×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 840

บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในสาขาบริษัทความงามอันดับหนึ่งของโลก ประกาศความสำเร็จการดำเนินงานประจำปี 2560 สามารถคงอัตราการเติบโตสูงกว่าตลาดความงามอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และยังครองความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าในประเทศไทย ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

นาตาลี เกอร์ชไตน์ เคอโรวดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจของลอรีอัลกรุ๊ป คือ “Beauty For All หรือการส่งมอบ “ความงามสำหรับทุกคน” เราคิดเสมอว่าความงามไม่ได้มีแบบเดียว ความงามมีหลากหลายรูปแบบ และแต่ละคนก็งามแตกต่างกันไป  ลอรีอัลมุ่งสร้างความงามให้เป็นสากลผ่านการส่งมอบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดให้แก่ผู้บริโภคทุกเพศและตอบโจทย์ทุกความต้องการ เราเป็นผู้นำในด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการรักษามาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงความล้ำหน้าด้านดิจิทัลที่เข้ามาช่วยเพิ่มคุณค่าและสร้างความเชื่อมั่นอันแข็งแกร่งให้แก่ผู้บริโภคของเรา ปี 2560 ที่ผ่านมา นับเป็นปีที่ดิจิทัลเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีหลากหลายช่องทางที่ให้บริการผู้บริโภคได้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น”

นาตาลี เกอร์ชไตน์ เคอโรวดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด

ตลาดความงามของประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งในปี 2560 มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 7.8 มูลค่ารวม 1.68 แสนล้านบาท แบ่งเป็น

  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (skincare) 47%
  • ผลิตภัณฑ์ผม (hair) 18% 
  • ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกาย (hygiene) 16%
  • เครื่องสำอาง (makeup) 14% 
  • น้ำหอม (fragrance) 5%

โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยังครองส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุด ในขณะที่กลุ่มเครื่องสำอางเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตมากที่สุดในอุตสาหกรรม

ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (skincare) ปี 2560 ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 159 ตัว เติบโต 8.7% มูลค่ารวม 7.87 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น

  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า 84% (รวมสินค้าทำความสะอาด และบำรุงเข้าด้วยกัน)
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวร่างกาย 16%

 

ตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (makeup) ปี 2560 ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 281 ตัว เติบโต 7.6% มูลค่ารวม 2.27 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น

  • ผิวหน้า 56%
  • ริมฝีปาก 26%
  • แต่งตา 17%
  • เล็บ 1%

 

 

ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม (hair) ปี 2560 ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 281 ตัว เติบโต 6.7% มูลค่ารวม 3.08 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น

  • ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม 83%
  • ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม 11%
  • ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม 4%
  • ผลิตภัณฑ์ยืดดัดผม 1%

 

 

ตลาดผลิตภัณฑ์น้ำหอม (fragrance)

ปี 2560 เติบโต 7.6% มูลค่ารวม  8.5 พันล้านบาท

 

ลอรีอัล ประเทศไทย เป็นสาขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน ในปี 2561 นี้ ลอรีอัล ประเทศไทยจะมุ่งเน้นเสริมสร้างความเป็นเลิศใน 4 ด้าน ได้แก่

1) การมุ่งเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (Consumer Centricity)

2) การขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Acceleration)

3) การพัฒนาและดูแลบุคลากร (Great Employer) และ

4) การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและกิจกรรมเพื่อสังคม (Great Citizen)

 

ด้วยการมุ่งเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง หรือ Consumer Centricity ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดขององค์กร นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์จึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างประสบการณ์ของแบรนด์  โดยจะมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ผลิตภัณฑ์เด่นแห่งปีอย่าง วิชี่ มิเนอรัล 89 (Vichy - Mineral 89) พรีเซรั่มน้ำแร่เข้มข้น รวมไปถึงเทรนด์ใหม่ล่าสุดที่ฉีกภาพลักษณ์เดิมๆ ในการเปลี่ยนสีผมอย่าง ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมกึ่งถาวร ลอรีอัล ปารีส คัลเลอร์ริสต้า (L’Oréal Paris COLORISTA) นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ชั้นนำดังกล่าว ในปี 2560 ที่ผ่านมา ลอรีอัลยังคงเป็นผู้นำตลาดในผลิตภัณฑ์หลายประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ลอรีอัล ปารีส เอลแซฟ (L’Oréal Paris Elseve) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า การ์นิเย่ ไมเซล่าร์ วอเตอร์ (Garnier Micellar Water) ผลิตภัณฑ์น้ำมันทำความสะอาดผิวจาก ชู อูเอมูระ (Shu Uemura)  คุชชั่นรองพื้นสุดหรูจาก ลังโคม (Lancôme) และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าผู้ชายจาก ไบโอเธิร์ม ออมม์ (Biotherm Homme)

นอกเหนือจากการพัฒนานวัตกรรมแล้ว การทำความเข้าใจและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการนำเสนอประสบการณ์ทางความงามที่หลากหลายนับเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ โดยล่าสุด นิกซ์ โปรเฟสชั่นแนล เมคอัพ ได้เปิดตัว “นิกซ์ โปรเฟสชั่นแนล เมคอัพ แฟลกชิปสโตร์” (NYX Professional Makeup Flagship Store) แห่งแรกในเอเชีย ที่ สยามสแควร์วัน ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อเป็นจุดหมายใหม่ที่ ผู้ชื่นชอบการแต่งหน้าจะได้มาสัมผัสประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมดิจิทัล

คีลส์ (Kiehl’s) ก็มีการเปิดตัวเซรั่มบำรุงผิวหน้าอันทรงประสิทธิภาพ “อะโปเธคารี พรีแพเรชั่นส์” (Apothecary Preparations) ที่ยกระดับการบำรุงผิวหน้าขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการให้ลูกค้าสามารถเลือกส่วนผสมเซรั่มให้ตรงกับปัญหาผิวเฉพาะด้านของลูกค้าอย่างแท้จริง

 

ในปี 2561 ลอรีอัล ประเทศไทย ยังคงเสริมความแข็งแกร่งด้วยการเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ล่าสุดในประเทศไทย ได้แก่จิออร์จิโอ อาร์มานี บิวตี้ (Giorgio Armani Beauty) แบรนด์เครื่องสำอางสุดหรูพร้อมนวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกสภาพผิวของผู้บริโภคทุกคน ที่มาพร้อมผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าและเครื่องสำอางที่อยู่เบื้องหลังความงามของเวทีระดับโลกมามากมาย คาดว่าจะเปิดร้านและวางขายที่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว เป็นที่แรก ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 และอีกหนึ่งแบรนด์คือ เซราวี (CeraVe) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ได้รับการแนะนำและพัฒนาโดยแพทย์ผิวหนังด้วยการผสมผสานเซราไมด์สามชนิด ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งเสีย พร้อมการให้บริการกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุดในราคาที่จับต้องได้ โดยผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมกับคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนัง ประกอบไปด้วย ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น ฟื้นฟู และเติมเต็มผิวหนัง คาดว่าจะวางขายภายในเดือนกรกฎาคมนี้

นอกจากนั้น การขับเคลื่อนสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์หลักสำหรับลอรีอัล ประเทศไทย ในการขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดที่เชื่อมโยงด้วยดิจิทัล โดยในปี 2560 ลอรีอัล ได้ใช้ช่องทางในการสื่อสารที่หลากหลายและเข้าถึงตลาดอีคอมเมิร์ซค้าปลีกใหม่ๆ อีกหลายราย เช่น คอนวี่ (Konvy) และ โอรามิ (Orami) รวมไปถึงช่องทางสังคมออนไลน์ คือ ไลน์แอด (Line@) และ เครซ (Craze) รวมถึงการให้บริการหน้าร้านค้าออนไลน์ของแบรนด์เอง คือ ลังโคม (Lancôme) วายเอสแอล โบเต้ (YSL Beauty) และ ไบโอเธิร์ม (Biotherm)

ในการทำ E-Commerce นั้น จะเห็นได้ว่า บางแบรนด์มี Owned E-Boutiques (ร้านขายของแบบออนไลน์) แต่บางแบรนด์อาจจะไม่มี โดยลอรีอัลจะดูคุณลักษณะประจำตัวของแต่ละแบรนด์แล้วจัดทำ E-Commerce ให้เหมาะสมกับแต่ละแบรนด์

 

 

การสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้ลอรีอัลเป็นองค์กรที่น่าทำงานที่สุดสำหรับพนักงานทุกคนยังคงเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญ ที่ลอรีอัลมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการเป็นบริษัทที่ใฝ่ฝันสำหรับผู้ที่มีความสามารถ ซึ่งความสำเร็จของพวกเขาจะได้รับการยกย่องและถ่ายทอดสู่ภายในองค์กร โดยภายในปี 2561 นี้ ลอรีอัลตั้งเป้าที่จะฝึกอบรมพนักงานทุกคนในบริษัทฯ ผ่านโครงการการเรียนรู้และการพัฒนาที่หลากหลาย เพื่อให้พนักงานมีทักษะรอบด้านมากที่สุด ทั้งบนแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ นอกจากนั้น ลอรีอัล ยังมีโครงการ แชร์แอนด์แคร์ (Share & Care) ซึ่งมุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการขั้นพื้นฐานของพนักงาน 4 ด้าน ได้แก่ สุขภาพ สวัสดิการ ชีวิตครอบครัว และคุณภาพชีวิตในการทำงาน ล่าสุด ลอรีอัล ได้เปิดตัวโครงการ “Work Anywhere”  ให้พนักงานของลอรีอัลทุกคนสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ โดยจากการจัดทำผลสำรวจพนักงานภายในองค์กร พบว่าร้อยละ 95 ของพนักงานในบริษัทฯ รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานกับลอรีอัล ในขณะที่ร้อยละ 85 รู้สึกว่าบริษัทฯ ให้โอกาสพวกเขาในการทำงานที่ท้าทายและน่าสนใจ

ลอรีอัลจะยังคงดำเนินงานภายใต้พันธสัญญาว่าด้วยความยั่งยืน “แบ่งปันความงามให้ทุกสรรพสิ่ง” (Sharing Beauty with All) ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นของเราในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของลอรีอัล กรุ๊ป ในปี 2563 ซึ่งประกอบด้วยการสร้างนวัตกรรม การผลิต การใช้ชีวิต และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านต่างๆ และในปีนี้ ลอรีอัล ได้ริเริ่มอีกหนึ่งเป้าหมาย เพื่อให้องค์กรสามารถเข้าใกล้จุดหมายที่จะประสบความสำเร็จด้านความยั่งยืนได้เร็วยิ่งขึ้น คือ โครงการ ‘Working Sustainably” หรือ “การร่วมสร้างองค์กรอย่างยั่งยืน” ให้พนักงานในองค์กรทุกคนช่วยกันสร้างสถานที่ทำงานของพวกเขาให้ยั่งยืนและสร้างสิ่งแวดล้อมในการทำงานให้เป็นมิตรมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หลักการทำงานด้านจรรยาบรรณขององค์กรยังถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานประจำวันเพื่อช่วยหล่อหลอมวัฒนธรรมองค์กร และสร้างการรับรู้ให้แก่พนักงานทุกคนของลอรีอัลในเรื่องของความซื่อตรง (integrity) ความเคารพซึ่งกันและกัน (respect) ความกล้าหาญ (courage) และความโปร่งใส (transparency)

 

What L'oreal Thailand Want

คุณสมบัติของพนักงานที่ลอรีอัล ประเทศไทย ต้องการคือคนที่มี Passion ในการทำงาน ไม่ว่าจะมาจากสายไหนก็ตาม เพศใดก็ตาม ก็สามารถสนุกสนานกับลอรีอัลได้ เพราะเป็นองค์กรที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้โชว์ฝีมือ เราไม่ได้มองเรื่องเกรดหรือสถาบันเป็นสำคัญ เพราะเราคิดว่าถ้ามี Passion ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ โครงการ Management Trainee ของเราจึงเปิดโอกาสให้สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้วย ลอรีอัล ประเทศไทย เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยผลงานล้วนๆ ไม่ใช่ด้วยอายุงาน พนักงานทุกระดับสามารถพูดคุย แชร์ความคิดเห็นกับผู้บริหารระดับสูงได้ ส่วนแนวทางในการค้นหาคนที่มี Passion ดูได้จากวิธีการเล่าเรื่องที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด เขาจะเล่าด้วยรายละเอียด ไม่ใช่แค่ผิวเผิน เราจะทราบเลยว่าเขาสนุกสนานกับมันอย่างไรบ้าง “ที่สำคัญอย่าเอาข้อจำกัดของตัวเองมาเป็นอุปสรรค อย่างน้อยต้องกล้าแสดงตัวออกมาก่อน แล้วคุณกล้าที่จะมาเสี่ยงลงทุนกับเราหรือเปล่า ถ้ากล้าที่จะลอง ลอรีอัลก็กล้าที่จะรับ”

ธนยศ ครุฑระเบียบ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า เราเปลี่ยนตัวเองมาพอสมควรในระยะเวลาหนึ่งแล้ว ด้วยการพยายามรับคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลเข้ามามากขึ้น จาก 2 คน เพิ่มเป็น 24 คน ภายในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าเทรนด์ดิจิทัลได้กระตุ้นให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้น

นอกจากนี้ เราไม่ได้ใช้วิธีการแบบเดิมๆ ในการโปรโมตองค์กร แต่เราจะต้องใช้ดิจิทัลมากขึ้น ด้วยการเปลี่ยนเครื่องไม้เครื่องมือในการคัดเลือกและรับสมัครพนักงานมาเป็นช่องทางดิจิทัลและโซเชียลมีเดียอย่าง LinkedIn หรือ Facebook รวมถึงเรายังสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เรียกว่า Employee Referral Portal เพื่อให้พนักงานปัจจุบันแนะนำเพื่อนมาร่วมงานกับบริษัทได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบายมากขึ้น เพราะเราเชื่อว่าพนักงานปัจจุบันเป็นตัวแทนสำคัญ ที่จะบอกเล่าความเป็นลอรีอัลได้ดีที่สุด โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวจะมีการเก็บบันทึกข้อมูลที่เป็นระบบตามความเชี่ยวชาญของผู้สมัคร โดยเราเริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา และก็ได้รับการตอบรับอย่างดี เห็นได้จากสัดส่วนของการรับสมัครพนักงานผ่านแพลตฟอร์มนี้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ส่วนใหญ่เราใช้บริการผ่านบริษัทจัดหางานเป็นหลัก

ด้านการฝึกอบรม เนื่องจากยังมีคนในองค์กรจำนวนหนึ่งที่ยังมีประสบการณ์ด้านดิจิทัลน้อย เราจึงมีเทรนนิ่งค่อนข้างเยอะ ซึ่งถูกจัดสรรแตกต่างกันไปตามจุดอ่อน จุดแข็งของแต่ละคน พร้อมกับมีระบบติดตามว่าเขาได้พัฒนาทักษะแต่อย่างไปถึงไหนแล้ว และไม่ใช่แค่การฝึกอบรมแบบธรรมดาเท่านั้น แต่มีการเปิดหลักสูตรฝึกอบรมแบบออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ นอกจากนี้ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของคน
รุ่นใหม่ และไม่ให้การฝึกอบรมเป็นเรื่องน่าเบื่อ หลักสูตรออนไลน์จึงถูกออกแบบให้ Short & Sharp คือใช้เวลาเรียนสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้เวลาเริ่มต้นเพียงคลาสละ 5-10 นาทีเท่านั้น ซึ่งช่วยจูงใจให้พนักงานอยากที่จะเรียนรู้บ่อยๆ และเรียนรู้ได้จากทุกที่ ทุกเวลา เช่นระหว่างการเดินทางจากบ้านมายังออฟฟิศ

  ธนยศ ครุฑระเบียบ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด

สำหรับการพัฒนาบุคลากรให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้นั้น ย่อมต้องมีอุปสรรค ข้อจำกัด และความท้าทายเป็นธรรมดา แต่นั่นคือสิ่งที่ลอรีอัล ประเทศไทย จะต้องข้ามผ่านไปให้ได้ โดยธนยศบอกว่า เด็กรุ่นใหม่สนใจธุรกิจสตาร์ตอัพมากขึ้น ดังนั้นความท้าทายขององค์กรคือ จะจูงใจเขายังไงให้อยากมาร่วมงานกับเรา สิ่งที่ลอรีอัล ประเทศไทยทำก็คือ เราส่งเสริมให้เขาได้ทำงานแบบ Business Startup ตั้งแต่ต้นจนจบ สร้าง Mindset และจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการให้กับเขา ให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้นๆ อย่างแท้จริง และสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้พนักงานได้เรียนรู้และกล้าคิดกล้าทำก็คือ ด้วยวิธีการทำงานของลอรีอัลจะมีกรอบให้คิด แต่จะไม่กำหนดขั้นตอน 1-2-3-4 ให้ต้องทำตามแบบเป๊ะๆ เราใช้วิธีการบริหารจัดการแบบใหม่ เสมือนโค้ชทีมฟุตบอล ที่จะบอกแนวทางในการเล่นของแต่ละตำแหน่ง และเมื่อผู้เล่นแต่ละตำแหน่งอยู่ในสนาม ก็จะต้องเล่นด้วยแนวทางของตัวเองที่สอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ของทีม

เท่านั้นยังไม่พอ ธนยศยังชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายภายในองค์กรนี้ว่า ลอรีอัลให้ความสำคัญกับ 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ Disability, Ethnicity และ Gender ทุกวันนี้เราก็มีพนักงานที่เป็นคนพิการ มีพนักงานหลากเชื้อชาติ และจากเดิมที่คนมองว่าลอรีอัล ประเทศไทยเป็นองค์กรของผู้หญิง เราจึงปรับสัดส่วนของพนักงานหญิงและชายให้สมดุลมากขึ้น เช่น แผนก HR ก็มีมากกว่า 50% ที่เป็นผู้ชาย โดยปัจจุบันนี้สัดส่วนของพนักงานเพศหญิงต่อเพศชายอยู่ที่ 65 : 35 และมีแนวโน้มที่จะปรับให้สมดุลมากขึ้น

ด้านเครื่องไม้เครื่องมือในการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์นั้น การทำงานของ HR ที่ลอรีอัลจะอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ 70-80% โดยเรามีเป้าหมายคือ การทำงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ 100% ในอนาคตอันใกล้นี้ และนอกจากพนักงานจะมีระบบ My Learning ผ่านแอปพลิเคชันเพื่อที่จะสามารถพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลาตามที่กล่าวไปแล้ว เรายังมีระบบการดำเนินการภายในองค์กรที่เชื่อมโยงด้วยระบบออนไลน์ทั้งหมด มีการประเมินผลพนักงานบนระบบออนไลน์ ปรับเงินเดือนพนักงาน และบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาในการทำงานได้เป็นอย่างมาก

 ธนยศ ครุฑระเบียบ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด

ส่วนในเรื่องของการใช้ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของชาวลอรีอัล ประเทศไทย นั้น ธนยศอธิบายว่า ในขณะที่หลายคนอาจมองว่า Work-Life Balance เป็นสิ่งสำคัญ แต่เรามองว่าการทำงานกับการใช้ชีวิตแยกกันไม่ได้ มันจะต้องเป็นในรูปแบบของ Work-Life Integration สามารถที่จะทำงานไปด้วยในขณะเดียวกันก็สนุกสนานกับการใช้ชีวิตได้ แต่กระนั้นการทำงานที่นี่ไม่ง่าย เรา Work Hard เพราะเราเชื่อว่านั่นคือผลงานของเรา เราอยากทำงานหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จ แต่เราก็
ไม่ได้ละทิ้งการใช้ชีวิต

สำหรับความสนุกและความท้าทายในการทำงานในองค์กรที่มีความแอคทีฟสูงและเปิดโอกาสกว้างแบบนี้ ธนยศยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า เราเป็นองค์กรที่เชื่อในการเรียนรู้แบบข้ามสายงาน (Cross Function) เราส่งเสริมให้ทุกคนเรียนรู้การทำงานร่วมกัน เพื่อเป็นการเสริมสร้างทักษะ และพัฒนาพนักงาน ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้กับพนักงานในทุกแผนก ขอให้มีความหลงใหล ความสนใจใคร่รู้ ความปรารถนาที่พัฒนาตัวเอง เราเปิดโอกาสให้ถึงขนาดว่า จากฝ่ายขายสามารถโยกมาทำการตลาดได้ เช่น ลองมานั่งทำงานกับทีมการตลาดดูสิสัก 3 เดือน ว่าใช่อย่างที่คิดหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่อย่างน้อยก็นำสิ่งที่ได้มาปรับใช้ในการทำงานขายได้ หรือเราเปิดโอกาสให้ Management Trainee ที่อยู่ฝ่ายการเงิน แทนที่เขาจะเป็นคอนโทรลเลอร์ แต่ทุกวันนี้เขาก็เป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ได้ หรือคนที่ทำซัพพลาย เชนก็เป็นฝ่ายขายได้ เราไม่จำกัดหรือปิดกั้นโอกาสของพนักงาน

โอกาสสำหรับการพัฒนาศักยภาพตัวเองและความก้าวหน้าในอาชีพการงาน ไม่มีที่สิ้นสุดที่ลอรีอัล ประเทศไทย

 

 

Page 12 of 12
X

Right Click

No right click