รุกตลาด รับแนวโน้มสายมูเติบโตต่อเนื่อง มูลค่าตลาดเฉียด 1 พันล้านบาท พร้อมเฟ้นหานิวเจน ประกวดแบบบ้านสู่แบบจริงในงาน Open House 2023

บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด มหาชน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โดยมีเป้าหมายร่วมกันที่จะศึกษาและพัฒนา Guideline โครงการ Pathway to NET ZERO Building ผ่านโครงการต้นแบบและขยายผลการดำเนินการ โดยการใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานและมาตรฐานอาคารเขียว (Green Building) ภายใต้เงื่อนไขความร่วมมือซึ่งกันและกัน และเผยแพร่ผลสัมฤทธิ์สู่สาธารณชน โดยจะได้นำผลของการดำเนินการต่อยอดสู่การพัฒนาโครงการเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases : GHG) ทั้งในอาคารเก่าและอาคารใหม่ในอนาคต

นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า “สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเอสซีจี โดย เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในฐานะผู้นำด้านสินค้า บริการ รวมถึงโซลูชันด้านสินค้าวัสดุก่อสร้าง ที่ได้ให้ความสำคัญในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในอาคารมาโดยตลอด ในครั้งนี้ เอสซีจี โดยบริษัท SCG Building and Living Care Consulting ซึ่งเป็นธุรกิจที่ก่อตั้งขึ้นจากการนำองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการก่อสร้างของเอสซีจี ผนึกเข้ากับแนวทาง ESG” ที่เอสซีจีนำมาใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้สอดคล้องกับหลักพัฒนาคุณภาพทางสังคมแบบยั่งยืน ต่อยอดสู่ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาด้านสิ่งปลูกสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างมาตรฐานคุณภาพการใช้ชีวิตภายในอาคารให้ดีขึ้น จาก 3 บริการหลัก คือ Sustainability and Wellbeing Building Certification, Building Services Engineering, Healthcare and Wellness Building Design ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและออกแบบอาคารเพื่อความยั่งยืนและเพื่อสุขภาวะที่ดี ่านการให้คำปรึกษาเพื่อออกแบบกรอบแนวทางดำเนินการ วิเคราะห์ องค์กร อาคารและผลิตภัณฑ์ คำนวณความคุ้มค่าและผลตอบแทน พร้อมนำเสนอ Solutions ให้เหมาะสมกับเป้าหมายและงบประมาณของแต่ละองค์กร และธุรกิจ SCG Smart Building Solution ซึ่งให้บริการโซลูชันด้านพลังงานในอาคาร และการบริหารจัดการอาคารด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน รวมถึงบริษัทต่างๆ ในเครือ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีความยินดีที่จะนำองค์ความรู้มาต่อยอด เพื่อวางแนวทางโครงการ Pathway to NET ZERO Building โดยได้ร่วมกับทางเซ็นทรัลพัฒนา ในการจัดทำแผนแม่บทเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่ NET ZERO ในปี 2050 โดยมีโครงการนำร่องได้แก่ เซ็นทรัล เวสต์วิลล์, แจ้งวัฒนะ, พัทยา, อยุธยา, นครปฐม, และนครสวรรค์”    

“การลงนามในวันนี้เป็นอีกหนึ่งในจุดเริ่มต้นของ เอสซีจี และ เซ็นทรัลพัฒนา ในการใช้จุดแข็งของ ทั้ง 2 ธุรกิจมาพัฒนาต่อยอดสู่เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นพันธกิจของสังคมโลก ซึ่งหวังว่ากลยุทธ์สำคัญที่ได้จากโครงการนี้จะมีส่วนสำคัญในการสร้างองค์ความรู้และเผยแพร่สู่สาธารณะ เพื่อประโยชน์ในการผลักดันให้เกิดนโยบายหรือแผนงานเพื่อมุ่งสู่ความเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญเพื่อโลกที่ยั่งยืนให้กับหลายๆ หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ต่อไปในอนาคต” นายวชิระชัย กล่าวทิ้งท้าย

 

นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล Chief Development and Commercial Officer บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เซ็นทรัลพัฒนา มีวิสัยทัศน์ที่สำคัญคือ ‘Imagining better futures for all’ เราจึงตั้งเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนอย่างจริงจัง คือการเป็นองคก์ร NET Zero ภายในปี 2050 ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และมลพิษจากธุรกิจสุทธิเป็นศูนย์ ทั้งนี้ เราตั้งใจพัฒนา พื้นที่ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต รวมถึงดูแลชุมชนและสังคม โดยการพัฒนาธุรกิจหลักของเรา ทั้งศูนย์การค้า, ที่อยู่อาศัย, โรงแรม และอาคารสำนักงาน จะเป็นการเชื่อมโยงเข้าหากันทั้งระบบ เพื่อสร้าง The Ecosystem for All’ ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน รวมไปถึงเรายังได้ขยายความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรในด้านต่างๆ ที่จะแบ่งปันและส่งเสริมความเชี่ยวชาญระหว่างกันอีกด้วย ดังเช่นการริเริ่มโครงการ “Green Partnership”  หรือพันธมิตรสีเขียว โดยเริ่มต้นที่ โครงการต้นแบบ Framework Pathway to Net Zero Building Guideline ร่วมกับ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจให้กับบุคลากรของทั้งสองบริษัท ในด้านกระบวนการทำงานสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนต่อไป”

บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ร่วมกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ย้ำภาพผู้นำวัสดุก่อสร้าง ครองใจนักออกแบบ พร้อมต้อนรับพันธมิตรเยี่ยมชมงานสถาปนิกสยาม ‘66

นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง เอสซีจี และนายอบิจิต ดัดต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมกับ ดร. เช ซุน ฮง ประธานที่ปรึกษาบริษัท แอลเอส อิเล็กทริก และ ดร. โช วุก ดง รองประธานอาวุโส หน่วยงาน อิเล็กทริกพาวเวอร์ ดีเอ็กซ์ บิซ บริษัท แอลเอส อิเล็กทริก ร่วมลงนามเซ็นสัญญา MOU บันทึกข้อตกลงในการติดตั้งระบบการจัดการพลังงาน (EMS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบไมโครกริด ณ เอสซีจี สำนักงานใหญ่ บางซื่อ ในปี 2566

เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น และ แอลเอส อิเล็กทริก ร่วมมือพัฒนาโซลูชันด้านพลังงานที่ยั่งยืน โดยนำระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ (EMS) ของ แอลเอส อิเล็กทริก มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบไมโครกริด บริเวณอาคารสำนักงาน ลานจอดรถพลังงานแสงอาทิตย์และสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า ณ เอสซีจี สำนักงานใหญ่ บางซื่อ โดยทั้งสองบริษัทจะผสานความร่วมมือในการจัดหาโซลูชันพัฒนาระบบไมโครกริดเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน รวมถึงการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 (Net  Zero 2050)  

นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี มุ่งมั่นและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ซึ่งปัจจุบันความต้องการโซลูชันด้านการจัดการพลังงานเพิ่มสูงขึ้น หลายธุรกิจต่างมองหาวิธีลดการใช้พลังงานในอาคารและโรงงาน ความร่วมมือนี้จะช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น"

“ความร่วมมือครั้งนี้ เอสซีจี และ แอลเอส อิเล็กทริก จะนำความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายในการพัฒนาตลาดไมโครกริดที่กำลังเติบโตเพื่อแก้ปัญหาต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้น ระบบการจัดการพลังงานจึงเป็นส่วนสำคัญของระบบไมโครกริดในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าและมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน” นายอบิจิต ดัดต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าว

ดร. เช ซุน ฮง ประธานที่ปรึกษาบริษัท แอลเอส อิเล็กทริก กล่าวว่า "ระบบไมโครกริดจะปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอนและเพิ่มความยืดหยุ่นในกรณีที่ไฟฟ้าดับ ความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่เป้าหมายความยั่งยืนในระยะยาวของเอสซีจีและอาจนำไปสู่การร่วมทุนในธุรกิจไมโครกริดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผมมั่นใจและเชื่อมั่นในความสำเร็จของการทำงานร่วมกันระหว่างทั้งสองบริษัท”

X

Right Click

No right click