ซีพี แอ็กซ์ตร้า” ผู้นำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก เตรียมเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 4 รุ่น อายุ 1 ปี 6 เดือน ถึงอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยเบื้องต้นระหว่าง 3.00-3.95% ต่อปี โดยเสนอขายเป็นครั้งแรกให้กับประชาชนทั่วไป ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 8 แห่ง และช่องทางทรู มันนี่ วอลเล็ต คาดว่าจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 8 และ 11-12 กันยายน 2566 เผยจุดเด่นหุ้นกู้ นอกจากจะออกและเสนอขายโดยบริษัทที่เป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ที่มีเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคเอเชียแล้ว หุ้นกู้ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจและผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างมีศักยภาพ โดยผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมกว่า 2.41 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.17 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนที่แสวงหาหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ มีโอกาสเติบโต ภายใต้ความเสี่ยงของหุ้นกู้เพียงระดับ 3

นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโครและประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” (Makro) และธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าภายใต้ชื่อ “โลตัส” (Lotus’s) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้รุ่นอายุ 1 ปี 6 เดือน รุ่นอายุ 3 ปี รุ่นอายุ 5 ปี และรุ่นอายุ 7 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยระหว่าง 3.00-3.95% ต่อปี ซึ่งจะแจ้งอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนอีกครั้ง โดยจะเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารยูโอบี และ บล.เกียรตินาคินภัทร รวมถึงเสนอขายผ่านช่องทาง ทรูมันนี่ วอลเล็ต คาดว่าจะเสนอขายได้ในระหว่างวันที่ 8 และ 11-12 กันยายน 2566

ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 สะท้อนสถานะของบริษัทฯ ในการเป็นบริษัทย่อยหลัก (Core Subsidiary) ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) และการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ด้วยความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานที่ฐานรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 (มกราคม-มิถุนายน 2566) บริษัทฯ มีรายได้รวม 241,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,746 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากธุรกิจค้าส่งแม็คโคร 130,875 ล้านบาท และธุรกิจค้าปลีกโลตัส 110,959 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 3,682 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (Core Net Profit) ที่ไม่รวมรายการพิเศษในครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 3,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

“การเติบโตในครึ่งปีแรกของปี 2566 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเดินหน้าขยายสาขาและเพิ่มประสิทธิภาพแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ รวมถึงการผสานช่องทางการขายออนไลน์และสาขาอย่างไร้รอยต่อ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ

ยังมีเป้าหมายในการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในระดับภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ (Omni channel) ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักบรรษัทภิบาล เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเชื่อว่าด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จะทำให้หุ้นกู้ของ ซีพี แอ็กซ์ตร้า ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนที่แสวงหาหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ภายใต้ความเสี่ยงของหุ้นกู้เพียงระดับ 3 (ต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1 สูงสุดระดับ 8) และธุรกิจมีศักยภาพในการเติบโตสูง” นางเสาวลักษณ์กล่าว

ทั้งนี้ ธุรกิจของ บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจค้าส่ง ภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” (Makro) ในประเทศไทยและอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการมืออาชีพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ ร้านค้าปลีกรายย่อย กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง (HoReCa) ตลอดจนกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระและสถาบันต่างๆ ธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจให้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้าภายใต้ชื่อ “โลตัส” (Lotus’s) ในประเทศไทยและมาเลเซีย โดยบริษัทฯ มุ่งที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภคในระดับภูมิภาคในเอเชีย และขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ ด้วยช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (Omni channel) นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพของร้านค้า ต่อยอดธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และการปรับโฉมร้านค้าแบบไฮบริดซึ่งดึงจุดเด่นของ 2 กลุ่มธุรกิจค้าส่งค้าปลีกแบบไร้รอยต่อ เพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

นอกจากนี้ บมจ. ซีพี แอ็กซ์ตร้า ยังได้รับคัดเลือกให้ติดอันดับบริษัทด้านความยั่งยืน โดยเข้าเป็นสมาชิกของดัชนี S&P Global The Sustainability Yearbook 2023 ในกลุ่ม Food & Staples Retailing ซึ่งเป็นดัชนีชั้นนำของโลกที่ใช้วัดผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอกย้ำการเป็นบริษัทที่มุ่งสร้างการเติบโตไปพร้อมกับคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัท (IOD) ในระดับ 5 ดาวหรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Score) ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 อีกด้วย

ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ซีพี แอ็กซ์ตร้า สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Bualuang mBanking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 819 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungsri Mobile App (“KMA”) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น CIMB Thai Digital Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

* ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

** ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

***ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังสามารถจองซื้อหุ้นกู้ “ซีพี แอ็กซ์ตร้า” ผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้อีกด้วย โดยสามารถดาวน์โหลดแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้ที่ App Store และ Play Store ดูรายละเอียดวิธีการสมัครแอปฯ และวิธีการจองซื้อได้ที่ www.truemoney.com หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 1240 กด 6

 

สิงหา 2566

ยกระดับสินค้าสู่ร้านเซเว่นฯ จัดเต็มนวัตกรรมแบบ “SME โตไกลไปด้วยกัน”

มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED Foundation) นับเป็นหนึ่งในความร่วมมือครั้งสำคัญของภาคเอกชน 47 องค์กรในการยกระดับคุณภาพการจัดการการศึกษาไทยสู่มาตรฐานสากล แต่ละองค์กรที่เข้าร่วมกับมูลนิธิต่างเดินหน้าลงพื้นที่ร่วมพัฒนาการศึกษาไทยอย่างต่อเนื่อง

เช่นเดียวกับบริษัท​ ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเข้าไปสนับสนุนโรงเรียนถึงมากกว่า 573 โรงเรียน นับเป็นหนึ่งในองค์กรที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่โรงเรียนต่างๆ ภายใต้ CONNEXT ED ได้อย่างโดดเด่น

นายประสิทธิ์  ฉกาจธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ และ รองประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพี ออลล์ คอนเน็กซ์ อีดี (CP ALL CONNEXT ED) เล่าว่า ซีพี ออลล์เข้ามาร่วมขับเคลื่อนโครงการตามปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสต่อกัน” นับตั้งแต่ปีแรกของ CONNEXT ED โจทย์ใหญ่ที่สุดของซีพี ออลล์ ไม่ใช่แค่การเข้าไปช่วยยกระดับการศึกษา แต่คือ “การสร้างความยั่งยืน” ทำอย่างไรให้โรงเรียนยังเดินหน้าพัฒนาการศึกษาต่อได้ ในวันที่ทีมงานออกมาแล้ว ทำอย่างไรให้บุคลากรของโรงเรียนเห็นเป้าหมายของการพัฒนาเป็นภาพเดียวกัน ทำอย่างไรให้การพัฒนาการศึกษาสอดคล้องกับวิถีชีวิต อัตลักษณ์ จุดแข็งของโรงเรียนและท้องถิ่นนั้นๆ และทำอย่างไรให้ทั้งโรงเรียนและชุมชนใกล้โรงเรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือ Life Long Learning

จากโจทย์ดังกล่าว บริษัทจึงดำเนินการหลายอย่างพร้อมกัน คือ 1.สนับสนุนทั้งงบประมาณ องค์ความรู้ อุปกรณ์การศึกษา วัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนบุคลากรในบริษัท ที่ผ่านการพัฒนาทักษะและมีจิตสาธารณะ เข้าไปเป็นผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) พร้อมทั้งจัดเวิร์คช้อปที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง 2.แบ่งสาขาการสนับสนุนให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละโรงเรียนผ่านโครงการที่โรงเรียนเสนอเข้ามา ทั้งโครงการด้านวิชาชีพ ด้านเกษตรกรรม ด้านวิชาการ ด้านเทคโนโลยี ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม 3.แบ่งกลุ่มตามระดับความสำเร็จของการพัฒนา ได้แก่ โรงเรียนที่เพิ่งเข้าร่วม (Newcomer School) โรงเรียนที่ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Best Practice School) โรงเรียนต้นแบบ (School Model) โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) และล่าสุดระดับใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นปีนี้ คือระดับวิสาหกิจโรงเรียน (School Enterprise) โดยเพิ่มแรงจูงใจ อาทิ การเพิ่มงบประมาณการสนับสนุนให้ในระดับที่สูงขึ้น

“การแบ่งระดับความสำเร็จ เป็นทั้งการสร้างกำลังใจและสร้างเป้าหมายให้แต่ละโรงเรียนในการเดินหน้ายกระดับการศึกษาของตัวเองอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เมื่อผ่าน 1 ระดับ โรงเรียนจะได้ทั้งความภาคภูมิใจ ได้งบประมาณสนับสนุนเพิ่มขึ้น และได้เป้าหมายใหม่ในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ละระดับจะมีเป้าหมายหรือเกณฑ์การผ่านของตัวเอง ยิ่งระดับสูงก็จะยิ่งมีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเข้มข้นขึ้น เมื่อได้รับระดับ School Model ขึ้นไป ก็มีโอกาสได้รับการนำโมเดลไปขยายผลยังโรงเรียนอื่นๆ เพิ่มเติม” นายประสิทธิ์ กล่าว

ด้าน นายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ประธานคณะทำงานโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่มีองค์ความรู้ทางวิชาการอยู่แล้ว แต่อาจยังขาดความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการโครงการอย่างยั่งยืน ตลอดจนแนวทางการบูรณาการหลักสูตร สิ่งที่ซีพี ออลล์ ดำเนินการ จึงเป็นการเข้าไปให้แนวทางการบริหารจัดการโครงการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งตั้งเกณฑ์กรอบความยั่งยืน 3 มิติ ได้แก่ การเป็นโรงเรียนที่พึ่งพาตนเองได้ การบูรณาการความรู้สู่หลักสูตรสถานศึกษาหรือหลักสูตรท้องถิ่น และการพัฒนาสู่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เพื่อเป็นแนวทางให้โรงเรียนที่ต้องการก้าวขึ้นสู่ระดับ School Model ขึ้นไป นำไปปฏิบัติ เพื่อยกระดับการศึกษา พร้อมทั้งสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้แก่นักเรียน โรงเรียน และชุมชน

“ในปีแรกๆ ยุทธศาสตร์ของเราคือการขยายฐานจำนวนโรงเรียนที่เข้าร่วม CONNEXT ED มุ่งเน้นสนับสนุนโรงเรียนที่ผ่านการกลั่นกรองคัดเลือกตามเกณฑ์ของโครงการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. เป็นหลัก ส่วนในปีนี้เปิดโอกาสให้โรงเรียนอื่นๆ ที่มีศักยภาพความพร้อม ตามบริบทโครงการเพื่อสังคม สิ่งแวดล้อมของบริษัทเช่น การปลูกป่า การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมซึ่งพิจารณาจากทีมเวิร์คของโรงเรียน ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการกับเราแล้ว ให้ก้าวสู่ระดับความสำเร็จที่สูงขึ้น คาดว่าสิ้นปีการศึกษา 2566 จะมีโรงเรียนที่เราดูแลรวม 573 โรงเรียน ครอบคลุมจำนวนนักเรียนกว่า 140,000 คน” นายตรีเทพ กล่าว

ล่าสุด เฟสปัจจุบัน มีโรงเรียนที่ผ่านการคัดเลือกสู่ระดับความสำเร็จที่สูงขึ้นทั้งสิ้น 79 แห่ง แบ่งเป็นโรงเรียนที่เพิ่งเข้าร่วม (Newcomer School) 27 แห่ง โรงเรียนที่ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Best Practice School) 18 แห่ง โรงเรียนต้นแบบ (School Model) 13 แห่ง โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) 9 แห่ง และวิสาหกิจโรงเรียนที่ปลูกฝังอาชีพ สร้างคลัสเตอร์รายได้ (School Enterprise) 12 แห่ง โดยมีหลายโรงเรียนที่ดำเนินโครงการได้อย่างน่าสนใจ อาทิ โครงการอุทยานการเรียนรู้ “Happy School” ความสุขที่ยิ่งใหญ่ของการเรียนรู้และการท่องเที่ยว ของ โรงเรียนบ้านเขาเฒ่า จ.พัทลุง ที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกลับสู่ชุมชนปีละกว่า 90,000 บาท และได้รับการคัดเลือกขึ้นมาเป็น School Model และ โครงการดาวเรืองร้อยใจร้อยล้านของโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นมาเป็น Best Practice School

 

นางวรรณวนา พิทักษ์สงคราม ผู้อำนวยการโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว กล่าวว่า ชุมชนโดยรอบของโรงเรียนเป็นพื้นที่ปลูกดาวเรืองเพื่อจำหน่ายดอกสด ซึ่งมีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก ไซส์เล็กขายไม่ได้ หากนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นก็จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้ จึงปรึกษาพันธมิตรภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ อาทิ วิทยาลัยอาชีวะ ปราชญ์ชาวบ้าน โดยแนะนำให้ปลูกแบบออร์แกนิก  เพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าออร์แกนิก แนะนำเทคนิคการมัดย้อม จนได้มาเป็นโครงการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดอกดาวเรือง การได้เข้าร่วมโครงการเป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดพลังในการพัฒนาโครงการ ผ่านการให้การสนับสนุนด้านงบประมาณและองค์ความรู้ ที่สำคัญคือโรงเรียนได้มีการปรับหลักสูตรใหม่ ครูได้มีการคิดนอกกรอบ บูรณาการหลักสูตรแบบ Life Long Learning โดยแบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแปรรูปเพื่อการบริโภค กลุ่มแปรรูปเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์มัดย้อม และกลุ่มปลูก ปัจจุบันได้มีการพัฒนาต่อยอดสู่เทคนิค Eco ​Printing ให้ลวดลายที่สวยงามนำวัสดุธรรมชาติ เช่น ใบไม้ มาพิมพ์ลายบนผ้า เด็กได้มีส่วนร่วมทุกขั้นตอน สร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน สู่อาชีพสร้างรายได้ในอนาคต

เล็งต่อยอดการสร้าง Life Long Learning สร้างอาชีพและรายได้ยั่งยืน สู่ “School Enterprise”

เซเว่น อีเลฟเว่น ประกาศกลยุทธ์เสริมทัพพันธกิจส่งเสริมและสนับสนุนเอสเอ็มอี ปี 2566 ภายใต้ชื่อ “SME Beyond”

Page 3 of 5
X

Right Click

No right click