SCB WEALTH เดินหน้ารุกด้าน Financial Privilege มุ่งเน้นการมอบเอกสิทธิ์ทางการเงินและการลงทุน เพื่อนำไปต่อยอดความมั่งคั่งและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ผ่านกิจกรรมสัมมนา

ในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา และอาจารย์ด้านกฎหมายและเศรษฐกิจระหว่างประเทศคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย นางสาวเกษรี อายุตตะกะ CFP® ผู้อำนวยการกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ ภายใต้หัวข้อ “ China Reopening: Challenges and Prospects ” ณ SCB Investment Center ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี

โดยดร.อาร์ม กล่าวในงานสัมมนาว่า คนจีนยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศตนเอง แม้ในระยะสั้น จะเป็นแบบเศรษฐกิจ Square Root Shape กล่าวคือ ดีดตัวขึ้นหลังเปิดเมืองระยะหนึ่งแล้วทรงตัว โดยในไตรมาสแรก GDP Growth อยู่ที่ 4.5% จากคาดการณ์ไว้ที่ 4% การค้าปลีกเติบโต 10% จากการฟื้นตัวการบริโภคภายในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังค้างอยู่ และ ผล

ประกอบการบริษัทจีนยังไม่ดีอย่างที่คาดหวัง ทำให้ประชาชนไม่แน่ใจกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ยังระมัดระวังการใช้จ่าย สิ่งที่นักลงทุนในตลาดหุ้นคาดหวัง คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ และอัดฉีดเม็ดเงิน

ส่วนในระยะกลางเศรษฐกิจจีนจะโตแบบขั้นบันได มีทั้งช่วงที่เศรษฐกิจนิ่งๆ และเติบโตสลับกัน ซึ่งมี 3 ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้อง คือ 1)รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจีนกำลังเจอปัญหาเงินฝืด สวนทางกับชาติอื่นที่มีปัญหาเงินเฟ้อ ประชาชนคาดหวังว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ย อัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 2)ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจเริ่มกลับมา หลังรัฐบาลจีน ให้ความเชื่อมั่นในการสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยย้ำว่าภาคเอกชนมีความสำคัญกับเศรษฐกิจจีน และ3)ยังมีความท้าทายจากปัญหาอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แม้ภาคอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ส่วนปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ต่างชาติยังลังเลในการเข้ามาลงทุน เพราะไม่มั่นใจว่าความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะลุกลามมากกว่านี้หรือไม่

สำหรับเศรษฐกิจจีนในระยะยาว มีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าประเทศอื่นๆในโลก ซึ่งสหรัฐฯ เจอปัญหาเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยในอัตราที่สูง ปัญหาภาคธนาคารขาดเสถียรภาพ และปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ด้านยุโรป ได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่วนจีน ได้รับผลกระทบจากนโยบาย zero covid การปราบปรามภาคเอกชน ภาคอสังหาริมทรัพย์ และเทคโนโลยี ที่แรงเกินไป รวมทั้ง ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แต่พบว่า จีนได้เลิกนโยบายโควิดและเริ่มกลับมาเน้นภาคเอกชนอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนสนใจ และหาจังหวะเข้าลงทุน

ทั้งนี้ หุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นกลุ่มดั้งเดิม ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค สนับสนุนการฟื้นตัวในช่วงหลังโควิด ส่วนในระยะยาว แนะนำกลุ่ม Soft Tech ที่ราคามีการปรับลดลงไปมาก จากผลกระทบเรื่องการออกกฎระเบียบจัดการ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ แม้ราคาจะปรับขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ลงทุนได้ นอกจากนี้ กลุ่มพลังงานสะอาด ซึ่งรัฐบาลยังสนับสนุนเต็มที่ อาจหาจังหวะเข้าลงทุน เมื่อราคาปรับลดลง

 เรียลมี (realme) แบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วในโลก เปิดตัวสมาร์ตโฟนซีรีส์ล่าสุด “realme 11 Pro Series 5G” ที่ประเทศจีน นำเสนอ 2 รุ่นคือ realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G มาพร้อมดีไซน์ฝาหลัง ผลงานการคอลแลบกับนักออกแบบสิ่งทอชั้นนำระดับโลกจาก Gucci Prints พร้อมชูไฮไลต์ในรุ่นใหญ่ realme 11 Pro+ 5G ด้วยสุดยอดนวัตกรรมกล้องถ่ายภาพระดับแฟล็กชิปแห่งปีที่หลายคนรอคอย

สมาร์ตโฟน realme ในตระกูล Number Series สามารถทำยอดขายทั่วโลกได้มากกว่า 50 ล้านเครื่อง จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ realme สามารถทุบสถิติยอดขายเกิน 100 ล้านเครื่องได้ในช่วงที่ผ่านมา และด้วยแนวคิดพื้นฐานที่ว่าบริษัทจะไม่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ถ้าไม่มีนวัตกรรมใหม่ (No Leap-forward innovation, no product release) ทำให้ realme 11 Pro+ 5G มาพร้อมเทคโนโลยีกล้องระดับแฟล็กชิปที่พร้อมสั่นสะเทือนวงการ โดยเป็นกล้องระบบ SuperZoom 200 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลกซึ่งทรงประสิทธิภาพสูงสุดในตลาดสมาร์ตโฟนระดับราคาเดียวกัน และไม่เพียงมอบประสบการณ์การถ่ายภาพที่เหนือระดับทั้งในด้านการซูม ความละเอียดของเม็ดพิกเซล และฟังก์ชันต่าง ๆ เท่านั้น แต่สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ยังยกระดับการออกแบบตัวเครื่อง รวมถึงคุณสมบัติด้านอายุการใช้งานแบตเตอรี่ หน่วยความจำ และอื่น ๆ อีกมากมาย

ายเชส ซือ รองประธานบริษัท realme และประธานกรรมการบริหาร realme Global Marketing กล่าวว่า เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาเทคโนโลยีกล้องในสมาร์ตโฟนของเราคือการส่งเสริมไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด ซึ่งทำให้ realme 11 Pro 5G Series เป็นสมาร์ตโฟนที่มีเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพที่ดีที่สุดในกลุ่มแฟล็กชิป เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงกล้องระดับแฟล็กชิปได้ง่ายขึ้น และเก็บภาพที่สวยงามเพื่อสร้างสรรค์แรงบันดาลใจได้ในทุก ๆ วัน”

realme 11 Pro+ 5G กล้อง SuperZoom 200 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลก พร้อมพลังการซูม 4 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด

realme 11 Pro+ 5G มอบประสบการณ์กล้องถ่ายภาพระดับแฟล็กชิปด้วยการติดตั้งเซ็นเซอร์ภาพ Samsung ISOCELL HP3 SuperZoom รุ่นอัปเกรดขนาด 1/1.4 นิ้ว พร้อมรูรับแสงกว้างถึง f/1.69 รอบรับการจับภาพที่ความละเอียดสูงถึง 200 ล้านพิกเซล โดยที่ทุกพิกเซลมอบคุณภาพของภาพถ่ายได้อย่างเหนือระดับ

การถ่ายภาพจะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายและสนุกสนานกว่าที่เคย ด้วยเทคโนโลยีการซูมของ realme 11 Pro+ 5G ที่มอบพลังการซูม 4 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด ให้คุณถ่ายภาพระยะไกลได้อย่างคมชัดแบบสุด ๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ Auto-zoom ได้ด้วยการแตะคำสั่งเพียงครั้งเดียว โดยกล้องจะทำการซูมไปยังบริเวณที่กำหนดไว้แบบอัตโนมัติโดยยังคงมุมมองภาพที่สวยงามได้อย่างสมบูรณ์แบบ

realme 11 Pro+ 5G ยังนำเสนอการตั้งค่าของกล้องระดับแฟล็กชิปอย่าง SuperOIS, Super NightScape, Moon Mode, และ Starry Mode Pro มอบอิสระแก่ผู้ใช้งานให้สามารถแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์และตัวตนในผลงานภาพถ่ายอย่างเต็มที่ ให้คุณค้นพบโลกกว้างและความรื่นรมย์ในการบันทึกความทรงจำที่มากกว่าด้วยโหมด กล้อง Sony Selfie Camera ที่มีความละเอียดถึง 32 ล้านพิกเซล รวมถึง Super Group Portrait Mode, One Take Mode และอีกมากมาย และที่ขาดไม่ได้คือ Street Photography Mode 4.0 ฟีเจอร์การถ่ายภาพยอดฮิตที่แฟน realme ทั่วโลกชื่นชอบอย่างมาก

realme 11 Pro+ 5G ฝาหลังสุดลักซ์ชัวรีด้วยแรงบันดาลใจจาก Gucci

realme 11 Pro 5G Series ไม่เพียงโดดเด่นในด้านกล้องถ่ายภาพเท่านั้น แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ในเรื่องการออกแบบตัวเครื่องอีกด้วย ซึ่งทั้ง 3 โทนสี Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black ได้รับการพัฒนาจาก realme Design Studio ผ่านความร่วมมือกับ Matteo Menotto อดีตดีไซเนอร์ภาพพิมพ์และสิ่งทอจากแบรนด์ Gucci เพื่อนำเสนอมาตรฐานงานดีไซน์ระดับไฮเอนด์และงานฝีมือจากแบรนด์ระดับลักซ์ชัวรี สู่หนุ่มสาวผู้ใช้งานสมาร์ตโฟน realme ทั่วโลก

โดยเฉพาะโทนสี Sunrise Beige ซึ่งนำความงามมาจากโทนสีของมิลาน-เมืองแห่งแฟชั่น ผู้ออกแบบได้จับเอาความประทับใจในช่วงเวลาที่แสงแดดสีทองส่องกระทบสถาปัตยกรรมคลาสสิกอันงดงาม เกิดเป็นความสว่างเรืองรองสีทองอ่อนที่ฉาบไล่ไปทั่วทั้งตัวเมือง ผ่านกรรมวิธีการผลิตเกรดพรีเมียม รวมถึงการใส่รายละเอียดแนวตะเข็บแบบ 3 มิติที่สวยงามเสมือนงานของช่างฝีมือ มอบผิวสัมผัสระดับสูงด้วยหนังวีแกนลายผลลิ้นจี่ ผสานการทอแบบ 3 มิติเพื่อสร้างสรรค์ดีไซน์ที่งดงาม ทันสมัย พร้อมสะกดทุกสายตา

นอกจากนวัตกรรมกล้องถ่ายภาพและมาตรฐานงานออกแบบขั้นสูง realme 11 Pro+ 5G ยังมาพร้อมประสิทธิภาพรอบด้านอันโดดเด่น ทั้งระบบชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC และแบตเตอรี่ความจุถึง 5000mAh มาพร้อมจอแสดงผลขอบโค้ง 120Hz Curved Vision Display และเทคโนโลยีถนอมดวงตาด้วยประสิทธิภาพการปรับระดับแสงที่ 2160Hz ซึ่งสูงสุดในอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนปัจจุบัน ทั้งยังสามารถปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติได้ถึง 20,000 ระดับ เป็นครั้งแรกของโลก

realme 11 Pro 5G กับประสิทธิภาพ Premium 2160Hz PWM Dimming ในจอแสดงผลขอบโค้ง Curved Vision Display

realme 11 Pro 5G ใช้จอเกรดพรีเมียมเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง realme 11 Pro+ 5G โดยเป็นจอแสดงผลขอบโค้ง 120Hz Curved Vision Display และประสิทธิภาพการลดระดับแสงที่ 2160Hz ครั้งแรกของโลก มอบความสว่างสู้แสงแดดจ้าได้อย่างดีเยี่ยม และปรับความสว่างหน้าจอแบบอัตโนมัติได้ถึง 20,000 ระดับ โดยได้รับ 2 มาตรฐานรับรองการปกป้องดวงตาจากสถาบันอันทรงเกียรติ TÜV Rheinland จึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและความสบายตาในการใช้งานตลอดวัน

นอกจากจอแสดงผลชั้นเยี่ยม realme 11 Pro 5G ยังมีมาตรฐานการออกแบบตัวเครื่องที่สวยงามเหมือนกับ realme 11 Pro+ 5G นำเสนอทั้ง 3 โทนสี Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black ซึ่งแต่ละโทนสีมอบสุนทรียภาพในการใช้งานขั้นสุด สำหรับกล้องถ่ายภาพมีความละเอียดถึง 100 ล้านพิกเซล พลังซูม 2 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด รวมถึงโหมดการใช้งานอย่าง Auto-Zoom Mode, Super NightScape Mode และ Street Photography Mode 4.0

realme 11 Pro 5G จึงเป็นอีกหนึ่งสมาร์ตโฟนแฟล็กชิปที่มอบประสิทธิภาพการใช้งานขั้นสูง กินพลังงานต่ำ และให้หน่วยความจำขนาดใหญ่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังซีพียู Dimensity 7050 5G นำเสนอรุ่นความจุมาตรฐาน 12/256GB นอกจากนี้ ยังเสริมประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายดายด้วยระบบชาร์จไว 67W SUPERVOOC กับแบตเตอรี่ 5000mAh พร้อมเฟิร์มแวร์ใหม่ล่าสุด realme UI 4.0 และลำโพงคู่พานอรามิก Dolby ไว้อย่างครบครัน

และถึงแม้ realme 11 Pro 5G Series จะมาพร้อมกับความเป็นผู้นำในด้านเทคโนยีในทุกด้าน แต่ก็เปิดราคามาอย่างคุ้มค่าแบบคาดไม่ถึง โดย realme 11 Pro+ 5G มาในราคาเริ่มต้น 1,999 หยวน (ประมาณ 9,737 บาท) และ realme 11 Pro 5G มาในราคาเริ่มต้น 1,699 หยวน (ประมาณ 8264.33 บาท) อย่างไรก็ตาม realme 11 Pro 5G Series ถือเป็นสมาร์ตโฟนที่จะมายกระดับสมาร์ตโฟนในระดับแฟล็กชิบให้ก้าวสู่อีกขั้นของอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนอย่างแท้จริง

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) จับโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนหลังการยุตินโยบายโควิด-19เป็นศูนย์ (Zero Covid-19) เปิดเสนอขายกองทุนเปิดเคเคพี ไชน่า เฮดจ์ (KKP CHINA-H) กองทุนที่บริหารแบบ Passive เพื่อให้ผลดำเนินงานเป็นไปตามดัชนี MSCI CHINA ALL SHARES ที่ครอบคลุมการเติบโตของหุ้นจีนทุกตลาด ทั้ง Onshore และ Offshore โดยเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 21 ก.พ. – 1 มี.ค. 2566 เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ลงทุนไทยที่สนใจลงทุนในหุ้นจีน ด้วยมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเพียง 1,000 บาท

นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2566 โดยเฉพาะการเปิดเมืองของจีนอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ต้นปี 2566 และการที่ภาคครัวเรือนมีอัตราการออมสะสมสูงกว่าปกติจากการปิดเมืองในช่วงที่ผ่านมา จะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจจีนที่สำคัญ ประกอบกับ รัฐบาลจีนทยอยออกมาตรการมุ่งเน้นแก้ปัญหาสภาพคล่องในภาคอสังหาริมทรัพย์ ช่วยให้หลายบริษัทเพิ่มทุนได้สำเร็จและเพิ่มความมั่นใจของประชาชนที่ต้องการซื้อบ้าน รวมถึงโอกาสที่นโยบายของรัฐบาลจะสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นหาก หลี่เฉียง ซึ่งมีวิสัยทัศน์เปิดกว้างและสนับสนุนธุรกิจภาคเอกชนได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากหลี่เค่อเฉียงในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ มูลค่าของตลาดหุ้นจีน MSCI China All Shares มี Forward P/E ratio ที่ 14.4 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เพราะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 15.3 เท่า (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566) ด้วยเหตุนี้ ทางบลจ.เกียรตินาคินภัทรจึงได้นำเสนอกองทุน KKP CHINA-H เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน

สำหรับ กองทุน KKP CHINA-H ระดับความเสี่ยง 6 เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Fund of Funds ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนของบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจและหรือได้รับประโยชน์จากการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีน จุดเด่นของกองทุน KKP CHINA-H คือ การลงทุนในหุ้นจีนครอบคลุมทุกตลาด ทั้ง A-Shares / B-Shares / H-Shares / Red-Chips / P-Chips / ADRs ผ่านการลงทุนใน ETFs หลายกองทุน โดยเป็นกองทุนหุ้นจีน Passive กองทุนแรกที่มุ่งหวังให้ผลการดำเนินงานของกองทุนเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนี MSCI China All Shares Index ซึ่งสะท้อนการเติบโตของหุ้นจีนในทุกตลาดตามสัดส่วนอย่างแท้จริง โดยกองทุน KKP CHINA-H จะทำการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเกือบทั้งหมด

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 305 9559 หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรทุกสาขา หรือ https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง

ข้อมูลกองทุน KKP CHINA-H FUND :

· เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 21 ก.พ. – 1 มี.ค. 2566

· มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1,000 บาท

คำเตือน

· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

· ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

· กองทุนนี้เป็นกองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศหลายกองทุน (Fund of Funds) ทั้งนี้ กองทุนนี้ไม่ได้เป็นกองทุนที่คุ้มครองเงินต้น และมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในต่างประเทศ

· กองทุนนี้จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยกองทุนจะทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเกือบทั้งหมด คือ ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ

· โปรดศึกษาคำเตือนที่สำคัญอื่นและข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เผยรายงานวิจัยล่าสุดวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566 คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามามากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนผลักดันให้เกิดการบริโภคและการใช้จ่ายภายในประเทศที่สูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี (GDP) สามารถเติบโตถึงร้อยละ 3.7 ในปีนี้

นายเอ็นริโก้ ทานูวิดฮาฮา นักเศรษฐศาสตร์ Global Economic and Market Research ของธนาคารยูโอบี เผยว่า ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประเทศไทยเริ่มต้อนรับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่กลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ และส่งผลดีให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีสัญญาณที่ดีจากภาคธุรกิจบริการที่เริ่มฟื้นตัว รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่ายในประเทศ ดังนั้นสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในแต่ละไตรมาส โดยยูโอบีประเมินว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.7 และอัตราเงินเฟ้อจะเฉลี่ยอยู่ร้อยละ 2.7 ซึ่งเป็นผลจากรายได้ท่องเที่ยวที่เป็นแรงสนันสนุนหลักทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้มีความสดใส"

นอกจากนี้ ผลพวงจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางกลับมาเข้าอีกครั้ง หลังจากนโยบายการเปิดพรมแดน จะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งปีแรก ค่าเงินบาทอาจได้รับผลกระทบจากความท้ายทายของเศรษฐกิจโลกในระดับมหาภาค ทำให้เคลื่อนไหวอ่อนตัวลงไปอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่งปีแรก ก่อนจะกลับมาแข็งแกร่งและไต่ระดับไปถึง 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่งปีหลัง

โดยรวมภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจต่างๆโดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจหลักในประเทศ”สถานการณ์เศรษฐกิจส่งสัญญาณการฟื้นตัวสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยเริ่มส่งสัญญาณฟิ้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว ทำให้ในปีนี้สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยมีโอกาสจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 3-4 เห็นได้จากจีดีพีของปี 2565 กลับมาเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 4.5 จากมูลค่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การลงทุน และรายได้ท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้มูลค่าการอุบโภคบริโภคระดับครัวเรือนมีอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี และค่าใช้จ่ายในภาคบริการปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 15.8 จากการใช้จ่ายที่สูงขึ้นในภาคธุรกิจร้านอาหาร ท่องเที่ยว สันทนาการ และวัฒนธรรม ดังนั้นยูโอบีจึงเชื่อมั่นว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะอยู่ที่ร้อยละ 3.7 ในปีนี้ จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะช่วยเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศควบคู่ไปกับภาคส่งออกที่แข็งแกร่งขึ้น

อัตราเงินเฟ้อเข้าสู่ขาลงตั้งแต่ปี 2565 อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยได้ขึ้นไปแตะที่จุดสูงสุดก่อนจะทยอยปรับระดับลงในช่วงปลายปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากราคาพลังงานที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการฟื้นตัวของระบบห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) และ กระจายสินค้าของรายการอาหารบางชนิดที่ช่วยลดแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อต่ำลง สำหรับปี 2566 ยูโอบีประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยจะลอยตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.7 โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (headline inflation) จะขึ้นไปแตะที่ร้อยละ 3.9 ในช่วงครึ่งปีแรก และจะคงค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ1.5 ในช่วงครึ่งปีหลัง จากความต้องการบริโภคที่ลดลงเพราะระบบห่วงโซ่อุปทานโลกปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น ประกอบกับสถานการณ์พลังงานและราคาสินค้าทั่วโลกอยู่ในเกณฑ์ที่ทรงตัว (moderate) และ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) จะปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อนี้สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประเมินอยู่ที่ร้อยละ 2-3  ค่าเงินบาททีมนักวิเคราะห์ของยูโอบีประเมินว่าในปีนี้ ค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคเอเชีย และกับดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยต่างๆเช่น การใช้นโยบายการเงินอย่างผ่อนปรนและยืดหยุ่นของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อเทียบกับธนาคารกลางอื่นๆ ในภูมิภาค รวมถึงระดับอัตราดอกเบี้ยทั่วภูมิภาคยังอยู่ในระดับต่ำ และความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลกในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี อานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยว และการเปิดพรมแดนของจีนจะช่วยบรรเทาความท้าทายเหล่านี้ และส่งผลให้ค่าเงินบาทยังสามารถรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคนี้ อีกทั้งยูโอบีประเมินว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยจะกลับมาเกินดุลอีกครั้งที่ร้อยละ 2.8 ของจีดีพี ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนเพิ่มเติมทำให้ค่าเงินบาทซึ่งอ่อนตัวและเคลื่อนไหวอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงครึ่งปีแรก จะกลับมาแข็งค่าอยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสสุดท้าย

จีนกำลังจะเปิดเมือง!

จีนมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น แม้การออกจากนโยบาย ‘โควิดเป็นศูนย์’ในช่วงแรกค่อนข้างล่าช้า แต่การส่งสัญญาณจากรัฐบาลจีนว่าให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและจะควบคุมการระบาดโดยให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด คือ ก้าวแรกและก้าวสำคัญที่ชี้ว่าในปี 2023 จีนกำลังจะเปิดเมืองหลังจากที่บังคับใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างเข้มงวดในช่วงที่ผ่านมา KKP Research ประเมินว่าการหากจีนสามารถเปิดเมืองได้เต็มที่ในปีหน้าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และความผันผวนที่จะเพิ่มขึ้น

การเปิดเมืองจะล่าช้าในช่วงแรก เนื่องจาก

1) อัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำจะยังกดดันระบบสาธารณะสุขจีน ในวันที่อัตราการฉีดวัคซีนในจีนยังไม่แพร่หลายโดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและวัคซีนจีนเองยังถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของจีนทั้งหมดอาจทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในระดับที่ระบบสาธารณะสุขรับไม่ไหว จนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากได้ และอาจสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลอาจต้องกลับไปล็อคดาวน์หนักอีกครั้ง ดังนั้น ภาครัฐมีแนวโน้มจึงผ่อนคลายมาตรการแบบค่อยเป็นไป

2) เงินเฟ้อที่จะสูงขึ้นเร็วอาจเพิ่มแรงกดดันในการทำนโยบายภาครัฐ การเปิดเมืองจะทำให้อัตราเงินเฟ้อที่ในปัจจุบันอยู่ที่ 2% มีความเสี่ยงเร่งตัวสูงขึ้นได้มาก โดยมีสาเหตุจากอุปสงค์ที่อั้นมาเป็นเวลานานในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ (pent-up demand) กลับมาขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ปัจจัยการผลิต (เช่น แรงงานในภาคบริการหรือโรงงานที่ถูกปิดตัวไป) ไม่สามารถกลับมาได้เร็วเท่า แรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นขึ้นอาจกดดันให้ธนาคารกลางจีนต้องขึ้นอัตราเบี้ยและถอนสภาพคล่องออกจากระบบ แต่ก็จะเพิ่มความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทอสังหาฯ โดยจะทำให้การเข้าถึงสภาพคล่องของบริษัทอสังหาฯ จีนทำได้ยากขึ้น ดังนั้นการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดจึงมีแนวโน้มค่อยเป็นค่อยไปโดยจีนจะมีนโยบายสนับสนุนการขยายตัวของอุปทานไปด้วยเพื่อลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเผชิญกับหลายอุปสรรคในระยะสั้น

ภาคการบริโภคของจีนจะหดตัวในระยะสั้นแม้ว่าจีนจะเริ่มคลายมาตรการโควิดแล้วก็ตาม เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจะบั่นทอนความมั่นใจของผู้บริโภคในขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนกำลังชะลอตัว ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีนยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในครึ่งแรกของปี 2023 อย่างไรก็ตามภาคการบริโภคจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นเมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มผ่านจุดสูงสุดและผู้คนมีความคุ้นชินและเรียนรู้ที่จะอยู่กับไวรัสมากยิ่งขึ้นซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า

ราคาพลังงานโลกอาจพุ่งสูงขึ้นเมื่อจีนเปิดเมือง

ผลกระทบที่สำคัญของการหลังจีนเปิดเมือง คือ ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์จะเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาจากจุดสูงสุดแต่ราคายังค้างอยู่ในระดับที่สูงกว่าก่อนการระบาดโดยที่จีนยังไม่ได้เปิดเมืองด้วยซ้ำ วิกฤตราคาพลังงานสูงจากการตัดขาดอุปทานพลังงานจากรัสเซียที่ยังไม่สิ้นสุด การเปิดประเทศของจีนจะทำให้เกิดการนำเข้าน้ำมันในปริมาณที่เพิ่มขึ้นมากและจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีความเสี่ยงที่จะพุ่งสูงขึ้นอีกได้ในปีหน้า

ประเด็นที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือ ราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ผ่านกระบวนการกลั่นเรียบร้อยแล้วเช่น ราคาน้ำมันดีเซลอาจพุ่งสูงขึ้นในอัตราที่รวดเร็วกว่าราคาน้ำมันดิบจากทั้งเรื่องน้ำมันสำรองของหลายประเทศที่ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำมากในปีนี้รวมไปถึงกำลังการกลั่นที่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้าหลังโควิด แม้ว่ากำลังการกลั่นในจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่หากจีนยังคงจำกัดการส่งออกปิโตรเลียมต่อไปในขณะที่จีนเริ่มเปิดเมืองจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาพลังงานอาจไม่ลดลงได้แม้เศรษฐกิจในภูมิภาคจะเริ่มชะลอตัวลง

การส่งออกของประเทศแถบเอเชียอาจยังชะลออยู่แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัว

หากจีนสามารถเปิดเศรษฐกิจได้เต็มที่จริงจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภาคการส่งออกโลกในแถบเอเชียที่มีการส่งออกสินค้าไปจีนติดลบในช่วงที่ผ่านมา โดยประเทศที่คาดว่าจะได้ประโยชน์คือ 1) ประเทศที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย 2) ประเทศที่มีการพึ่งพาภาคการบริโภคในจีนสูงได้แก่ ฮ่องกง 3) ประเทศที่มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนสูงได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้

อย่างไรก็ตาม การที่อุปสงค์ในจีนกลับมาฟื้นตัวดีอีกครั้งไม่ได้แปลว่าภาคการส่งออกของไทยและประเทศอื่นๆจะขยายตัวได้ดีในช่วงปีหน้า เพราะในขณะที่จีนกำลังจะฟื้นตัว เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวและอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยการส่งออกโดยรวมยังมีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากอุปสงค์ที่มาจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรปและสหราชอาณาจักรมีสัดส่วนรวมกันมากกว่าอุปสงค์ที่มาจากจีน

4 ความผันผวนที่จะสูงขึ้นในปี 2023

KKP Research ประเมินว่าแนวโน้มการเปิดเมืองของจีนในครั้งนี้จะเป็นปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม โดยปัจจัยที่สำคัญในปีหน้า คือ

1) ความผันผวนต่ออัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เร่งตัวขึ้นหลังการเปิดเมือง นอกจากนี้หากราคาพลังงานเร่งตัวขึ้น อาจเกิดการส่งผ่านต้นทุนพลังงานไปยังราคาสินค้าหมวดอื่นที่เพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงที่ผ่านมา เพราะ เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงได้ถูกฝังเข้าไปในการคาดการณ์ของผู้ผลิต

2) ความผันผวนต่อสถานะทางการคลัง หากราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นโดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจาก pent-up demand ในจีนที่จะทำให้ภาระต้นทุนของรัฐบาลในการพยุงกองทุนน้ำมันที่กำลังขาดทุนอยู่และตรึงราคาไว้ที่ 34.99 บาทต่อลิตรเพิ่มขึ้นเช่นกันซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงขึ้นกว่าที่คาด

3) ความผันผวนต่อค่าเงินบาท ราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ที่พิ่มขึ้นจะทำให้มูลค่าการนำเข้าพลังงานของไทยเพิ่มขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ดุลการค้าขาดดุลมากขึ้นและกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกจาก

จีนที่จะมาช่วยพยุงการส่งออกไทยบางส่วนรวมไปถึงนักท่องเที่ยวจีนที่อาจจะกลับมามากกว่าที่หลายคนคาดในปีหน้าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากขึ้น

4) ความผันผวนต่ออัตราดอกเบี้ย หากเงินเฟ้อค้างอยู่ในระดับสูงและได้รับแรงสนับสนุนจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดในสหรัฐ ฯ (Terminal Fed Fund Rate) สูงเกินกว่าที่ตลาดคาดที่ 5% ในช่วงกลางปีหน้า ในสถานการณ์นี้นโยบายการเงินไทยจะได้รับแรงกดดันให้ต้องปรับดอกเบี้ยสูงมากขึ้นจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่กว้างขึ้น ในขณะที่ราคาพลังงานจะเป็นอีกความเสี่ยงสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อไทยค้างอยู่ในระดับที่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย

เศรษฐกิจจีนหลังโควิดคือความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

เศรษฐกิจจีนอาจไม่กลับไปเติบโตแบบในอดีตจากความท้าท้ายหลายประการได้แก่ 1) จำนวนประชากรโดยรวมและประชากรวัยทำงานที่กำลังหดตัว 2) ปริมาณหนี้ขนาดใหญ่ที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน 3) ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะยาวแม้ว่าในระยะสั้นอาจฟื้นตัวได้ดีหลังการเปิดเมือง ประเด็นที่สำคัญคือ หากเศรษฐกิจจีนไม่กลับไปเติบโตเหมือนในช่วงก่อนโควิด-19 ผลกระทบสืบเนื่องที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยคือ

1) อุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกเพื่อการลงทุนและภาคการบริโภคของจีนจะได้รับผลกระทบด้านลบสูงจากการชะลอตัวในระยะยาวของเศรษฐกิจจีน

2) FDI จากจีนบางส่วนที่มีความสำคัญโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างการค้าของไทยและจีนอาจชะลอตัวลง

3) จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนมายังไทยอาจลดลงในระยะยาวและไม่กลับไปยังระดับ 11 ล้านคนก่อนที่การระบาดของโควิด-19 จะเกิดขึ้น

 Cr: ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ  KKP

Page 2 of 3
X

Right Click

No right click