

แม้ M&A จะเติบโตขึ้นอย่างมาก แต่นั่นเป็นเพียงกระดุมเม็ดแรก เพราะข้อมูลจาก Harvard Business Review บ่งชี้ว่า ภายหลังจากที่กระบวนการ M&A เสร็จสิ้นลง บริษัทเหล่านี้เผชิญหน้ากับอัตราความล้มเหลวระหว่าง 70-90% โดยส่วนหนึ่งมาจากความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมองค์กร (Cultural Clash)

เนื่องในวันที่ 1 มีนาคม 2567 ครบรอบหนึ่งปีที่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ควบรวมภายใต้ชื่อบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) True Blog ได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมงานเฉพาะกิจ “Culture” ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ในรูปแบบของ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ซึ่งภายใต้การนำของ ชนิสรา สมมติวงศ์ หัวหน้าแผนก Culture & People Solutions กลุ่มทรัพยากรบุคคล และ อดิศร อธิคมชาคร หัวหน้าแผนก Internal Communications กลุ่มกิจการองค์กร

 

4C, 3 เป้าหมาย, 6 โครงการ

ชนิสรา เล่าว่า จากเป้าหมายเพื่อทรานส์ฟอร์มสู่ Telco-Tech Company คณะผู้บริหารตระหนักดีว่า People หรือพนักงานคือหัวใจสำคัญต่อการขับเคลื่อนองค์กร ดังนั้น จึงได้มีการทำสำรวจ Organizational Health Index: OHI ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความสามารถในการพัฒนาสมรรถนะ และได้จัด workshop สำหรับคณะผู้บริหารและพนักงาน เปิดพื้นที่ให้คนทรูได้แลกเปลี่ยนความคิดผ่านการนำวัฒนธรรมองค์กรมาปรับใช้ในชีวิตการทำงาน เพื่อพัฒนากรอบการทำงานด้านวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งเปรียบเสมือนหางเสือเรือ ควบคุมองค์กรทิศทางให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจากความแตกต่าง ท้ายที่สุดจึงออกมาเป็น 4C ได้แก่ Compassion, Credibility, Co-creation, Courage อันถือเป็นพื้นฐานกำหนดคุณค่าองค์กรและพฤติกรรม จากกระบวนการที่คนทรูได้บ่มเพาะวัฒนธรรมองค์กรร่วมกัน

ภายใต้วัฒนธรรม 4C ยังได้มีการกำหนดกรอบการทำงานด้านวัฒนธรรมองค์กรโดยแบ่งออกเป็น 3 ธีม ดังนี้

  1. One Team with Trust and Respect รวมกันเป็นหนึ่งด้วยความเคารพและเชื่อมั่นในกันและกัน ผลักดันองค์กรไปข้างหน้า ผสานจุดแข็งของ 2 บริษัทไว้ด้วยกัน พัฒนา สรรค์สร้างและต่อยอด
  2. High Performance Organization ก้าวสู่องค์กรสมรรถนะสูง มีประสิทธิภาพในทุกมิติ
  3. Being Customer Centric ยึดความต้องการลูกค้าเป็นที่ตั้ง ส่งต่อบริการที่เป็นเลิศสู่ตลาดอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรม 4C และ 3 เป้าหมาย จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากขาดกิจกรรมสนับสนุนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิง “พฤติกรรม” ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลัก นั่นคือ “พนักงานภายใน” ทีมงานจึงได้วางแผนและออกแบบกิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม โดยเเบ่งออกได้เป็น 6 โครงการ ดังนี้

  1. Change Stories สื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลงผ่านเรื่องราวของคนทรู ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเน้นย้ำถึงความเข้าใจในวัฒนธรรม 4C
  2. On-ground Activity กิจกรรมลงพื้นที่เพื่อให้ผู้บริหารได้มีโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์ สื่อสารทิศทาง กลยุทธ์ และการเปลี่ยนแปลงขององค์กร โดยเฉพาะกับหน่วยงานแนวหน้า (frontliners)
  3. Performance Management System สร้างระบบการบริหารและประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อก้าวสู่องค์กรสมรรถนะสูง
  4. Culture Ignitor ตัวแทนด้านการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรจากหลากหลายหน่วยงาน เพื่อสนับสนุน ขับเคลื่อน พร้อมสร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมความผูกพันภายในองค์กร
  5. Coaching Culture สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ผ่านกระบวนการโค้ชชิ่ง เพื่อพัฒนาศักยภาพ ทักษะ และสมรรถนะ ของบุคคลากร
  6. Hackathon กิจกรรมระดมสมองและท้าทายตามโจทย์ที่วางไว้ ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด เพื่อสร้างวัฒนธรรม Co-creation อันเป็นคุณค่าสำคัญที่นำมาสู่นวัตกรรม

 

God is in Details

อดิศร อธิบายต่อว่า ด้วยความแตกต่างทั้งด้านวัฒนธรรม ระบบ กระบวนการ และโครงสร้างองค์กร ทำให้เกิดความท้าทายนานัปการ อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์การทำงานที่สร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ การจะเป็น One Team ได้นั้นจะต้องเริ่มจากการทำให้พนักงาน “เปิดใจ” และยอมรับในความต่าง

“เป็นธรรมดา ที่คนที่มาจากสองกลุ่ม ในวันที่ต้องมารวมตัวกัน ความรู้สึกลึกๆ ข้างในยังมี การแบ่งแยก กลุ่มฉันกลุ่มเธอ กลุ่มใครอยู่ หากเราเอางานเข้ามา แล้วหวังว่าจะทำให้คนสองกลุ่มที่มาจากต่างวัฒนธรรม เข้ากันได้ในช่วงเวลาสั้นๆ คงเป็นไปได้ยาก แต่ธรรมชาติทุกคนชอบความสนุก ชอบความเป็นกันเอง ชอบเสียงหัวเราะ ดังนั้น เราต้องดึงเอาความรู้สึกที่ดีเป็นจุดเชื่อม ทำให้คนสองกลุ่มมีปฏิสัมพันธ์กันและ เริ่มเปิดใจเข้าหากันมากขึ้น”

สำหรับโปรเจกต์ Culture นี้ เกิดจากความร่วมมือระหว่างทีม Internal Comms ภายใต้กลุ่มกิจการองค์กร และทีม Culture & People Solutions ภายใต้กลุ่มทรัพยากรบุคคล ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการ Co-creation และทำงานแบบ Cross functional โดยอาศัยจุดแข็งของแต่ละทีมมาผลักดันองค์กร ดังเช่น ทีม Internal Comms ที่อาศัยทักษะการเล่าเรื่อง (Storytelling) ทำให้วัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งที่จับต้องได้และพนักงานทุกคนเข้าใจ

อดิศร อธิบายคอนเซ็ปต์การทำงานว่า “เรียบง่าย แต่แฝงด้วยกุศโลบาย” คือ แนวคิดและการออกแบบกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมที่ผ่านมา ยึดความต้องการของพนักงานเป็นที่ตั้งผ่านมุมมองแบบ Outside-in ไม่ยัดเยียด ตัวอย่างเช่น Happy PAYday เป็นกิจกรรม Flagship ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อ “เติมความสุข” ในที่ทำงานให้คนทรู ขณะเดียวกัน ก็เป็นการเชิดชูวัฒนธรรมองค์กรที่นำไปสู่การสร้างสรรค์ร่วมกัน (Co-creation) เพื่อริเริ่มความเป็นไปได้ใหม่ๆ อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งในเอพิโสดแรกที่จัดขึ้นในเดือนกันยายน 2566 เป็นกิจกรรมแข่งขันร้องเพลงคาราโอเกะ แบ่งตามกลุ่มงาน นำโดย ผู้บริหาร หรือ CxO ของแต่ละกลุ่ม ซึ่งผลออกมาเป็นที่เซอร์ไพรส์กับพนักงานทรูเป็นอย่างมาก ผู้บริหารทุกท่านเต็มที่กับกิจกรรม เผยความสามารถและอีกด้านอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งท้ายที่สุด กิจกรรมนี้ช่วยทำให้ช่องว่างระหว่างผู้บริหาร-พนักงาน หัวหน้า-ลูกน้อง ลดลง เมื่อช่องว่างเหล่านี้ลดลง นำมาสู่ความกล้า ​(Courage) ถือเป็น 4 ที่สำคัญที่สุดในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน บ่มเพาะพฤติกรรมที่กล้าออกความคิดเห็น ท้าทายตัวเอง (Challenge Status-quo) และยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง

“การหล่อหลอมวัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ชั่วข้ามคืน ดังนั้น จึงต้องเริ่มจากความเข้าใจ วันนี้ ผู้นำองค์กรได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง พร้อมทั้งสนับสนุนในทุกไอเดียที่นอกกรอบ” อดิศร กล่าว

กิจกรรม Happy PAYday ดูเหมือนเป็นกิจกรรมที่เรียบง่าย แต่เบื้องหลังมีกระบวนการและวางกุศโลบายไว้อย่างเป็นระบบ ผู้บริหาร ผู้ร่วมงาน ได้ร่วมกิจกรรมโดยให้ตัวเองเป็นธรรมชาติที่สุด เอาความเป็นมนุษย์ แบ่งปันความรู้สึก แก้ปัญหาด้วยกัน ให้ทุกคนมีโมเมนท์ร่วมกันมากที่สุด อันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแรงเสริมเชิงบวกหรือ Positive Reinforcement

ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวดำเนินมาอย่างต่อเนื่องทั้ง Happy PAYday ตอน ฮาlloween รวมผี fun fair และ Happy PAYday ตอน Culture Play Day

ในปีที่ผ่านมา และเอพิโสดถัดไป กำลังเกิดขึ้นในทุกไตรมาสของปี 2567 ติดตามได้ที่ True Blog สำหรับแผนงานในปีนี้ทาง Internal Comms จะมุ่งเน้นในการส่งต่อ กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัท เพื่อให้พนักงานได้ตระหนักรู้ในบทบาทในการทำงานเป็น Team Player ไม่ใช่แค่ Team Member เพราะพนักงานเป็นทรัพยากรสำคัญของบริษัทที่จะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกันในการเป็นผู้นำเทเลคอม-เทคโนโลยีของไทย

 

ก้าวถัดไปสู่ Sustainable Culture

นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาราว 1 ปีของเส้นทางการเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมองค์กร กิจกรรมต่างๆ ที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อัตราการเข้าร่วมกิจกรรมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งจากกิจกรรมออนกราวน์และออนไลน์ บรรยากาศภายในมีความสนุกขึ้น แสดงให้เห็นถึงการโอบรับวัฒนธรรมองค์กรและดีเอ็นเอใหม่ๆ เหล่านี้

“Happy PAYday เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดการหลอมรวมองค์กรที่มีลักษณะ Top-Down และ Bottom-up ไปพร้อมๆ กัน” อดิศร กล่าว

ชนิสรา กล่าวถึงก้าวต่อไปของการสร้างองค์กรที่มีวัฒนธรรมที่หลอมรวมเป็นหนึ่งอย่างยั่งยืน (Sustainable Culture) ผ่านการออกแบบกิจกรรมและโครงการใหม่ๆ ที่สอดรับกับบริบทขององค์กรและมุมมองของผู้นำรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูง เช่น โครงการ Hackathon ที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้ระดมสมองและท้าทายตามโจทย์ที่วางไว้ เพื่อนำมาสู่นวัตกรรมใหม่ๆ และ Reverse Mentoring โครงการที่ให้คนรุ่นใหม่มาพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้บริหาร เพื่อลดช่องว่างระหว่างเจเนอเรชั่น

นอกจากนี้ เพื่อให้มีความเป็น One “Stronger” Team สอดรับกับบริบทแวดล้อมและเป้าหมายทางธุรกิจที่ต้องการเป็น Data-Driven Organization จึงได้มีการเตรียมความพร้อมหลักสูตรการพัฒนาบุคคล รวมถึงเครื่องมือและวิถีการทำงานในรูปแบบใหม่ เพื่อให้องค์กรเดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดปัดฝุ่น โครงการ “ปลูกรัก” เพื่อสร้างความสุขทั้งกายและใจให้พนักงาน ผ่าน 4 ด้าน ได้แก่ ปลูกรักสุขภาพดี ปลูกรักปลูกธรรม ปลูกรักปลูกความมั่งคั่ง และปลูกรักปลูกความผูกพัน

“การก้าวสู่ Telecom-Tech Company พนักงานและการสื่อสารด้วยหัวใจ (Humanized) คือส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน” ชนิสรา กล่าวทิ้งท้าย

X

Right Click

No right click